everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ในนครหลวงมีสถานศึกษาของทางการสองแห่ง หนึ่งคือสำนักกั๋วจื่อเสวีย สองคือสำนักไท่เสวีย ราตรีเดียวกันนั้น ไม่รู้ว่าข่าวของสำนักกั๋วจื่อเสวียแพร่งพรายไปยังสำนักไท่เสวียได้อย่างไร อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักไท่เสวียถึงได้ส่งคำขอเข้าร่วมมาฝ่ายเดียวอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังจัดตั้งกลุ่มชู่จวีขึ้นมาสี่กลุ่ม ตั้งใจจะดวลฝีเท้ากับสำนักกั๋วจื่อเสวียต่อหน้าพระพักตร์ในวันรุ่งขึ้น
‘คนในสำนักศึกษาของพวกเจ้าเล่นกันเองจะไปสนุกอะไรเล่า รวมพวกข้าเข้าไปด้วยสิ! ศิษย์พวกข้าตัวสูงแข็งแรง เป็นนักเตะฝีเท้าดีเชียว!’
สิ่งที่ทำให้สำนักกั๋วจื่อเสวียหาความสุขมิได้ สำนักไท่เสวียย่อมคว้าให้มั่น
วันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จมาตามคาด พระองค์สวมชุดลำลองประทับอยู่ในศาลาที่คลุมด้วยผ้าม่าน เวลานี้เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังหนาวเย็น ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้และเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นล้วนไม่มีผู้ใดกล้าปล่อยให้ฮ่องเต้ต้องลมหนาวอีก
ภายในศาลามีเพียงด้านเดียวซึ่งหันหน้าไปทางสนามแข่งเท่านั้นที่ไร้ม่านคลุม และมีกระถางไฟตั้งอยู่ข้าง ๆ ยามนี้การแข่งขันยังไม่เริ่มขึ้น แต่ข้างสนามก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่รู้ข่าวเรียบร้อยแล้ว
ศีรษะของคนเหล่านี้ผลุบๆ โผล่ๆ หวังที่จะได้เห็นฮ่องเต้สักครั้ง
เสียงข้างสนามแข่งดังเซ็งแซ่ ความคึกคักแทบจะถล่มท้องฟ้า อีกทั้งยังมีบางคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กอดลำต้นพลางยืดคอมองเข้าไปในสนาม
ทังเหมี่ยนบุตรชายเสนาบดีกรมอากรกำสองมือแน่นจนชาเล็กน้อย เขาเพียงรู้สึกแน่นในอกด้วยความตื่นเต้น หลังจากเห็นฮ่องเต้อยู่ในศาลาจากที่ไกลๆ ความตื่นเต้นก็กลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันแรงกล้า
ในเวลานี้ซื่อจื่อ จวนผิงชางโหว ซึ่งเป็นสหายสนิทของทังเหมี่ยนกำลังพูดกับเขาอย่างเป็นกังวลว่า “ข้ารู้สึกว่าน่องของข้าจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว”
ทังเหมี่ยนตกใจ “รีบนวดเร็วเข้า ประเดี๋ยวการแข่งก็จะเริ่มแล้ว พวกเราต้องเตะอย่างงดงามให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร!”
“ก็เพราะรู้ว่าฝ่าบาททอดพระเนตรอยู่ ข้าถึงได้ตื่นเต้นอย่างไรเล่า” ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวสีหน้าบึ้งตึง “ท่านพ่อข้าได้ยินว่าวันนี้ข้าจะเตะชู่จวีต่อหน้าพระพักตร์ ก็ปลุกข้าตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งซ้อมมวยทั้งวิ่ง ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ทังเหมี่ยนนิ่งเงียบ เขาหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยความกังวลใจ “เจ้าเล่นได้ราวมังกรสะบัดหาง จะขาดเจ้าไม่ได้”
ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวอดที่จะรู้สึกภูมิใจไม่ได้ เขาพยายามแกว่งๆ ขาพร้อมสูดปากส่งเสียง ‘ซี้ด’ ออกมา “ข้าจะไปนวดก่อน”
ผู้เล่นชู่จวีในสนามส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนุ่มน้อยที่ยังมิได้เข้าพิธีสวมหมวก ครั้นได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จ ทั้งบัดนี้ยังมีผู้คนมาดูเป็นจำนวนมาก แม้จะตื่นสนามอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นและฮึกเหิมมากกว่า
“ข้างนอกยังหนาวอยู่ แต่เด็กพวกนี้กลับไม่กลัวกันเลย” กู้หยวนไป๋สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ขนปุยสีขาวล้อมรอบใบหน้าของเขา “ดูสิ สวมเสื้อบางๆ กันทั้งนั้น”
เถียนฝูเซิงรู้สึกปวดใจแทนฮ่องเต้ ก่อนอุ่นชาให้เขาอย่างระมัดระวังกาหนึ่ง “พอวิ่งก็เหงื่อออกแล้ว แต่หลังจากเหงื่อออกก็จะรู้สึกหนาวได้ง่าย สุดท้ายแล้วเพราะยังเด็กจึงสามารถต้านทานได้”
“สั่งการลงไป หลังการแข่งขันให้ส่งน้ำขิงไปทันที ให้คนในสำนักศึกษาระวังไว้ อย่าห่วงเรื่องเล็กจนเสียเรื่องใหญ่”
“พ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงให้คนสั่งการลงไป
แน่นอนว่าการแข่งขันชู่จวีระหว่างสองสำนักศึกษาย่อมดึงดูดสายตาผู้คน เสียงไชโยและเสียงโห่ร้องดังไปจนถึงอีกเนินเขาหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล
ฉู่เว่ยกับสหายร่วมสำนักที่กำลังเดินชมเขาอยู่สามารถมองเห็นฉากคึกคักนี้ได้แต่ไกล สหายร่วมสำนักหัวเราะพลางเอ่ย “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่ใคร่สนใจชู่จวีจริงๆ ข้าก็อยากจะไปที่นั่นเพื่อร่วมสนุกด้วย”
ฉู่เว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสวมชุดสีฟ้าทั้งตัว รูปโฉมสง่างาม บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ หว่างคิ้วมีความรู้สึกแปลกแยกเย็นชาเล็กน้อย เขาเป็นบุคคลที่เหมือนหยกอย่างแท้จริง เป็นชายรูปงามอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในนครหลวง
“หนวกหูเสียจริง” ฉู่เว่ยกล่าว “เบื้องบนชอบอย่างไร เบื้องล่างย่อมทำตามเช่นนั้น”
สหายร่วมสำนักเอ่ยเย้า “เจ้าควรจะยินดีที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมิใช่ของล้ำค่าที่หาได้ยาก มิเช่นนั้นก็คงจะเป็นภัยต่อสรรพสิ่งในใต้หล้าอีกครา”
ฉู่เว่ยมีความสัมพันธ์อย่างเฉยเมยกับกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลเหล่านั้น เจ็ดปีที่แล้วหลังจากที่เขาสอบเจี่ยหยวน ได้ก็ออกเดินทางศึกษาไปทั่วหล้า เห็นราษฎรผู้ยากไร้ไม่มีอันจะกินมากมายก็รู้สึกผิดหวังต่อผู้ครองราชย์องค์ก่อนยิ่งนัก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไร้ผลงาน ไร้ข้อเสีย และไม่มีสิ่งใดพิเศษ ปล่อยให้ขุนนางผู้มีอำนาจเล่นหัวรังแกมาหลายปี จึงไม่มีค่าใดให้ฉู่เว่ยชายตามอง
สหายร่วมสำนักเห็นสายตาของเขาก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงหัวเราะและเดินชมทัศนียภาพต่ออย่างสบายๆ
แม้ต้าเหิงในยามนี้ภายนอกจะดูเหมือนทะเลสงบแม่น้ำใส แต่ในสายตาของผู้ที่มีความรู้ซึ่งมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกลับรู้ดีว่าความสงบสุขนี้คงอยู่ได้ไม่นาน
ทันทีที่ฮ่องเต้น้อยซึ่งอ่อนแอขี้โรคผู้นี้สวรรคต ก็จะเกิดศึกทั้งภายนอกและภายใน ฝูงหมาป่าคอยจับจ้องและรอให้ถึงเวลาก็จะดึงความชอบธรรมอันสูงส่งออกมาตามใจชอบ แต่ผู้ต่อสู้ก็คือบรรดาทหารม้าที่อยู่ในมือ
ต่อให้ฮ่องเต้น้อยดวงแข็งไม่สวรรคต เขาจะสามารถปราบหมาป่าดุร้ายผู้หิวโซจนดวงตาฉายประกายสีเขียว ให้เชื่องได้หรือ
จะเอาสิ่งใดไปปราบ ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกเช่นนั้นหรือ
ในการแข่งชู่จวีที่ครึกครื้นนี้ ผู้เตะเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ผู้ชมก็มีเหงื่อออกมากเช่นกัน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหลังจากเด็กหนุ่มเหล่านี้ลงแข่งได้ครู่หนึ่งก็มีข้ารับใช้ฝ่ายในจากวังหลวงส่งน้ำขิงร้อนกรุ่นมาให้ถึงที่ เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้รับสั่งเป็นพิเศษ เด็กๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนจำนวนมากก็อดที่จะดวงตาแดงก่ำมิได้
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เมื่อยกน้ำขิงขึ้นซดรวดเดียวจนหมด ไม่ช้าก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกาย เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองสามคนยังคงปิดดวงตาที่แดงก่ำนั้นไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “น้ำขิงอร่อยนัก”
“พี่ชายทั้งหลายรีบไปสวมเสื้อผ้าเถิด” ข้ารับใช้ฝ่ายในจากวังหลวงก็อบอุ่นยิ่งนัก “ตอนนี้ยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”
คนทั้งหลายค่อยๆ สลายตัวไป ฝ่ายซื่อจื่อจวนผิงชางโหวนามว่าหลี่เหยียน หลังบีบจมูกและดื่มน้ำขิงหมดถ้วยแล้วก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “สบายตัวนัก!”
เขาส่งถ้วยเปล่าให้ข้ารับใช้ฝ่ายในแล้ววางมือบนไหล่ทังเหมี่ยน เอ่ยเย้า “พี่เหมี่ยน เหตุใดยังไม่ดื่มอีก คงไม่ได้เสียดายหรอกกระมัง”
ทังเหมี่ยนหูแดง รีบซดรวดเดียวจนหมด “ปากไม่มีหูรูด พูดจาส่งเดชจริงๆ”
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ บ่าวชายของผิงชางโหวก็วิ่งเข้ามา “ซื่อจื่อ นายท่านให้ท่านรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับนายท่านขอรับ”
ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวตกใจ “เข้าเฝ้า?”
จู่ๆ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก “ขะ…ขะ…ข้ายังใส่ชุดเตะชู่จวีอยู่เลย”
บ่าวตัวน้อยกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ท่านคลุมเสื้อไปก่อนเถิด นายท่านร้อนใจมากขอรับ”
ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวรีบตามเขาไปที่ศาลาอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับผิงชางโหว
กู้หยวนไป๋ได้เชิญอาจารย์จากทั้งสองสำนักศึกษามาพูดคุยพอดี หลังจากได้รับรายงานก็เอ่ยว่า “เข้ามาเถิด”
สองพ่อลูกแห่งจวนผิงชางโหวถวายความเคารพ ก่อนเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “พระวรกายมังกรของฝ่าบาทเพิ่งจะหายจากประชวร กระหม่อมจึงคิดอยากเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋หัวเราะ “กับข้าต้องพิธีรีตองเพียงนี้เชียว? นั่งเถิด”
ผิงชางโหวบรรจงนั่งลงไม่ไกลจากเขา แผ่นหลังตั้งตรง และยังคงตื่นเต้น
จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ผู้ที่มิได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยตรงย่อมไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่พวกเขาต้องเผชิญ ฝ่าบาทขึ้นเป็นจักรพรรดิตั้งแต่ยังเยาว์ เดิมทีพวกเขานึกว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมาตนเข้าใจอุปนิสัยของฮ่องเต้อย่างถ่องแท้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาไปมานั้นเป็นเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาทเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน เพิ่งจะเข้าพิธีสวมหมวกเมื่อปีกลายเท่านั้น!
ผู้เป็นบิดานั่งลงแล้ว แต่ซื่อจื่อจวนผิงชางโหวไม่กล้านั่ง กู้หยวนไป๋กวาดตามองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาแล้วเอ่ย “นี่คงเป็นเหยียนเกอเอ๋อร์* กระมัง ที่แท้ก็โตถึงเพียงนี้แล้ว”
ผิงชางโหวเอ่ย “ตอนเด็กๆ ซุกซน พอโตก็ยิ่งชวนให้กระหม่อมปวดเศียรเวียนเกล้า”
“เด็กหนุ่มก็เป็นเช่นนี้” กู้หยวนไป๋หัวเราะเอ่ย “เหยียนเกอเอ๋อร์ มานั่งข้างเจิ้นสิ”
หลี่เหยียนนั่งลงข้างฮ่องเต้อย่างเก้ๆ กังๆ แม้จะพูดว่านั่งข้างๆ ทว่าตำแหน่งที่นั่งก็มีระยะห่างสองคนยืนกั้น ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ หลังจากนั่งลงแล้ว หลี่เหยียนรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสายหนึ่งลอยมาแตะที่ปลายจมูก
เครื่องหอมที่ใช้ในวังหลวงเป็นเครื่องหอมที่ดีที่สุด ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งมึนเมา หลี่เหยียนสูดดมจนอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเย้าอยู่ข้างๆ “เจิ้นได้ยินบรรดาใต้เท้าหลายท่านพูดกันว่าซื่อจื่อจวนผิงชางโหวหน้าตาหล่อเหลา น่าเสียดายที่ในสกุลพวกเขาไร้เด็กสาวที่คู่ควรแก่การออกเรือน มิฉะนั้นจะต้องชิงลงมือก่อนเป็นแน่”
ผิงชางโหวรู้สึกภูมิใจยิ่ง แต่หลี่เหยียนกลับกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด ฮ่องเต้ชอบหยอกเย้ายิ่ง จงใจพูดกับเขาว่า “เหยียนเกอเอ๋อร์ เงยหน้าให้เจิ้นดูว่าหน้าตาของเจ้าเป็นเยี่ยงไร”
หลี่เหยียนหัวแข็งราวกับลูกเป็ด เขาเงยหน้าขึ้นพรวดอย่างรุนแรง ใบหน้าของเด็กหนุ่มขี้อายแดงระเรื่อไปทั้งแถบ มองตรงไปที่พระพักตร์ของฮ่องเต้โดยมิได้หลบสายตา
ฮ่องเต้มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลี่เหยียนคอแข็งทื่อ ในทรวงอกที่เชื่อมไปถึงสมองนั้นว่างเปล่า
ผิงชางโหวตะโกน “หลี่เหยียน!”
หัวใจของหลี่เหยียนเต้นแรง ตกใจจนเกือบจะทะลึ่งตัวขึ้นมา เขารีบก้มหน้างุดพร้อมกล่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก “ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้เจตนา…”
กู้หยวนไป๋ชอบเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวาและทรงพลังเช่นนี้ เขาหัวเราะ “ผิงชางโหว ไม่ต้องหรอก เหยียนเกอเอ๋อร์บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
ฮ่องเต้กล่าวชมไม่กี่คำ ผิงชางโหวก็สั่งให้บุตรชายถอยออกไป หลี่เหยียนเดินโซซัดโซเซออกจากศาลา ทังเหมี่ยนคอยเฝ้าดูอยู่นอกกองทหารองครักษ์ไม่หยุดหย่อน เมื่อเห็นเขาออกมาก็รีบโบกมือ
หลี่เหยียนเดินเข้าไปหา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในฝูงชนอย่างเงียบๆ เดินไปไม่กี่ก้าว หลี่เหยียนก็หยุดเดินกะทันหัน เขามองไปรอบทิศ กลืนน้ำลายก่อนหันไปกล่าวกับทังเหมี่ยน “เจ้าบอกว่าตอนที่เจ้าเข้าวังคราก่อนก็เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างชัดเจนใช่หรือไม่”
ทังเหมี่ยนพยักหน้าน้อยๆ “ทำไม ครานี้เจ้าก็เห็นแล้ว? เจ้าเชื่อฟังคำของท่านพ่อเจ้ามากที่สุดมิใช่หรือ”
หลี่เหยียนลูบศีรษะพลางหัวเราะแหะๆ ไม่ตอบคำ ทว่ากลับกล่าวบางอย่างราวกับปาระเบิดลงพื้น “พวกเราสองคนร่วมมือกันหาจิตรกรสักคนดีหรือไม่ ข้าคิดจะวาด…” เขาชี้ขึ้นฟ้า แม้หวาดกลัวแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นอันห้าวหาญหาที่เปรียบมิได้ “วาดภาพของบุคคลนั้นเก็บไว้”
ทังเหมี่ยนตกใจจนกระโดดโหยง “เจ้าบ้าไปแล้วรึ!”
“ข้ามิได้บ้า” หลี่เหยียนขยิบตาให้เขา “พวกเราก็ไม่ต้องวาดให้เหมือน คิ้วตาวาดไว้กับข้า ส่วนจมูกปากวาดไว้กับเจ้า หากคิดจะดูพวกเราก็เอาภาพวาดมาต่อกัน ยามปกติที่ไม่มีสิ่งใดก็ซ่อนภาพวาดไว้ในห้องนอน ใครจะพบเจอได้เล่า”
ทังเหมี่ยนกลืนน้ำลาย ในหัววาดลักษณะของฮ่องเต้ที่เขาเหลือบมองวันนั้น เมื่อสบตากับหลี่เหยียนอีกครั้ง ต่างคนก็ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นอันตกลงแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 มิ.ย. 65