everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 139-140 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 139
กู้หยวนไป๋ต้องการจะเลือกเด็กคนหนึ่งจากราชสกุลมาเลี้ยงดู โดยพิจารณาถึงอุปนิสัย อายุ หน้าตา ดวงชะตา กระทั่งดูว่าเขาจะสามารถมีชีวิตยืนยาวหรือไม่
กู้หยวนไป๋มองสำรวจเด็กน้อยทีละคน ทั้งยังลองตรวจสอบบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเช่นกัน ฮ่องเต้มิใช่คนเลอะเลือน หากพวกเขามีความคิดอันละโมบน่าขยะแขยง กู้หยวนไป๋ก็ไม่รังเกียจที่จะล้างมันด้วยเลือดอีกครั้ง
ฉากที่ทหารรักษาพระองค์ในชุดเกราะสีดำข่มขู่วังของเชื้อพระวงศ์ยังคงทิ้งความพรั่นพรึงที่หยั่งรากลึกให้กับพวกเขา พวกเขาส่งลูกหลานเข้ามาอย่างซื่อสัตย์และอยู่ในกรอบระเบียบ จากนั้นก็มารับกลับไป
สิบวันต่อมา กู้หยวนไป๋มีราชโองการให้กู้หราน หลานของรุ่ยอ๋องเข้ามาพำนักในตำหนักชิ่งเป็นการชั่วคราว
ตำหนักชิ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก จึงได้ชื่อว่าวังตะวันออก* ฮ่องเต้เพียงแค่ให้กู้หรานอยู่ในวังตะวันออกเท่านั้น ทว่าไม่เคยให้การยอมรับแม้เพียงผิวเผินและความคิดก็ยังคลุมเครือเป็นอย่างยิ่ง
วันที่กู้หรานเข้าวังหลวง รุ่ยอ๋องก็เรียกกู้หรานมาพบ ทุกคนในวังรุ่ยอ๋องล้วนนั่งอยู่ในห้องโถงหลัก ฟังรุ่ยอ๋องผู้เฒ่าสั่งสอนกู้หรานอย่างเข้มงวด
“หลังจากที่เจ้าเข้าวังหลวงไปแล้ว จงจำไว้อย่างเดียว” รุ่ยอ๋องชี้ไปที่บิดาของกู้หราน “ว่าเขาไม่ใช่บิดาของเจ้าอีกต่อไป ข้าก็ไม่ใช่ท่านปู่ของเจ้า หากต่อไปเจ้ามีวาสนา โชคดีได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เช่นนั้นก็จงรับการคำนับจากพวกข้า เมื่อเจ้าเข้าใกล้เขาก็ให้ก้มตัวลงแล้วเรียกเขาว่า ‘ท่านอาสาม’ และเรียกข้าว่า ‘ท่านอ๋องรุ๋ย’ หรานเกอเอ๋อร์เข้าใจหรือไม่”
กู้หรานคำนับแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ไม่เพียงเท่านั้น” รุ่ยอ๋องกล่าว “เมื่อข้าตายไป หรือเมื่อบิดาของเจ้าตายไป เจ้าก็ไม่อาจไว้ทุกข์ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ใช่คนของวังรุ่ยอ๋องอีก แต่เป็นเพียงคนในวังหลวงเท่านั้น ไม่ว่าคนในวังรุ่ยอ๋องขอร้องให้เจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นใครที่ขอร้องเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล และไม่ต้องดูแลพวกเขา หากมีตรงที่ใดที่ไม่มั่นใจก็เพียงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขอคำชี้แนะว่าควรจะทำอย่างไร”
กู้หรานอดที่จะยิ้มน้อยๆ ออกมามิได้ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ใบหน้าขึงขังของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนลง เขาหัวเราะเสียงดัง “เพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนี้ พวกเราจึงไม่อาจดูหมิ่นพระองค์ได้ และเพราะทรงพระปรีชาสามารถ พวกเราเชื้อพระวงศ์จึงสามารถมีวันที่สงบสุขและมั่นคงเช่นนี้ จะมีคนหลงลืมวันเวลาที่ต้องเอาตัวรอดไปวันๆ ช่วงที่หลูเฟิงเรืองอำนาจจริงหรือ หากมีคนคิดจะยืมมือของเกอเอ๋อร์เพื่อที่จะเข้าหาฝ่าบาท ข้าจะต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”
รุ่ยอ๋องทุบโต๊ะกะทันหัน มีเสียงดังขึ้นฉับพลัน
ผู้ที่ซ่อนแผนการไว้ในใจตอนแรกก้มหน้าลง ตับไตสั่นสะท้าน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ผู้เป็นบิดาของกู้หราน บุตรชายคนที่สามของรุ่ยอ๋องอย่างกู้เหอก็พาบุตรชายออกไปด้านนอกด้วยตัวเอง
กู้เหอปฏิบัติต่อบุตรชายเหมือนจะมีหรือไม่มีก็ได้ ยามปกติก็ไม่นับว่าสนิทสนมกับกู้หรานมากนัก นับประสาอะไรกับความสัมพันธ์ฉันบิดากับบุตรชาย ทว่าบัดนี้เขากลับรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปใกล้ชิดกับกู้หรานได้เหลือเกิน ระหว่างทางที่เขาส่งกู้หรานออกไปจากประตูจึงแสดงความเป็นห่วงเป็นใย สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลพราก กล่าวว่าไม่อยากให้กู้หรานจากไป
บรรดาพี่ชายที่เดิมทีถากถางดูถูกกู้หรานก็ยิ่งน้ำตานองหน้า สะอื้นไห้ไม่หยุด
ทว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของพวกเขากลับซ่อนความอิจฉาและความชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด
กู้หรานเงียบงันไม่พูดจา แม้เขาจะยังเด็กแต่กลับมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก ตราบใดที่รุ่ยอ๋องยังอยู่ในวังรุ่ยอ๋องก็จะไม่มีใครกล้าทำเรื่องชั่ว นับจากนี้ไปหากกู้หรานโชคดีถูกฝ่าบาทรับเลี้ยงเป็นโอรสจริงๆ ฮ่องเต้ย่อมจะต้องจัดการเรื่องในวังรุ่ยอ๋องเพื่อไม่ให้กู้หรานมีอะไรต้องกังวลอีก
กู้หรานวางใจให้ฮ่องเต้อย่างไร้ที่เปรียบเช่นนี้ แม้อาจกล่าวได้ว่าอกตัญญู ทว่าหลังจากที่กู้หรานรู้ว่าตนถูกฝ่าบาทเลือกแล้ว หัวใจของเขาก็แอบลิงโลด ในสายตาของเขา ฝ่าบาทนั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคนเช่นนี้กำลังจะกลายเป็นบิดาของตนเองจริงๆ เพียงคิดว่าต่อไปอาจต้องเรียกฝ่าบาทว่า ‘เสด็จพ่อ’ กู้หรานก็อดที่จะรู้สึกเขินอายและปั่นป่วนในท้องมิได้
เขาตื่นเต้นและมีความสุขอย่างควบคุมไม่อยู่
เมื่อกู้หรานเข้าวังหลวง ฮ่องเต้ก็ตั้งใจสละเวลาส่วนตัวมากินอาหารเป็นเพื่อนกู้หราน จากนั้นก็ไปดูสำนักหงเหวินที่บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์ศึกษาเล่าเรียนร่วมกันในวัง แล้วยิ้มเอ่ย “พรุ่งนี้เจ้าก็จะได้เล่าเรียนตำราร่วมกับเหล่าศิษย์พี่ที่นี่แล้ว”
กู้หรานกวาดตาผ่านเสื้อคลุมของฮ่องเต้ ต้องการจะกล่าวคำขอบคุณ แต่ก็นึกได้ว่าฮ่องเต้ตรัสว่าไม่ต้องระมัดระวังมากนัก เขาจึงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าอ้วนกลมของเด็กน้อยย่นเป็นชั้นๆ
ฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ หลายครั้ง ก้มตัวจูงมือของกู้หราน ลูบศีรษะของเขา จากนั้นก็พาเขาเดินรอบอุทยานดอกไม้อย่างสบายๆ
ดวงตาของกู้หรานเบิกกว้างเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งแก้มก็กลายเป็นผิงกั่ว* สีแดงก่ำที่เจือด้วยไอร้อน ดวงตาที่มองฮ่องเต้นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมที่ไม่สามารถซ่อนได้
ทว่าเดินชมรอบอุทยานดอกไม้ไม่ทันไร เกล็ดหิมะที่เหมือนปุยหลิวก็โปรยปรายลงมา
เซวียหย่วนหยิบเสื้อคลุมแล้วก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า คลุมเสื้อคลุมไว้รอบกายฮ่องเต้อย่างแน่นหนา ยกมือขึ้นป้องเหนือศีรษะของฮ่องเต้ “รีบเสด็จกลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หิมะยังไม่ทันจะร่วงหล่นบนตัวของกู้หยวนไป๋ เซวียหย่วนก็เห็นมันเป็นศัตรูแล้ว
กู้หยวนไป๋อดที่จะหัวเราะไม่ได้ โบกๆ มือเรียกเถียนฝูเซิง รับเสื้อคลุมตัวเล็กที่ขันทีเฒ่ายื่นให้แล้วคลุมรอบกายกู้หราน
ครั้นลมพัดเกล็ดหิมะก็ใหญ่ขึ้นทันใด เซวียหย่วนส่งเสียง “จิ๊” คราหนึ่ง ก้มตัวลงไปอุ้มกู้หรานด้วยมือเดียว มืออีกข้างจูงมือของฮ่องเต้แล้วรีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก “ฝ่าบาท ท่านช่วยทำให้กระหม่อมเป็นกังวลน้อยลงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เขาอดที่จะอิ่มเอมใจมิได้ กล่าวเสียงต่ำ “หากไม่มีกระหม่อม ท่านจะทำอย่างไร”
“ไม่มีเจ้า ก็ยังมีหวังจิ่วเหยา เจิ้งจิ่วเหยา หลี่จิ่วเหยา”
การแสดงออกของเซวียหย่วนมืดมนลงเรื่อยๆ ตามคำพูดของฮ่องเต้
กู้หยวนไป๋ดึงมือกลับมาช้าๆ เสื้อคลุมปลิวไปตามลมและหิมะ เขาลูบหลังของเซวียหย่วนภายใต้เสื้อคลุม คล้ายกำลังปลอบประโลมสิงโตที่กำลังจะระเบิดโทสะ “แต่พวกเขาล้วนไม่ดีเหมือนเจ้า”
เซวียหย่วนตัวแข็งทื่อ ยืดหลังตรง
หลังอาหารเย็น กู้หรานถูกข้ารับใช้พากลับไปยังตำหนักชิ่ง กู้หยวนไป๋เงยหน้าขึ้นมาจากฎีกา ก็เห็นเซวียหย่วนกับหัวหน้าทหารองครักษ์กำลังฝึกวิชากันอยู่ข้างนอก
เซวียหย่วนยังอายุน้อยและมีกำลัง มีชีวิตอยู่มายี่สิบห้าปีถึงได้รู้จักโลกที่แท้จริงเป็นครั้งแรก ริมฝีปากของเขาบาง จมูกก็โด่งเป็นสัน ลำพังมองจากหน้าตาเพียงอย่างเดียวก็สามารถมองเห็นดวงไฟที่ลุกโชน จางห่าว คุณชายสกุลจางมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเซวียหย่วนเป็นผู้ที่มีธาตุไฟภายในแข็งแกร่ง ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ แต่เนื่องจากร่างกายของกู้หยวนไป๋ จึงไม่สามารถร่วมรักได้บ่อยครั้งตามคำสั่งของหมอหลวง เซวียหย่วนก็ไม่เต็มใจเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ลิ้มรสเนื้อเพียงครั้งเดียวจนถึงบัดนี้
ไม่ได้กินก็ไม่เป็นไร ทว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการถูกสั่งห้ามหลังจากเคยได้ลิ้มรสมันแล้ว
เซวียหย่วนทำได้เพียงหาวิธีอื่นในการระบายธาตุไฟของเขา ฝึกมวยในตอนเช้า ฝึกดาบในตอนเที่ยง ตกกลางคืนก็ฝึกวิชาการต่อสู้กับเหล่าทหารองครักษ์ บางครั้งก็จะไปบดขยี้ยอดฝีมือองครักษ์ตงหลิง เพื่อกำจัดความกระปรี้กระเปร่าของพวกเขา
เสื้อของเซวียหย่วนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ลายเส้นของร่างกายนั้นงดงามขึ้นเรื่อยๆ ที่กล่าวกันว่ารูปร่างสูงอันทรงพลังก็คือรูปร่างเช่นนี้นี่เอง
ร่างกายของเซวียหย่วนดึงดูดสายตาของกู้หยวนไป๋ เขามองไล่ไปตามส่วนหน้าท้องและขายาวๆ ของอีกฝ่าย หลังจากมองอยู่หลายรอบก็ลุกขึ้น เดินไปยังทางเดินนอกตำหนักเพื่อมองดูพวกเขาทั้งสอง ครึ่งหนึ่งของเหล่าทหารองครักษ์โห่ร้องให้หัวหน้าทหารองครักษ์ อีกครึ่งหนึ่งโห่ร้องให้เซวียหย่วน ทั้งสองคนแบ่งรับแบ่งสู้ เป็นฉากที่ตระการตายิ่ง
หัวหน้าทหารองครักษ์หายใจหอบ หลบหมัดที่แข็งแกร่งดุจก้อนหินของเซวียหย่วนได้อีกครั้ง “ใต้เท้าเซวีย นี่ท่าน ท่านมีเรื่องโกหกข้าหรือไม่”
เซวียหย่วนเผยรอยยิ้มมืดมน “ใต้เท้าจาง หัวหน้าเถียนบอกข้าแล้วว่าระหว่างที่ข้าอยู่ในชายแดนตอนเหนือ ท่านเคยอุ่นเตียงให้ฝ่าบาท?”
