everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
กู้หยวนไป๋ดื่มชาชั้นดีไปแล้วครึ่งกา การแข่งขันชู่จวีที่ด้านนอกก็จวนจะจบลงแล้ว เขายันโต๊ะหินเพื่อลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า บนหลังมือขาวดุจหยกผุดเส้นเลือดสีซีดดูไร้เรี่ยวแรง กู้หยวนไป๋กำมือป้องปากไอสองสามที ก่อนเอ่ยปรามข้ารับใช้ที่กำลังจะเดินเข้ามา “ไม่เป็นไร”
ผิงชางโหวมองเขาอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท พระวรกายมังกรเพิ่งหายจากอาการประชวร ห้ามตากลมเป็นอันขาด ควรดูแลพระองค์เองให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋กระตุกยิ้มมุมปาก แม้ร่างกายของเขาจะอ่อนแอ ทว่ารอยยิ้มกลับเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาราวบุปผาที่เบ่งบาน “โสม เขากวาง กระดองเต่า นอกจากนี้ยังมีกระดูกเสือ เห็ดหลิงจือ ถั่งเช่า…เจิ้นเห็นว่าในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดล้ำค่าไปกว่าเจิ้นแล้ว”
“ผิงชางโหว ทั่วทั้งใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดรักและถนอมชีวิตไปกว่าเจิ้นแล้ว” กู้หยวนไป๋พูดกับตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข “แม้วัตถุดิบยาจะมีราคาแพงแต่ก็ต้องบอกว่ารสชาติไม่ค่อยดีนัก ทุกครั้งที่เจิ้นดื่มมันล้วนอยากจะโยนชะเอมเทศลงไปเสียทั้งตะกร้า”
ผิงชางโหวอดทอดถอนใจที่สวรรค์เล่นตลกมิได้ ฝ่าบาทอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปี ความอดทนและความเฉลียวฉลาดต่างจากปุถุชนทั่วไป ทั้งยังใจกว้างและมองโลกในแง่ดีเพียงนี้ เหตุใดสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งโอรสสวรรค์หนุ่มผู้นี้ เหตุใดต้องมอบร่างกายที่ถ่วงแข้งถ่วงขาฝ่าบาทเช่นนี้ด้วยเล่า
เขาหัวเราะตามไม่กี่เสียง แล้วพูดคุยกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอีกสองสามประโยค
ไม่นานก็มีคนเข้ามารายงานผลแพ้ชนะ กู้หยวนไป๋ฟังแล้วก็พยักหน้าเอ่ย “ตกรางวัล”
หัวหน้าทหารองครักษ์เหลือบมองท้องฟ้า ก้าวขึ้นหน้าและกระซิบเกลี้ยกล่อมให้กู้หยวนไป๋กลับวัง การประชุมเช้าของราชสำนักต้าเหิงจะจัดขึ้นทุกสองวัน ด้วยบังเอิญว่าวันนี้เป็นวันว่างจึงได้มาดูการแข่งชู่จวี เดิมทีกู้หยวนไป๋ยังต้องการที่จะเที่ยวชมภายในนครหลวงเสียหน่อย แต่ท่ามกลางการเกลี้ยกล่อมนี้เขาคงต้องละทิ้งความตั้งใจ แล้วปล่อยข้ารับใช้สองสามคนไว้ที่นี่ โดยมีเหล่าทหารองครักษ์คุ้มกันขึ้นรถม้า
ผิงชางโหวน้อมส่งฝ่าบาท ขณะที่กำลังจะพาบุตรชายกลับจวน ก็ได้ยินว่าบุตรของตนและคุณชายใหญ่จวนเสนาบดีกรมอากรไปที่ใดกันก็ไม่รู้ ผิงชางโหวตกใจ โทสะบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินทางกลับจวนด้วยใบหน้าสงบนิ่งตามลำพัง
ครั้นใกล้เวลาค่ำซื่อจื่อแห่งจวนผิงชางโหวก็เพิ่งจะกลับถึงจวน ผิงชางโหวสั่งให้คนรออยู่ที่ลานด้านหน้า ทันทีที่หลี่เหยียนย่างเข้าประตูมาก็ถูกผู้เป็นบิดาเรียกเข้าไปในห้องตำรา
“วันนี้หลังจากฝ่าบาทเสด็จกลับ ข้าถึงได้รู้ว่าเจ้ากลับไปก่อนแล้ว” ผิงชางโหวกล่าวอย่างโมโห “ฝ่าบาทยังไม่ขยับไปไหนแต่เจ้าถึงกับกล้าออกมาก่อน เจ้ามันช่างบังอาจนัก!”
ครั้นหลี่เหยียนได้ยินบิดาเอ่ยถึงฝ่าบาทก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขากลัวว่าจะถูกจับได้จึงเอ่ยอย่างลนลาน “ท่านพ่อ ท่านเดาสิว่าวันนี้ข้าเห็นอะไร ตอนที่ข้าท่องเที่ยวไปตามถนน บังเอิญเห็นเซวียหย่วนผู้นั้นกำลังควบม้าอยู่กลางนคร เขาก็ทำเกินไปจริงๆ!”
ผิงชางโหวขมวดคิ้ว “ควบม้ากลางนครรึ ไม่ได้ ข้าต้องเขียนรายงานถวายฝ่าบาท”
หลี่เหยียนย่องออกไปจากห้องตำราเงียบๆ ครั้นกลับถึงห้องตนก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาไล่คนข้างกายออกไปจนสิ้น ปิดประตู จุดเทียน ก่อนที่ม้วนภาพอุ่นๆ ในอ้อมอกจะถูกแผ่หลาลงบนโต๊ะ
การมีม้วนภาพวาดของฝ่าบาทไว้ในครอบครองคือเรื่องใหญ่อันมีความผิดฐานขบถ ภาพพระพักตร์เบื้องสูงจะเอามาซ่อนไว้ในห้องนอนเด็กหนุ่มตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ในฐานะบุตรคนโตของผิงชางโหว หลี่เหยียนย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่าเขาไม่อาจควบคุมได้และมักจะรู้สึกตื่นเต้นในใจอย่างท่วมท้นอยู่เสมอ เขารู้สึกกลัวและวิตกกังวลเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าบาทโดยตรง แต่ครั้นจะให้ละสายตาไปจากฝ่าบาทก็รู้สึกไม่ใคร่เต็มใจนัก
เขามิได้ประสงค์ร้ายและไม่คิดจะนำภาพวาดนี้มาทำเรื่องไม่ดีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทงดงามอย่างแท้จริง หากไม่วาดเก็บไว้เสียหน่อยก็คงน่าเสียดายแล้ว
หลี่เหยียนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ในภาพวาดคือบุรุษผู้สูงศักดิ์ จิตรกรวาดคิ้วและตาของบุรุษผู้นี้ตามคำบอกกล่าวของหลี่เหยียน แต่เส้นหมึกตรงโครงหน้าด้านล่างกลับเลือนรางยิ่ง ซึ่งนั่นก็ทำไปเพื่อการปกปิด นอกจากเขากับทังเหมี่ยนแล้วไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าส่วนหนึ่งของภาพวาดผืนนี้คือฝ่าบาท
พระพักตร์ของฝ่าบาทนั้นมีเสน่ห์เป็นพิเศษ ทว่าจิตรกรไม่เคยเห็นกับตา หลี่เหยียนมองอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างหงุดหงิด “ยังจะบอกว่าตนเป็นจิตรกรมือหนึ่งแห่งนครหลวง ภาพวาดนี้มันของเล่นอะไรกัน ดูคล้ายเทพแต่กลับไม่คล้าย ฝีมือวาดภาพของข้ายังดีกว่านัก”
หลังก่นด่าพึมพำอยู่ครู่ใหญ่ หลี่เหยียนก็ค่อยๆ ม้วนภาพเก็บแล้ววางลงในลิ้นชักลับตรงหัวเตียง หลี่เหยียนเอนตัวลงนอน สมองนึกถึงภาพใบหน้าของฝ่าบาทที่เขาพบในวันนี้อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าความไร้มารยาทนี้จะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจเขาหรือไม่ วันนี้ที่เขาเตะชู่จวีก็ไม่รู้ว่าดูเป็นอย่างไรบ้าง จะต้องเหนื่อยหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่ ฝ่าบาทชมว่าเขาหล่อเหลา แต่ไม่ว่าจะหล่อเหลาเพียงใดก็ไม่มีใครดูดีตอนที่เตะชู่จวีหรอก
คิดไปคิดมาหลี่เหยียนก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางความสะลึมสะลือ
แน่นอนว่ากู้หยวนไป๋ไม่รู้ความคิดนี้ของเด็กหนุ่ม เขาได้รับการปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สีหน้าในยามราตรีของเขาซีดขาวเล็กน้อย เถียนฝูเซิงกระซิบถาม “กระหม่อมนวดกดพระเศียรให้ฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
บนแท่นบรรทมมังกรสีทอง นางกำนัลรูปโฉมงดงามในเสื้อผ้าเบาบางสามนาง คุกเข่าอยู่ข้างกายกู้หยวนไป๋พลางใช้ผ้าเช็ดผมดำขลับที่เปียกชื้นของฮ่องเต้โดยไม่พูดจา
“ไม่ต้องแล้ว” กู้หยวนไป๋หลับตาลง พยายามข่มความรู้สึกไม่สบายกายเอาไว้ “ให้ศิษย์น้อยของเจ้าเข้ามาทุบๆ ขาให้เจิ้นที”
เถียนฝูเซิงรีบไปเรียกศิษย์น้อยมาทันที ขันทีน้อยคุกเข่าลงหน้าแท่นบรรทมมังกร ทุบๆ ขาด้วยความคล่องแคล่ว อดดีอกดีใจมิได้ที่ฝ่าบาทชอบฝีมือของตน
หลังจากที่ผมดำขลับถูกเช็ดจนแห้งแล้ว นางกำนัลทั้งสามก็ลงจากแท่นบรรทมเงียบๆ แล้วถอยออกไปด้วยเท้าเปลือยเปล่า
“เถียนฝูเซิง” จู่ๆ กู้หยวนไป๋ก็พูดขึ้น น้ำเสียงเกียจคร้านเหมือนกำลังจะหลับ “เรื่องที่เจิ้นให้เจ้าไปทำเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงตอบ
“อืม” กู้หยวนไป๋เอ่ย “ทุกคนที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแรงกายและแรงใจทั้งหมดของเจิ้น ให้พวกเขาทำงานอย่างระมัดระวัง ข่าวสารไม่สำคัญ ชีวิตคือสิ่งสำคัญที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้กระหม่อมจะกำชับอีกครั้ง”
เมื่อสามปีก่อนกู้หยวนไป๋ลอบส่งคนไปรับเลี้ยงกลุ่มเด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งไว้ ให้อาหาร ให้เสื้อผ้า ให้ที่พัก สอนพวกเขาให้อ่านเขียนและสังหารศัตรู ล้างสมองและให้การศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นวัน จนในที่สุดก็กลายเป็นดาบคมในมือของกู้หยวนไป๋
พวกเขาเชื่อฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ฮ่องเต้สั่งให้พวกเขาทำสิ่งใดพวกเขาก็ทำสิ่งนั้น เมื่อหนึ่งปีก่อนกู้หยวนไป๋ได้คัดเลือกคนที่ภักดีที่สุดในหมู่พวกเขาสี่ร้อยคนออกมา สั่งให้พวกเขาลอบเข้าไปในจวนของขุนนางแต่ละคน รวมถึงแฝงตัวเข้าไปในกองทหารแถบชายแดนและกองทหารทุกแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ในบรรดาทหารรักษาพระองค์ ทหารองครักษ์ข้างกายเขาก็มีคนเหล่านี้ซุ่มซ่อนอยู่ด้วย ดาบเล่มนี้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการล้มล้างขุนนางหลูเฟิงผู้มีอำนาจในตอนนั้น
กู้หยวนไป๋ลอบตั้งชื่อมันว่าหน่วยควบคุมดูแล อวนขนาดใหญ่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปบนดินแดนต้าเหิงอย่างลับๆ คนที่หน่วยควบคุมดูแลส่งออกไป คนที่เก่งกาจล้วนได้ความดีความชอบทางทหาร ส่วนคนที่ไม่เก่งก็ยังคงแสวงหาโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นในจวนขุนนาง ข่าวที่พวกเขาส่งกลับมานั้นเริ่มมีพลังอันน่าตกใจ
นี่ก็ผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้น กู้หยวนไป๋ไม่รีบ ยามนี้เขารู้สึกง่วงนอนเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ย “เข้านอนเถิด”
องครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์หมิง องครักษ์หลวนอี๋แห่งราชวงศ์ชิง กู้หยวนไป๋เองก็ต้องการจะสร้างกลุ่มยอดฝีมือร่างกายกำยำที่เชื่อฟังเพียงคำสั่งของเขาบ้าง ความคิดต่างๆ นานาในหัวของเขานั้นไร้ที่สิ้นสุด หน่วยควบคุมดูแลและกลุ่มยอดฝีมือนี้จะสามารถเติมเต็มและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ กระทั่งชื่อของกลุ่มเขาก็ตั้งไว้ว่าองครักษ์ตงหลิง เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นดั่งนกอินทรีที่มีดวงตาและกรงเล็บแหลมคมในมือของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยังขาดต้นทุนแห่งการปฏิวัติอยู่ดี
กู้หยวนไป๋ไม่รู้ว่าตนจะทำได้ถึงขั้นไหนก่อนตาย แต่หากเขาไม่ทำอะไรเลยก็จะอึดอัดใจยิ่งกว่า
เถียนฝูเซิงดับไฟและถอยออกไปเงียบๆ ครั้นมาถึงนอกตำหนักก็พยักหน้ากับหัวหน้าทหารองครักษ์ ก่อนเอ่ยเสียงกระซิบ “วันนี้ฝ่าบาทเหนื่อยแล้ว”
หัวหน้าทหารองครักษ์แซ่จาง นามว่าซวี่ ไม่เพียงมีความห้าวหาญแต่ยังเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก เขาคือหัวหน้าทหารองครักษ์ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกมาจากกลุ่มทหารรักษาพระองค์ด้วยตัวเอง จางซวี่รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ตัดสินใจว่าจะรักษาความปลอดภัยของพระองค์เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าจงรักภักดีไม่แปรเปลี่ยน
หัวหน้าทหารองครักษ์ถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยด้วยความรักสุดหัวใจว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญ”
เถียนฝูเซิงอดที่จะพยักหน้าตามไม่ได้ “หากคราวหน้ามีเรื่องเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะอ้อนวอนให้ฝ่าบาทเสด็จไปทอดพระเนตรอีก ขอเพียงเห็นฝ่าบาทมีความสุข ต่อให้ต้องเอวเคล็ด ข้าน้อยก็จะลงสนามเตะชู่จวีให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร”
หัวหน้าทหารองครักษ์เงียบไปครู่หนึ่ง เหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงข้ามก็พากันยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา หัวหน้าทหารองครักษ์ขวยเขินสักพักก่อนเอ่ยว่า “พี่น้องของพวกข้าเหล่านี้ก็เป็นนักเตะชู่จวีฝีมือดีไม่เบา”
มีหลายคนที่ตั้งใจฝึกฝนเป็นพิเศษเพราะฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ เล่นได้อย่างหมดจดงดงาม เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง
เถียนฝูเซิงหัวเราะพรวด บนหน้าราวกับมีดอกเบญจมาศเบ่งบาน “ในเมื่อท่านหัวหน้าทหารองครักษ์จางกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะจดจำไว้ หากฝ่าบาทถามขึ้นอีก ข้าน้อยก็จะทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นข้าน้อยจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทหรือไม่ก็ต้องดูฝีมือของใต้เท้าทหารองครักษ์ทุกท่านแล้ว”
ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอยู่นั้น เถียนฝูเซิงก็ได้ยินเสียงแมวสองสามตัวดังขึ้นที่มุมกำแพง เขาวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นไม่นานก็เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านหัวหน้าทหารองครักษ์จาง หมอท่านหนึ่งเข้านครหลวงมาแล้ว!”
คนจากหน่วยควบคุมดูแลส่งข่าวมาว่ามีหมอพเนจรท่านหนึ่งเดินทางจากไหวหนานมายังนครหลวง ทักษะการแพทย์ของหมอพเนจรท่านนี้สูงส่ง เพียงแต่ทั้งชีวิตนี้ไม่รักษาผู้สูงศักดิ์ ขณะที่เถียนฝูเซิงนำข่าวนี้ไปบอกกู้หยวนไป๋ เขากลับไม่มีท่าทีดีใจ ทำเพียงหรี่ตาเล็กน้อย บนตัวยังคงสวมเสื้อคลุมลายมังกรตัวหนาสำหรับการประชุมราชสำนัก
เสื้อคลุมลายมังกรนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย ใบหน้าของกู้หยวนไป๋แดงระเรื่อเล็กน้อยจากการลากของหนัก รูปลักษณ์ที่ดูหล่อเหลาไร้ที่ตินี้กลับปรากฏร่องรอยความอ่อนล้ารางๆ ที่หว่างคิ้ว
การประชุมราชสำนักในวันนี้ ผู้คนไม่น้อยต่างรุมเล่นงานบุตรชายของแม่ทัพเซวีย เรื่องที่เซวียหย่วนควบม้ากลางนครจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ทว่ากู้หยวนไป๋ไม่สบายใจนัก
ว่าที่ผู้สำเร็จราชการคนนี้ออกจะยโสโอหังเกินไปสักหน่อยแล้ว
กู้หยวนไป๋ลงโทษโดยการหักเงินเดือนแม่ทัพเซวียสามเดือน ทั้งยังกำชับให้เขาสั่งสอนบุตรชายให้ดี เพียงเพราะนึกถึงเซวียหย่วนที่เป็นตัวละครในหนังสือ ตอนนี้กู้หยวนไป๋จึงอารมณ์เสียขึ้นมาอีกแล้ว
อย่างไรก็ดีเขายังควรไปหาท่านหมอเลื่องชื่อท่านนั้น กู้หยวนไป๋สั่งให้คนเปลี่ยนชุดลำลองสีครามให้ตนและพาไม่กี่คนออกจากวังเงียบๆ
อันที่จริงในใจของกู้หยวนไป๋ไม่มีความหวังเท่าใดนัก หมอหลวงในวังซึ่งเป็นหมอที่เก่งที่สุดในใต้หล้ายังอับจนหนทาง หมอพเนจรท่านนี้จะสู้หมอหลวงของตนได้หรือ
“คุณชาย ที่นี่ขอรับ” หัวหน้าทหารองครักษ์ชี้ไปยังประตูไม้เบื้องหน้า
กู้หยวนไป๋ยิ้มมุมปาก ให้เขาขึ้นหน้าไปเคาะประตู ผ่านไปไม่นานก็มีเด็กคนหนึ่งมาเปิดประตูพลางมองสำรวจพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านช่องว่างระหว่างประตู “พวกท่านมารักษาโรคหรือ”
หัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ย “ถูกต้อง”
เด็กรับใช้เอ่ยถาม “รักษาให้ผู้ใด”
กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากด้านหลังของทหารองครักษ์ อาภรณ์สีครามทั้งตัวทำให้เขาดูสูงชะลูดดุจต้นไผ่ เขายิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กรับใช้ “เป็นข้าเอง”
เด็กรับใช้มองเขาพร้อมอ้าปากค้าง ถามออกมาอย่างโง่งม “เทพเซียนก็เจ็บป่วยได้ด้วยหรือ”
“เทพเซียนเจ็บป่วยได้หรือไม่ข้าไม่รู้” กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “ทว่าร่างกายข้ากลับเจ็บออดๆ แอดๆ”
เด็กรับใช้พากู้หยวนไป๋เข้าไปข้างใน ในห้องนั้นยังมีคนมาหาหมออีกหลายคน แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหยาบกระด้าง หน้าเหลืองมือกร้าน พวกเขาพากันมองผู้มาใหม่กลุ่มนี้ด้วยความสงสัย
บรรดาทหารองครักษ์เปี่ยมไปด้วยพลัง บุคลิกสง่างามดูไม่คล้ายคนธรรมดาสามัญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้หยวนไป๋ เขาถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลาง เยื้อย่างสบายๆ แม้ใบหน้าจะซีดขาว แต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความสูงส่งที่เอ่อล้นออกมาได้เลย
หมอพเนจรเหลือบมองเขา ในใจรู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ทว่าเขากลับมิได้พูดออกมา เพียงส่งสัญญาณให้กู้หยวนไป๋นั่งลงโดยไม่พูดอะไร กู้หยวนไป๋ยื่นมือออกมา เผยให้เห็นข้อมือเรียวเล็ก ท่านหมอจับชีพจรอยู่หนึ่งเค่อ คิ้วก็พลันขมวดแน่นขึ้นทุกที
เมื่อผละมือออกไปแล้วก็เพียงเอ่ยเรียบๆ “รักษาไม่หาย ทำได้เพียงกินยาประคองอาการ”
เหล่าผู้ติดตามมีสีหน้าดำคล้ำ กู้หยวนไป๋ถอนหายใจยืดยาว สั่งคนให้ทิ้งเงินไว้แล้วลุกขึ้นเดินจากไป
ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกระไร
ฮ่องเต้เดินตามใจไปเรื่อยเปื่อย และเดินมาถึงริมแม่น้ำอย่างช้าๆ เขาก้มลงมองเบื้องล่าง ใบหน้าที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำมีสีสันราวดอกท้อ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรดีเลย มีเพียงใบหน้าที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่กู้หยวนไป๋กลับไม่ชอบมัน
เขามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปข้างหลัง ข้ารับใช้ส่งผ้าให้กู้หยวนไป๋เช็ดมือและข้อมือของตน ชั่วขณะที่เขาเหม่อมองก็เห็นแม่นกให้อาหารลูกนกน้อยบนต้นไม้ข้างๆ ทันใดนั้นผ้าในมือก็ถูกลมพัดตกลงไปในแม่น้ำ
“เสียผ้าดีๆ ของเจิ้นไปเสียแล้ว” กู้หยวนไป๋ทอดถอนใจ “ไปเถิด กลับวัง”
ผิวน้ำนิ่งสงบ ผ้าผืนนั้นถูกน้ำพัดพาไปยังสถานที่ห่างไกล ครั้นคนกลุ่มนี้จากไปแล้วใต้น้ำก็พลันเกิดการเคลื่อนไหว ชายคนหนึ่งกำลังลากหญิงคนหนึ่งขึ้นไปบนฝั่ง ทั้งสองคนเนื้อตัวเปียกน้ำม่อล่อกม่อแล่กจนดูไม่ได้ ทว่าดวงตาของชายที่สวมชุดผ้าไหมทั้งตัวกลับสว่างไสว เขาเช็ดคราบน้ำออกจากใบหน้า สีหน้าแดงระเรื่อราวกับตื่นมาจากฝันหวาน