everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
บนแม่น้ำ เรือลำเล็กโคลงไปตามคลื่น
เซวียหย่วนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนหัวเรือ ด้านหลังมีฉางอวี้เหยียนบุตรชายตุลาการศาลสถิตยุติธรรมกำลังจิบสุราอย่างเกียจคร้าน ครั้นเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของเขาก็พูดพร้อมกับหัวเราะ “ที่แท้น้องชายของเจ้าไม่ได้ป่วยเป็นโรคหรอกหรือ”
เซวียหย่วนยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อวี้เหยียน เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขากำลังวางแผนสกปรกแล้วโยนให้ท่านแม่ของข้า วันนี้ตอนที่ข้ากลับจวนก็เกือบจะฆ่าเขาแล้วเชียว”
ฉางอวี้เหยียนหัวเราะร่วน “ทั้งยังดึงให้บิดาท่านพ่อเจ้าโดนลงโทษหักเงินเดือน ทำให้บิดาเจ้าและเจ้าถูกฝ่าบาทตำหนิต่อหน้าขุนนางนับร้อยอีก”
รอยยิ้มของเซวียหย่วนล้ำลึกขึ้น “ไม่เพียงเท่านั้น ครั้นกลับถึงจวนเขาก็ฝึกซ้อมกับข้าชุดหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าครั้งหน้าให้ข้าหาโอกาสยอมรับผิดกับฮ่องเต้น้อยอีก”
ฉางอวี้เหยียนฝืนยิ้ม
เซวียหย่วนตัวเป็นคนนิสัยเป็นสุนัข อารมณ์ดุร้ายเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน ไม่ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้มเยี่ยงวิญญูชนมากเพียงใด ไม่แน่ว่าในใจอาจกำลังคิดในสิ่งที่ชั่วร้ายอันตรายก็เป็นได้
คนผู้นี้ยังมีความโอหังอวดดี ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และคุณธรรม หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพเซวียกวดขันเข้มงวด เซวียหย่วนก็อาจถึงขั้นสับน้องชายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินโดยไม่กลัวว่าจะเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นหรือถูกตำหนิติเตียนทางศีลธรรมเลยแม้แต่น้อย
บุตรชายแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งกลับใช้ชีวิตราวกับหัวหน้าโจร
ฉางอวี้เหยียนเอ่ย “เจ้าก็อยู่นิ่งๆ บ้างเถิด ในนครหลวงมีคนจับตาดูเจ้าอยู่ไม่น้อย”
“แค่ข้าขี่ม้าก็ถูกพวกเขาเอาไปพูดราวกับมีเรื่องเข่นฆ่ากันกลางเมือง” เซวียหย่วนกล่าว “วันหน้าคราใดข้าจะก่อเนินจิงกวน ที่หน้าประตูพวกเขา ให้พวกเขารู้เสียบ้างว่าอะไรที่เรียกว่าการเข่นฆ่า”
“เจ้าอยากก่อก็ก่อไม่ได้หรอก ที่นี่มิใช่สนามรบเสียหน่อย จะมีศีรษะมากมายให้เจ้าก่อเนินสูงเพียงนั้นได้อย่างไร” ฉางอวี้เหยียนรินสุรารสเลิศให้ตัวเองอีกจอก เอนตัวนอนอยู่บนแผ่นไม้ ท่องกลอนออกมาเสียงดัง “อาภรณ์สีพื้นกลืนบุษกร อุทุมพรชูช่องามนักหนา แลไม่เห็นน้องนางในธารา แว่วเพลงมาจึงเห็นนางก้มเก็บบัว”
เซวียหย่วนเอ่ย “มีดอกบัวที่ใดกัน ดอกบัวไม่บานที่นี่เสียหน่อย”
ฉางอวี้เหยียน “แม้ไม่มีดอกบัว ทว่าข้ากลับเห็นดอกฝูหรงแล้ว”
เขาชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าที่ลอยอยู่ไม่ไกลจากเรือ “หากข้าดูมิผิด ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นน่าจะปักรูปสตรีไว้ด้านบนกระมัง”
เซวียหย่วนหยิบไม้พายช้อนผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ผ้าเช็ดหน้าเนื้อเนียนนุ่ม ไม่เกาะมือเมื่อเปียก เซวียหย่วนหรี่ตามอง หลังจากเห็นลายปักบนผ้าเช็ดหน้าอย่างชัดเจนแล้วก็ยิ้มอย่างมีนัยแอบแฝง
ฉางอวี้เหยียนถามอย่างสงสัย “ใช่รูปสตรีหรือไม่”
“ไม่ใช่” เซวียหย่วนยิ้มน่ากลัว “เป็นลายมังกร”
จู่ๆ กู้หยวนไป๋ที่กำลังอ่านฎีกาก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ
เขาขมวดคิ้ว คนข้างกายเปลี่ยนเตาอุ่นมือและยกชาร้อนเข้ามาให้เขาทันเวลาพอดี และจัดการให้กระถางไฟในตำหนักลุกโชนยิ่งขึ้น อุณหภูมิเช่นนี้นับว่าร้อนมากสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ศีรษะของนางกำนัลและขันทีในตำหนักต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทว่ากู้หยวนไป๋กลับรู้สึกว่าอุณหภูมินี้กำลังพอดี
เขากระชับเตาอุ่นมือที่แกะสลักอย่างประณีตในมือแน่นกว่าเดิม หลังจากสะบัดปลายพู่กันและตรวจฎีกาฉบับสุดท้ายจบเขาก็ลุกขึ้น สั่งให้คนเก็บโต๊ะ
ฮ่องเต้น้อยร่างกายอ่อนแอ รูปลักษณ์เหมือนคนที่ยังไม่เข้าพิธีสวมหมวก หลายครั้งที่กู้หยวนไป๋ต้องการแก้ปัญหาความต้องการทางกายของบุรุษ ทว่าทุกครั้งที่เห็นส่วนนั้นซึ่งมีสีชมพูนุ่มนิ่มและมีขนขึ้นเพียงหร็อมแหร็มก็ทำให้หายอยากไปเสีย
สีสันและรูปทรงของมันค่อนข้างน่าชม สะอาดสะอ้าน กระทั่งเรียกได้ว่าประณีตงดงาม ทว่าเมื่อมันอยู่บนร่างกายของกู้หยวนไป๋ ก็นับเป็นการโจมตีคุณค่าความเป็นชายของเขาอย่างชัดเจน
แค่ลูบไล้เพียงแผ่วเบามันก็จะกลายเป็นสีแดง เมื่อมีความรู้สึกก็จะเหี่ยวเฉา
กู้หยวนไป๋ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง
เถียนฝูเซิงถูกกู้หยวนไป๋ส่งตัวออกไปแล้ว ผู้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายคือขันทีน้อยคนหนึ่ง ขันทีน้อยเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทมีเรื่องใดกลัดกลุ้มหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋กำลังจะอ้าปาก แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกวัง เขาขมวดคิ้ว “ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เพิ่งจะสิ้นเสียงก็มีคนวิ่งเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ด้านนอกจับกุมมือสังหารได้คนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของกู้หยวนไป๋มืดมนลงทันที ทว่าผู้ที่มีใบหน้ามืดมนยิ่งกว่าเขาก็คือหัวหน้าทหารองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้างๆ
หลังจากอ่านฎีกาจบท้องฟ้าก็มืดแล้ว มือสังหารสวมชุดดำทั้งตัว ท่าทางแปลกๆ ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง หากไม่ใช่เพราะฝ่ายในถูกกู้หยวนไป๋ชำระไปแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งกลุ่มทหารรักษาพระองค์และทหารองครักษ์ส่วนหน้ายังต่างพากเพียรและขยันขันแข็ง เกรงว่าคงจะไม่พบบุคคลเช่นนี้
หลังจากกู้หยวนไป๋นั่งลงที่โต๊ะ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวสายลมเดือนสิบสอง “ผู้ใดส่งเจ้ามา”
มือสังหารถูกกดจนใบหน้าแนบติดพื้น ร้องไห้คร่ำครวญเพราะความอยุติธรรม “ผู้ใดจะส่งโจรขโมยบุปผามาเป็นมือสังหารเล่า ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมเพียงแค่หัวใจมืดบอดด้วยความใคร่ จึงได้บังอาจเข้าวังมาดูชม”
กู้หยวนไป๋เอ่ย “ขโมยบุปผามาจนถึงวังของเจิ้นเชียว? เจ้าชอบดอกไม้ดอกใดในวังของเจิ้น”
ฮ่องเต้น้ำเสียงล้ำลึก ในวังหลวงมีสนมชายาที่ไหนกัน ดอกไม้ที่ว่านี้ก็มีเพียงนางกำนัลฝ่ายในเท่านั้น
มือสังหารพยายามที่จะเหลือบมองไปทางฮ่องเต้ โอรสสวรรค์หนุ่มโมโหจนริมฝีปากเป็นสีแดงเลือด ใบหูก็แดงก่ำเช่นกัน ดวงตาที่เย็นชาเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง ช่างเป็นภาพที่น่าชมยิ่งนัก ครั้นมองแล้วชวนให้หูตาพร่ามัว ไม่ต้องการจะพลาดไปแม้แต่จุดเดียว
มือสังหารอ้าปากค้างพลางมองฮ่องเต้ด้วยอารามตกใจ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก้มหน้างุดไม่ตอบคำอีก
หัวหน้าทหารองครักษ์รีบรุดไปข้างหน้าและเตะมือสังหารอย่างแรง มือสังหารส่งเสียงอู้อี้ออกมาเสียงหนึ่ง พยายามจะคว่ำทหารองครักษ์ไม่กี่คนที่ปราบปรามเขา แต่เพียงพริบตาก็ถูกคนจำนวนที่มากกว่าเดิมกดอยู่ใต้ร่างอีกครั้ง
รองเท้ามังกรสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นตรงหน้า กู้หยวนไป๋ยกเท้าเชยใบหน้ามือสังหารขึ้น หากใบหน้านี้มิได้เปื้อนเลือดก็คงดูเป็นบุรุษผู้สง่างาม ดวงตาสว่างสุกใส เป็นใบหน้าของคุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง
มือสังหารกะพริบตาไล่เลือดข้างดวงตาออกไป มองช้อนไปยังฮ่องเต้อย่างมุ่งมั่น ครั้นเข้าไปใกล้ข้อมือเรียวบางของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา เขากล่าวอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงเพราะถูกความใคร่บังตาชั่วขณะจริงๆ”
มุมปากของฮ่องเต้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “เจ้าคิดว่าเจิ้นเชื่อ?”
ทุกกระเบียดนิ้วเป็นดังหยก กระทั่งเลอค่ากว่าหยกเสียอีก คิดว่าเหงื่อที่ไหลออกมาจากเนื้อหนังมังสาซึ่งได้รับการปรนเปรออย่างดีนี้ก็คงมีกลิ่นหอมเช่นกัน
มือสังหารที่รู้สึกคันยุบยิบในใจ ทั้งยังรู้สึกว่ารองเท้ามังกรที่เชิดคางของเขาขึ้นนี้ก็หอมมากเช่นกัน แก้ต่างว่า “กระหม่อมเคยเห็นหน้าฝ่าบาทครั้งหนึ่งที่นอกวัง คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะเข้าวังและยิ่งคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทก็คือฮ่องเต้”
กู้หยวนไป๋มองต่ำลงมาที่เขาครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มเย็นชา แล้วเอ่ย “จับคนไปขังไว้ในคุก ไต่สวนให้ดี”
ขณะที่ทหารองครักษ์ลากเขาออกไป มือสังหารก็ยังคงยิ้มอยู่ ดวงตาอ้อยอิ่งอยู่ในตำหนัก ไม่ละสายตาไปจากฮ่องเต้เลย
กู้หยวนไป๋ไอสองสามที มองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
คนถูกลากออกไปแล้ว หัวหน้าทหารองครักษ์นำทุกคนคุกเข่าลงตรงหน้ากู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เหลือบมองพวกเขาแต่มิได้ให้ลุกขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นหลังจากข่มโทสะไว้ได้แล้ว “อย่าให้เกิดขึ้นอีก”
วังหลวงโอ่อ่ากลับปล่อยให้โจรบุกไปถึงหน้าตำหนักเซวียนเจิ้งได้
ทหารองครักษ์ในวังเป็นสวะกันหมดหรืออย่างไร!
คำพูดของมือสังหารคนนี้เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระและน่าอัปยศ กู้หยวนไป๋คิดอยู่นานว่าใครบ้างที่จะเป็นคนส่งเขามาได้ แต่แล้วก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง
เขานวดคลึงหน้าผาก หว่างคิ้วย่นเล็กน้อย ครั้นลืมตาขึ้นมาก็เห็นหัวหน้าทหารองครักษ์จางซวี่กำลังมองมาที่ตน กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้วเอ่ย “มีอะไร”
หัวหน้าทหารองครักษ์ก้มหน้าอย่างละอายใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปสืบว่ามีข้อผิดพลาดที่ใด” กู้หยวนไป๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจิ้นอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเผยประตูสุนัขให้เขา!”
หัวหน้าทหารองครักษ์ถอยออกไป เถียนฝูเซิงมองสีหน้าฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดพลางเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เกลี้ยกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง กู้หยวนไป๋จึงจำใจพยักหน้าให้เขายกอาหารเข้ามา จากนั้นไม่นานโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศนานาชนิดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู้หยวนไป๋
ไม่ว่าอาหารจะอร่อยเพียงใด แต่กินมาสามปีก็เบื่อได้เหมือนกัน เดิมทีกู้หยวนไป๋ไม่มีความอยากอาหารอยู่แล้ว เมื่อขยับตะเกียบแล้วก็ไม่อยากขยับอีก ในใจอดที่จะนึกถึงอาหารรสเลิศอย่างมะเขือเทศผัดไข่ บาร์บีคิวหม้อไฟ แฮมเบอร์เกอร์และโค้กอะไรพวกนั้นไม่ได้
โดยเฉพาะมะเขือเทศ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้กู้หยวนไป๋ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับมะเขือเทศเลย ทว่าหลายปีมานี้เขาแทบจะหมกมุ่นอยู่กับมัน เพียงนึกถึงรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ก็ต่อมน้ำลายแตก แต่ว่ามะเขือเทศเข้ามาในประเทศจีนเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิง ตอนนี้ต่อให้เขาน้ำลายแตกจนไหลย้อยออกมาก็ไม่อาจกินผลสีแดงลูกใหญ่นั้นได้อยู่ดี
ครั้นนึกถึงอาหารเขาก็อดไม่ไหว โทสะของกู้หยวนไป๋หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความโหยหา ราชวงศ์ต้าเหิงในขณะนี้ไม่มีพริก รสชาติเผ็ดในอาหารล้วนมาจากการนำพืชจำพวกฮวาเจียว จูอวี๋ ขิง เจี้ยล่า ฝูหลิว คลุกเคล้ากลายเป็นเครื่องปรุงรสเผ็ด แต่เนื่องจากร่างกายนี้อ่อนแอจึงไม่สามารถกินเผ็ดได้ ในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้กู้หยวนไป๋จึงแตะอาหารเผ็ดน้อยมากๆ
คิดไปคิดมาอาหารนานาชนิดก็อยู่ในหัว กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนเรียกคนมาสั่งอย่างละเอียดว่าให้ไปสั่งให้ห้องเครื่องหลวงทำบะหมี่จ้าเจี้ยง มาชามหนึ่ง
ผ่านไปไม่นานชามบะหมี่ที่ราดด้วยซอสก็ถูกยกมาตรงหน้าของกู้หยวนไป๋ ในนั้นมีหอมแดงเล็กโรยหน้า กลิ่นหอมลอยอบอวล หน้าตาดูไม่เลวเลยทีเดียว กู้หยวนไป๋คีบเส้นบะหมี่ที่เคลือบด้วยหมูอบซอสขึ้นแล้วส่งเข้าไปในปาก กลิ่นหอมเตะจมูก ความอยากอาหารถูกจุดติดแล้ว
กู้หยวนไป๋กินบะหมี่ทั้งชามจนหมดเกลี้ยง รู้สึกเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะต้องก่อนหน้านี้ กู้หยวนไป๋ก็กระดิกนิ้วสั่งด้วยความเกียจคร้าน “ให้คนทำบะหมี่มาอีกชาม พร้อมกับเป็ดเหลียนฮวาและซุปข้นฝอยทอง ส่งไปเป็นรางวัลให้แม่ทัพเซวีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพเซวียรับอาหารที่ส่งมาจากวังด้วยตัวเอง ขันทีที่ส่งอาหารมาจึงยิ้มเอ่ย “แม่ทัพเซวียอยู่ในใจฝ่าบาทอย่างแท้จริง ขณะที่ฝ่าบาทเสวยกระยาหารก็ยังนึกถึงท่านแม่ทัพ ทั้งในกล่องยังมีบะหมี่อีกชาม นั่นคืออาหารจานใหม่ที่ฝ่าบาทขอให้ห้องเครื่องหลวงเตรียมในคืนนี้ ตั้งใจให้ข้าน้อยส่งมาให้ท่านแม่ทัพได้ลิ้มลอง”
แม่ทัพเซวียรู้สึกซาบซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทใหญ่หลวง กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงนึกถึง”
ขันทียิ้มอย่างพอใจแล้วขอตัวจากไป
คืนนั้นในจวนสกุลเซวีย
กับข้าวสองจานที่ฮ่องเต้ส่งมาถูกจัดวางให้อยู่ตรงกลาง ส่วนบะหมี่ชามนั้นถูกแม่ทัพเซวียถืออยู่ตรงหน้าของตน เขาคนบะหมี่ให้เป็นลูกกลมๆ อย่างระมัดระวัง แล้วลิ้มรสคำแรกด้วยความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเขาพลางขำ “อาหารที่ฝ่าบาทตกเป็นรางวัลให้พวกเราจะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้เด็ดขาด วันนี้ไม่จำเป็นต้องมีพีธีรีตองมากเกินไป หลินเกอเอ๋อร์จะดื่มสุราสักหน่อยก็ได้”
คุณชายรองเซวียเชื่อฟังไม่โต้แย้ง ครั้นเห็นว่าแม่ทัพเซวียยกตะเกียบขึ้นก็ยกตะเกียบตาม หมายคีบอาหารที่อยู่กลางโต๊ะ พอยื่นไปได้ครึ่งทางก็ถูกเซวียหย่วนที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มใช้ตะเกียบตีหลังมือ “ข้าอนุญาตให้เจ้ากินแล้วรึ”
มือของคุณชายรองเซวียมีรอยแดงปรากฏขึ้นทันใด เขามองไปยังผู้ใหญ่ไม่กี่คนอย่างน้อยอกน้อยใจ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าและท่านแม่ทัพเซวียดูราวกับมองไม่เห็น คุณชายรองเซวียจึงทำได้เพียงปล่อยอาหารพระราชทานลงด้วยความเกลียดชังลึกๆ และหันไปหาจานผักสีเขียวข้างๆ แทน
เซวียหย่วนเปลี่ยนตะเกียบ มองดูจานสองจานที่อยู่ตรงกลางและชิมคำหนึ่ง “ตีด้วยไม้แล้วมอบพุทรา ท่านแม่ทัพเซวีย ฝ่าบาทเห็นท่านเป็นสุนัขฝึกหัดน่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นลูกที่เกิดจากสุนัข” แม่ทัพเซวียกล่าวเสียงดัง
เซวียหย่วนขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับบิดา คีบอาหารจากในวังกินอย่างตั้งใจ กินไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน “อีกไม่กี่วันก็เป็นงานเลี้ยงเทศกาลโคมไฟแล้ว ถึงตอนนั้นข้าอยากเข้าวังกับท่าน”
แม่ทัพเซวียมองบุตรชายด้วยความสงสัย เอ่ยเตือนสติว่า “เจ้าอย่าได้คิดทำเรื่องน่าขายหน้าให้ข้าเชียว”
เซวียหย่วนแสร้งยกยิ้มมุมปากอย่างสุภาพ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของฮ่องเต้ออกมาเช็ดทำความสะอาดคราบสกปรกบนรองเท้า จากนั้นก็โยนมันลงบนพื้นแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำมันสองสามทีพลางเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ขี้โรคนั่นด่าทอเขารุนแรงเพียงนั้นต่อหน้าขุนนางนับร้อย เขาจะกล้าก่อเรื่องนอกลู่นอกทางอะไรได้อีก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 มิ.ย. 65