หัวหน้าทหารองครักษ์หน้าแดง พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ “แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เซวียหย่วนออกแรงฉับพลันจนทำให้หัวหน้าทหารองครักษ์ล้มไปกองบนพื้นหิมะ เขาหัวเราะคราหนึ่ง เผยให้เห็นฟันแวววับ “ใต้เท้าจางคิดจะอุ่นกี่ครั้งหรือ”
หัวหน้าทหารองครักษ์อดทนต่อความเจ็บปวด ถามในสิ่งที่ต้องการถามมานาน “ใต้เท้าเซวีย ท่านบอกความจริงกับข้ามา ท่านกับฝ่าบาท…”
“ใต้เท้าจาง” เซวียหย่วนหลุบตาลง ตัดบทเขา “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ไม่ควรคิดก็อย่าคิด ฮ่องเต้มีอำนาจสูงส่ง ไม่ว่าเรื่องสกปรกอันใดก็ไม่สามารถสาดใส่ฮ่องเต้ได้ แม้ท่านไม่มีเจตนาพูด ทว่าก็จะมีคนที่คอยฟังอย่างมีเจตนาเสมอ ท่านเข้าใจหรือไม่”
สีหน้าของหัวหน้าทหารองครักษ์ขึงขัง พยักหน้าช้าๆ
เซวียหย่วนปล่อยเขาไป หันไปมองก็สบสายตาของฮ่องเต้ที่อยู่ตรงทางเดินพอดี
เซวียหย่วนยกมุมปากขึ้น พละกำลังมหาศาลพุ่งทะลุแขนขา เขาเดินเข้าไปหาฮ่องเต้ สุดท้ายก็เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิ่ง
แต่แล้วก็หยุดลงนอกทางเดินกะทันหัน
กู้หยวนไป๋อดที่จะพูดไม่ได้ “เหตุใดถึงไม่เข้ามา”
เซวียหย่วนเอ่ย “เกรงว่าไอเย็นบนตัวกระหม่อมจะปะทะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เม้มริมฝีปาก เอ่ยเสียงต่ำ “รีบใส่เสื้อเร็วเข้า อย่าจับไข้”
เซวียหย่วนรับเสื้อตัวหนามาสวมใส่อย่างดี สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปหาฮ่องเต้ช้าๆ ตรงทางเดิน
เขาจดจ้องฮ่องเต้โดยไม่ละสายตา แววตาเช่นนั้นเหมือนจะแผดเผาฮ่องเต้ก็มิปาน
กู้หยวนไป๋เบือนหน้าหนี กำมือป้องปากไอโดยไม่รู้ตัว เหลือบมองที่คอเสื้อของเซวียหย่วนแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หันกลับไปให้หมด”
ข้ารับใช้ทำตามคำสั่งและกลับหลังหัน
ฮ่องเต้ยกมือขึ้น ปลายนิ้วขาวใสใต้เสื้อนั้นดูเย็นเยือก เขาจัดแจงเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเซวียหย่วนทีละชั้นๆ
คิ้วและตาของเซวียหย่วนนั้นเปี่ยมไปด้วยความปีติ เขาอาศัยจังหวะนี้ก้มหน้าลงจูบปลายนิ้วของฮ่องเต้
ฮ่องเต้กระซิบสั่งสอน “โตป่านนี้แล้ว ยังสวมเสื้อผ้าไม่เป็นอีกรึ”
“กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” เซวียหย่วนเอ่ย “ทุกวันกระหม่อมก็เป็นคนสวมเสื้อให้ฝ่าบาท”
“เช่นนั้นเจ้าก็เจตนาแล้ว” กู้หยวนไป๋ลดมือลง ชี้ๆ ไปที่อกของเขา “เซวียจิ่วเหยา ต้องการให้เจิ้นสวมเสื้อผ้าให้เจ้ารึ”
เซวียหย่วนหลุดหัวเราะ เขาปรารถนาจะโอบกู้หยวนไป๋แม้แต่ยามเดิน จะเต็มตื้นเพียงใดกัน ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็บีบคางของเขา บังคับให้เขาก้มตัว จากนั้นประทับจูบบนริมฝีปากเขา
