everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
เดือนสองในนครหลวง อากาศของฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็นเล็กน้อย
ภายในห้องบรรทม เหล่านางกำนัลที่มีสีหน้าเบิกบาน กำลังถือน้ำร้อนและผ้าเช็ดหน้าเดินเข้าไปยังตำหนักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
บนเตียงมังกรสีทองอร่ามมีมือขาวๆ ยื่นออกมา ขันทีน้อยซึ่งรออยู่ด้านข้างมองจ้องสองเท้าเปลือยเปล่าของฮ่องเต้ที่กำลังจะแตะพื้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ยามนี้หัวหน้าขันทีเถียนฝูเซิงกำลังอุ่นฉลองพระบาทให้ฮ่องเต้อยู่ด้านนอกจึงไม่มีผู้ใดห้ามได้ ทุกอิริยาบถของฝ่าบาทที่เพิ่งหายจากอาการประชวรรุนแรงทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตระหนก
ขันทีน้อยตกใจ ก้าวไปข้างหน้าแล้วหมอบลงหน้าเตียง เท้าของผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าเหยียบบนหลังของขันทีน้อยได้ทันเวลา
ศีรษะของขันทีน้อยชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง กล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ “ฝ่าบาทจะสัมผัสความเย็นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะด้วยเสียงหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วด่าขึ้นมาว่า “ไสหัวไปทางโน้น”
ขันทีน้อยไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำเขา แต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้เขาลงพื้นทั้งอย่างนี้ จึงกล่าวอย่างบังอาจว่า “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ บนพื้นมันเย็น ไอเย็นนี้จะแทรกซึมเข้าสู่พระวรกายมังกรจากฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เถียนฝูเซิงเพิ่งเข้ามาก็ได้ยินขันทีน้อยกล่าวประโยคนี้ เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นทันควัน ถือรองเท้ามังกรอยู่ในมือ แสร้งร่ำไห้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมาปรนนิบัติให้พระองค์ลงพื้น พระองค์จะวางฝ่าพระบาทลงมาไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของกระหม่อมแทบจะหลุดออกมาจากคอแล้ว”
กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะทันใด “เจิ้น เห็นว่าวันวันหนึ่งหัวใจเจ้าหลุดออกมาเจ็ดแปดรอบ”
เถียนฝูเซิงหัวเราะหึๆ จับสองเท้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ก่อนสวมเครื่องเท้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน
กู้หยวนไป๋ได้กลิ่นธูปหอมและยาอบอวลทั่วทั้งห้อง จนอดที่จะทอดถอนใจมิได้
เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่จริงจังอะไรนัก หากแต่เป็นหนุ่มมั่นผู้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดต่างหาก เพราะขณะที่กำลังเล่นกระโดดร่ม ในวินาทีที่เขาทะลุผ่านชั้นเมฆมานั้น พอลืมตาขึ้นอีกทีก็ดันตื่นขึ้นมาในร่างนี้เสียแล้ว
ราชวงศ์นี้มีชื่อเรียกว่าต้าเหิงซึ่งไม่มีในบันทึกทางประวัติศาสตร์ น่าจะเป็นโลกสมมติที่สร้างขึ้น ระดับเทียบเท่ากับราชวงศ์ซ่งเหนือ
ร่างกายของกู้หยวนไป๋นี้เป็นร่างที่ไม่สมบูรณ์โดยกำเนิดและอ่อนแอมากเกินไป การเป็นฮ่องเต้จึงไม่ค่อยดีนัก
