everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 91-92 #นิยายวาย
บทที่ 92
เซวียหย่วนยืนอยู่บนกำแพงเมืองหนึ่งวันเต็ม ลมหนาวหวีดหวิว เขารู้ซึ้งถึงความเหน็บหนาวแล้ว
เมื่อดวงจันทร์ลอยสูงอยู่บนฟ้า เขาก็ไปหาแม่ทัพเซวีย นัยน์ตาแดงก่ำอยู่ใต้แสงเทียน
แม่ทัพเซวียขมวดคิ้วถามเขา “นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
“ชายแดนเหนือสงบแล้ว” เซวียหย่วนไม่ได้ตอบคำ เขาเลิกประตูกระโจมขึ้น สูดอากาศเย็นจากภายนอก ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความขมขื่น “ท่านแม่ทัพเซวีย คนของซีวั่นตันก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปก่อนจึงจะสามารถต่อสู้ได้ เขากับรื่อเหลียนน่ายังเอาตัวไม่รอด อย่างน้อยที่สุดชายแดนตอนเหนือก็น่าจะสงบสุขได้หนึ่งเดือนกระมัง”
แม่ทัพเซวียหนาวจนเคราสั่น “รีบลดประตูกระโจมลงเสีย เจ้าถามเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใดกัน จริงอยู่ที่ชายแดนมีช่วงเวลาหนึ่งเดือนแห่งความสงบสุข ทว่าฝ่ายศัตรูและพวกเราต่างต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศึกครั้งหน้า”
เซวียหย่วนแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามเดิม จากนั้นก็มองแม่ทัพเซวีย สีหน้าของเขาปนเปกับความมืดมิดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย ให้เวลาข้าหนึ่งเดือน…ข้ามีบางอย่างต้องจัดการ”
หลังจากกู้หยวนไป๋จัดการเรื่องขุนนางกองพระคลังและเปลี่ยนราคาไข่ไก่ทองคำจากหนึ่งร้อยยี่สิบเหวินกลับไปเป็นสิบสองเหวินต่อหนึ่งจินตามเดิมแล้ว เขาก็หวนนึกถึงอดีตขุนนางกองพระคลังผู้ซื่อสัตย์ที่ใช้งานง่ายอีกครั้ง ทั้งยังส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้อดีตขุนนางกองพระคลังผู้จงรักภักดีคนนั้นอีกด้วย
เมื่อขุนนางผู้นั้นได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ก็ปลื้มปริ่มที่ได้รับความโปรดปราน จากนั้นก็ตอบจดหมายของฮ่องเต้โดยแสดงความจงรักภักดีในจดหมาย นอกจากนี้ยังบอกเป็นนัยว่าไม่อาจตอบแทนความไว้วางใจของฮ่องเต้ได้และเพียงต้องการทำให้ดีที่สุดต่อไปเพื่อพระองค์
กู้หยวนไป๋อารมณ์ดีมาก พูดเพื่อเอาใจเขาว่าตราบใดที่เขากลับมาพร้อมกับความจงรักภักดี เช่นนั้นขุนนางกองพระคลังคนก่อนก็จะสามารถเข้ารับตำแหน่งได้อีกครั้ง
ส่วนขุนนางกองพระคลังคนปัจจุบัน เขาจะส่งให้ไปทำงานนอกเวลากับคนที่เขาไว้ใจ
หลายวันมานี้ ใช่ว่าราชสำนักจะไม่มีสิ่งดีๆ เข้ามาเลย วันก่อนก็มีเรื่องดีเกิดขึ้นซึ่งก็คือจิงหูหนานค้นพบเหมืองเหล็กอีกแห่งแล้ว
จิงหูหนานเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติอย่างแท้จริง หลังจากกู้หยวนไป๋ได้เหมืองทองมาจากมือของเฉินจินอิ๋นแล้วก็ล้อมเหมืองทองเพื่อขุดทอง ผลปรากฏว่ายังขุดทองไม่ทันไรก็เกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้กู้หยวนไป๋ก็นึกขำ เขายิ้มๆ ในขณะที่อ่านฎีกา หลังจากจัดการราชกิจเสร็จแล้วก็หมดไปอีกหนึ่งวัน หนึ่งวันนั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาลุกขึ้นและเดินออกไปดูข้างนอกตำหนัก ในเวลานี้เพิ่งจะพ้นยามเซินทว่าท้องฟ้ากลับมืดมิดเหมือนยามราตรี