กลิ่นเหงื่อที่เคยรู้สึกว่าเหม็นในอดีต บัดนี้กลับรู้สึกว่ารับได้
ฮ่องเต้น้ำเสียงแหบแห้ง “อย่าเสียมารยาท”
เซวียหย่วนมองกู้หยวนไป๋อย่างล้ำลึก ดวงไฟสีฟ้าในดวงตาลุกโชนจางๆ
กู้หยวนไป๋เกี่ยวปอยผมไปทัดหลังหู ใบหูขาวนุ่มขยับไหวตามแรงเกี่ยว สายตาของเซวียหย่วนค้างอยู่บนใบหูนั้น ลูกกระเดือกขยับไหว กู้หยวนไป๋หัวเราะอู้อี้ด้วยเสียงหนึ่ง เดินผ่านเขาไปด้วยใบหน้าเบิกบาน
กู้หยวนไป๋ก็ทำเกินไปแล้ว บัดนี้เขาไม่สามารถขึ้นเตียงได้แต่ก็มักจะกระตุ้นและเย้าแหย่เซวียหย่วนโดยไม่ตั้งใจเช่นนี้อยู่เสมอ เซวียหย่วนมีแต่จะคลั่งไคล้และลุ่มหลงในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเพราะว่าเขาอดทนต่อใบหน้าชุ่มเหงื่อของอีกฝ่ายมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้าน สุขล้นจนเส้นประสาทขึงตึง คล้ายกับการเดินไต่เชือกขึ้นไปในอากาศ น่าตื่นเต้นจนทำให้กู้หยวนไป๋เสพติด
ภายใต้ด้านชั่วร้ายของฮ่องเต้เช่นนี้ หากตอนนี้เขาสัมผัสเซวียหย่วนแม้เพียงปลายนิ้วก็สามารถยั่วเย้าทุ่งหญ้าอันแห้งแล้งให้บ้าคลั่งได้
กองทัพยังไม่เคลื่อนพล เสบียงอาหารกลับถูกลำเลียงไปก่อนแล้ว
ในระหว่างการจัดเตรียมเสบียงไปยังซีเป่ยนี้ กู้หยวนไป๋ตั้งใจสละเวลาเพื่อพากู้หรานไปงานมงคลของข่งอี้หลินกับบุตรสาวของใต้เท้าหมี่อย่างเปิดเผย
ข่งอี้หลินยินดีที่ได้รับความโปรดปราน เขาลุกขึ้นและโค้งคำนับฮ่องเต้อย่างนอบน้อมพิถีพิถันต่อหน้าทุกคน
กู้หยวนไป๋ดื่มสุราแสดงความเคารพ เขียนคำว่า ‘คู่ฟ้าประทาน’ สี่คำนี้ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของใต้เท้าหมี่
กู้หรานซุกตัวอยู่ข้างฮ่องเต้พลางมองดูตัวอักษรสี่คำนี้ อดที่จะยิ้มไม่ได้ “เสด็จพ่อ ตัวอักษรของท่านงดงามจริงๆ”
ภายในงานเลี้ยง ครั้นเหล่าขุนนางที่รายล้อมฮ่องเต้ได้ยินคำว่า ‘เสด็จพ่อ’ ก็มีสีหน้าตกตะลึง กู้หยวนไป๋กลับเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ตัวอักษรงดงามเห็นแล้วก็สุขใจ หรานเกอเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่ก็ต้องเริ่มฝึกในตอนนี้อย่างจริงจังจึงจะสามารถเขียนตัวอักษรที่น่าพึงพอใจออกมาได้ เข้าใจหรือไม่”
กู้หรานเอ่ยอย่างจริงจัง “ลูกจะจดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้น กู้หยวนไป๋ก็จูงกู้หรานเดินออกไปจากจวนสกุลข่ง ข่งอี้หลินยืนกรานว่าจะไปส่งเสด็จฮ่องเต้ ทว่ากู้หยวนไป๋มองดูเขาในชุดเจ้าบ่าวสีแดงก็เอ่ยเย้าว่า “เจ้าทิ้งเจ้าสาวไว้ที่นั่นแล้วรึ”
ข่งอี้หลินยิ้มน้อยๆ “กระหม่อมต้องมาน้อมส่งฝ่าบาทก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“กลับไปเถิด” กู้หยวนไป๋เอ่ย “อีกไม่กี่วันก็จะเคลื่อนทัพไปซีเป่ยแล้ว เจ้าจะต้องไปกับข้า เกรงว่าถึงตอนนั้นเจ้ากับภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานก็ต้องจากกันแล้ว”
“กระหม่อมจะต้องไปซีเป่ยกับฝ่าบาทอย่างแน่นอน” ข่งอี้หลินมีสีหน้าขึงขัง “หลังจากที่ฮ่องเต้แห่งซีซย่าขึ้นครองราชย์ สิ่งแรกที่จะทำให้บ้านเมืองภายในมีความมั่นคงได้คือการส่งกองทัพมายังต้าเหิง และเขาจะต้องนำชัยชนะกลับไปเพื่อสร้างอำนาจบารมีของตน เรื่องที่ฮ่องเต้แห่งซีซย่านำทัพด้วยตัวเองนั้นสำคัญยิ่ง แม้ว่าฝ่าบาทมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ กระหม่อมก็ยังต้องติดตามไปด้วย อย่างน้อยก็ช่วยวางแผนกลยุทธ์ได้บ้าง”
กู้หยวนไป๋หัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าก็จงหวงแหนช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ให้เต็มที่ ไม่ต้องส่งแล้ว กลับไปเถิด”
ข่งอี้หลินหยุดอยู่หน้าประตู มองดูฮ่องเต้ถูกใต้เท้าเซวียประคองขึ้นรถม้าไป
หัวใจของเขารุ่มร้อนเล็กน้อย
ม้าพันหลี่อาจมีบ่อย ทว่าป๋อเล่อมิได้มีบ่อยๆ* ไม่ว่าฮ่องเต้จะมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเขาเพียงใด ทว่าข่งอี้หลินก็ไม่นึกไม่ฝันว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาที่งานมงคลของเขาด้วยตัวเอง
ต่อให้เขาตายเพื่อฮ่องเต้องค์นี้ จะเป็นอะไรไปเล่า
ข่งอี้หลินเดินกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม คนที่อยู่ในงานเลี้ยงรวมตัวกันยกจอกสุราคารวะเขาไม่ขาดสาย รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาจริงใจและกระตือรือร้นกว่าแต่ก่อนมากนัก ผู้ที่ดื่มสุราคารวะใต้เท้าหมี่ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างชื่นชมว่าใต้เท้าหมี่หาบุตรเขยได้ดีเยี่ยม ใบหน้าที่เคร่งขรึมของใต้เท้าหมี่บัดนี้มีรอยยิ้มตาหยีจนเห็นเพียงไรฟันประดับอยู่ เอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “มิบังอาจ มิบังอาจ”
การเสด็จมาของฮ่องเต้เป็นจุดสำคัญสูงสุด แน่นอนว่ากู้หยวนไป๋รู้เรื่องนี้ดี เขานั่งอยู่บนรถม้า เอาเสื้อคลุมพาดหน้าตักของตัวเอง ถามกู้หรานว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดบิดาจะต้องมางานมงคลที่จวนของข่งชิงด้วยตัวเอง”
กู้หรานครุ่นคิด “ลูกไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกหรือผิด”
กู้หยวนไป๋เอ่ยส่งเสริม “ลองว่ามา”
กู้หรานกล่าวสามข้ออย่างช้าๆ ข้อหนึ่งเพื่อแสดงความรักความห่วงใยของฮ่องเต้ที่มีต่อขุนนาง ข้อสองเพราะเห็นความสำคัญของใต้เท้าข่ง ข้อสามเพราะต้องการจะใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นว่ากู้หรานเป็นโอรสบุญธรรมของฮ่องเต้แล้ว
กู้หยวนไป๋เลิกคิ้ว รอจนกู้หรานพูดจบแล้วก็ส่ายหน้า “ยังมีอีก”
ใบหน้าของกู้หรานเปี่ยมด้วยความสับสน “เสด็จพ่อ?”
กู้หยวนไป๋ใช้โอกาสนี้เพื่อปลูกฝังให้เขาเป็นฮ่องเต้
รถม้าเคลื่อนตัวไปยังวังหลวงช้าๆ เซวียหย่วนที่ขี่ม้าตัวใหญ่อยู่ด้านนอกกางมือออก ก้มหน้ามองดูบริเวณที่ฮ่องเต้เคยสัมผัส ทอดถอนใจอย่างหดหู่
ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างกายถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ใต้เท้าเซวีย เหตุใดจู่ๆ ถึงถอนหายใจเล่า หรือว่าท่านเห็นใต้เท้าข่งแต่งงานแล้วรู้สึกรบกวนใจ”
สองสามคนรอบๆ หัวเราะเสียงเบา
เซวียหย่วนไม่ปริปากพูด เขาจับๆ มือของตัวเอง คิดอยู่ในใจว่ามือของฝ่าบาทที่เพิ่งวางบนฝ่ามือของตนนั้นช่างนุ่มนิ่มเหลือเกิน
มันนุ่มนิ่มขึ้นทุกที
ฮ่องเต้ชอบเห็นท่าทียามที่เซวียหย่วนอดกลั้น แม้แต่การสัมผัสก็ยังตระหนี่ถี่เหนียวคล้ายกำลังลงโทษที่เซวียหย่วนไม่เชื่อฟังในวันนั้น ตีด้วยไม้แล้วมอบพุทรา สัตว์ร้ายก็มีเพียงเท่านี้ บัดนี้หนังศีรษะของเซวียหย่วนชาหนึบแม้กระทั่งเพียงการสัมผัสมือ
เขาทอดถอนใจอย่างแรง มองไปยังเหล่าทหารองครักษ์ “ข้าดูเหี่ยวแห้งมากหรือ”
เหล่าทหารองครักษ์ส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านไม่เพียงไม่ดูเหี่ยวแห้งเท่านั้น ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยพลัง”
เซวียหย่วนขมวดคิ้ว “เอาเถอะ”
แสร้งทำตัวน่าสงสารก็ไร้ผล
ขณะที่เซวียหย่วนกำลังคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ฮ่องเต้ตระหนี่อีกต่อไป ฮ่องเต้ก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางด้วยพลังเต็มเปี่ยมและบุคลิกที่สง่างามแล้ว
ปลายเดือน หลังจากเตรียมพร้อมก่อนสงครามอย่างเต็มที่ กองทัพก็ดูห้าวหาญและสง่างามยิ่ง เหล่าทหารต้าเหิงที่ถูกฝึกฝนโดยเหล่าแม่ทัพต่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยม ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะเป็นผู้นำทัพด้วยตัวเอง ดวงตาของแต่ละคนก็ลุกวาว ตื่นเต้นเป็นที่สุด
ฮ่องเต้อธิษฐานขอพรตลอดทั้งวัน เช้าวันรุ่งขึ้นก็สวมเสื้อเกราะ เกล้ามัดผมสูง มองดูเหล่าทหารที่แถวทอดยาวออกไปนอกนครไกลหลายร้อยหลี่
ทหารเหล่านี้ล้วนกินอาหารที่กู้หยวนไป๋มอบให้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อบุนวมที่ตัดเย็บในปีนี้ พวกเขาแต่ละคนเปี่ยมด้วยพละกำลังและเก่งกล้า มองมายังฮ่องเต้ด้วยสายตาชื่นชมเลื่อมใส
ตำแหน่งของกู้หยวนไป๋ที่อยู่ในใจของเหล่าทหารไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ กู้หยวนไป๋รู้ข้อนี้เป็นอย่างดี ตอนที่เขาเลือกองครักษ์ตงหลิง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวันลืมสายตาอันแรงกล้าของกลุ่มทหารรักษาพระองค์นับหมื่นนายที่มองมาได้เลย
ในอดีตผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้กล่าวคำปฏิญาณก่อนสงคราม แต่ครั้งนี้กู้หยวนไป๋จะเป็นผู้กล่าวเอง
เสียงแตรและกลองศึกดังกึกก้อง เสียงตีกลองรัวเร็วนั้นปลุกเลือดในกายให้พลุ่งพล่าน เหล่าขุนนางยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ มองดูกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหล่าทหารที่กระตุกเต้นอยู่เบื้องหน้า
ฮ่องเต้ก้าวไปข้างหน้า แม่ทัพกับทหารในขบวนคอยเงี่ยหูฟัง เพื่อส่งต่อคำพูดของฮ่องเต้ไปด้านหลังให้ทันเวลาและให้แน่ใจว่าทหารทุกนายจะได้ยินอย่างชัดเจน
“ทหารทุกนาย” กู้หยวนไป๋มองดูนายทหารด้วยแววตาราบเรียบแล้วมองท้องฟ้า “เจิ้นเคยได้ยินความปรารถนาของชาวนาเฒ่าว่าเขาต้องการเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้นหนึ่งเมล็ดในทุกๆ ต้นข้าวที่เขาปลูก ทั้งยังเคยถามช่างฝีมือในบ้านเก่าทรุดโทรมว่าเขาต้องการเลื่อยที่ตัดไม้ได้เร็วกว่านี้หรือไม่ สำหรับราษฎรทั่วไปเพียงแค่มีเมล็ดข้าวเพิ่มขึ้นหนึ่งเมล็ด มีฟันเลื่อยมากขึ้นเล็กน้อยก็พึงพอใจแล้ว ต่อมาเจิ้นก็เคยถามเหล่าทหารที่กลับมาจากศึกสงคราม พวกเขากลับบอกเจิ้นว่าพวกเขาเพียงต้องการที่จะมีชีวิตอยู่”
แม่ทัพกับเหล่าทหารตะโกนทีละประโยคเพื่อส่งต่อไปด้านหลัง ประโยคที่ว่า ‘ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่’ ดังไกลไปนอกนครเพียงชั่วพริบตา
“เจิ้นก็มีความปรารถนาหนึ่งเช่นกัน” กู้หยวนไป๋เอ่ย “บัดนี้เจิ้นจะบอกให้ทุกคนได้ฟังว่าเจิ้นต้องการอะไร!”
“เจิ้นต้องการให้ทุกคนในต้าเหิงหมดกังวลเรื่องอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่ม เจิ้นต้องการให้ไม่มีใครกล้ารังแกต้าเหิง ต้องการให้ความหิวโหย ความหวาดกลัว และความตายอยู่ให้ห่างจากต้าเหิงของเจิ้น ปรารถนาให้ราษฎรต้าเหิงภาคภูมิใจในแผ่นดินต้าเหิงของตัวเอง เนื่องจากต้าเหิงเป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนภายนอก ชี่ตัน เกาชาง กานโจว ซีซย่า เจิ้นอยากให้พวกเจ้ายืนหยัดไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูใดๆ ก็ตาม กลายเป็นบุรุษที่มีความเที่ยงตรงแน่วแน่!”
กู้หยวนไป๋สูดหายใจลึก แววตาเป็นประกาย “เจิ้นต้องการชัยชนะ เจิ้นต้องการให้ทหารนับพันม้านับหมื่นเดินหน้าต่อไป และกลายเป็นวีรบุรุษ!”
บรรดาทหารใบหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดปูดนูน มือที่ถืออาวุธสั่นเทา
เสียงสูงของทหารถ่ายทอดลงไปเป็นทอดๆ เหล่าทหารถูกปลุกเร้าด้วยถ้อยคำของฮ่องเต้ ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ผู้คนนับร้อยนับหมื่นค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา “ชัยชนะ! ชัยชนะ! ชัยชนะ!!!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนกึกก้อง น้ำตาก็เอ่อล้นขอบตา
กองทัพมุ่งหน้าไปยังดินแดนซีซย่าทันที!
* วังตะวันออก หรือตงกง เป็นที่พำนักขององค์รัชทายาท
* ผิงกั่ว หมายถึงผลแอปเปิ้ล
* ม้าพันหลี่อาจมีบ่อย ทว่าป๋อเล่อมิได้มีบ่อยๆ เป็นสุภาษิตจีน หมายถึงผู้มีความสามารถอาจพบได้ทั่วไป แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักและจดจำได้