everY
ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 1.2-1.3 #นิยายวาย
Chapter 1.3
หลังจากเขกกะโหลกของซอลกีโดไปทีสองทีแล้ว ผมก็รีบออกจากบ้าน ต่อให้หงุดหงิดมากขนาดไหน แต่เมื่อยามเช้ามาถึงผมก็ต้องไปบริษัทอยู่ดี ผมส่งข้อความทิ้งเอาไว้ว่าให้หาข้าวหาปลากินให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปซะ หมอนั่นคงจะจัดการตัวเองได้อยู่แหละ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมที่จะต้องมาดูแลคนขี้เมานี่นา
วินาทีที่เดินไปถึงโต๊ะที่ทำงาน ทั้งออฟฟิศก็เพิ่งจะมีคนมาถึงไม่กี่คน ในระหว่างที่คอมพิวเตอร์กำลังเปิดอยู่นั้น ผมก็เดินไปชงกาแฟที่บาร์ชงกาแฟ
และแล้วช่วงเวลาแห่งการเพ้อฝันของผมก็มาถึงอีกครั้ง ไม่สิ…มันเป็นช่วงเวลาในการวาดแผนการในอนาคต เริ่มจากการหนีไปต่างประเทศหลังจากลาออก แผนการเพอร์เฟ็กต์สุดๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็ไปเที่ยวฮาวาย…
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ดูท่าจะไม่ใช่ใครนอกจากผู้จัดการอี ผมลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อที่จะทักทายเขา ทว่าแขนของผมกลับถูกจับเอาไว้แน่น ก่อนที่เนกไทของผู้จัดการอีจะเข้ามาประชิดแทบจะแตะปลายจมูกผม
“ใครครับ”
“ผม?”
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงกลิ่นฟีโรโมนนี่น่ะ เมื่อวานนี้คุณไปอยู่กับใครมา”
ไอ้เวรซอลกีโด ว่าแล้วเชียว…
เวลาหมอนั่นเมาเหล้าจนภาพตัดทีไรก็มักจะหัวเราะเหมือนคนซื่อบื้อพลางปล่อยกลิ่นฟีโรโมนไปทั่ว ผมเป็นเบต้าก็เลยไม่รู้ว่าเขาปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาหรือแพร่กระจายกลิ่นไปตรงไหนบ้าง แต่ได้ยินมาว่าคนที่ดื่มกับเจ้ากีโดล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่ต่างจากผักดองที่ถูกดองแช่อยู่ในฟีโรโมน เพราะเหตุนี้หมอนั่นจึงมักจะถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ถึงขั้นมีข่าวลือน่าขนลุกที่บอกว่าคนในชมรมละครเวทีที่เคยดื่มเหล้ากับหมอนั่นนอนกับหมอนั่นกันหมดแล้ว…
ผมเองก็กะเอาไว้แล้ว เมื่อเช้าเลยอาบน้ำถูตัวซะดิบดี แต่มันก็ยังเป็นแบบนี้เอาซะได้ ไว้ถ้าผมจัดการแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เมื่อไหร่ ผมจะไม่ปล่อยไอ้เด็กเวรซอลกีโดนั่นเอาไว้แน่ คอยดูเลย คราวหน้าผมจะไม่ดื่มเหล้ากับหมอนั่นอีกแล้ว
ยังไงก็ตามตอนนี้ดูเหมือนผู้จัดการอีน่าจะกำลังเข้าใจผมผิด ผมคงต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ก่อน ยังไงผมก็ไม่สามารถเริ่มต้นเช้าวันธรรมดาที่แสนน่าหงุดหงิดทั้งที่อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ได้จริงๆ
“ผมถามว่าคุณไปอยู่กับใครมา บอกมาสิครับ”
ทว่าสัญชาตญาณของผมกลับไวกว่าวิจารณญาณ ความรู้สึกอึดอัดใจที่เกิดขึ้นจากการถูกจับตัวอย่างกะทันหันเอาชนะมารยาททางสังคมของผมไปอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากของผมพูดโพล่งออกไปโดยไร้ซึ่งการชั่งใจ
“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะครับ”
ซวยแล้วไง
ผู้จัดการอีถอยหลังกลับไปครึ่งก้าว ก่อนที่เขาจะเสยผมขึ้นไปด้านหลัง
“ที่ผมพูดก็เพราะเป็นห่วงไงครับ เพราะผมเป็นห่วงร่างกายของคุณ…”
“ร่างกายอะไรกันครับ”
“ช่างเถอะครับ”
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เสียงดัง ต้องมีเรื่องอะไรที่เขาเข้าใจผิดไปแน่ๆ อย่าบอกนะว่าคิดว่าผมเป็นโอเมก้าเพราะเรื่องเมื่อวานนี้น่ะ?
ผู้จัดการอีกำหมัดน้อยๆ ก่อนจะคลายมือออก มือที่ขยับยุกยิกหยุดลังเลอยู่บริเวณแถวๆ ต้นคอของผม นี่เขากำลังเข้าใจผมผิดอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์
“ผู้จัดการอีครับ ผม…”
“ไม่ครับ ช่างมันเถอะ ต่อไปก็…”
ให้ตายสิ…ช่วยฟังคนอื่นเขาพูดให้จบก่อนได้ไหม…
“อย่าไว้ใจอัลฟ่าหน้าไหนเด็ดขาดเลยนะครับ พวกอัลฟ่าโดยเฉพาะพวกที่ชอบวนเวียนอยู่รอบตัวคุณน่ะ อย่าหลงเชื่อใจเด็ดขาด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ”
ผู้จัดการอีให้คำตักเตือนที่ฟังดูไร้สาระสุดๆ ก่อนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเขามีคำพูดอะไรที่อยากพูดอีกแต่กลับสะกดกลั้นมันเอาไว้ ประจวบเหมาะกับที่ผู้ช่วยคังเดินมุ่งหน้ามาหาผู้จัดการอีแล้วก้มหัวโค้งทักทายพอดี ผู้จัดการอีจึงยกมือขึ้นรับคำทักทายอย่างไร้มารยาท
ผู้ช่วยคังเดินมานั่งลงข้างๆ ผมแล้วเอ่ยปากกระซิบกระซาบ
“ในที่สุดผู้ช่วยคิมก็หักอกผู้จัดการอีแล้วสินะครับ?”
“…นี่ทุกคนรู้เรื่องที่ผู้จัดการอีชอบผมกันหมดเลยเหรอ!?”
“มีใครไม่รู้บ้างล่ะครับ เล่นเดินมาหาถึงที่นี่ทุกวันขนาดนั้น”
ผู้ช่วยคังเปิดพัดลมพกพาขึ้นอีกครั้งทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยสักนิด
“ว่าแต่เมื่อวานไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาล่ะครับ ทั่วตัวถึงได้อาบฟีโรโมนมาแบบนี้เนี่ย”
“ไอ้เวรซอลกีโดเอ๊ย!”
“ใครคือซอลกีโดเหรอครับ คู่แข่งผู้จัดการอีเหรอ”
ผมนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ภาพชายหาดสวยและท้องทะเลสีฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่นั้นราวกับกำลังล้อเลียนผม ภายในท้องรู้สึกพะอืดพะอมไปหมด ไม่สิ…ต้องบอกว่ารู้สึกแสบร้อนไปหมด
ในตอนที่เสียงคอมพิวเตอร์ของผู้ช่วยคังดังขึ้นครืดๆ ขณะเปิดขึ้น ผมก็ลุกจากที่นั่ง ไม่ได้การแล้ว ผมจะปล่อยให้ผู้จัดการอีมาเทียวไล้เทียวขื่อทำตัวน่ารำคาญทุกเช้าอย่างไร้เหตุผลไม่ได้แล้ว ต้องจัดการให้เรียบร้อยซะแล้วสิ
ถ้าไล่ตามไปตอนนี้ก็น่าจะทัน ดูจากท่าทีที่ดูเหมือนว่างนั้นแล้ว วันนี้น่าจะไม่ใช่วันที่มีประชุมอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจวิ่งตามผู้จัดการอีไปทันที
“ผู้ช่วยคิม” ผู้ช่วยคังเงยหน้าขึ้นมองผม “ขากลับมา ผมฝากกาแฟแก้วนึงนะครับ”
“ผู้ช่วยคิม!”
หัวหน้าอีส่งสัญญาณมือให้ผม พอผมยื่นหน้าออกไปก็เห็นว่าหัวหน้าอีกำลังชูนิ้วเป็นรูปอักษรตัววีอยู่
“ผู้ช่วยคิม ฝากของผมกับของคุณซอแผนกการเงินด้วยนะครับ”
“จะดื่มกาแฟอีกเหรอครับ”
“พอดีเมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะ”
ผมรู้สึกเหมือนความจริงบางอย่างที่ตัวเองไม่อยากจะล่วงรู้กำลังผุดขึ้นมาในหัว แต่สุดท้ายผมก็ส่ายหัว
ออกไปซะไอ้เจ้าพลังจินตนาการไม่รู้เวล่ำเวลา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่แกจะแสดงออกมานะ
ผมส่งสัญญาณนิ้ว ‘โอเค’ ไปให้หัวหน้าอีเป็นการตอบรับ
เอาล่ะ มุ่งหน้าสู่ชั้นเก้า
ทั้งที่ตอนลุกขึ้นมาจากที่นั่งผมยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ยิ่งลิฟต์ขึ้นไปสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ลำคอผมก็ยิ่งแห้งผากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจู่ๆ เกิดบุกเข้าไปในห้องผู้จัดการแล้วบอกว่า ‘อย่ามาชอบผมเลยนะครับ’ ผมจะไม่ถูกมองว่าเป็นคนบ้าใช่ไหม
ตัวลิฟต์ยังคงเคลื่อนขึ้นไปไม่หยุด
ติ๊ง…
ผมขึ้นมาถึงชั้นเก้าพร้อมกับเสียงลิฟต์ที่ฟังดูเป็นลางร้าย ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมก็เห็นใบหน้าหนึ่งที่คุ้นเคย
พนักงานฮา
ทำไมฮาวอนอีถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย
พนักงานฮาพยักหน้าทักทายผมก่อนเดินเข้ามาในตัวลิฟต์
“ไม่ลงลิฟต์เหรอครับ”
“เอ่อ…”
พอก้าวขาออกจากลิฟต์มาอย่างทำตัวไม่ถูก ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ
ไม่มีทางซะหรอก ไอ้คนพรรค์นั้น…
ถ้าหันหลังกลับตอนนี้ก็เท่ากับแพ้ สุดท้ายแล้วผมจึงเดินไปตามโถงทางเดินชั้นเก้าอย่างขึงขัง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูรักษาความปลอดภัย เพราะว่าห้องของผู้จัดการอยู่ติดกับห้องประชุมชั้นเก้า ดังนั้นจึงต้องกดรหัสรักษาความปลอดภัยก่อนถึงจะสามารถเข้าไปได้ ด้วยเหตุนั้นผมจึงรวบรวมกำลังใจทั้งหมดมาไว้ที่ปลายนิ้ว
ติ๊งต่อง…
น้ำลายในปากพลันแห้งผาก ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรครับ”
“เอ่อ…ผมคิมจูฮยอกจากทีมดูแลลูกค้าทีมหนึ่งครับ ไม่ทราบว่าผู้จัดการอีอยู่ไหมครับ”
“สักครู่นะครับ”
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกดรหัสเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงปลดล็อกออกดัง ‘แกร๊ก’
ทำได้ เราต้องทำได้
ในเมื่อเดินมาถึงห้องของผู้จัดการได้อย่างง่ายดายขนาดนี้แล้ว
เคาะประตูสิ เคาะประตูสิโว้ย
มือของผมสั่นระริก มาตอนนี้ผมถึงได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงอย่างทะลุปรุโปร่งว่าผมมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเจ้านาย…พูดคุยกับเจ้านายที่ตำแหน่งสูงกว่าผมว่า ‘ดูเหมือนคุณจะชอบผม แต่ได้โปรดอย่าชอบผมแบบนั้นเลยนะครับ’
ทั้งที่ไม่ได้ยืนอยู่หน้าแม่น้ำจอร์แดน* แต่กลับมีภาพหนึ่งปรากฏแวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วก่อนจางหายไป ภาพเครื่องแบบชุดนักเรียนมัธยมต้นสีน้ำเงินเหมือนโต๊ะบิลเลียด ภูเขาด้านหลังโรงเรียน เด็กสาวที่ผมเคยชอบ ไก่ฟ้าที่ผมเคยเห็นที่นั่น พ่อที่บอกว่าจะไปตกปลาแต่กลับจับกระต่ายกลับมาได้จากเนินเขา และน้องสาวที่รั้นจะเลี้ยงกระต่ายจนวุ่นวายไปหมด…
ทำไมความคิดถึงได้ล่องลอยไปยังภาพอะไรทำนองนั้นกันนะ
ผมยกมือขึ้นเคาะประตูห้องผู้จัดการ
“เชิญครับ”
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นผู้จัดการอีที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขามองมาที่ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแพรวพราว
“ผมบอกแล้วไงครับว่าให้ระวังพวกอัลฟ่าเอาไว้”
“ครับ?”
ผู้จัดการอีเดินพรวดเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะฟังคำพูดของผม เขาปิดประตูห้องลงดังโครม แผ่นหลังของผมที่แนบชิดติดกับประตูจึงหดเกร็งไปด้วยความตกใจขณะที่จมูกของผมฝังลงกับแผ่นอกของผู้จัดการอี
“ทำไมคุณถึงได้ไม่ฟังคำพูดของผมบ้างเลยครับเนี่ย”
“เดี๋ยวครับ…”
ผู้จัดการอีจับปลายคางของผมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเขาจับผมเอาไว้อย่างแรง แต่มันกลับเป็นแรงจับที่ผมสามารถสะบัดให้หลุดได้แม้ออกแรงเพียงเล็กน้อย เขาน่าจะแค่อยากทำให้ผมกลัว จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงผมจะไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ท่าทีของเขาไม่ได้ดูเหมือนอยากข่มเหงผมจริงๆ จังๆ เลยสักนิด
“คุณคิมจูฮยอก วันนี้ลาครึ่งวันดีไหมครับ”
“เรื่องนั้น…พอดีว่าผมอยากเก็บวันลาเอาไว้หน่อยน่ะครับ…”
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้ลาป่วยครับ”
ดวงตาของผู้จัดการอีลุกวาวราวกับจะลุกเป็นไฟ ก่อนที่เขาจะแลบลิ้นเลียขอบริมฝีปากตัวเองอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย ทำอย่างกับตัวเองเป็นนักแสดงเลยแฮะ ถึงแม้ว่านักแสดงที่ผมรู้จักจะมีแค่ไอ้หมาหน้าเซ่ออย่างซอลกีโด แต่ผู้จัดการอีมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับนักแสดงมืออาชีพ ท่าทางเขาดูเหมือนกับนักแสดงจริงๆ
สำหรับผู้จัดการอีแล้ว เขามีเสน่ห์ที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ทั้งที่ปกติแล้วผมไม่เคยมีความสนใจอะไรในตัวอัลฟ่าชายคนไหนเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เพราะแบบนั้นผมถึงได้รู้สึกดีจนติ่งหูของผมค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาทีละน้อย
แต่มันก็เท่านั้นแหละ
“…”
“…”
“…คุณคิมจูฮยอก”
“…ครับ”
“…”
“…”
“คุณเป็นเบต้าเหรอครับ”
“ครับ…”
ผู้จัดการอีผละมือออกไปพร้อมกับถอยไปข้างหลัง เขายกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเสียอารมณ์ ส่วนผมก็จัดการกับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เพราะเกิดรู้สึกกระดากอายขึ้นมา
“คุณเป็นเบต้าจริงๆ น่ะเหรอครับ”
“ครับ…”
“…”
ผู้จัดการอีเดินวนอยู่ในห้องทำงานประมาณสองรอบก่อนจะเอ่ยปากถามผมขึ้นอีกครั้ง
“ถ้างั้นคุณพกยาระงับอาการฮีตของโอเมก้าไปไหนมาไหนทำไมกันครับ”
“ผมก็เคยบอกไปแล้วนี่ครับว่านั่นไม่ใช่ของผม…”
“อย่ามาโกหกนะครับ”
“ผมพกไว้เผื่อเวลาเพื่อนร่วมทีมฮีตน่ะครับ…”
“เฮ้อ…”
ผู้จัดการอีนั่งลงตรงที่นั่งของเขา เขาปิดหน้าด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะกวักมือเรียกผม ผมจึงลากเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ มานั่งตรงหน้าโต๊ะของเขาโดยหันหน้าเข้าหากัน
“ถ้าอย่างนั้นอัลฟ่าที่อยู่กับคุณเมื่อคืนนี้ล่ะครับ”
“ทำไมผู้จัดการอีถึงได้ใส่ใจเรื่องนั้นนักล่ะครับ”
“คุณคิมจูฮยอก คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ครับว่าผมชอบคุณ ได้โปรดบอกผมมาเถอะครับ เพราะผมทั้งหึงแล้วก็เป็นห่วงมากคุณด้วย”
ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะเป็นความลับ แต่ผู้จัดการอีกลับพูดมันออกมาอย่างมั่นใจมากจนผมตกใจ ผู้จัดการอีจ้องผมที่กำลังอ้าปากพะงาบๆ เขม็งไม่วางตา ผมกลืนน้ำลายลงไปครั้งหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“เพื่อนน่ะครับ รุ่นน้องในชมรมสมัยมหา’ลัย…”
“ไปเจอเพื่อนคนนั้นมาแค่คนเดียวเหรอครับ เพื่อนแน่ใช่ไหม”
“ครับ…”
“เป็นคนแบบไหนเหรอครับ ทำงานอะไร แล้วหล่อไหมครับ”
ผมโดนบรรยากาศพาไปจนเผลอพูดความจริงเกี่ยวกับซอลกีโดออกไปว่าหมอนั่นเป็นเพื่อนที่จริงใจมากขนาดไหน หมอนั่นเป็นคนมุ่งมั่นแม้กระทั่งกับคนรักและตั้งใจทำงานของตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครเห็นต่างก็อยากปกป้องหมอนั่นในระดับเดียวกันกับพวกสมาชิกแฟนคลับของซอลกีโดกันทั้งนั้น แต่พอคิดว่านี่เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นจากนิสัยขาดสติเวลาดื่มเหล้าของไอ้หมอนั่นทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้แต่ขบกรามแน่นอย่างแค้นเคือง
ผู้จัดการอีเอนศีรษะไปด้านหลังก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็กลับมามองผมอีกรอบพร้อมใต้ตาที่ดูหมองคล้ำ
“ระวังพวกอัลฟ่าไว้ด้วยนะครับ”
“แต่ผู้จัดการอีเองก็เป็นอัลฟ่านี่ครับ…”
“นอกจากผมแล้วคุณต้องระวังอัลฟ่าคนอื่นทุกคนครับ ไม่สิ…แม้แต่ผมเองคุณก็ต้องระวังด้วยครับ”
“แต่ผมเป็นเบต้านะครับ”
“ผมรู้ แต่คุณก็ระวังไว้เถอะครับ”
ผู้จัดการอีไม่อาจกลับมาทำสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยมีเลศนัยตามปกติได้ ตอนนี้แหละคือโอกาส ต้องบอกความคิดของผมออกไป ต้องพูดให้ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุด…
“ผู้จัดการอี…ชอบผมเหรอครับ”
“รู้แล้วยังจะถามทำไมอีกครับ”
ผู้จัดการอีหัวเราะเบาๆ สีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมานิดหนึ่งต่างไปจากตอนปกตินั้นทำให้เขาดูเป็นมนุษย์มากขึ้นเป็นอย่างมาก ปกติแล้วเขาชอบทำตัวเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งในการจีบเอาไว้ ทว่าตอนนี้เขากลับเหมือนคนที่กำลังห่อเหี่ยว
“ทำไมถึงต้องมาหาผมทุกเช้าอยู่บ่อยๆ ล่ะครับ”
“ก็เพราะอยากเห็นหน้าคุณไงครับ คุณคงรู้สึกกดดันสินะครับ?”
“ครับ”
“ผมรู้ครับ แต่ที่ผมไปหาคุณก็เพื่อให้คุณรู้สึกกดดันนี่แหละครับ ผมคิดว่าถ้าไปหาคุณบ่อยๆ เพื่อมองคุณแล้ว สักวันหนึ่งวันที่คุณจดจำผมได้ก็คงจะมาถึง”
“ว่าไงนะครับ…”
ผมยกมือขึ้นเกาสันจมูกอย่างงงๆ ในขณะที่ผู้จัดการอีหัวเราะพลางเอามือเท้าคางด้วยท่าทีขี้เล่น
“ถ้างั้นจากนี้ไปผมจะไม่ไปหาคุณแล้วดีไหมครับ”
“ครับ มันรบกวนการทำงานของผม แล้วอีกอย่าง…”
“แต่ผมก็แค่อยากเห็นหน้าคุณตอนเช้าเองนะครับ”
“แต่มันทำให้ผมหัวเสียไปทั้งวันไงครับ…”
ผมพูดพึมพำเหมือนลูกหมาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ ต้องพูดให้ดูขึงขังกว่านี้ จะได้ตัดขาดการจีบครั้งนี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด ชีวิตในบริษัทในวันข้างหน้าจะได้สดใส
“ผู้จัดการครับ”
“ครับ”
“อย่าชอบผมเลยครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะผมยังไม่คิดที่จะมีคนรักน่ะครับ”
“ถ้างั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้เกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ?”
ผู้จัดการอียิ้มพลางลุกขึ้น ในบรรดาสีหน้าของเขาที่ผมเห็นในช่วงนี้ สีหน้าตอนนี้ดูสดใสมากที่สุดแล้ว จากนั้นผู้จัดการอีก็ยื่นใบหน้าเข้ามาหาผม
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต่อให้ไม่ใช่ผม ไม่ว่าใครหน้าไหนคุณก็จะไม่คบด้วยใช่ไหมครับ”
“ครับ…ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โปรดรักษาคำพูดนั้นด้วยล่ะครับ”
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์สายตรงของผู้จัดการอีดังขึ้นมาพอดี
“อีชีฮยอนรับสายครับ อ๋า อย่างนั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นให้ไปถึงที่นั่นภายในสิบเอ็ดโมงสินะครับ ไม่หรอกครับ ผมอยากมองด้วยตาตัวเองมากกว่าน่ะครับ ครับ ตามนั้นเลยครับ”
ผู้จัดการอีวางสายก่อนจะกลับมามองผมพร้อมกับรอยยิ้มบางที่สว่างไสวไปทั่วทั้งใบหน้า
“มัวทำอะไรอยู่น่ะครับ ไปทำงานสิครับ”
เมื่อกลับมาถึงชั้นสามผมก็เห็นว่าหน้าของทุกคนต่างยับยู่ยี่กันไปหมด พอผมถือกาแฟเดินเข้าไปหา หัวหน้าอีก็ส่ายหัวพลางเดาะลิ้น เขาตบบ่าของผมอย่างระมัดระวังพลางกระซิบกระซาบว่า ‘สู้ๆ นะ’ จากนั้นก็ดึงทิชชูเปียกออกมาเช็ดมือ นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
พนักงานอาวุโสซอซึ่งเป็นอัลฟ่าใช้มือข้างหนึ่งปิดปากแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของอีกมือหนึ่งฉวยกาแฟไปอย่างรวดเร็ว ผมได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ออกมาจากปากที่ป้องปิดเอาไว้ว่า ‘ขอบคุณนะคะ’ และนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมสุดๆ
และพอผมกลับไปยังที่นั่ง ผู้ช่วยคังก็ช่วยเพิ่มระดับความแรงของพัดลมให้
“แย่แล้ว วุ่นวายไปหมดแล้ว”
“ฟีโรโมนเหรอครับ อีกแล้วเหรอ”
“ผู้ช่วยคิม นี่คุณขึ้นไปจูบกับผู้จัดการมาเหรอครับ”
“ทำไมพูดอะไรน่าขนลุกแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็…ฟีโรโมนติดสัดมันฟุ้งเต็มตัวคุณเลยนี่…”
ฟีโรโมนติดสัด? ฟีโรโมนติดสัดเนี่ยนะ!!!?
“เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะครับ”
ผู้จัดการอีบ้าไปแล้วหรือไง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถ้าไม่บ้าจริงคงไม่ทำแบบนั้นแน่ ถ้าหากว่าผมเป็นโอเมก้าจริงๆ ล่ะก็…ใบหน้าผมค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะจินตนาการที่แทรกเข้ามาในหัว…ถ้าผมเป็นโอเมก้ามีหวังได้เสร็จเขาไปตามระเบียบแน่ ให้ตายสิ
แต่ในทางกลับกันผมก็เกิดความคิดที่ว่าผู้จัดการอีคงจะไม่ทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้นหรอก ถึงนิสัยจะเส็งเคร็งไปบ้าง แต่เขาคงไม่ใช่คนแบบนั้น
ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าวันนี้ผู้จัดการอีจะไม่ทำให้ผมปวดหัว ผมไม่ได้แตะงานเลยแม้แต่น้อยมาตั้งแต่เช้าเพราะถูกผู้จัดการอีทำให้จิตใจปั่นป่วนไปหมด แบบนี้ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเลิกงานช้าหรอกเหรอ ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรในชีวิตผมเลยสักนิดแท้ๆ
หรือว่าจะไถเงินกับตั๋วเครื่องบินโดยอ้างเรื่องชวนไปโกลด์โคสต์ด้วยกันไปเลยดีนะ? ไม่สิ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเกิดมาบอกว่าจะไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แบบนั้นมีหวังได้ปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก
ผมกระพือเสื้อแล้วล้างมือโดยขัดถูแรงๆ ในห้องน้ำพลางก่นด่าผู้จัดการอีในใจไม่ให้ใครได้ยิน
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของพนักงานอาวุโสอิมจากไกลๆ ก่อนจะมีใครบางคนเดินเสียงดังตึงตังเข้ามาในห้องน้ำ จากนั้นน้ำเสียงที่คุ้นเคยแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกก็ดังขึ้น
“อุบ…!”
ฮาวอนอีอีกแล้ว
มาถึงตอนนี้ผมก็ไม่แปลกใจอะไรแล้ว ผมผงกหัวทักทายอีกฝ่าย แต่พนักงานฮากลับเมินผมแล้วตรงไปยังโถปัสสาวะ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาผม
“นี่คุณไม่คิดจะควบคุมฟีโรโมนหน่อยเหรอครับ”
หมดคำจะพูด นี่ผมต้องเริ่มแก้ไขจากตรงไหนก่อนดีเนี่ย
ผมเป็นเบต้า เบต้าน่ะรู้จักไหม ก็บอกแล้วว่าผมเป็นเบต้า!
“คุณรู้ไหมครับว่ามันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขามากขนาดไหน แถมฟีโรโมนของคุณยัง…นี่คุณมีจิตสำนึกบ้างไหมครับ รู้ไหมครับว่าที่นี่คือบริษัทน่ะ สำหรับพนักงานที่เป็นโอเมก้าแล้ว นี่ถือเป็นการคุกคามทางเพศชัดๆ เลยนะครับ”
ริมฝีปากของฮาวอนอีที่ยิงคำถามใส่ผมฉอดๆ นั้นดูเหมือนจะแดงระเรื่อเป็นพิเศษ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แค่มันแดงจนสะดุดตามากๆ ก็เท่านั้นแหละ ดูจากการที่เจ้าตัวพูดจาขวานผ่าซากในสิ่งที่ใจอยากจะพูดออกมาทั้งหมดนั่นแล้ว ดูท่าเขาคงไม่มีอะไรจะเสียแล้วในการใช้ชีวิตในที่ทำงานแบบนี้
ในระหว่างนั้นผมก็ถึงกับนึกคำพูดเหมาะๆ ที่จะแก้ตัวไม่ออก ขืนพูดออกไปตรงนี้เลยว่าจริงๆ แล้วผมเป็นเบต้า แบบนั้นมีหวังได้ถูกเข้าใจผิดแปลกๆ มากกว่าเก่าแน่ว่าเป็นคนที่แก้ตัวได้น่าขัน ผมจึงตัดสินใจถอยให้ก้าวหนึ่ง
“ขอโทษครับ”
“ถ้างั้นก็รบกวนกลับไปคิดทบทวนตัวเองดูหน่อยนะครับ”
วอนอีมองค้อนใส่ผมด้วยท่าทีราวกับกำลังมองสิ่งสกปรกก่อนจะออกจากห้องน้ำไป
ถึงผมจะไม่มีศาสนา แต่ผมก็อ้อนวอนสวดภาวนาอยู่ในใจ
ได้โปรดช่วยทำให้วันเฮงซวยนี่มันจบไปเร็วๆ ทีเถอะครับ
* แม่น้ำจอร์แดน เป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดจากภูเขาเฮอร์โมนแล้วไหลลงสู่ทะเลเดดซี มีความหมายในทางศาสนาคริสต์ที่สื่อถึงความตาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…