everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 139-140 #นิยายวาย
บทที่ 140
เมื่อกองทัพเคลื่อนตัวออกจากนครหลวง กู้หรานก็อดที่จะร้องไห้มิได้ จมูกแดงก่ำ เด็กน้อยที่เหมือนกับผู้ใหญ่ตัวเล็กคนนี้สะอื้นไห้พลางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าผู้เป็นบิดา “เสด็จพ่อ ฮึก ลูกจะรอพระองค์กลับมา”
น่าเอ็นดูเกินไปแล้ว
กู้หยวนไป๋แสร้งเม้มปากด้วยความเศร้าสร้อย “หากบิดากลับมาไม่ได้ หรานเกอเอ๋อร์ เจ้าจะต้องแบกรับภาระของบิดาให้ได้”
กู้หรานตกตะลึง อดกลั้นไม่ไหวโดยสิ้นเชิง แหงนหน้าร้องไห้โฮออกมา
กู้หยวนไป๋กระแอมกระไอ “แค่กๆ…บิดาเย้าเจ้าเล่นน่ะ”
หลังจากกล่อมบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว กู้หยวนไป๋หันมองนครหลวงยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นครั้งสุดท้ายท่ามกลางเหล่าขุนนางที่ถวายการคำนับทั้งน้ำตา ก่อนหมุนตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ราษฎรในตรอกแคบแออัดเบียดเสียด แต่ละคนล้วนโบกเครื่องรางแคล้วคลาดในมือ เบียดตัวกันเป็นกลุ่มก้อนด้วยความร้อนใจ “ท่านเจ้าหน้าที่ ท่านเจ้าหน้าที่ พวกเราไปขอเครื่องรางแคล้วคลาดมา ท่านนำเครื่องรางนี้ไปถวายแด่ฝ่าบาทกับให้แม่ทัพได้หรือไม่”
เจ้าหน้าที่ที่กันฝูงชนอยู่ข้างถนนใกล้จะหมดความอดทน “เอาเข้าไปไม่ได้”
คนในสกุลสวี่ของผู้เฒ่าสวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาที่มองดูกองทัพเคลื่อนจากไป แล้วพูดว่า “นำชัยชนะกลับมา นำชัยชนะกลับมา” ไม่ขาดปาก ภรรยา บุตรชาย และสะใภ้ของเขาก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ภรรยาใบหน้าแดงระเรื่อ มีน้ำมีนวลกว่าปีกลายมากนัก ซับน้ำตาด้วยแขนเสื้อไม่หยุด คนอื่นไม่รู้ก็เข้าไปปลอบประโลม “ท่านป้า ในนั้นมีบุตรชายของท่านหรือ”
“ในนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มที่สวมเสื้อบุนวมที่ข้าตัดเย็บ!” ภรรยาของผู้เฒ่าสวี่ตะโกนเสียงดัง แล้วเช็ดมุมตาอีกครั้ง “หวังว่าคนหนุ่มเหล่านี้จะติดตามฝ่าบาทกลับมาอย่างปลอดภัย”
สตรีหลายคนรอบๆ ที่ถูกราชสำนักเรียกตัวให้ตัดเย็บเสื้อบุนวมในปีนี้ต่างประสานมือขอพรจากเทพเจ้า พึมพำอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาทจะต้องปลอดภัย ขอให้ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างถนนได้ยินมามากพอแล้ว จึงอดที่จะพูดไม่ได้ “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไปกังวลเรื่องพืชผล ไม่ไปกังวลว่าเที่ยงนี้จะกินอะไร จะมากังวลเรื่องเหล่าทหารอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใดกัน”
สตรีหลายคนจ้องเขาเขม็ง บรรดาบุรุษในฝูงชนตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้ากินอาหารของทางการ พูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเพียงถามด้วยความสงสัย แต่กลับถูกทุกคนด่าทอและทุบตีทันที เขาเบือนหน้าหนีอย่างจนตรอก ทว่าก็เห็นสหายร่วมงานซ้ายขวาขมวดคิ้วมองตนเองด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
เขายิ้มอย่างเขินอาย ครั้นหันไปมองอีกที กองทัพก็ค่อยๆ ลับสายตาไปแล้ว
ลมเหนือหอบไอหนาว ยี่สิบวันต่อมากองทัพที่มีทหารนับแสนนายก็ตั้งค่ายอยู่บริเวณชายแดนซีเป่ย
ผู้นำทัพคือแม่ทัพเพี่ยวฉี* นามว่าจางหู่เฉิง ครั้นมาถึงที่หมายแล้วจางหู่เฉิงก็เข้ามาขอคำชี้แนะจากฮ่องเต้ จากนั้นจึงจัดให้ทหารลงไปขุดคูและสร้างกำแพงสูงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม
กำแพงเมืองในซีเป่ยมีหลายแห่ง ขณะที่กู้หยวนไป๋มองออกไปไกลจากบนกำแพงเมือง จู่ๆ ก็ตระหนักขึ้นได้ว่าในฎีกากล่าวว่าซีซย่าได้เข้ายึดครองห้าถึงหกเมืองของต้าเหิงจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้วมิใช่หรือ
ทว่าบัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
จุดประสงค์ของสงครามครั้งนี้มิใช่เพื่อเอาชนะซีซย่า แต่เพื่อโจมตีซีซย่าในคราวเดียว สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายในฤดูหนาวเพิ่มแรงกดดันให้กับกองพลาธิการทหารในการขนส่งยุทโธปกรณ์และเสบียงเป็นสองเท่า มิอาจเกิดปัญหาได้ไม่ว่าส่วนใดก็ตาม ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องรับรองความปลอดภัยของเสบียงทหารในแนวหน้า
และคนที่รั้งอยู่เบื้องหลังล้วนเป็นผู้ที่กู้หยวนไป๋ไว้ใจอย่างยิ่งยวด
กู้หยวนไป๋คิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดในครั้งนี้มิใช่ซีซย่า แต่เป็นสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายและการขนส่งเสบียงในเขตซีเป่ย
หลังจากนั้นเซวียหย่วนได้พาหน่วยสอดแนมไปสำรวจภูมิประเทศแล้วรายงานผลการสำรวจ สั่งให้แม่ทัพและทหารดำเนินการโจมตีและเข้ายึดตามภูมิประเทศ ทั้งยังดำเนินการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในการต่อสู้กับซีซย่า
ข่งอี้หลินพูดน้อยทว่าสายตาแหลมคม ทุกครั้งที่เอ่ยวาจาก็เจาะตรงประเด็น
หลังจากที่เหล่าแม่ทัพของกู้หยวนไป๋ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในสองปีนี้ก็ได้สะสมความมั่นใจในตัวเองและจิตวิญญาณการต่อสู้ที่มากพอ พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง เชื่อมั่นในทหารและแนวหลังของตัวเอง กู้หยวนไป๋เป็นกังวลว่าความภาคภูมิใจเหล่านี้จะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ ทว่าหลังจากเห็นความคิดของพวกเขาแล้ว ก็กลืนความกังวลข้อสุดท้ายนี้กลับลงท้องไปอย่างสมบูรณ์
เหล่าแม่ทัพของเขาล้วนมีเหตุผลและตื่นตัว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือชัยชนะที่มั่นคง
ทรายสีเหลืองปกคลุมทั่วท้องฟ้าซีเป่ย กำแพงเมืองล้วนกลายเป็นสีโคลน ฤดูหนาวหนาวเหน็บ เพื่อป้องกันมิให้เหล่าทหารเจ็บป่วยจากลมหนาว ในกองทัพจะให้ผลัดกันต้มน้ำร้อนทุกวัน เนื้อตัวต้องสะอาด ทุกคนต้องล้างมือ ล้างหน้า และล้างเท้าด้วยน้ำร้อน คนทำอาหารในกองทัพจะทำน้ำขิงและเหล่าทหารต้องดื่มน้ำขิงร้อนวันละถ้วย
เริ่มแรกเหล่าทหารรู้สึกว่ามันยุ่งยาก ทว่าเมื่อรู้ว่าฮ่องเต้จะเสด็จทอดพระเนตรในค่ายของพวกเขาพร้อมกับแม่ทัพเป็นครั้งคราว ก็ต่างเริ่มที่จะแย่งน้ำร้อนมาล้างเท้าอย่างรีบร้อน
จะทำให้ฝ่าบาทรู้สึกว่าตัวเองเหม็นไม่ได้กระมัง
กู้หยวนไป๋ไม่รู้ความคิดเล็กๆ ในใจของพวกเขา เขาลาดตระเวนค่ายใหญ่ๆ สองสามค่ายอย่างใกล้ชิดและอบอุ่น ขณะที่ออกมาจากค่ายก็สูดอากาศบริสุทธิ์ลึกๆ อยู่หลายรอบ
เซวียหย่วนที่อยู่ข้างกายยังคงกล่าวด้วยความงงงวยเล็กน้อย “ลูกกระต่ายฝูงนี้ก็รู้จักรักความสะอาดด้วย กลิ่นดีกว่าเดิมไม่น้อย”
“…” กู้หยวนไป๋ขยี้ๆ จมูก
นี่เรียกว่ากลิ่นดี? แล้วเมื่อก่อนกลิ่นจะแรงเพียงใด
กู้หยวนไป๋ครุ่นคิด เป็นไปได้ว่าจมูกของเขานั้นเปราะบางเกินไป เขาสูดอากาศที่ไร้กลิ่นเหม็นสองสามครั้งก่อนพูดว่า “เรื่องของโรคระบาดสำคัญยิ่งยวด จะต้องระวังให้มาก! ระบายอากาศในค่ายช่วงกลางวัน และดื่มน้ำขิงทุกวันอย่าได้ขาด สั่งการลงไป ให้หัวหน้าแต่ละหน่วยดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้มากขึ้น ทันทีที่มีไข้ให้ส่งไปยังหมอทหารเพื่อรักษาทันที”
แม่ทัพเพี่ยวฉีกับแม่ทัพคนอื่นๆ ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “พ่ะย่ะค่ะ!”
กู้หยวนไป๋ยังพูดไม่จบ “ตอนที่เจิ้นสั่งให้ราษฎรตัดเย็บเสื้อผ้าให้ทหารในซีเป่ยนั้นก็ยังให้พวกเขาเย็บถุงผ้าไว้หลายหมื่นใบ ในถุงผ้ามียาสมุนไพรที่ใช้สำหรับห้ามเลือดและสมานแผล พรุ่งนี้จงแจกจ่ายถุงผ้านี้ออกไป ตั้งแต่แม่ทัพจนถึงนายทหารผู้น้อย ทุกนายจะต้องผูกมันไว้ที่เอวให้แน่น ห้ามทำหายเด็ดขาด”
จางหู่เฉิงกับแม่ทัพคนอื่นสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงล้ำลึก “พรุ่งนี้กระหม่อมจะดูแลการแจกจ่ายด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋พยักหน้า เดินกลับไปทางเดิม “จางชิง ท่านกับแม่ทัพของท่านมีความสามารถในการสู้รบมากกว่าเจิ้น เจิ้นเพียงคุ้นเคยกับการอ่านตำราสงครามไม่กี่เล่ม จะให้สร้างกองกำลังนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ท่านก็จงไปหน้าที่อย่างมั่นใจและกล้าหาญทั้งการโจมตีและป้องกัน เมื่อทุกคนรวมกันเป็นใจเดียวจึงจะสามารถค้นหารอยรั่วและอุดมันได้”
จางหู่เฉิงตัวสั่นด้วยความเกรงกลัวที่มีต่อฮ่องเต้ “ไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ ฝ่าบาทล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น กระหม่อมหวาดหวั่นยิ่งนัก หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ตรัสเยี่ยงนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านรู้จักบุตรชายของแม่ทัพเซวียผิง เซวียจิ่วเหยาหรือไม่”
จางหู่เฉิงรู้สึกยินดี “กระหม่อมเคยร่วมรบกับแม่ทัพอาวุโสเซวีย เซวียจิ่วเหยาเข้าค่ายทหารตั้งแต่ยังเยาว์วัย กระหม่อมย่อมรู้จักพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียหย่วนไอเสียงทื่อๆ สองสามที
จางหู่เฉิงมองเขา รู้สึกตื้นตันยิ่ง “บัดนี้หย่วนเกอเอ๋อร์รูปร่างสูงแข็งแรงกว่ากระหม่อมแล้ว แม้กระหม่อมจะอยู่ห่างชายแดนตอนเหนือหลายร้อยหลี่ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเซวียจิ่วเหยามาก่อน เมื่อแม่ทัพเยี่ยงพวกกระหม่อมแก่ชราแล้วก็จะยังมีผู้สืบทอด”
กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็หันไปมองเซวียหย่วน เขาสูงใหญ่กว่าแม่ทัพเหล่านี้จริงๆ สวมเสื้อเกราะ คิ้วและตาคมกริบ มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่อย่างที่แม่ทัพควรมี ในขณะที่เหล่าแม่ทัพค่อยๆ สูญเสียจิตวิญญาณและความปรารถนาในการโจมตีอย่างดุดัน มันกลับฝังลึกลงในกระดูกของเขา
เหล่าแม่ทัพต่างซาบซึ้งกับคำพูดของจางหู่เฉิงและเริ่มจับกลุ่มคุยกัน เซวียหย่วนฉวยโอกาสนี้โน้มตัวไป กระซิบข้างหูกู้หยวนไป๋ว่า “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้”
หูของกู้หยวนไป๋ระคายเคือง เขาเบือนหน้าหนี ทว่าเซวียหย่วนกลับตามไป ม้วนปลายลิ้นที่ใบหู
ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งในบรรดาแม่ทัพโดยรอบถามขึ้น “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าอย่างไร”
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าทหารลาดตระเวนก็จุดคบไฟรอบๆ ใบหน้าของฮ่องเต้ดูแดงระเรื่อภายใต้แสงไฟนั้น “…ก็ดี”
แม่ทัพไม่ได้สังเกตเห็นจึงหัวเราะตามไปด้วย “หลังจากกฎป้องกันภายในกองทัพถูกดำเนินไปทีละขั้นตอน พวกกระหม่อมก็เห็นว่าดีเช่นกัน”
กู้หยวนไป๋พยักหน้าไตร่ตรอง ท่าทางสงบนิ่งมาก
“เซวียจิ่วเหยายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก” กู้หยวนไป๋กล่าวต่อจากเมื่อครู่ “ทว่าเขามีความสามารถของผู้นำทัพ ทั้งยังมีพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโจรภูเขา ปราบปรามกองกบฏ หรือสงครามในชายแดนตอนเหนือก็ล้วนมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เจิ้นมอบเขาให้ท่าน ท่านสามารถส่งเขาเข้าไปในสนามรบเมื่อใดก็ได้ ให้เขาได้ฝึกฝนไปกับท่านด้วย”
จางหู่เฉิงฝืนยิ้ม “อย่าพูดถึงเรื่องที่กระหม่อมจะสอนเซวียจิ่วเหยาได้มากเพียงใดเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยถามเขาว่ามีความเห็นใดในการต่อสู้กับซีซย่า ทว่าหย่วนเกอเอ๋อร์กลับพูดว่าเขาจะปกป้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทเท่านั้น เรื่องการต่อสู้ไม่ต้องมาหาเขา”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเซวียหย่วน
เซวียหย่วนสีหน้าเฉยเมย คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของจางหู่เฉิง
“ทุกคนล้วนแย่งโอกาสในการสร้างผลงานในสนามรบ ตามปกติแล้วเซวียจิ่วเหยาเป็นคนที่บุกทะลวงโจมตีข้าศึกอย่างโหดเหี้ยมที่สุด ไม่ว่าใครก็ห้ามเขาไว้ไม่อยู่ การที่เขาสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ กระหม่อมเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน” จางหู่เฉิงส่ายหน้า “เขากล่าวว่าภายหน้ายังมีโอกาสอีกมาก ครั้งนี้ไม่รีบ”
“…” กู้หยวนไป๋รับคำช้าๆ “อืม”
ใช้เท้าคิดก็รู้ว่าเซวียหย่วนทำเพื่อใคร
เขาแสร้งมองด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ เห็นเซวียหย่วนหลุบตาลง มองเขาเงียบๆ
บุคคลที่กระหายเลือดและกระหายสงครามยอมละทิ้งผลงานทางทหารเพื่อคนคนเดียว เต็มใจที่จะปกป้องอยู่ข้างกายกู้หยวนไป๋ในขณะที่มองดูคนอื่นเข้าสู่สนามรบเพื่อเข่นฆ่าศัตรู
ความรู้สึกนี้ช่าง…ซับซ้อนเหลือเกิน
ตกกลางคืนขันทียกถังน้ำร้อนเข้ามา กู้หยวนไป๋เช็ดมือเช็ดหน้า แล้วเช็ดร่างกายอย่างลวกๆ จากนั้นก็แช่เท้าอยู่ข้างเตียง
น้ำในถังสูงขึ้นมาถึงระดับน่อง ขณะที่เขาโน้มตัวดึงขากางเกงให้เข้าที่ ฝ่ามือขนาดใหญ่ก็พลันยื่นเข้ามา ร่างสีดำนั่งคุกเข่า ม้วนขากางเกงของกู้หยวนไป๋ขึ้น
เซวียหย่วนม้วนเสื้อผ้าอย่างดี ยื่นมือทดสอบอุณหภูมิน้ำ “มันเริ่มเย็นแล้ว กระหม่อมจะไปนำน้ำร้อนมาเพิ่ม”
ประตูกระโจมถูกยกขึ้นและปิดลง เซวียหย่วนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าลง ยกขาของฮ่องเต้ขึ้นมาจากถังน้ำแล้วถือไว้ในมือข้างหนึ่งของตัวเอง เทน้ำร้อนด้วยมือเดียว เมื่อรู้สึกว่าอุณหภูมิน้ำพอเหมาะแล้วจึงหยุดเท ใช้มือวนน้ำเบาๆ “มือของกระหม่อมหยาบกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าอุณหภูมิน้ำนี้กำลังดี ท่านลองดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ขยับขาอยู่ในฝ่ามือของเขา “ได้”
เซวียหย่วนย้ายขาของเขาไปสัมผัสน้ำอย่างระมัดระวัง กู้หยวนไป๋รู้สึกว่าอุณหภูมิน้ำไม่เลว “ได้อยู่”
เซวียหย่วนจึงวางมือลงอย่างวางใจ จากนั้นก็ยื่นนิ้วยาวๆ ออกมากำรอบข้อเท้าของฮ่องเต้ แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหมือนจะผอมลง”
“กินยาและฝังเข็มเป็นเวลานานติดต่อกัน” กู้หยวนไป๋จับไหล่ของเซวียหย่วนไว้ ทั้งยังถูกน้ำร้อนทำให้ตัวสั่น “ผอมลงก็ไม่แปลก”
เซวียหย่วนทอดถอนใจ ทำร่างกายให้มั่นคงเพื่อให้เขาประคอง “ผอมกว่านี้อีกก็ไม่มีเนื้อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็ควรไปหาหมอหลวงในสำนักหมอหลวงเสียบ้าง” กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปาก “พวกเขาไม่เคยเดินทางไกลเพียงนี้ ทั้งยังวิตกกังวลเกี่ยวกับร่างกายของเจิ้น ทุกคนต่างซูบผอมลงไปมากระหว่างการเดินทางครั้งนี้”
เซวียหย่วนรับคำอย่างขอไปที “ให้พ่อครัวกองทัพทำอาหารให้พวกเขามากหน่อย”
“ฝีมือของพ่อครัวกองทัพนั้นใช้ได้” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ครั้นใส่วัตถุดิบอย่างพอเพียง ไม่ว่าสิ่งใดล้วนมีรสชาติ”
“ท่านจะเสวยเช่นนี้ไม่ได้” เซวียหย่วนไม่พอใจ “กระหม่อมถามหมอหลวงแล้ว คนอื่นกินได้ แต่ท่านจะเสวยเช่นนี้ไม่ได้”
กู้หยวนไป๋เอ่ย “อยู่ในซีซย่า จะมากเรื่องเหมือนอยู่ในนครหลวงไม่ได้ หย่วนเกอเอ๋อร์ เพิ่มน้ำร้อนอีกหน่อย”
เซวียหย่วนเติมน้ำ ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วประทับจูบ “เรียกว่าจิ่วเหยาหลางจวิน* สิพ่ะย่ะค่ะ”
* แม่ทัพเพี่ยวฉี เป็นชื่อตำแหน่งแม่ทัพทหารม้าขั้นสองหรือขั้นหนึ่ง โดยทั่วไปมียศต่ำกว่าแม่ทัพใหญ่เท่านั้น
* หลางจวิน เป็นคำเรียกที่ภรรยาใช้เรียกแทนสามีของตน
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN