everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 137-138 #นิยายวาย
บทที่ 138
ตกกลางคืน กู้หยวนไป๋ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง เพราะว่าเขามีไข้เล็กน้อย
หมอหลวงกล่าวว่าเขาสามารถหลับนอนกับผู้อื่นได้ภายในครึ่งเดือน เซวียหย่วนก็ระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อที่จะไม่ไปทำร้ายอีกฝ่าย ทว่าร่างกายของฮ่องเต้ก็ยังไม่สามารถต้านทานความสุขที่เจาะทะลุถึงกระดูกได้ กู้หยวนไป๋ถูกบังคับให้กินยาและนอนพักอยู่บนเตียง
เพื่อปลอบประโลมเขา เซวียหย่วนก็เผยแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการขีดข่วนของเขาให้เห็น
ฮ่องเต้ไม่ซาบซึ้งเท่าไรนัก มองค้อนแม่ทัพเซวียผู้จงรักภักดีคราหนึ่งแล้วหลับตาพักผ่อน
สามวันต่อมากู้หยวนไป๋จึงสามารถลุกออกจากเตียงได้ เขาถูกเถียนฝูเซิงโน้มน้าวอย่างลับๆ อยู่หลายครั้ง “ฝ่าบาท จะไม่ใส่ใจพระวรกายเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นี่มันทำร้ายพระวรกายเกินไปแล้ว”
ขันทีเฒ่าไม่ได้ทำเพียงเท่านี้ ทั้งยังจงใจพูดเสียดสีต่อหน้าเซวียหย่วนว่าเขาเกาะแกะมากเกินไป ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยการติเตียน กู้หยวนไป๋อดไม่ไหว นอนฟุบอยู่บนโต๊ะพร้อมกับหัวเราะจนแผ่นหลังสั่นสะท้าน
เซวียหย่วนยืนอยู่ข้างๆ กวาดตามองเถียนฝูเซิงด้วยความเย็นชา มือลูบไปตามหลังของฮ่องเต้เบาๆ
ผ่านไปอีกหลายวัน กู้หยวนไป๋ก็ได้รับสาส์นมาจากฮ่องเต้แคว้นซีซย่า
ฮ่องเต้แห่งซีซย่าองค์ปัจจุบันก็คืออดีตองค์ชายสอง ซึ่งก็เป็นองค์ชายขี้ขลาดที่ถูกกู้หยวนไป๋หักขา
ประโยคที่หลี่อั๋งอี้เขียนมาแฝงด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
‘จดหมายที่ท่านเขียนให้เสด็จพ่อข้า ทำให้ชีวิตข้าในช่วงนั้นยากลำบากอย่างแท้จริง’
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดตรงๆ เช่นนี้ เพียงแต่ว่ามันมีความหมายเช่นนี้อยู่ในรายละเอียด หลังจากอ่านสาส์นจบแล้ว สีหน้ากู้หยวนไป๋ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น มองเห็นการหยั่งเชิงมากมายขององค์ชายสองแห่งซีซย่าในสาส์นนั้น
หลี่อั๋งอี้รับรู้เรื่องสงครามทางทะเลระหว่างฝูซังและต้าเหิงแล้ว เขาวางแผนที่จะลงมือแล้วหรือ
กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดทั้งคืน เวลาเข้านอนก็เฝ้าคิดแต่เรื่องขององค์ชายสองแห่งซีซย่า ครั้นเซวียหย่วนปีนขึ้นเตียงก็ถูกเขาถีบลงไป “บัดนี้เจิ้นไม่มีอารมณ์”
เซวียหย่วนดื้อดึงที่จะปีนขึ้นไป กอดเขาไว้ในอ้อมแขนแต่ก็ถูกถีบและทุบตีอยู่หลายรอบ แต่ก็รับไว้ได้ทุกครั้ง “ฝ่าบาทบอกกระหม่อมเถิดว่าใครทำให้ท่านไม่มีอารมณ์ กระหม่อมจะไปสังหารเขาเดี๋ยวนี้”
“ถ้าเช่นนั้น” กู้หยวนไป๋ชี้เขา “เจ้าก็คือลำดับแรก”
เซวียหย่วนดูดดึงนิ้วของเขา ยิ้มอย่างมีมารยาท “ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีที่จะรับโทษจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมจะคุกเข่าไม่ขยับเขยื้อน” เซวียหย่วนกระตือรือร้นที่จะลอง พลันนึกถึงวันนั้นบนรถม้า “ฝ่าบาท ขาของกระหม่อมมีแรง ท่านสามารถยืนอยู่บนนั้นแล้วจับไหล่ของกระหม่อมไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยังคงไม่ไหวติง เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เซวียจิ่วเหยา เจ้าลองพูดมากกว่านี้อีกสิ”
เซวียหย่วนหุบปากแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายกู้หยวนไป๋ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “ข้ากำลังนึกถึงฮ่องเต้แห่งซีซย่า”
เซวียหย่วนหัวเราะเยาะด้วยเสียงหนึ่ง “ข้าจำได้ องค์ชายสองที่ถูกข้าทำร้ายจนขาหักผู้นั้น”
“ใช่” กู้หยวนไป๋เอ่ยช้าๆ “ไม่นานจากนี้จะต้องเกิดสงครามที่ชายแดนซีเป่ยกับซีซย่าเป็นแน่ ถึงตอนนั้น ข้าวางแผนที่จะนำทัพไปพิชิตด้วยตนเอง”
เซวียหย่วนกระชับแขนที่โอบกู้หยวนไป๋ให้แน่นขึ้น
กู้หยวนไป๋เม้มปาก หันไปเผชิญหน้ากับเขา อธิบายว่าเหตุใดตนจึงตัดสินใจที่จะไปพิชิตด้วยตัวเองให้เซวียหย่วนฟังโดยละเอียด “บัดนี้สถานการณ์ภายในมั่นคง ท้ายที่สุดแล้วชัยชนะทางทะเลนั้นห่างไกลจากภายในแคว้นยิ่ง ตอนที่ข้าทำการต่อต้านการทุจริต ครั้งหนึ่งก็เคยคิดที่จะใช้ชัยชนะเพื่อกระจายอำนาจ ขุนนางท้องถิ่นอยู่ไกลฮ่องเต้ ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้เรียกได้ว่าอ่อนแอมากสำหรับพวกเขา ข้าเคยคิดที่จะบอกเจ้าเรื่องนี้ ตอนนั้นเจ้าบอกกับข้าว่ายิ่งแม่ทัพมีเกียรติมาก เหล่าทหารก็จะเชื่อมั่นและเชื่อฟัง”
เซวียหย่วนสูดหายใจลึกแล้วพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉะนั้นข้าจำเป็นจะต้องชนะให้ได้เพื่อปราบปรามและทำให้ซีเป่ยสั่นคลอน ชัยชนะในชายแดนตอนเหนือนั้นยังใช้ไม่ได้ ชัยชนะที่ยึดครองดินแดนแห่งสวรรค์ได้ยังไม่บรรลุระดับการสั่นคลอนที่ข้าต้องการ” กู้หยวนไป๋กล่าวอย่างกระชับ “ข้ามั่นใจในชัยชนะต่อซีซย่าเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจละทิ้งโอกาสในการเข้าไปพิชิตด้วยตัวเองในครั้งนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น” กู้หยวนไป๋นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “หลังจากสงครามซีซย่าแล้ว ข้าตั้งใจที่จะปรับปรุงสำนักศึกษา มีเพียงการนำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะเท่านั้น คนเหล่านั้นจึงจะกลัวผลที่ตามมาจากชัยชนะของข้า และจะหลีกเลี่ยงข้าอย่างต่อเนื่องด้วยความขลาดกลัว”
“ถึงตอนนั้น ข้าก็จะสามารถฉวยโอกาสนี้ทำการปรับปรุงสำนักศึกษาให้สำเร็จได้ในคราวเดียว”
กฎที่อยู่ในใจของกู้หยวนไป๋ผุดขึ้นมาทีละอย่าง หากร่างกายของเขาไม่อาจรักษาให้หายได้ เขาย่อมไม่เลือกที่จะนำทัพด้วยตนเอง เพราะเขาอาจจะทนต่อการเดินทางระยะแสนยาวไกลไม่ได้ ทว่าบัดนี้ทุกอย่างต่างออกไป มันมีวิธีที่จะทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น ความทะเยอทะยานของกู้หยวนไป๋ก็เริ่มเผาไหม้ไปตามร่างกายเขา ขณะที่เขากล่าวประโยคเหล่านี้ก็คล้ายมีแสงไฟวูบวาบในดวงตา
น่าลุ่มหลง แพรวพราว ชวนให้หัวใจเต้นแรง
เซวียหย่วนก้มหน้าลงทันใด กุมใบหน้าของกู้หยวนไป๋ให้มองตาของตัวเอง
กู้หยวนไป๋นิ่งอึ้ง ถ้อยคำขาดห้วงกะทันหัน นัยน์ตาที่มีความสับสนสะท้อนดวงหน้าของเซวียหย่วน
“ฝ่าบาท” เซวียหย่วนกล่าวเสียงต่ำ “คุยกันแล้วว่าไม่ว่าท่านจะไปที่ใดก็จะพากระหม่อมไปด้วย”
มุมปากของกู้หยวนไป๋อดที่จะยกขึ้นไม่ได้ เขาสัมผัสลูกกระเดือกของเซวียหย่วน ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเด็กดี หากเชื่อฟังเจิ้นก็จะพาเจ้าไป”
“…” เซวียหย่วนทอดถอนใจ “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็เชื่อฟังอยู่เสมอ ถึงตอนนั้นหากเชื่อฟังมากกว่านี้ กระหม่อมจะต้องตายเป็นแน่”
ริมฝีปากของกู้หยวนไป๋อ้าออก ยังไม่ทันพูดอะไร เซวียหย่วนก็ถามอย่างจริงจัง “ท่านรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบจริงหรือ”
“ชอบ” กู้หยวนไป๋ก็กล่าวไปตามตรง “เพียงแต่เจ้าทรมานข้าเกินไป มือก็หยาบกร้านไปหน่อย”
“ให้ตายเถอะ” เซวียหย่วนสบถออกมาเบาๆ รีบพูดขึ้น “ฝ่าบาทเลิกตรัสได้แล้ว กระหม่อมจะกลายร่างเป็นสัตว์อีกแล้ว”
กู้หยวนไป๋ “…”
ทั้งสองคนวุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง จงใจเย้าหยอกกัน จากนั้นก็นอนกอดกัน ครั้นถึงกลางดึกเซวียหย่วนก็สะดุ้งตื่น เขาหายใจหอบ หน้าผากกดอยู่บนหน้าผากของกู้หยวนไป๋ รู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ความรู้สึกหายใจไม่ออกในความฝันยังคงติดค้างอยู่ในใจ
เขาฝันร้ายเช่นเดิมอีกครั้ง
ระหว่างที่กู้หยวนไป๋ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น คล้ายสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของเขา จึงยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณแล้วโอบศีรษะของเซวียหย่วนไว้แน่น “นายท่านอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
เซวียหย่วนถูกกดไว้ในอ้อมอกของกู้หยวนไป๋ เบิกตากว้าง หลังจากอึ้งไปพักหนึ่งก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
ภูผาพังทลาย แผ่นดินแตกแยกในความฝัน ฉากอันน่าสะพรึงกลัวในฝุ่นละอองที่ล่องลอย ค่อยๆ สลายหายไป
สิบกว่าวันต่อมา กองทัพซีเป่ยก็ได้กลับขึ้นชายฝั่งและมาถึงซีเป่ยแล้ว ทั้งยังมีฎีกามาจากแนวหน้ารายงานว่าทหารในซีซย่ากำลังรวมตัวกัน เกรงว่าจะโจมตีต้าเหิงจากแนวหลัง
ในการประชุมราชสำนักตอนเช้า กู้หยวนไป๋ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาจะนำทัพด้วยตัวเอง
เกิดความโกลาหลขึ้นในท้องพระโรง
ขุนนางคนแล้วคนเล่าออกมาห้ามปราม คุกเข่าอ้อนวอนพร้อมกับน้ำตาซึม หลังจากเลิกประชุมก็จับกลุ่มกันสองสามคนเพื่อไปโน้มน้าวในตำหนักเซวียนเจิ้งอย่างต่อเนื่อง
ทว่าฮ่องเต้ได้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่สามารถนำเรื่องปฏิรูปสำนักศึกษามาโน้มน้าวทุกคนได้ ดังนั้นจึงบอกเหตุผลเป็นรายบุคคลไป ตอนนี้เป็นเวลาสิบปีและกำลังจะย่างเข้าปีที่สิบเอ็ดแล้วที่ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงทั้งสองรัชสมัยไม่เคยนำทัพด้วยตัวเอง ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ค่อยๆ ถูกละเลยไป โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในสายตาของกู้หยวนไป๋ เขาจะพลาดมันไม่ได้เด็ดขาด
คนที่โน้มน้าวได้ก็ถูกฮ่องเต้โน้มน้าวแล้ว ผู้ที่โน้มน้าวไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับโน้มน้าว สมาชิกครึ่งหนึ่งในราชสำนักเป็นผู้สนับสนุนที่แสนจงรักภักดี พวกเขาเต็มใจที่จะถอยหนึ่งก้าว แต่ก็ยังมิวายเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้
กู้หยวนไป๋ใช่ว่าไม่รับฟังคำชี้แนะของขุนนาง เหล่าขุนนางกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเขา แม้ว่ากู้หยวนไป๋จะมีความมั่นใจเพียงพอ ก็ต้องรับรองความปลอดภัยให้แก่เหล่าขุนนางเช่นกัน
ผ่านไปสองวันเขาได้เลือกเด็กห้าคนจากตระกูลที่เป็นเชื้อพระวงศ์เข้าวังหลวง
บรรดาเชื้อพระวงศ์คล้ายรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างเลือนราง ด้วยเหตุนี้จึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก กำชับเด็กๆ หลายครั้งหลายคราว่าให้เคารพฮ่องเต้ ทั้งยังให้ความเคารพอย่างใกล้ชิดประหนึ่งเป็นบิดามารดาของตน ต้องรู้ประสารู้มารยาท ห้ามงอแงเป็นอันขาด
เด็กทั้งห้าถูกสั่งสอนจนรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ระหว่างทางเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเด็กที่ไม่เชื่อฟัง
อย่างไรก็ดี ฮ่องเต้กลับมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เพียงแต่พาพวกเขาไปเยี่ยมชมอุทยานดอกไม้ ยังรั้งให้พวกเขาอยู่กินอาหารค่ำ ระหว่างอาหารค่ำก็ล้วนเป็นอาหารที่เหมาะสมกับเด็กๆ ทั้งสิ้น
เด็กทั้งห้าคนค่อยๆ ผ่อนคลายลง ทั้งยังแสดงความมีชีวิตชีวาระหว่างที่พูดคุยกับฮ่องเต้ ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาควรจะออกจากวัง ฮ่องเต้ก็พระราชทานรางวัลให้พวกเขามากมาย มองดูพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้ม
เด็กๆ หอบของพระราชทานมากมาย จูงมือข้ารับใช้จากไปพร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อ ความปีติยินดีก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ข้ารับใช้เก็บชามและตะเกียบ เถียนฝูเซิงยกน้ำชามาให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาทคิดว่าคุณชายน้อยเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
วันต่อมาเด็กอีกห้าคนจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ก็เข้าวัง ครั้งนี้กู้หยวนไป๋กำลังรออยู่ที่ศาลาในอุทยานดอกไม้แล้ว ศาลาถูกผ้าโอบล้อมโดยรอบ ไฟจากกระถางไฟลุกโชน อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ
ขณะที่เด็กๆ มาถึงนอกศาลา กู้หยวนไป๋ชักมือออกจากมือของเซวียหย่วนพลางเคี้ยวกลีบดอกไม้เหนียวหนึบที่อยู่ในปาก “วันละครึ่งถุง มากกว่านี้ไม่ได้”
เซวียหย่วนฉวยโอกาสนี้นับกลีบดอกไม้ กล่าวอย่างทุกข์ระทม “ฝ่าบาท กระหม่อมเหลือกลีบดอกไม้แห้งเพียงสามถุงครึ่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง “เจิ้นได้ให้กลีบดอกไม้ตากแห้งแก่เจ้าไปมากกว่าพันดอก!”
เซวียหย่วนจุปากด้วยเสียงหนึ่ง “น้อยลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเสียงภายนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้หยวนไป๋ก็สั่งให้เซวียหย่วนออกไป เซวียหย่วนเลิกผ้าฝ้ายผืนหนาขึ้น หลังจากเดินออกไปก็สบสายตากับเด็กน้อยคนหนึ่งเข้า เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูคุ้นหน้า เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าเซวียหย่วนกำลังมองตนก็คำนับอย่างสุภาพ
แปลกเหลือเกิน เด็กในวังของเชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น มีเพียงขุนนางที่มีตำแหน่งโหวหรือคนในราชสกุลเท่านั้นที่จะคำนับตามลำดับอาวุโสและตำแหน่ง ทว่าเซวียหย่วนมิใช่เชื้อพระวงศ์ และไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เขาเลิกคิ้ว ก้าวไปเบื้องหน้ามองลงไปที่เด็กคนนี้ “เจ้ารู้จักข้ารึ”
“ข้าบังเอิญเห็นวันที่เหล่าแม่ทัพกลับนครหลวงพอดี” เด็กน้อยเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ท่านแม่ทัพกล้าหาญยิ่งยวด ชวนให้น่าใฝ่หาไม่รู้จบ”
ปากพูดว่าน่าใฝ่หา ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยยิ่ง เขาดูเหมือนอายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น ทว่าสามารถกล่าวคำเยินยอโดยหน้าไม่แดงและปราศจากความตื่นเต้นเช่นนี้ นับว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
เขามองเห็นร่องรอยการเลียนแบบเงาของฮ่องเต้ในเด็กคนนี้หลายส่วน เซวียหย่วนยกยิ้มมุมปาก จงใจกล่าวว่า “ฝ่าบาทก็เคยตรัสเช่นนี้กับข้า”
เด็กน้อยเงยหน้าพรวด แสดงอาการประหลาดใจ เขาระมัดระวังแต่ก็ไม่อาจข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย “ฝ่าบาทก็ชมท่านแม่ทัพเช่นเดียวกับข้าหรือ”
“ฝ่าบาทก็ชมว่าข้ามีความกล้าหาญยิ่งยวด” เซวียหย่วนกล่าวอย่างมีนัยแอบแฝง “ให้ข้าอย่าได้หย่อนยานและปีนสู่จุดสูงสุดขึ้นไปอีก”
เด็กน้อยฟังวาจาสกปรกของเซวียหย่วนไม่ออก เขาเพียงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเองได้พูดแบบเดียวกันกับฮ่องเต้ ยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดอย่างเชื่องช้าอีกครั้งว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย มันก็เป็นเช่นนี้ ท่านจะต้องปีนสู่จุดสูงสุดด้วยความกล้าหาญ”
เด็กคนนี้ชื่นชอบกู้หยวนไป๋อย่างแท้จริง
เซวียหย่วนเห็นว่ามันสมเหตุสมผลยิ่ง กู้หยวนไป๋ประเสริฐเพียงนั้น การที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะเคารพเขาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา นี่ยังไม่พอ ทุกคนทั่วหล้าก็ควรจะเคารพรักกู้หยวนไป๋เช่นนี้
ทว่ากู้หยวนไป๋เป็นของเขาได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เดิมทีนึกว่าได้ใกล้ชิดกันครั้งหนึ่งแล้วจะหยุดความปรารถนาและความกระหายได้ชั่วคราว ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เซวียหย่วนยิ่งหลงใหลในตัวกู้หยวนไป๋มากขึ้นทุกที หลงใหลถึงขั้นอาจสูญเสียจิตวิญญาณได้เพียงชั่วพริบตา กู้หยวนไป๋เพียงกระดิกนิ้ว หัวใจของเซวียหย่วนก็เต้นรัวเหมือนตีกลอง นี่มันดีกว่าในอดีตตรงที่ใด เห็นได้ชัดว่าอาการหนักหนากว่าในอดีตเสียอีก
ความทะเยอทะยานของหมาป่าถูกปกปิดไว้ เซวียหย่วนหลีกทางให้ลูกหลานเชื้อพระวงศ์เข้าไปในศาลา
ทันทีที่เด็กทั้งห้าคนเข้ามา ฮ่องเต้ก็วางตำราในมือลง มองไปยังพวกเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “หนาวหรือไม่”
เด็กๆ หน้าแดง ส่ายหน้าอย่างระมัดระวัง กู้หยวนไป๋ให้พวกเขาเข้ามาข้างหน้า ถวายการคำนับทีละคน ขณะที่หนึ่งในพวกเขาเรียกว่า ‘เสด็จอา’ ออกมานั้น กู้หยวนไป๋ก็ตกตะลึงทันใด “เจิ้นเคยเห็นเจ้าที่ใดหรือไม่”
เด็กน้อยผู้จริงจังทำความเคารพกู้หยวนไป๋ ทว่าหูกลับแดงก่ำแล้ว “เสด็จอา หลานชายเคยพบท่านในวังฤดูร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋นึกออกแล้ว
ขณะที่เขาถูกเซวียหย่วนจูงมายังหน้าห้องบรรทมของหวั่นไท่เฟย มีเด็กคนหนึ่งในบรรดาลูกหลานของเชื้อพระวงศ์อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เสด็จอามาแล้ว!”
ก็คือเด็กคนนี้นี่เอง
กู้หยวนไป๋นึกถึงหวั่นไท่เฟยขึ้นมา ข่มความเศร้าโศกไว้ รอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เขาลูบๆ ศีรษะของเด็กคนนี้ “เจ้ามีนามว่าอะไร”
เด็กน้อยพยายามข่มตัวเองให้สงบนิ่ง “เสด็จอา หลานมีนามว่ากู้หรานพ่ะย่ะค่ะ”
“กู้หราน” กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มเอ่ย “เป็นนามที่ดี”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 26 ก.ย. 65