เถียนฝูเซิงก้าวไปเบื้องหน้า “ฝ่าบาท เหอชินอ๋องให้คนส่งสารมาทูลเชิญฝ่าบาทไปแช่น้ำร้อนด้วยกันที่จวนนอกนครหลวง พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อน ฝ่าบาทต้องการจะเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เอ่ยถาม “เป็นจวนของหลูเฟิงที่เจิ้นตกรางวัลให้เขาหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงแอบรู้สึกเสียดาย “ฝ่าบาทควรเก็บจวนแห่งนั้นไว้เองนะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ หมุนๆ แหวนหยกในมือ เอ่ยด้วยเสียงล้ำลึกว่า “ตอนที่เจิ้นสูญเสียอำนาจก็ได้ยินข้อดีของจวนแห่งนั้นเช่นกัน ในเมื่อเหอชินอ๋องเชื้อเชิญ เช่นนั้นก็ไปสักรอบเถิด”
เถียนฝูเซิงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
วันต่อมา รถม้าของนครหลวงก็มุ่งหน้าสู่ชานเมือง
กู้หยวนไป๋นั่งถือตำราอยู่ในรถม้า ทว่ากลับไม่มีสมาธิเล็กน้อย เขามองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนผ่านไป โดยอีกมือถือเตาอุ่นมือไว้อย่างเงียบๆ
รถม้าของฮ่องเต้ถูกแบ่งออกเป็นห้องภายนอกและภายใน ห้องภายนอกข้ารับใช้กำลังต้มชา ห้องภายในฉู่เว่ยกำลังถือตำราอ่าน ในขณะที่ฉางอวี้เหยียนผู้มีบุคลิกสง่างามกำลังนั่งตัวตรงและอ่านตำราให้ฮ่องเต้ฟัง
บัณฑิตสำนักฮั่นหลินคอยปรนนิบัติ บรรดาวิญญูชนอยู่ด้วยกันก็หมดจดงดงามราวกับอากาศต้นฤดูหนาว
ข่งอี้หลินมีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่สามารถนั่งในรถม้านี้ได้ เขากับบรรดาคนที่เหลือนั่งอยู่ในรถม้าด้านหลังแทน และเนื่องจากเขาได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปข้างนอก จึงกลับมายังสำนักฮั่นหลินและขอติดตามฮ่องเต้พร้อมกับสหายร่วมงาน เพื่อที่จะสามารถคลายความเบื่อหน่ายให้กับฮ่องเต้ระหว่างทางไปยังจวนน้ำพุร้อนได้
ฉู่เว่ยกำลังอ่านตำราทว่าดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย เหลือบมองฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัวเป็นครั้งคราว และรีบหลุบตาอย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อที่สะดุ้งตกใจ
อย่างไรก็ดี ปากของเขาไม่ตรงกับใจ ห้ามคำว่า ‘คิดถึง’ ไว้ไม่อยู่ ครั้นเขาเหลือบมองอีกครั้งก็ต้องผงะ บนใบหน้าของฮ่องเต้มีน้ำค้างจากลมหนาวที่พัดผ่านนอกหน้าต่าง และบนขนตาสีดำก็มีเกล็ดน้ำค้างแข็งสีขาวเทาเกาะอยู่
“ฝ่าบาท” ฉู่เว่ยรีบพูดขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้ฮ่องเต้ “ข้างนอกมีลมหนาว อย่างไรเสียก็ปิดหน้าต่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ จะได้ไม่ประชวร”
กู้หยวนไป๋ออกจากภวังค์ มองดูผ้าเช็ดหน้าของเขาด้วยความสงสัย “ใบหน้าของเจิ้นเปื้อนฝุ่นหรือ”
“เป็นน้ำค้างแข็งพ่ะย่ะค่ะ” ฉางอวี้เหยียนหยุดอ่านตำรา เอ่ยแทรกว่า “ฝ่าบาทไม่รู้สึกเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เกรงว่าเป็นเพราะเจิ้นเย็นว่าน้ำค้างแข็งน่ะสิ จึงไม่รู้สึกถึงความเย็นเหล่านี้แล้ว”
ฉู่เว่ยเห็นว่าฮ่องเต้ยังไม่ยื่นมือออกมารับผ้าเช็ดหน้า ก็ขมวดคิ้วและเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำค้างแข็งบนใบหน้าของฮ่องเต้ด้วยตัวเองแล้ว
กู้หยวนไป๋ที่ถูกปรนนิบัติจนเคยชินหันหน้ามาให้เขาเช็ดใบหน้าด้านข้างรอบหนึ่ง
ข้ารับใช้ที่อยู่ห้องด้านนอกเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท ชาเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉางอวี้เหยียนรับชามา ทันทีที่น้ำถูกรินออกจากกา กลิ่นหอมหนักหน่วงของชาก็ตลบอบอวลทั่วทั้งรถม้า น้ำชามีสีเขียวเข้มและใส กลิ่นหอมผสมผสานกับความสดชื่นของภูเขาหิมะอย่างล้ำลึก ทันทีที่ได้กลิ่นก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
ฉางอวี้เหยียนสูดกลิ่นหอมลึก อุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่มันชาอะไรกัน”
“เป็นชาชื่อเอ๋อร์จากเขาหลวง” ข้ารับใช้ที่ต้มชาอยู่ด้านนอกพูดขึ้น “เขาหลวงแห่งนี้เป็นภูเขาหิมะในอี้โจว ต้องมีปริมาณน้ำฝนภายในสิบหกครั้งต่อปีและต้องเป็นวันที่มีแสงแดดมากกว่าสามร้อยหกสิบวัน นี่เป็นที่เดียวในใต้หล้าที่ผลิตชาชื่อเอ๋อร์จากเขาหลวง ในแต่ละปีมีเพียงช่วงจิงเจ๋อ* ถึงฤดูฝน ทั้งยังมีช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่ชาชื่อเอ๋อร์จะมีรสชาติดีที่สุด”
“ปีที่แล้วฝนตกค่อนข้างมาก ฝ่าบาทจึงมิได้เสวยชาชื่อเอ๋อร์แต่เป็นชาซวงจิ่งลวี่ ถ้วยที่ใต้เท้าฉางกำลังดื่มอยู่นี้ก็คือใบชาใหม่ที่เด็ดในต้นฤดูใบไม้ร่วง”
จู่ๆ ฉางอวี้เหยียนก็รู้สึกว่าถ้วยชาในมือหนักพันจิน เขานั่งตัวตรง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้วันนี้กระหม่อมได้ลิ้มรสชาชื่อเอ๋อร์สักครั้ง”
กู้หยวนไป๋ก็เพิ่งจะรู้ว่าชานี้มีความเฉพาะมาก มนุษย์ไม่อาจควบคุมฝนและแดดได้ ดังนั้นมันจึงเป็นของล้ำค่ายิ่งกว่านั้น เขายิ้มๆ “ในเมื่อชอบ เช่นนั้นก็ให้คนห่อใบชาสักสองห่อ มอบให้ฉางชิงและฉู่ชิงได้ไปดื่มเถิด”
ข้ารับใช้ด้านนอกรับคำ กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ พร้อมกับประคองทั้งสองคนที่กล่าวคำขอบคุณให้ลุกขึ้น ยิ้มเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ต่อให้ใบชาดีสักเพียงใดก็ไม่เทียบเท่าหัวใจที่ชิงทั้งสองคนมีต่อเจิ้น ต่อให้มีค่าเพียงใด ในสายตาของเจิ้นการทำให้พวกเจ้าทั้งสองชอบต่างหากที่มีค่าหมื่นตำลึงทอง”
ฮ่องเต้ก็ยังไม่ลืมที่จะชนะใจผู้คนเป็นครั้งคราว
สำหรับกู้หยวนไป๋แล้ว ถ้อยคำอ่อนหวานระหว่างฮ่องเต้และขุนนางเป็นเพียงการพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ข้าพูดเจ้าก็รับฟังเป็นพอ ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คำพูดที่สวยงามอาจชวนขนลุกได้มากกว่าจดหมายสารภาพรักของคนรุ่นหลังเสียอีก
อย่างไรก็ดี การพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้กลับทำให้ฉู่เว่ยตกใจ มือที่ถูกฮ่องเต้กุมนั้นสั่นเทาและแทบจะเอ่ยปากเพื่อปกป้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ทว่าไม่นานสติสัมปชัญญะกลับดึงเขาไว้ เขาลอบขมวดคิ้ว ไม่ต้องการคิดอะไรให้ล้ำลึก กล่าวพร้อมกันกับฉางอวี้เหยียนว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ”
หมาป่าสองตัวติดตามกู้หยวนไป๋ไม่คลาดสายตา ปลอกคอของพวกมันถูกผูกติดอยู่กับรถม้า ต้องวิ่งเพื่อตามให้ทัน
หมาป่าสองตัวนี้ปกป้องผู้เป็นนายอย่างยิ่ง หลังจากวิ่งมาหนึ่งชั่วยามก็ไม่ผ่อนฝีเท้าแม้แต่น้อย ยังดีที่รถม้าแล่นไม่เร็วนัก เหล่าทหารองครักษ์เกรงว่าพวกมันจะหิวและกัดคนระหว่างทาง จึงคอยป้อนชิ้นเนื้อสดใหม่ให้พวกมันอยู่ตลอดเวลา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาถึงจวนน้ำพุร้อน กู้หยวนไป๋ถูกประคองลงจากรถ
ผู้ที่คลุกคลีใกล้ชิดกับกู้หยวนไป๋รู้จักนิสัยของหมาป่าสองตัวนี้นานแล้ว พวกเขาจะแขวนถุงยาไว้บนร่างกายเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้รู้สึกสดชื่นเท่านั้นแต่ยังป้องกันไม่ให้ถูกหมาป่ากัดอีกด้วย อย่างเช่นในตอนนี้หัวหน้าทหารองครักษ์กำลังสัมผัสนิ้วของฮ่องเต้อย่างเปิดเผย เขาไม่เพียงแต่สัมผัสทั้งยังกุมมือด้วยซ้ำ หมาป่าสองตัวก็เพียงมองดูแต่ไม่ได้พุ่งเข้าหา
รถม้าด้านหลังก็หยุดลงเช่นกัน ผู้คนเดินลงมาเป็นแถวยาว เหอชินอ๋องพาคนไปรับเสด็จฮ่องเต้ หลังจากเห็นผู้คนมากมายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาได้เวลาพอดี บัดนี้ในจวนได้เตรียมสุราอาหารไว้พร้อมแล้ว ฝ่าบาททรงพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วค่อยเสด็จแช่น้ำเถิด”
กู้หยวนไป๋พยักหน้า “ได้”
หลังจากกินอาหารก็งีบสักพัก กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า ให้คนตระเตรียมของเพื่อที่เขาจะได้ไปแช่น้ำ
อันที่จริงในวังหลวงก็มีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว กู้หยวนไป๋มาที่จวนของเหอชินอ๋องนี้ก็เพื่อแช่น้ำกลางแจ้ง แช่น้ำไปพลางชมทิวทัศน์ไปพลางขณะที่จิบสุรา อ้อ เขาจิบสุราไม่ได้สินะ ทว่าเรื่องดีงามเช่นนี้ มีแต่เฉพาะนอกหลวงวังเท่านั้นที่เขาจะสามารถสนุกไปกับมันได้
ทุกคนรออยู่นอกป่าทึบและตามทางเดิน มีเพียงหมาป่าสองตัวที่พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้วเท่านั้นที่เดินตามหลังกู้หยวนไป๋ หมาป่าสองตัวนี้ดุร้ายกว่าทหารองครักษ์กว่าสิบคนมากนัก คนอื่นไม่กล้าตามเข้าไปทว่าพวกมันกลับไม่สนใจอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างสบายใจ กู้หยวนไป๋พาหมาป่าสองตัวนี้เดินไปตามกลิ่นกำมะถันช้าๆ
ใต้จวนเป็นบ่อน้ำร้อนสายหลัก ดอกไม้และพืชพรรณแต่ละฤดูในจวนที่มีบ่อน้ำร้อนอยู่ล้วนบานสะพรั่ง อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ บัดนี้เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้ว สวมเสื้อเพียงชั้นเดียวก็ไม่รู้สึกหนาว
กู้หยวนไป๋ลงน้ำ หมาป่าสองตัวขวางอยู่หน้าถนนสายเล็กๆ หลังจากฮ่องเต้ที่อยู่ในบ่อน้ำร้อนหลับตาลง ไม่รู้ว่าหมาป่าสองตัวที่กำลังหลับอยู่ในตอนแรกได้ยินอะไรเข้า จู่ๆ พวกมันก็ลุกขึ้น แววตามีความระแวดระวังและดุร้าย หลังจากผ่านไปสักพักความระแวดระวังนั้นก็หายไปอย่างประหลาด แล้วหมอบลงกับพื้นอีกครั้ง
เสียงน้ำกระเพื่อม กู้หยวนไป๋รู้สึกสบายเป็นที่สุด ขณะหลับตาอยู่นั้น จู่ๆ เสียงหญ้าสวบสาบก็ดังขึ้น เขากำลังจะหันไปทว่ากลับมีคนเอามือมาปิดตาบดบังการมองเห็นของเขาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เรียกเขาอยู่ด้านหลัง “ฝ่าบาท”
น้ำเสียงเหมือนกับคนพูดไม่ได้ที่เพิ่งออกเสียงได้
กลิ่นคาวเลือด กลิ่นฝุ่นดิน
ลมหายใจของกู้หยวนไป๋หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มือนี้ร้อนมาก ร้อนจนเปลือกตาของกู้หยวนไป๋ร้อนตามไปด้วย คนด้านหลังเข้ามาใกล้เขาเพียงนี้ ทว่าหมาป่าสองตัวนั้นกลับไม่ส่งเสียงเลย นี่มันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าบุคคลนี้คือเซวียหย่วน
ทว่าเซวียหย่วนอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือ
ตามหลักเหตุและผล เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทว่าปากกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “เซวียจิ่วเหยา เจ้าช่างบังอาจเหลือเกิน”
ผ่านไปเนิ่นนานไม่มีใครพูดอะไร ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล ในขณะที่กู้หยวนไป๋สังหรณ์ใจไม่ดีและกำลังจะขมวดคิ้วนั้น จู่ๆ คนด้านหลังก็หัวเราะ โน้มร่างต่ำแล้วกระซิบข้างหูกู้หยวนไป๋ “ท่านยังจำข้าได้”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็กระโดดเข้าไปในบ่อน้ำ ฝุ่นผงธุลีทั่วร่างกายผสมปนเปกับน้ำร้อน ทว่าสองมือที่ปิดตากู้หยวนไป๋นั้นยังคงไม่คลายออก
หลังจากที่กู้หยวนไป๋รู้ว่าเป็นเขาแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกเบาๆ จนแทบมองไม่ออก ทว่าเพลิงทะมึนจางๆ ก็ลุกขึ้นอีกครั้ง เขายกเท้าขึ้นและเตะไปในทิศทางที่น้ำกระเพื่อมไหว
เท้าเปลือยเปล่าถูกคนคว้าเอาไว้ได้ มือหยาบและร้อนกุมมันไว้อย่างแน่นหนา ระลอกคลื่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งเข้ามาใกล้กู้หยวนไป๋แล้ว กู้หยวนไป๋ยื่นมือต้องการที่จะคลายมือของเซวียหย่วนที่ปิดตาตัวเองออก แต่มันเหมือนกับแขนเหล็กที่ไม่ขยับแม้สักนิด
“ฝ่าบาท” ดูเหมือนว่าเซวียหย่วนกำลังหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงของเขาน่าเกลียดเกินไปราวกับยังคงเจือด้วยเม็ดทรายที่หนักอึ้ง เสียงหัวเราะก็ดูประหลาด “ทันทีที่ข้าเข้านครหลวงก็ได้ยินว่าท่านมาที่นี่ ทั้งยังได้ยินว่าท่านจะรับสนมด้วย”
มือของเขาเริ่มถูไถช้าๆ ช่างเหมือนกับก้อนหินเสียเหลือเกิน “สตรีนางนั้นเป็นผู้ใด”
แรงอาฆาตก่อตัวขึ้นอย่างลับๆ ไม่ว่าเขาจะซ่อนเร้นความเกลียดชังในน้ำเสียงได้ดีเพียงใด ก็ยังมีสัญญาณของมันออกมาให้เห็น
เมื่อกู้หยวนไป๋มองไม่เห็นหูจึงไวต่อการได้ยินมากขึ้น เขาฟังออกว่าน้ำเสียงของเซวียหย่วนยิ่งหยาบขึ้นทุกที รู้สึกได้ว่าเซวียจิ่วเหยาในเวลานี้ผิดปกติ เปลือกตาของเขาเต้นกระตุกสองสามครั้ง “ปล่อยเจิ้นเดี๋ยวนี้”
มือของเซวียหย่วนกลับแน่นกว่าเดิม
“เซวียจิ่วเหยา คำพูดของเจิ้นเจ้าก็ได้ยินชัดเจนแล้วแต่กลับไม่ทำ เจิ้นยังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าเจ้าโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร” สีหน้าของกู้หยวนไป๋เย็นชา ออกแรงพยายามที่จะชักขากลับ “เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เชื่อฟังอย่างนี้”
คำพูดนี้เป็นเหมือนกับดาบที่หมายจะจ้วงแทงสัตว์ร้าย คมดาบที่แหลมคมแทงเข้าจุดสำคัญ จู่ๆ เซวียหย่วนก็พรวดพราดเข้ามาใกล้อีกจนน้ำสาดกระเซ็น กดกู้หยวนไป๋เข้าชิดริมบ่อท่ามกลางเสียงน้ำกระเพื่อมไหว คลื่นน้ำลูกใหญ่จากบ่อน้ำซัดเข้าหาฝั่ง น้ำที่อยู่ข้างหลังดันไปยังด้านหน้าของเซวียหย่วนเป็นระลอกๆ
เขายังคงปิดตาของกู้หยวนไป๋ อดที่จะขบฟันกับเนื้อในปากไม่ได้ “ข้ายังไม่เชื่อฟังอีกหรือ ยังเชื่อฟังไม่พออีกหรือ!”
กลิ่นเลือดหนักหน่วงผสมกับกลิ่นกำมะถันพุ่งปะทะเข้ามา คลื่นน้ำก็ซัดสาดใบหน้าของกู้หยวนไป๋เช่นกัน ความสงบนิ่งบนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ถูกทำลายลง เขากระชากเสื้อของเซวียหย่วน ดึงอีกฝ่ายเข้ามาเบื้องหน้า ขมับเต้นตุบๆ สีหน้าน่าเกลียด “เจ้าเป็นบ้าอะไร! อย่างนี้เรียกว่าเชื่อฟังหรือ”
“ท่านก็กำลังจะรับสนมเข้าวังแล้วเช่นกัน! กำลังจะแต่งภรรยาแล้ว” ดวงตาของเซวียหย่วนแดงก่ำ มือที่บีบคางของกู้หยวนไป๋อยู่สั่นเทา พยายามควบคุมแรง “จนป่านนี้แล้ว ท่านยังต้องการให้ข้าเชื่อฟัง ท่านยังรังเกียจที่ข้าใจเย็นไม่พออีกหรือ อะไรที่เรียกว่าเชื่อฟัง มองดูท่านแต่งภรรยา มองดูสนมสามพันนางในวังของท่าน จากนั้นก็มองดูท่านตายอยู่บนเตียงท่ามกลางหมู่พวกนางหรือ!”
ลมหายใจหอบกระทบอยู่บนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เองก็หายใจถี่รัว ปวดศีรษะตุบๆ หัวใจเต้นระรัวด้วย เขาปล่อยเซวียหย่วน สูดหายใจเข้าลึกสองสามรอบ จากนั้นก็ดูเหมือนจะสงบลงมาได้แล้ว “ไสหัวกลับไป”
เขาพยายามคงสติไว้ให้มากที่สุดและสงบลมหายใจลง “ไสหัวเจ้ากลับไปที่ชายแดนเสีย”
เซวียหย่วนมองดูสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา พลันกำหมัดแน่นและต่อยพื้นด้านข้างกู้หยวนไป๋อย่างแรง
ลมหายใจของกู้หยวนไป๋สงบลงแล้ว เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าจะรับสนมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรเข้ามาขวางหรือสร้างปัญหาต่อหน้าข้า” กู้หยวนไป๋พูดไปพูดมาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าจะเอาอย่างไร คิดจะทำอะไร เหตุใดถึงได้โอหังเพียงนี้!”
กู้หยวนไป๋เป็นคนร่างกายอ่อนแอที่แม้แต่อารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองก็จำต้องควบคุม เขาพยายามอย่างหนักเพื่อข่มมันไว้ เซวียหย่วนไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงกระซิบเสียงต่ำด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าปกป้องหลังของตัวเองตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบ กลัวว่าเมื่อข้ากลับมาแล้ว แผ่นหลังจะเต็มไปด้วยรอยแผลทำให้ท่านไม่สามารถฝากรอยเล็บไว้ได้”
เหตุใดข้าต้องฝากรอยเล็บไว้บนแผ่นหลังของเจ้าด้วย
กู้หยวนไป๋โมโหถึงขีดสุด ในขณะที่กำลังเย้ยหยัน เซวียหย่วนกลับคว้ามือของเขาแล้ววางมันไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย เอ่ยว่า “ท่านลองจับหัวใจของท่านดู”
มือของกู้หยวนไป๋ถูกเขากดเอาไว้และวางซ้อนทับกันบนหน้าอกซ้ายของตน ทว่ากลับมีบางอย่างโผล่ออกมาจากหว่างนิ้วเรียวยาวของกู้หยวนไป๋และถูไถอยู่บนฝ่ามือของเซวียหย่วน เซวียหย่วนเผยสีหน้าสงสัย ความประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาที่แห้งเหือด
สีหน้าของกู้หยวนไป๋เปลี่ยนสลับไปมา “เซวียจิ่วเหยา!”
เซวียหย่วนรู้สึกคันที่ฝ่ามือ ปลายจมูกก็คันเช่นกัน ความอิจฉาและความหึงหวงบ้าคลั่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างจากการจู่โจมครั้งนี้ เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าเพียงต้องการให้ท่านสัมผัสมโนธรรมของตัวเอง ไม่ได้คิดจะสัมผัสท่าน”
กู้หยวนไป๋เยาะเย้ยเย็นชา แม้ว่ารอบกายจะไร้ผู้คน แม้ว่ามือของเขาไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ทว่าท่าทางกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้อื่นแม้แต่น้อย “ฮึ”
จู่ๆ เซวียหย่วนก็ร้องขอด้วยเสียงต่ำว่า “กู้เหลี่ยน ให้ข้าจูบสักที”
กู้หยวนไป๋เม้มปาก สีของริมฝีปากงดงามยิ่งท่ามกลางบ่อน้ำร้อน
เขาไม่ได้ปฏิเสธทว่าก็ไม่ได้ยินยอม ราวกับว่าความแข็งกระด้างบนใบหน้าของเขาถูกไอร้อนหลอมละลายภายใต้ไอน้ำที่ลอยละล่องนี้ เซวียหย่วนเข้ามาใกล้ด้วยความลุ่มหลง ปลายจมูกแตะกัน ริมฝีปากอยู่ใกล้ในระยะที่สัมผัสกันได้เมื่ออ้าปากพูด
เซวียหย่วนเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านจะรับสนมเข้าวังหรือ”
คำพูดแต่ละประโยคดังใกล้ราวกับว่าริมฝีปากจะประกบเข้าหากันแล้ว
กู้หยวนไป๋เย็นชาไม่เคลื่อนไหว แม้แต่การพ่นลมหายใจก็มั่นคง “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
นี่เป็นสิ่งที่เซวียหย่วนชอบพูด บัดนี้ลมหายใจของเซวียหย่วนสับสนแล้ว เขาหัวเราะ “อย่ารับสนมเลย พระวรกายของฝ่าบาทไม่ดี ทนสตรีไม่ไหวหรอก”
กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าก็จะไม่แต่งภรรยาและจะไม่มีสตรี” เซวียหย่วนเปี่ยมไปด้วยไอร้อน หยดน้ำเกาะแน่นอยู่บนคิ้วทรงดาบของเขา “พวกเราพึ่งพากันและกัน ข้าจะดีกับท่าน ทำให้ท่านได้สบายตัว ข้าจะเบามือกับท่านที่สุดดีหรือไม่”
น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋ก็ลดต่ำลงเช่นกัน “ไสหัวไป”
