everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 89-90 #นิยายวาย
บทที่ 90
เผ่าชี่ตันถูกชัยชนะในอดีตครอบงำจนหลงละเลิง การล่าถอยของต้าเหิงตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานโอหัง และเนื่องจากความเย่อหยิ่งทั้งประเมินศัตรูต่ำเกินไปครั้งนี้จึงพ่ายแพ้ราบคาบ
ความรู้สึกที่นำชัยชนะครั้งนี้มาสู่เหล่าทหารนั้นเกินคำบรรยาย พวกเขาถูกเซวียหย่วนพากลับไปยังค่ายทหารเพื่อสมทบกับแม่ทัพเซวียราวกับความฝัน
ใบหน้าของแม่ทัพเซวียก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นกัน พวกเขาเองก็ได้รับชัยชนะ แม่ทัพเซวียไม่ค่อยได้รับชัยชนะอันหอมหวานเช่นนี้มากนัก สองเดือนก่อนที่เขามาถึงชายแดน เนื่องจากการระบาดของฝูงตั๊กแตนและชาวบ้านผู้ประสบภัย การต่อสู้จึงเป็นเพียงการโต้กลับของฝ่ายตั้งรับเท่านั้น ไม่เคยสบายใจเช่นนี้มาก่อน
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชายแดนอย่างชัดเจน ฉากที่อาวุธทรงพลังของต้าเหิงทำให้ทหารชี่ตันหนีกลับไปอย่างสิ้นท่านั้นถูกหลายคนจดจำไว้ในส่วนลึกของสมองแล้ว
ขวัญกำลังใจพลุ่งพล่าน ความกลัวและกังวลก่อนการโจมตีกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันสูงส่ง ทหารหลายนายแทบรอไม่ไหวที่จะตะโกนขึ้นฟ้าเพื่อระบายความไร้ประโยชน์และความอัปยศอดสูในอดีตออกมาให้หมด!
ความสุขแห่งชัยชนะก็เหมือนเปลวเพลิงที่ลุกลาม ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชาวบ้านก็รู้ข่าวชัยชนะของทหารชายแดนแล้ว
พวกเขาเดินออกจากที่พัก วางก้อนหินและอิฐในมือลง มองดูทหารที่กลับมายังค่ายอย่างมีความสุขบนถนนด้านหน้าพวกเขาพร้อมกับร้องเพลงตลอดทาง
ชาวบ้านในชายแดนตอนเหนือไม่ค่อยได้เห็นเหล่าทหารในท่าทางเช่นนี้เลย
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและทหารชายแดนไม่ดีนัก ผู้คนในชายแดนตอนเหนือต่างกลัวและเกลียดชังทหารที่ประจำการที่นี่ เกลียดชังพวกเขาที่เฉยเมย เกลียดชังเพราะทั้งๆ ที่มีทหารทว่าไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ พวกเขาด่าทอเหล่าทหารลับๆ ว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์ เป็นคนชั่วและเป็นคนบาปเหมือนกับชนเผ่าเร่ร่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างทหารและชาวบ้านตึงเครียด ชาวบ้านทำถึงขั้นชูอาวุธขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากทหารด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้พวกเขาต้องตกตะลึง ที่แท้ทหารต้าเหิงก็ไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
พวกเขาก็ปราบปรามศัตรูได้ และสามารถนำชัยชนะกลับมาได้เช่นกัน
ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนและการบุกรุกจากชนเผ่าเร่ร่อนจวนตัวแล้ว มีเพียงกองทัพหลวงเท่านั้นที่สามารถโจมตีพวกมันได้
ราชสำนักต่างไม่ไร้ประโยชน์ กองทัพของพวกเขากล้าโต้กลับแล้ว ปรากฏว่าหลังจากที่กล้าโต้กลับก็สามารถชนะได้อย่างง่ายดาย และสามารถปราบปรามพวกเร่ร่อนกลุ่มนั้นได้ราวกับพลิกฝ่ามือ
ทันใดนั้นชาวบ้านแถบชายแดนเหนือต่างรู้สึกว่าทหารที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
การจัดการชายแดนกำลังดำเนินไปทีละขั้นตอน กองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวได้เข้าสู่เขตระบาดของฝูงตั๊กแตนแล้ว
ทันทีที่พวกมันมาถึงที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนหาอาหารให้อีกต่อไป มันจิกกินตั๊กแตนที่ได้เข้าสู่ระยะตัวอ่อนแทน จิกกันตัวละคำ ระหว่างที่เร่งเดินทางไปยังชายแดนตอนเหนือ กองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวก็สามารถจัดการตัวอ่อนของตั๊กแตนไปได้สองล้านตัวต่อวัน แต่ละตัวกินกันจนอิ่มหมีพีมัน พุงพลุ้ยตัวอ้วนกลม
ตัวอ่อนเหล่านี้ถูกเป็ดกินก่อนที่จะวางไข่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยลดเวลาในการกำจัดไข่ไปได้อีก
ในนครหลวง กู้หยวนไป๋ก็กำลังติดตามสถานการณ์ที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด
อากาศในนครหลวงก็เริ่มเย็นลงแล้วเช่นกัน ลมหนาวพัดมาชวนให้สั่นสะท้าน ขณะที่คนอื่นๆ อย่างมากก็เสริมเพียงเสื้อคลุมธรรมดา แต่กู้หยวนไป๋กลับต้องสวมเสื้อคลุมตัวหนาแล้ว
จิตใจกระปรี้กระเปร่าทว่าร่างกายกลับตามไม่ทัน เขาเพียงอ่านฎีกานานกว่าเดิมครู่เดียวนิ้วก็ถูกความเย็นแช่แข็งเสียแล้ว หมอหลวงมักจะอยู่เคียงข้างเสมอ หมอหญิงเจียงก็ถูกจัดให้อยู่เคียงข้างฮ่องเต้เพื่อวินิจฉัยและรักษาด้วย
แม้หมอหญิงเจียงไม่รู้ว่าจะรักษาโรคตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร ทว่านางก็รู้ว่าท่านตาในบ้านดูแลท่านตาน้อยในระหว่างฤดูหนาวอย่างไร นางก็ทำตามและใช้วิธีเหล่านั้นกับพระวรกายของฮ่องเต้ทีละขั้นตอน
ไม่ว่าจะเป็นการกดจุด ฝังเข็ม หรือแช่ยา วิธีการของหมอหญิงเจียงสามารถทำให้ร่างกายของกู้หยวนไป๋อบอุ่นได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ความอบอุ่นนี้จางหายเร็วเกินไป สำนักหมอหลวงก็บรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกันด้วยวิธีที่แตกต่างทว่ามีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเตาอุ่นมือกับกระถางไฟในตำหนักก็มอบเพียงความอบอุ่นจอมปลอมให้กู้หยวนไป๋
ทันทีที่สัมผัสก็อบอุ่นครู่หนึ่ง เมื่อดึงมือออกก็หนาวเหน็บทันตา บางครั้งตื่นขึ้นกลางดึกกู้หยวนไป๋ก็ยังนึกถึงเซวียหย่วนผู้อบอุ่นท่ามกลางความเย็นยะเยือกและความทรมานจากร่างกายอันอ่อนแอนี้
เขาหลับตาแล้วเอนตัวลงบนเตียง ห่มผ้าห่มเย็นๆ พลางนึกถึงความอบอุ่นบนตัวของเซวียหย่วนที่ทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายไร้ที่เปรียบ
เมื่อกำลังจะเข้านอนในวันต่อมาและเหล่าทหารองครักษ์กำลังจะถอยออกไปนั้น ฮ่องเต้ก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “จางซวี่”
หัวหน้าทหารองครักษ์จางงุนงง ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเอ่ยว่า “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ขึ้นเตียง อุ่นเตียงให้เจิ้นที” กู้หยวนไปกล่าวอย่างกระชับแต่ครอบคลุมความหมาย
หัวหน้าทหารองครักษ์จางตกตะลึง ใบหน้าแดงระเรื่อทันใด แผ่นหลังของเขาแข็งทื่อ กำหมัดถอดเสื้อคลุมและรองเท้าอย่างเงียบๆ แล้วปีนขึ้นไปบนเตียง
ครั้นหมอหญิงเจียงเดินเข้ามาพร้อมกับยาแช่ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็เห็นฉากนี้เข้า นางเดินเข้าไปหาฮ่องเต้อย่างมั่นคงด้วยสีหน้านิ่งเฉย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาท ได้เวลานวดกดจุดแล้วเพคะ”
กู้หยวนไป๋เหลือบมองนาง โน้มน้าวว่า “ให้คนอื่นทำก็ได้”
หมอหญิงเจียงส่ายหน้า “หม่อมฉันจัดการเองดีกว่าเพคะ”
ยานี้มีไว้แช่เท้า การนวดกดจุดก็เป็นการนวดบนฝ่าเท้าและน่อง หมอหญิงเจียงมีเคล็ดลับเฉพาะตัวซึ่งถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในตระกูล และมันไม่ง่ายเลยที่นางจะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้คนอื่น
เสียงน้ำกระฉอก หัวหน้าทหารองครักษ์นอนตัวตรงอยู่บนเตียงราวกับศพ ใบหน้าแดงก่ำจนสามารถต้มไก่ให้สุกได้ทั้งตัว ความร้อนนี้ทำให้เตียงมังกรอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีผ้าห่มหนาสีเหลืองสดใสห่มคลุมอยู่บนตัวก็ยิ่งทำให้หัวหน้าทหารองครักษ์ร้อนจนเหงื่อออกท่วมตัว
หลังจากแช่ยาเสร็จแล้วกู้หยวนไป๋ก็ขึ้นเตียง หัวหน้าทหารองครักษ์เกร็งไปทั้งตัวและนอนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง ราวกับเป็นเครื่องทำความร้อนส่วนตัว และฟังบทสนทนาระหว่างกู้หยวนไป๋และเถียนฝูเซิง
เตียงอุ่นมาก คิ้วและตาของฮ่องเต้ผ่อนคลาย หลังจากหารือเรื่องเสื้อบุนวมกับเถียนฝูเซิงและมั่นใจว่าสามารถขนส่งเสื้อบุนวมภายในต้นเดือนสิบเอ็ดได้ กู้หยวนไป๋จึงจบการสนทนา
“นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว” เถียนฝูเซิงเอ่ย “มีฎีกามาจากชายแดน ตามคำบอกเล่าของแม่ทัพเซวีย สถานการณ์การระบาดของตั๊กแตนมีสัญญาณที่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฎีกาจากชายแดนตอนเหนือเมื่อสองวันก่อนมาถึงบนโต๊ะของกู้หยวนไป๋ โดยมีฎีกาของแม่ทัพเซวียเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนที่เหลือเป็นฎีกาที่เซวียหย่วนส่งกลับมาระหว่างทาง จนกระทั่งบัดนี้กู้หยวนไป๋ได้อ่านฎีกาของแม่ทัพเซวียรอบหนึ่งแล้ว
หลังจากฮ่องเต้พยักหน้า เถียนฝูเซิงก็พาคนถอยออกไป ภายในตำหนักไร้ผู้คน กู้หยวนไป๋นอนลง ทว่าหลังจากผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกไม่สบายตัวอีก
หัวหน้าทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ความร้อนแผ่มาจากด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ช่องว่างระหว่างพวกเขายังสามารถนอนได้อีกหนึ่งคน ลมที่พัดเข้ามานั้นเหน็บหนาวกว่าการที่ไม่มีคนอุ่นเตียงเสียอีก ความเย็นนี้แปลกประหลาดนัก มันเย็นเฉียบราวกับกำลังเสียดแทงกระดูก ความร้อนและเย็นที่สลับไปมานี้ทรมานกว่าการที่ไม่มีความร้อนเสียอีก
ฮ่องเต้หลับตาลง “ออกไปเถิด”
หัวหน้าทหารองครักษ์ถอยออกไปอย่างแผ่วเบา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูก็ดังขึ้นและถูกปิดลงอีกครั้ง
ผ่านไปหลายวัน เสื้อบุนวมก็ถูกขนขึ้นเกวียนเรียบร้อย กำลังจะมุ่งหน้าสู่ชายแดนตอนเหนือ
กู้หยวนไป๋ตั้งใจไปดูเสื้อบุนวมก่อนส่งออก ใช้โอกาสนี้สุ่มตรวจเสื้อสองสามตัวเพื่อให้มั่นใจว่ามันตรงตามความต้องการของเขา
“จ่ายเบี้ยให้ราษฎรเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ข่งอี้หลินยืนอยู่ข้างๆ “ทูลฝ่าบาท เรียบร้อยไร้ข้อผิดพลาดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” กู้หยวนไป๋พยักหน้าแล้วยิ้ม “เจิ้นจะเป็นผู้นำในการสวมเสื้อบุนวมก่อน ของดีเช่นนี้ คุ้มค่าที่ผู้คนในใต้หล้าจะได้สวมใส่”
ข่งอี้หลินยิ้มสดใส “ดอกฝ้ายในปีนี้ถูกใช้จนหมดแล้ว แต่กระหม่อมเชื่อว่าเมื่อมีฝ่าบาทเป็นแบบอย่าง ผู้เพาะปลูกฝ้ายในปีหน้ามีแต่จะเพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ “เพียงแต่น่าเสียดายฤดูหนาวปีนี้ ราษฎรต้าเหิงของเจิ้นกลับไม่สามารถสวมใส่ของดีเช่นนี้ได้”
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านเกวียนที่บรรทุกเสื้อบุนวมเต็มเกวียนทีละคน ระหว่างทางกลับ ฮ่องเต้บอกให้คนหยุดอยู่นอกเขตใจกลางนคร พาข่งอี้หลินเดินทอดน่องไปรอบๆ ตลาดเพื่อดูความเป็นอยู่ของผู้คน
ชั้นบนในโรงเตี๊ยมข้างทาง องค์ชายซีซย่าหลี่อั๋งซุ่นกำลังฟังผู้ติดตามรายงานเกี่ยวกับฉู่เว่ย ในขณะที่เหลือบมองลงมาด้านล่างก็เห็นฮ่องเต้แห่งต้าเหิงเข้าพอดี
ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงสวมชุดพิธีการยาวสีดำ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเข้ม พระพักตร์ขาวผ่อง สวมชุดเต็มรูปแบบในฤดูกาลเช่นนี้ แม้ไม่แปลกทว่าโดดเด่นยิ่งนัก
มือที่ถือตะเกียบของหลี่อั๋งซุ่นหยุดชะงัก สายตามองตามร่างของฮ่องเต้ไป
ฮ่องเต้ของต้าเหิงใช่ว่าอยากเจอแล้วจะได้เจอเสียหน่อย หลี่อั๋งซุ่นอยู่ในต้าเหิงมาครึ่งเดือนแล้ว และได้เจอฮ่องเต้ที่งานเลี้ยงในตำหนักของวันเทศกาลวั่นโซ่วเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าโชคชะตาจะนำพาให้มาเจอฮ่องเต้องค์นี้อีกครั้งโดยบังเอิญ
ผู้ติดตามของเขายังคงพูดต่อ “หลังจากคุณชายฉู่เว่ยเสร็จสิ้นเวลางานเมื่อวานก็ไปกินอาหารกับสหายในเหลาสุราแห่งหนึ่ง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คุณชายฉู่เว่ยก็เดินออกมาจากเหลาสุราและกลับจวนสกุลฉู่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นถาม “สหาย เป็นสหายสตรีหรือบุรุษ”
สายตายังคงมองลงไปเบื้องล่าง
“…” ผู้ติดตามเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าเป็นบุรุษพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นกำลังเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด เขาคีบผักเข้าปากคำหนึ่ง “สหายผู้นั้นของฉู่เว่ยมีหน้าตาเป็นอย่างไร สนิทกับเขามากหรือไม่”
ผู้ติดตามทอดถอนใจ “องค์ชายเจ็ด บัดนี้พระองค์ให้พวกกระหม่อมจับตามองคุณชายฉู่เว่ยมาครึ่งเดือนแล้ว หากพระองค์ชมชอบ เขาก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในต้าเหิงเท่านั้น แค่บังคับฝืนใจด้วยกำลังก็จบสิ้นแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่อั๋งซุ่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าโง่ ลักพาตัวขุนนางต้าเหิงในดินแดนของต้าเหิง เจ้าลืมความอับอายที่ถูกขังอยู่ในที่พักหมิงเซิงสิบกว่าวันเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบไปหมดแล้วหรือ”
ผู้ติดตามเอ่ย “พระองค์ชมชอบฉู่เว่ยจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ชอบสิ” หลี่อั๋งซุ่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนว่าชอบอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์กำลังมองใคร”
หลี่อั๋งซุ่นชี้ไปที่กู้หยวนไป๋ ในเวลานี้กู้หยวนไป๋เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมของพวกเขา ทำให้มองเห็นทุกอิริยาบถได้อย่างชัดเจน งดงามยิ่ง บุคลิกอันสูงส่งนั้นยิ่งเหนือคำบรรยาย แม้แต่ริมฝีปากสีจางและดวงหน้าซีดขาวยังดูคล้ายกล่องผ้าที่ประดับหยกงามก็มิปาน เมื่อได้เห็นครั้งหนึ่งก็ทำให้อยากมองเป็นครั้งที่สอง
ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงมีใบหน้าที่ทำให้ผู้คนเกลียดไม่ลงและมีความน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองซ้ำสอง ในขณะที่ไม่มีใครกล้ามองนั้น หลี่อั๋งซุ่นกลับมองอยู่เนิ่นนาน ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงราวกับว่ารู้สึกได้ เงยหน้าขึ้นมองชั้นบนอย่างกะทันหัน
หัวใจของหลี่อั๋งซุ่นพลันเต้นระรัว เขายืนขึ้นยิ้มอย่างสงบ โค้งคำนับฮ่องเต้ แล้วยกจอกสุราในมือขึ้น
ข่งอี้หลินมองตามสายตาของฮ่องเต้ เมื่อเห็นองค์ชายเจ็ดของซีซย่าก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท บุคคลนี้ฟุ่มเฟือยเปี่ยมด้วยราคะ ชื่อเสียงของเขาในหมู่ราษฎรซีซย่านั้นเสื่อมเสียยิ่ง ทว่าฮ่องเต้ของซีซย่ากลับโปรดปรานเขามาก กระหม่อมได้ยินมาว่าหลายวันมานี้เขาคอยสืบข่าวของใต้เท้าฉู่เว่ยตลอดเวลา ด้วยพื้นเพนิสัยของเขา จะต้องมีความคิดไม่ซื่อต่อใต้เท้าฉู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าให้หลี่อั๋งซุ่นอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าแววตาของเขายังคงเหมือนกับกำลังมองแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำก็เอ่ยว่า “ลำบากฉู่ชิงแล้ว”
เนื่องจากเจตนาชั่วร้ายของกู้หยวนไป๋ เขาจึงอยากจะเห็นว่าทูตซีซย่านำสิ่งของมาจากซีซย่ามากเพียงใดกันแน่ ทว่าไม่เคยพูดคุยกับทูตของซีซย่าเกี่ยวกับปัญหาของทั้งสองแคว้นเลย เมื่อเห็นว่าทูตแห่งซีซย่าวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อมอบของกำนัลและสืบข่าวคราวอยู่นั้น เขาก็ถือเอาเรื่องของทูตซีซย่ามาผ่อนคลายจิตใจหลังจากปวดหัวกับราชกิจในบางครั้ง
ปรากฏว่าได้ผลอย่างดีเยี่ยม
ยิ่งข่งอี้หลินเข้ากันได้ดีกับฮ่องเต้องค์นี้มากเท่าใดก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่านั้น ในเวลานี้เขาเพียงรับคำและเออออตามอย่างจนปัญญา “ใต้เท้าฉู่ลำบากอย่างแท้จริง”
กู้หยวนไป๋เดินไปข้างหน้ากับเขาต่ออย่างช้าๆ เอ่ยเย้าว่า “หน้าตาของข่งชิงก็หล่อเหลา ฝีมือด้านการต่อสู้เป็นเลิศ เหตุใดองค์ชายเจ็ดแห่งซีซย่าถึงได้ดวงตาไร้แววเช่นนี้ และยังไม่ได้ชอบข่งชิงเล่า”
ข่งอี้หลินยิ้มขมขื่น “หน้าตากระหม่อมสามัญ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเย้ากระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” กู้หยวนไป๋ถาม “เช่นนั้นในสายตาของข่งชิง ผู้ใดกันที่มีพรสวรรค์ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาและสามารถเทียบเคียงพานอันเว่ยเจี๋ยได้เล่า”
“อย่างเช่นใต้เท้าฉู่ ฉู่เว่ย หลี่เหยียน ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวพ่ะย่ะค่ะ” ข่งอี้หลินเอ่ยชื่อของคนจำนวนหนึ่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ในสายตากระหม่อมรูปลักษณ์ของใต้เท้าเซวีย เซวียหย่วนก็ไม่แพ้คนอื่น หล่อเหลายิ่งเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็จะขาดฝ่าบาทไปมิได้”
กู้หยวนไป๋เลิกคิ้ว หัวเราะอย่างมีความสุข สีหน้าที่ดูป่วยเล็กน้อยของเขามีเลือดฝาดจางๆ “เจิ้นจะถือเอาคำเยินยอเหล่านี้เป็นจริงก็แล้วกัน”
ข่งอี้หลินยิ้ม จู่ๆ ก็กระซิบเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เรื่องที่ระยะหลังมานี้ฝ่าบาทเรียกหมอหญิงเจียงมาปรนนิบัติข้างกาย ผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของหมอหญิงเจียงต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา แม้ในราชสำนักเองก็มีเสียงพูดคุยหลากหลาย เสียงพูดคุยที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ก็คือพระองค์จะรับสนมเข้าวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 16 ส.ค. 65