ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 89-90 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 89-90 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 89

 

หลังจากเซวียหย่วนกินข้าวอิ่มแล้วก็ออกไปดูว่าทหารได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไร

บรรดาผู้ประสบภัยที่หิวโหยเป็นเวลานานกำลังเข้าแถวรอรับอาหาร ดวงตาที่มองไปเบื้องหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง ผู้คนจำนวนมากเรียงแถวกันเต็มพื้นที่เปิดโล่งจนมองไม่เห็นหัวแถว เมื่อมองไปก็เห็นเพียงศีรษะของผู้คนขนัดแน่น

เซวียหย่วนถาม “พวกเจ้าจัดการกลุ่มผู้ประสบภัยที่ตามขบวนขนส่งอาหารมาแล้วหรือยัง”

เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลทหารส่งเสบียงตอบว่า “พวกข้าจัดการกับผู้ประสบภัยเหล่านั้นแล้ว เพียงแต่พวกเขาหิวโหยมานานเกินไป บัดนี้จึงกินได้เพียงโจ๊กกับผักเท่านั้น ที่ห้องครัวกำลังปรุงโจ๊กอยู่ขอรับ”

เซวียหย่วนเอ่ยด้วยความกระชับรัดกุม “ให้คนพาข้าไปดูที่พักของผู้ประสบภัย”

เจ้าหน้าที่ส่งทหารนายหนึ่งตามไป เซวียหย่วนเดินเข้าไปใจกลางของผู้ประสบภัย เห็นว่าหลายคนได้รับอาหารแล้วและกำลังล้อมวงทำอาหารกินกันในหม้อ

ผู้ประสบภัยเหล่านี้พากันตั้งถิ่นฐานใหม่ในชายแดนตอนเหนือ เนื่องจากมีคนจำนวนมากเกินไปสถานที่ตั้งถิ่นฐานของคนจำนวนมากจึงไม่สามารถเรียกว่าเป็นบ้านได้ด้วยซ้ำ ลมพัดเข้ามาจากทุกด้านและน้ำฝนรั่วจากหลังคา ระหว่างที่แม่ทัพเซวียกำลังยุ่งอยู่นั้น จึงทำได้เพียงสร้างบ้านพักเพื่อรองรับผู้ประสบภัยบางส่วน ทว่าท่ามกลางความหนาวเย็นของชายแดนตอนเหนือ บ้านดังกล่าวไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ชายแดนตอนเหนือหนาวเกินไป

เซวียหย่วนรู้ดีว่าความหนาวเหน็บนี้มีรสชาติอย่างไร รู้ว่าหิมะของชายแดนเหนือมีรสชาติเป็นอย่างไร ฮ่องเต้ชอบที่เขาร้อนแต่ก็รังเกียจที่เขาร้อน แม้แต่เซวียหย่วนที่ร้อนและไม่กลัวหนาวก็ยังถูกแช่แข็งอยู่ในฤดูหนาวของชายแดนตอนเหนือ จนมือเท้าแข็งทื่อและไม่สามารถก้าวขาได้เลย

บัดนี้ย่างเข้าปลายเดือนสิบแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้จะมีอาหารแต่ผู้ประสบภัยจำนวนมากก็ยังต้องล้มตายเพราะความหนาว ชีวิตของคนเหล่านี้ไร้ค่า เมื่อแข็งตายก็จะตายกันเป็นเบือ ทว่าหลังจากความเหน็บหนาวและการระบาดของตั๊กแตนแล้ว เป็นไปได้ว่าจะนำมาซึ่งโรคระบาดจากคนสู่คนได้

เหตุผลที่ฮ่องเต้น้อยส่งยาและหมอจำนวนมากมาก็เพราะความกังวลนี้

หลังจากเซวียหย่วนสำรวจรอบหนึ่งแล้วก็พาคนขี่ม้าลากรถค้นหาวัสดุสำหรับสร้างบ้านในทันที เพื่อเตรียมสร้างห้องที่อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้คนสามารถอยู่รอดได้ ก่อนที่ฤดูหนาวซึ่งสามารถทำให้ผู้คนแข็งตายได้อย่างแท้จริงจะมาถึง

เขาบอกว่าจะทำก็ทำทันทีและนำคนลงมือทำอย่างจริงจัง หลังจากแม่ทัพเซวียรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรแล้วก็แบ่งกำลังพลให้เขาจำนวนหนึ่ง ยิ่งคนมากกำลังก็ยิ่งมากและจะได้ดำเนินการได้เร็วขึ้น

หลังจากนำวัสดุสำหรับสร้างบ้านกลับมาแล้ว ผู้ประสบภัยในชายแดนตอนเหนือก็รู้แล้วว่าเหล่าทหารวางแผนจะทำอะไร พวกเขาลุกขึ้นยืนเงียบๆ และเข้าไปร่วมช่วยด้วย

เซวียหย่วนโยนหินก้อนที่หนักที่สุดลงบนพื้น ปัดๆ มือ จากนั้นก็หยิบกริชออกจากอกเสื้อเพื่อลับท่อนไม้ ทหารที่กำลังตัดฟืนอยู่ข้างๆ มีเหงื่อชุ่มศีรษะแล้ว เมื่อเห็นเขาดังนี้จึงตะโกนว่า “แม่ทัพน้อย แสดงฝีมือหน่อย!”

กริชในมือของเซวียหย่วนหมุนวนรอบมือสองครั้ง ปรากฏเป็นรูปดอกไม้ทั้งด้านบนและล่าง มือนี้มีพลังมหาศาล ใบมีดฉายประกายเย็นยะเยือก แสงสีขาวที่เจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์เฉือนอยู่บนไม้ฟืนหลายรอบ

เหล่าทหารและผู้ประสบภัยที่กำลังสร้างบ้านถูกดึงดูดความสนใจด้วยเสียงตะโกนว่า ‘เยี่ยมๆ’ พวกเขามองมาทางนี้ สูดหายใจและพลอยปรบมือพร้อมกับร้องว่าเยี่ยมๆ ตามไปด้วย

เนื่องจากทหารเหล่านี้ประจำการที่ชายแดนตอนเหนือจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงของภัยพิบัติตั๊กแตนและชนเผ่าเร่ร่อนอยู่เสมอ ภายนอกมีสถานการณ์ภัยพิบัติอันเลวร้าย ภายในมีวิกฤตอาหารขาดแคลน หลังจากกินข้าวต้มติดต่อกันเป็นเวลาสิบวัน ขวัญกำลังใจของทหารก็ลดต่ำไปมาก พวกเขารู้สึกกังวลและไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา อาหารที่เซวียหย่วนนำมานั้นคือกำปั้นหนักๆ ที่ทำลายความวิตกกังวลของพวกเขาจนแตกละเอียด แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอ เหล่าทหารและผู้ประสบภัยที่ด้านชาต้องการฉากแห่งความรื่นเริงอันสมบูรณ์เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจและจุดประกายความหวังใหม่

ฉากแห่งชัยชนะ

ชายแดนตอนเหนือต้องการฉากแห่งชัยชนะเพื่อมาสร้างแรงบันดาลใจ

เซวียหย่วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง หมุนกริชเป็นรูปดอกไม้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างเกียจคร้าน และดึงมือกลับมาอย่างงดงาม

เหล่านายทหารที่ยืนมองดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ พาสหายทหารเข้ามาพร้อมกับร้องว่าเยี่ยมๆ ไม่หยุด ผู้คนกระตือรือร้นมากขึ้น พากันชูสองกำปั้นขึ้นมาท่ามกลางเสียงคำราม

พวกเขาเฮฮากันแต่ในหมู่ของพวกเขา ส่วนเซวียหย่วนกลับก้มศีรษะสลักไม้อีกครั้ง ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มือที่ถือกริชกลับสลักอักขระสามตัวอยู่บนไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อสลักเส้นสุดท้ายเสร็จสิ้น เซวียหย่วนก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเริ่มสลักเส้นแรกของชื่อนี้ออกมาได้อย่างไร

เขาเหม่อลอย นิ้วหัวแม่มือลูบคลำอยู่บนลายอักขระ หยางฮุ่ย ขุนพลซึ่งเคยร่วมรบด้วยกันกับเขาในสนามรบที่ชายแดนตอนเหนือเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามอง ถามด้วยเสียงก้องกังวาน “แม่ทัพน้อย นี่คือตัวอักษรใด”

นิ้วของเซวียหย่วนลูบอยู่บนตัวอักษรตรงกลางพอดี เขายิ้มๆ ห้อมล้อมไปด้วยสายลมและผืนทรายแห่งความโหยหา “หยวน”

กู้เหลี่ยน กู้หยวนไป๋

แม่ทัพหยางนึกขึ้นได้ทันใด “นี่ไม่ใช่ชื่อของแม่ทัพน้อยหรอกหรือ”

“ไม่ใช่” เซวียหย่วนหัวเราะ “นี่เรียกว่าเป็นวาสนา”

เซวียหย่วน เซวียจิ่วเหยา

สอดคล้องกันอย่างแท้จริง

สอดคล้องกันจนสวรรค์ทำใจที่จะให้ฟ้าผ่าข้าตายไม่ได้

เซวียหย่วนอารมณ์ดีแล้ว เขาสลักคำว่า ‘เซวียจิ่วเหยา’ ที่งดงามดุจมังกรร่อนหงส์ระบำ สามคำด้านข้างคำว่า ‘กู้หยวนไป๋’ ก่อนชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกสบายใจ

ทว่าไม้ที่ถูกแกะสลักหกตัวไม่อาจใช้งานได้แล้ว เช่นนั้นอาจต้องถูกกำจัดทิ้ง ครั้นเซวียหย่วนคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นพรวด หยิบไม้กับกริชและก้าวเท้ายาวๆ ไปยังค่ายทหาร

“แม่ทัพน้อย?” เสียงตะโกนจากด้านหลังค่อยๆ ไกลห่างออกไป

ครั้งนี้หัวใจของเซวียหย่วนกำลังร้อนเป็นไฟ ความวู่วามของชายหนุ่มพุ่งทะยานจากร่างกายขึ้นสู่ท้องฟ้า เขากลับไปที่ค่ายทหารคว้าดาบเล่มใหญ่แล้วพกไว้ที่เอว จูงเลี่ยเฟิงแล้วพลิกกายขึ้นบนหลังมัน หวดแส้ควบจากไป “ย่าห์!”

 

เลี่ยเฟิงห้อตะบึงออกจากชายแดนจนถึงเขตแดนของเผ่าชี่ตันราวกับลูกธนู

ในบรรดาเผ่าชี่ตันที่อยู่ใกล้กับชายแดนมากที่สุดก็คือเผ่าของรื่อเหลียนน่า เซวียหย่วนขี่ม้าเข้าไปใกล้เงียบๆ เพื่อหลบเลี่ยงทหารยาม และหยุดม้าห่างออกจากกระโจมของเผ่ารื่อเหลียนน่าทางทิศตะวันออกหนึ่งร้อยหลี่ เลี่ยเฟิงยกกีบเท้าแล้วร้องฮี้เสียงสูง การควบม้าชะงักงันด้วยความเร็วสูงสุด

เซวียหย่วนจัดแจงเสื้อผ้าแล้วลงจากม้า ปักท่อนไม้ที่สลักชื่อของเขากับกู้หยวนไป๋จมดิน

ดินหนาปกคลุมท่อนไม้จนมิด เซวียหย่วนยืนมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จดจำตำแหน่งพอสังเขปแล้วยิ้ม

พระอาทิตย์แรกขึ้นทางทิศตะวันออกของทุ่งหญ้าจะชำระล้างพื้นดินผืนนี้

เซวียหย่วนซ่อนความปรารถนานี้ไว้ใต้ฝ่าเท้าของศัตรู เมื่อทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นี้ตกเป็นของกู้หยวนไป๋แล้ว ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงจะค้นพบความลับนี้เอง

สายลมไม่อาจพัดไหว สายฝนไม่อาจชะล้าง ตราบใดที่กู้หยวนไป๋ยังไม่ยอมรับเซวียหย่วน ท่อนไม้นี้ก็จะคงตั้งอยู่ไม่ล้มลง นอกจากเซวียหย่วนและฟ้าดินแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้

เซวียหย่วนพลิกกายขึ้นบนหลังเลี่ยเฟิง บังคับมันให้หันตัวกลับมาแล้วขี่จากไป ม้าเร็วห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางลมหนาว

ขณะที่เขาขี่ม้าย่ำออกมาจากดินแดนของรื่อเหลียนน่านั้น ก็ก้มศีรษะหันกลับไปมองกระโจมของเผ่าชี่ตันเบื้องหลังที่เล็กจิ๋วเหมือนมด

รื่อเหลียนน่า

เจ้าอยู่ใกล้เพียงนี้ หากเจ้าไม่ตายจะเป็นใครได้เล่า

 

รื่อเหลียนน่าคิดว่าการโจมตีแม่ทัพหนุ่มนั้นควรจะเร่งมือไม่อาจล่าช้า สองวันต่อมาจึงเริ่มส่งทหารม้าไปดูลาดเลา และเริ่มการจู่โจมแบบฉับพลันหลายครั้งกับทหารลาดตระเวนที่รักษาการณ์ต้าเหิง

ทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้ชนะและผู้แพ้ แต่เนื่องจากม้าชี่ตันไม่ได้กินอาหารอย่างเพียงพอมาหลายวัน บัดนี้พวกมันจึงอ่อนแอมาก ทหารลาดตระเวนของต้าเหิงไม่ได้ต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีตามที่แม่ทัพสั่งการไว้ ก็เพื่อให้รื่อเหลียนน่ารู้สึกว่าเขาได้เห็นกำลังพลของกันและกันแล้ว

แต่ถึงกระนั้น นี่เป็นการดูถูกชาวชี่ตันที่ภาคภูมิใจกับการสงครามและทหารม้าของตนเองมาโดยตลอด

หลังจากการเผชิญหน้าและการจู่โจมไม่กี่ครั้ง รื่อเหลียนน่าก็มีแผนการในใจ เขาเตรียมการอยู่สิบวันเพื่อรวบรวมทหารม้าเข้ากดดันชายแดน โดยแบ่งทหารออกเป็นสองฝ่ายเพื่อเข้าใกล้ชายแดนของต้าเหิงจากทิศตะวันออกและตะวันตก

ภายในค่ายของต้าเหิง แม่ทัพเซวียรับข้าศึกจากทางทิศตะวันตก ส่งทหารม้าสามพันนายและทหารราบห้าพันนายให้เซวียหย่วนเพื่อป้องกันศัตรูภายนอกจากด้านหลัง เซวียหย่วนรับคำสั่งและนำทหารทั้งแปดพันนายไปยังจุดหมายเพื่อจัดแถวกองทหาร

ทหารแปดพันนายยืนอยู่ในท่าตามระเบียบ เรียงแถวตามรูปแบบทัพเผชิญหน้าที่เซวียหย่วนจัดแจงไว้ พวกเขาสวมชุดเกราะครบครัน ถือปืนและดาบคมกริบที่สะท้อนแสงเย็นยะเยือก หลังจากผ่านการฝึกฝนมานานกว่าสิบวัน ทหารก็กลับมามีพลังอีกครั้ง สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้เกราะนั้นมีเพียงร่างกายแข็งแรงทรงพลัง

เครื่องยิงธนูของต้าเหิงเรียงรายรอบทิศ อาวุธธนูกลขนาดใหญ่สามารถยิงลูกธนูอย่างต่อเนื่องถึงหนึ่งหมื่นดอก ก่อให้เกิดฝนลูกธนูหนาแน่นจำนวนมหาศาล เครื่องยิงธนูแต่ละเครื่องล้วนมีทหารสามถึงห้านายที่ทำหน้าที่เป็นมือยิงธนู

ฉากสงครามนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเซวียหย่วน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจนแล้ว

ทหารม้าของชนเผ่าเร่ร่อนแข็งแกร่งและดุร้าย แต่ม้าของพวกเขานั้นอ่อนแอมากจนไม่สามารถลุกขึ้นวิ่งได้แล้ว อาวุธที่ชนเผ่าเร่ร่อนใช้ยังคงเป็นคันธนู ดาบ และปืนอันเป็นอาวุธพื้นฐานที่สุด พวกเขาถูกกำแพงยาวกั้นกลาง ไม่มีทางเรียนรู้วิธีทำอาวุธ และเมื่อพวกเขาหันไปรอบๆ ดินแดนของตัวเอง ทหารของต้าเหิงกลับมีหน้าไม้และลูกศรครบมือ

ทัพชี่ตันจะชนะได้อย่างไร

เซวียหย่วนมองไปยังกองทหารม้าของศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา เลิกคิ้วและยิ้มอย่างล้ำลึก สั่งทหารให้เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี

 

รื่อเหลียนน่านำกองทัพอ้อมไปทางทิศตะวันออกเพื่อเผชิญหน้ากับเซวียหย่วนด้วยตัวเอง กองทหารม้าขนาดใหญ่ยังไม่ทันจะมาถึงใต้กำแพงก็มองเห็นกองทัพที่เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีแล้ว

แรงปรารถนาที่หมายจะสังหารวูบผ่านดวงตาของรื่อเหลียนน่า “นั่นคือแม่ทัพที่ราชสำนักส่งมาหรือ”

รองแม่ทัพพยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะใช่ขอรับ”

ความทะเยอทะยานของพวกเขาถูกกระตุ้นด้วยเสบียงธัญพืชของต้าเหิง ดวงตาของพวกเขาลุกช่วงโชติ คนทั้งเผ่าแผดเสียงร้องอย่างทรงพลัง โห่ร้องพลางพุ่งไปเบื้องหน้าจนกระทั่งเผชิญหน้ากับเซวียหย่วน

จังหวะการเคลื่อนไหวอันรุนแรงเช่นนี้สามารถทำให้ทหารใหม่ตกใจจนเข่าอ่อนได้ รื่อเหลียนน่าที่จินตนาการถึงภาพแห่งชัยชนะไว้แล้วหัวเราะเสียงดังก่อนที่ทหารม้าจะพุ่งเข้าไปหาศัตรูเสียอีก

อย่างไรก็ดี ในชั่วขณะต่อมาอาการหัวเราะร่ากลับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าของผู้นำทัพของต้าเหิงแล้ว ใบหน้านี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ไม่มีสิ่งใดจะคุ้นเคยไปกว่านี้อีกแล้ว! ผู้นำทัพหนุ่มที่ราชสำนักส่งมาก็คือเซวียหย่วนผู้ที่เคยกัดชั้นผิวหนังของเขาอย่างโหดเหี้ยมมาก่อน!

เป็นบุตรชายของตาเฒ่าเซวียผิง เซวียหย่วน!

สีหน้าของรื่อเหลียนน่าแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันใด

เซวียหย่วนมองเห็นรื่อเหลียนน่าอยู่นานแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา เอ่ยเสียงสูงว่า “ยิงธนู!”

การเคลื่อนไหวของพลธนูมีความพร้อมเพรียงหมดจด พวกเขาใช้หน้าไม้และคันธนูแบบใหม่ที่กองโยธาธิการสร้างขึ้นเพื่อโจมตีชาวชี่ตันราวกับฝนลูกธนู

ลูกธนูนับหมื่นพันพุ่งลงมาจากอากาศ รูของเครื่องยิงธนูขนาดใหญ่เล็งไปยังศัตรูที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ปลดปล่อยอาวุธอันทรงพลังนี้ท่ามกลางสีหน้าสยดสยองและเหลือเชื่อของพวกเขา

น่าเศร้าที่ทัพชี่ตันเดินเข้าไปในแนวการยิงของทหารต้าเหิงแล้ว ทว่าทหารต้าเหิงยังอยู่ไกลเกินขอบเขตการยิงของพลธนูชี่ตัน

พวกเขาทำได้เพียงยอมรับมัน ไม่สามารถโต้ตอบได้เลย

ลูกธนูดุร้ายนับหมื่นพันพุ่งเข้าใส่ร่างและม้าของทัพชี่ตัน ม้าตกใจเพราะฝนลูกธนูวิ่งกระเจิดกระเจิงไปทั่วทุกทิศทาง มีคนถูกม้าที่วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งสลัดตก จากนั้นก็ถูกกีบเท้าเหยียบย่ำจนตาย ม้าที่กินไม่อิ่มมานานเหล่านี้ใกล้จะทรุดอยู่แล้ว ครั้งนี้เมื่อถูกทำให้ตกใจกลัว ความตื่นตระหนกของม้าตัวหนึ่งจึงนำไปสู่ความตื่นตระหนกโกลาหลของม้าอีกหลายตัว ทหารชี่ตันจำนวนมากล้มตายท่ามกลางฝนลูกธนูและม้าพยศเหล่านี้

ช่างน่าขันเหลือเกิน

สีหน้าของรื่อเหลียนน่าบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัวเล็กน้อย

ก่อนที่ทัพชี่ตันจะเข้าใกล้ทหารต้าเหิง คนในเผ่าของรื่อเหลียนน่าก็มีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้ เขาคำรามเสียงดัง “กองกำลังป้องกัน! กองกำลังป้องกันจากด้านบน! ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตอบโต้การยิงธนู!”

รองแม่ทัพต้านสายฝนลูกธนูที่พุ่งลงมาทั่วท้องฟ้าอย่างยากลำบาก ไม่สามารถขยับเท้าไปข้างหน้าได้เลย เขากล่าวด้วยความตื่นกลัว “หัวหน้า ขยับไม่ได้แล้ว!”

ตามปกติฝนธนูจะตกลงมาเป็นระลอกและมักจะมีเวลาให้โต้กลับ ทว่าครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลธนูของต้าเหิง เป็นไปได้หรือไม่ที่มีพลธนูหลายชั้นสลับกันไปมา ทำให้ฝนลูกธนูไม่ลดลงแม้แต่น้อย ทั้งยังทำให้พวกเขาก้าวเดินได้อย่างยากลำบากอีกด้วย

แต่มันก็ควรมีเวลาสิ้นสุดไม่ใช่รึ!

ซากศพของทหารชี่ตันและม้าที่ถูกลูกธนูยิงตายเบื้องหน้าขวางทางไม่ให้ทหารในเผ่าที่เหลือเคลื่อนตัวไปได้ ต่อให้รื่อเหลียนน่าตายก็ไม่คาดคิดว่าเหตุใดการจู่โจมของฝนลูกธนูครั้งนี้ถึงได้รุนแรงนัก แม้แต่ผู้คุ้มกันคนสนิทที่ปกป้องเขาก็ตายไปแล้ว รื่อเหลียนน่ากัดฟัน ความตายและความละอายของการพ่ายแพ้ต่อต้าเหิงถูกดึงกลับไปกลับมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นและในที่สุดก็เอ่ยว่า “ถอย!”

มองดูแผ่นหลังของทหารชี่ตันที่หนีตายอย่างทุลักทุเล มองดูซากศพและม้าที่ถูกลูกธนูยิงตายเกลื่อนพื้น ทหารของต้าเหิงจึงหยุดยิง หลังจากตะลึงงันครู่หนึ่งแล้วก็โห่ร้องเสียงดังกึกก้องฟ้า!

และท่ามกลางเสียงโห่ร้องเช่นนี้ ทหารชี่ตันหนีตายเร็วกว่าขี่ม้าเสียอีก พวกเขาปิดบังใบหน้า รู้สึกขายหน้าและอัปยศอดสูอย่างยิ่ง

ฝ่ายศัตรูบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ทว่ากองทัพของตัวเองไร้ผู้บาดเจ็บและล้มตาย นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่!

นั่นคือชี่ตันผู้โหดเหี้ยมที่ปล้นสะดมชายแดนมาหลายครั้งเชียวนะ พวกเขาถูกโจมตีจนยอมแพ้และถอยร่นกลับไปแล้ว!

ที่แท้เผ่าชี่ตันอ่อนแอเพียงนี้หรือ

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com