ตอนที่กู้หยวนไป๋มาถึง ก็ปรากฏร่องรอยของระบอบขันทีเผด็จการแล้ว โดยทั่วไปเมื่อเกิดระบอบขันทีเผด็จการมักจะหมายความว่าราชวงศ์นั้นได้ดำเนินมาถึงตอนกลางหรือปลายแล้ว ขุนนางผู้มีอำนาจขยายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ขันทีเองก็ต้องการที่จะคุมทัพ กู้หยวนไป๋ใช้เวลาสามปีเต็มในการลากร่างอมโรคนี้ล้มขุนนางผู้มีอำนาจและขันทีลงมาในคราเดียว ชำระล้างราชวงศ์เก่าและฝ่ายใน ปรับสมดุลอำนาจทั้งสามฝ่ายเป็นการชั่วคราว ฟื้นฟูอำนาจแห่งจักรพรรดิให้เป็นดังกาลก่อน
ในขณะที่เขาถูมือเตรียมต่อสู้และตั้งรับภารกิจครั้งใหญ่อยู่นั้น ร่างกายก็ไม่อาจทนทานได้ ครั้นปลายฤดูหนาวมาถึงก็พัดพาสายลมอันหนาวเหน็บมาด้วย
ช่วงไม่กี่วันที่กู้หยวนไป๋ป่วยหนัก เขาได้ยินหนึ่งหรือสองชื่อที่คุ้นเคยอย่างยิ่งโดยบังเอิญ ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ทะลุมาในโลกสมมติแต่ทะลุมาในหนังสือ
ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ในหนังสือมีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีก็ตาย จากนั้นจึงสละตำแหน่งให้ผู้สำเร็จราชการผู้โด่งดังซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง ส่วนนายเอกในหนังสือนั้นเป็นขุนนางมากความสามารถที่จะช่วยให้ผู้สำเร็จราชการปกครองแผ่นดิน มีชื่อเสียงดีงามสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น
กู้หยวนไป๋เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง และรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวของมิตรภาพลูกผู้ชายที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองในวังหลวงบนเว็บดราม่า
หลังรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี กู้หยวนไป๋ก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอยู่ช่วงหนึ่ง ความทะเยอทะยานก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะอย่างไรเสียมันก็สู้การรักษาชีวิตให้ดีมิได้
เขาโกหกตัวเองว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นของเขา ต่อให้ยามนี้เขาทำมากเพียงใดก็เป็นเพียงการปูทางให้กับฮ่องเต้ในอนาคตเท่านั้น
แต่จะให้ยอมแพ้ไปอย่างนี้ เขาไม่เต็มใจจริงๆ
ในช่วงที่เจ็บป่วยอยู่นั้นกู้หยวนไป๋คิดไปมากมาย จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หลายปีนี้เขาดูแลตัวเองอย่างดี เพลิดเพลินกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างเต็มที่ ทำตัวเป็นคนซื้อซีอิ๊ว ไปเรื่อย พร้อมสังเกตการณ์สังคมมิตรภาพลูกผู้ชายของสองตัวละครหลักในเรื่อง
กู้หยวนไป๋ยังไม่เคยเห็นสังคมมิตรภาพลูกผู้ชายแบบนี้มาก่อนเลย
“ฝ่าบาท เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงวางสองเท้าของกู้หยวนไป๋ลงอย่างเบามือเบาเท้า เพราะเกรงว่าจะรบกวนฮ่องเต้ที่กำลังจมอยู่ในความคิด
ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ยืนอยู่บนพื้น นางกำนัลนำชุดลำลองที่อบควันจนหอมมาผลัดเปลี่ยนให้เขา
ยังไม่ทันจะเปลี่ยนชุดเสร็จดี ด้านนอกก็มีขันทีมารายงาน “ฝ่าบาท เหอชินอ๋องพร้อมเสนาบดีกรมอากรและบุตรชายของเขา กำลังรออยู่นอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามา” กู้หยวนไป๋เอ่ย
ขันทีพาทั้งสามคนเข้ามา พวกเขาถวายความเคารพกู้หยวนไป๋ที่เพียงตอบรับเรียบๆ ด้วยเสียงหนึ่ง “ลุกเถิด”
คุณชายจวนเสนาบดีกรมอากรที่ยังมิได้สวมหมวก ดูจะเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ทั้งที่เมื่อเช้าเขาเพิ่งถูกผู้เป็นบิดากำชับไปสิบยี่สิบรอบว่าห้ามมองพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรงเด็ดขาด ทว่ายิ่งห้ามกลับเหมือนยิ่งยุ เพราะบัดนี้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังเหอชินอ๋องและผู้เป็นบิดากำลังอาศัยมุมอับลอบช้อนตาขึ้นมอง
อย่างที่กู้หยวนไป๋กล่าวถึง ผู้ครองแผ่นดินคือบุคคลที่ถูกตามใจจนเปราะบางที่สุด และได้รับการเลี้ยงดูจากทั้งแคว้น
ขณะที่คุณชายน้อยเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นนางกำนัลกำลังพาดผมดำขลับของฮ่องเต้ไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง วันนี้ฮ่องเต้เพิ่งหายจากอาการประชวร ตั้งใจสวมฉลองพระองค์สีแดงชาดเพื่อเฉลิมฉลอง ใบหน้าหยกนั้นสะท้อนสีแดงระเรื่อ
คุณชายน้อยก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก
“นี่คือคุณชายใหญ่ของใต้เท้าทังรึ”
น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋อ่อนโยนจนใต้เท้าทังรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่ง ก่อนค้อมตัวเอ่ย “คราก่อนฝ่าบาทตรัสกับกระหม่อมว่าคนหนุ่มในวังมีน้อย บุตรของกระหม่อมคุณสมบัติปานกลาง นิสัยโง่เขลา ทว่าดีที่ยังเยาว์วัย ปกติแล้วน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ กระหม่อมก็จะให้เขาเข้าวังบ่อยๆ เพื่อติดสอยห้อยตามและคลายเหงาให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋อยากถอนหายใจอีกแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งทำเรื่องใหญ่สำเร็จไป นั่นก็คือการบอกใบ้ให้ขุนนางใหญ่เหล่านี้ส่งบุตรหลานในสกุลตนมายังวังหลวง ร่างกายของเขาอ่อนแอ ไร้สนมชายาและลูกชายหญิง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงเพื่อใช้พวกเขาเป็นเชือกผูกมัดเหล่าข้าราชบริพารเท่านั้น แต่ยังเพื่อแสดงความโปรดปราน เลือกที่รักมักที่ชัง แบ่งแยกกลุ่มขุนนางและบัณฑิตออกจากกัน ส่วนเหตุผลข้อสามก็เพื่อดูว่าจะมีคนเก่งอนาคตสดใสที่จะปลูกฝังความจงรักภักดีและอยู่รับใช้ตนหรือไม่
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีแก่ใจแล้ว
“เข้ามานี่ ให้เจิ้นได้เห็นหน้า” กู้หยวนไป๋กวักมือเรียกคุณชายน้อย “ใต้เท้าทังไม่ต้องถ่อมตัวไป ท่านมีชื่อเสียงในด้านการอบรมสั่งสอน เจิ้นเองก็เคยได้ยิน”
คุณชายน้อยกลั้นลมหายใจเดินไปหาฮ่องเต้ที่ด้านหน้า ส่วนแผ่นหลังของใต้เท้าทังเองก็เปียกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เพราะหลังจากที่ฮ่องเต้ชำระสะสางราชสำนักในคราวเดียวแล้ว เขาก็มักจะรู้สึกตึงเครียดเสมอเมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์ อำนาจในราชสำนักของฮ่องเต้เพิ่มพูนขึ้น เขาจึงกังวลว่าบุตรชายจะเสียมารยาทต่อหน้าพระองค์
โชคดีที่วันนี้ฮ่องเต้น่าจะอารมณ์ดี ทั้งยังเอ่ยถามด้วยความเป็นมิตรยิ่ง คุณชายน้อยตอบทุกคำถาม อาการตะกุกตะกักในตอนแรกก็ผ่อนคลายลง
กู้หยวนไป๋ต้องการจะยกถ้วยขึ้นดื่มชา ทว่าจู่ๆ มือของเขาก็สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้วยชาร่วงลงพื้นส่งเสียงดังแสบแก้วหู กู้หยวนไป๋มองไปยังเศษถ้วยชาบนพื้น รู้สึกถึงเพียงไฟโกรธเข้าจู่โจมหัวใจ เขาระคายคอและเริ่มไอ
คุณชายน้อยสะดุ้งโหยง ก้าวขึ้นหน้าไปหาฮ่องเต้ตามสัญชาตญาณ นิ้วมือขาวของฮ่องเต้ลูบๆ หน้าอก คิ้วขมวดแน่น ทั้งตกใจทั้งโมโห
“ฝ่าบาท” คุณชายน้อยที่บังอาจเอื้อมมือประคองฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความกังวล “พระองค์ไม่เป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
เศษถ้วยชาถูกเก็บออกไป ส่วนกู้หยวนไป๋ก็หยุดไอแล้ว และแย้มยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง “เจิ้นไม่เป็นอะไร”
เหอชินอ๋องที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เข้าตำหนักหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ฝ่าบาทต้องดูแลพระวรกายมังกรให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ ยามที่เสด็จพ่อยกแผ่นดินให้ฝ่าบาทในตอนนั้น พระองค์ยังมิได้อ่อนแอเช่นทุกวันนี้เลย”
กู้หยวนไป๋ถอนใจ ก่อนเอ่ย “เหอชินอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว”
กู้หยวนไป๋ปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นและเดินออกไปนอกตำหนัก แหงนหน้ามองท้องฟ้า “อากาศวันนี้ไม่เลวจริงๆ”
“พระวรกายของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว อากาศย่อมแจ่มใส” เสนาบดีกรมอากรเอ่ยเสริมทันที “หลายวันที่ฝ่าบาทประชวร ราษฎรในเมืองล้วนหน้านิ่วคิ้วขมวด อยู่บ้านอธิษฐานให้ฝ่าบาททุกวัน ฝ่าบาทปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม หัวใจราษฎรเบิกบาน แม้แต่สวรรค์ก็ยังหวงแหน”
ฮ่องเต้หัวเราะ เสนาบดีกรมอากรเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างไม่ลดละ “สองวันนี้อากาศน่าจะแจ่มใส ฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดังน้ำมัน เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตกปรอยๆ ดอกไม้ใบหญ้าแถบชานเมืองก็บานสะพรั่งแล้ว บุตรชายของกระหม่อมกล่าวว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมีการแข่งขันชู่จวี* ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ๋?” กู้หยวนไป๋สนใจเป็นอย่างมาก “แข่งชู่จวีหรือ”
เรื่องที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานชู่จวีนั้นคนทั่วหล้าต่างรู้ดี ใบหน้าของคุณชายน้อยแดงเรื่อ เขาคำนับก่อนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “พรุ่งนี้เป็นงานแข่งชู่จวีที่จัดขึ้นโดยบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษา มีกลุ่มศิษย์ทั้งหมดสี่กลุ่ม ใช้เวลาในการแข่งขันหนึ่งชั่วยาม** ครึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋เอ่ย “พูดไปพูดมา เจิ้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว พรุ่งนี้สำนักศึกษาของเจ้าจะจัดการแข่งขันชู่จวีขึ้นที่ใดยามใด เจิ้นอยากไปร่วมความครึกครื้นด้วย”
คุณชายน้อยรับคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาเฉียบคมของเถียนฝูเซิงสังเกตเห็นความอ่อนล้าปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วของฮ่องเต้ จึงรีบก้าวขึ้นหน้าเชิญให้เสนาบดีกรมอากรและบุตรชายออกไป ในเวลานี้เหอชินอ๋องที่ยืนใบหน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านข้างเหมือนตอไม้ข้างทาง จ้องมองกู้หยวนไป๋อย่างดุเดือดแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมกัน
กู้หยวนไป๋เห็นสีหน้าน่าเกลียดของเขาเช่นนั้นก็หัวเราะร่าครู่ใหญ่ จนกระทั่งรู้สึกแน่นหน้าอกจึงหยุดลง ก่อนกล่าวอย่างกระปรี้กระเปร่า “เถียนฝูเซิง ไป ไปชมสวนดอกไม้กับเจิ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังออกจากตำหนักสองพ่อลูกก็แยกทางกันอย่างเร่งรีบ คนหนึ่งไปหาเสนาบดีกรมทหารเพื่อเตรียมการสำหรับฮ่องเต้ที่จะออกจากวังไปชมการแข่งขันชู่จวีในวันรุ่งขึ้น ส่วนอีกคนรีบกลับไปยังสำนักศึกษาเพื่อแจ้งแก่อาจารย์ใหญ่ถึงเรื่องการจะมาเยือนของฮ่องเต้
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นดังคลื่นที่โหมซัดสาดสำนักกั๋วจื่อเสวีย อย่างบ้าคลั่ง อาจารย์ใหญ่ลุกขึ้นพรวด “ฝ่าบาทจะเสด็จ?”
อาจารย์ผู้ช่วยและจื๋อเจี่ยง ต่างพากันลุกขึ้น มองดูทังเหมี่ยนบุตรชายของเสนาบดีกรมอากรอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะยังมีท่าทีเข้มงวดขึงขังเช่นปกติ
ทังเหมี่ยนอดไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นมาอีกรอบ “เรียนท่านอาจารย์ใหญ่ ฝ่าบาทตรัสเช่นนั้นขอรับ”
อาจารย์ใหญ่เป็นขุนนางขั้นห้าเต็มขั้น เคยเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้จากที่ไกลๆ เท่านั้น ครั้นได้ยินข่าวเช่นนี้ ในอกก็เปี่ยมไปด้วยความปีติ เขาเดินไปเดินมาในห้องพร้อมใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยความสุข หัวเราะเสียงดังเป็นครั้งคราว ตื่นเต้นดีใจราวกับได้ดื่มสุราจนเมามาย
อาจารย์ผู้ช่วยและจื๋อเจี่ยงยังไม่เคยเห็นพระพักตร์ฮ่องเต้มาก่อน หนึ่งในจื๋อเจี่ยงที่มีอายุห้าสิบกว่าปีน้ำตาไหลอาบแก้ม พึมพำกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะมีวันที่ได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท”
อาจารย์ผู้ช่วยพยายามสงบสติอารมณ์ “อาจารย์ใหญ่ กลุ่มผู้แข่งชู่จวีทั้งสี่กลุ่มของสำนักศึกษาเราเป็นการรับสมัครอย่างไม่จริงจัง ความสามารถมีทั้งเด่นและด้อย หากลงแข่งทั้งอย่างนี้ จะต้องทำให้ฝ่าบาทหมดความสนใจเป็นแน่”
ฝีเท้าของอาจารย์ใหญ่หยุดชะงัก อดที่จะพยักหน้ามิได้ “ถูกต้องๆ เช่นนั้นวันนี้ก็รีบรับสมัครคนที่เตะชู่จวีเก่งๆ อีกสี่กลุ่มเสียใหม่ ฮ่าๆๆ น่ากลัวว่าถ้าเจ้าเด็กกลุ่มนั้นได้ยินว่าฝ่าบาทจะเสด็จ คงมิวายจะต้องพุ่งตัวเข้าใส่เป็นแน่”
อาจารย์ใหญ่นึกอะไรได้บางอย่างจึงหันมาถามทังเหมี่ยน “ฝ่าบาทตรัสว่าจะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์หรือมาอย่างเอิกเกริก”
ทังเหมี่ยนลังเล “ฝ่าบาทมิได้ตรัสอะไร แต่ท่านพ่อข้าไปหาเสนาบดีกรมทหารแล้ว”
อาจารย์ใหญ่ครุ่นคิด ลูบเคราพลางพยักหน้า ไม่ได้ถามทังเหมี่ยนให้มากความอีก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าต้องลงแข่งด้วย วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้จักต้องทำเพื่อเกียรติของสำนักกั๋วจื่อเสวียของข้า”
ทังเหมี่ยนเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ศิษย์จะทำให้ได้ขอรับ!”
แค่คิดว่าพรุ่งนี้ฮ่องเต้จะมาดูเขาเตะชู่จวี ทังเหมี่ยนก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง แทบจะรอไม่ไหวอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เพื่อให้ฮ่องเต้ได้รับรู้ว่าเขาเก่งกาจเพียงใด