“ข้าไม่ไสหัวไปใดทั้งนั้น” เซวียหย่วนโน้มตัวเข้าไปใกล้ ร่างกายกดต่ำลง ร่างกายแข็งแรงและทรงพลังนั้นราวกับหมาป่าดุร้าย ทั่วทั้งร่างร่ำร้องต้องการจะเข้าใกล้ ต้องการที่จะได้รับความรัก “ท่านไม่เชื่อคำพูดข้าหรือ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มเยาะ ทว่าถูกเซวียหย่วนดึงมือไปสัมผัสความร้อนบนเสื้อคลุมที่เปียกโชกของเขา
“ข้าคิดถึงท่าน คิดถึงอย่างทรมาน ปวดหัว เลือดร้อน ต้องการสังหารคน” มือข้างหนึ่งของเซวียหย่วนยังคงไม่ลดลงผละจากดวงตาของกู้หยวนไป๋ “ท่านต้องการเฉือนมัน เพียงออกแรงก็สามารถทำให้ขาดได้แล้ว ข้ารู้ว่าข้าล้ำเส้น ไร้ซึ่งกฎระเบียบ ไม่เป็นที่โปรดปรานของท่าน แต่กู้หยวนไป๋ ข้าชอบท่านมากเกินไป ข้าไม่อยากเป็นอย่างนี้ทันทีที่เห็นท่าน ทว่าข้าควบคุมตัวเองไม่ได้”
“ข้าก็ไม่อยากเป็นสัตว์ร้ายที่ติดสัด อยากมีท่าทางของคุณชายเหมือนกับฉู่เว่ย” เซวียหย่วนหายใจรดต้นคอกู้หยวนไป๋ ดูดดึงลูกกระเดือกของกู้หยวนไป๋แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ทว่าทำอย่างไรได้ ทันทีที่ข้าคิดถึงท่านก็ข่มมันไว้ไม่อยู่แล้ว ข้าเดินทางมาสิบห้าวัน เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน สิบห้าวันจากชายแดนเหนือถึงนครหลวง เดิมทีข้าเพียงต้องการถามว่าท่านจะแต่งสนมจริงหรือไม่ก็เท่านั้น”
เซวียหย่วนปล่อยมือที่กดกู้หยวนไป๋ไว้ เพื่อไปปรนนิบัติเขาที่ยังคงถูกปิดตาด้วยทักษะอันยอดเยี่ยม
“ข้าเชื่อฟัง เชื่อฟังเป็นที่สุดแล้ว” เซวียหย่วนยิ้มกว้าง เงยหน้าขึ้นจูบกู้หยวนไป๋ “แม้องค์เหนือหัวจะเห็นข้าเป็นสุนัข ทว่าจะเรียกให้ข้ามาและไปตามใจชอบเช่นนี้ไม่ได้”
พื้นที่ของทั้งสองคนดูเหมือนจะเป็นเพียงของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีฮ่องเต้หรือขุนนาง มีเพียงคนสองคนที่เป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์
ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็พูดออกมา ลมหายใจของเขาเริ่มสงบลง เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาว มันเรียวงามราวกับกวางที่กำลังจะหมดลม ลูกกระเดือกเกลือกกลิ้งอยู่บนนั้น หยดน้ำเย้ายวนไหลลงมา “เจ้าน่ะหรือเชื่อฟัง ฮึ”
เซวียหย่วนยื่นปากเข้ามาเลียหยดน้ำ กู้หยวนไป๋ยื่นมือออกไป ออกแรงคว้าเส้นผมของเซวียหย่วนไว้แล้วออกคำสั่ง “ก้มหน้าลง”
ทว่าเซวียหย่วนยังคงใช้มืออยู่ “ตอนนี้ยังก้มหน้าไม่ได้ ยังไม่สามารถปล่อยมือให้ท่านเห็นข้าได้”
โทสะจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู้หยวนไป๋
เซวียหย่วนเอ่ย “เพราะว่าตอนนี้ข้าน่าเกลียดเกินไป อาจทำให้ท่านตกใจได้ จะให้ท่านเห็นไม่ได้”
หลังจากกู้หยวนไป๋ผ่อนคลายลงแล้ว เซวียหย่วนก็ใช้มือข้างเดียวกันบีบคางของกู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง และจูบอย่างดุเดือด เสียงจูบดังขึ้น เมื่อจูบเสร็จแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านยังไม่ชอบข้า แต่ก็ไม่เป็นไร”
เสียงหัวเราะของเขาครั้งนี้น่าฟังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ
“กู้เหลี่ยน ข้ามีเวลาอยู่กับท่านได้ทั้งชีวิต”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN