ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1

ผู้เขียน : MINTRAN

แปลโดย : ทันบี

ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 2.1

ทางกลับบ้าน

 

ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว อยากกินจาจังมยอนชะมัดเลยแฮะ

พอผมหันไปมองเพราะได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจากที่ไหนสักแห่งก็เห็นว่าต้นเสียงนั้นเป็นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซออีกแล้ว สองคนนั้นไม่ทำงานทำการแล้วมัวทำอะไรกันอยู่น่ะ

“ถอยไปนะครับ”

หัวหน้าอีผลักไหล่ของหัวหน้าแผนกซอออกไป ด้านหัวหน้าแผนกซอเองก็ยอมถูกดันออกไปโดยไม่มีการขัดขืน หัวหน้าอีถอดแว่นตาออก ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างน่าสงสาร จะว่าไปแล้วเมื่อกี้นี้เหมือนผมจะได้ยินเสียงใครบางคนสะอึกสะอื้นอยู่ในห้องน้ำด้วยแฮะ…

“ฮยอนแจ นายช่วยฟังฉันพูดก่อนเถอะนะ”

“นายจะพูดอะไรล่ะ เข้าใจผิด? นายจะบอกว่าฉันเข้าใจผิดงั้นสินะ”

“ฮยอนแจ ฉัน…!”

“โอเมก้าคนนั้นเป็นใคร ฉันถามว่าโอเมก้าที่มีกลิ่นฟีโรโมนฟุ้งติดตัวนายมานั่นเป็นใคร! ท่าทางเมื่อคืนคงจะไปเปิดห้องด้วยกันมาสินะ? ได้กันแล้วล่ะสิ รูของโอเมก้าคนนั้นมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ มันคงจะดีกว่าของฉันอีกสินะ?”

“ฉันรัต! ระหว่างทางที่ฉันตามนายไป จู่ๆ หมอนั่นก็…”

หัวหน้าแผนกซอคว้ามือของหัวหน้าอีเอาไว้แน่น ทว่าหัวหน้าอีกลับสะบัดมือหัวหน้าแผนกซอออก มือหัวหน้าแผนกซอได้แต่กำแน่นค้างกลางอากาศอย่างหมดหนทางอธิบาย จากนั้นไม่นานเขาก็ก้มหน้าลง

“ได้โปรด เชื่อฉันเถอะนะ”

“จะให้เชื่ออะไรอีก พวกเราเป็นอะไรกันล่ะ นายก็ต้องการแค่ร่างกายของฉันไม่ใช่หรือไง เลิกงานแล้วรอก่อนอย่าเพิ่งกลับ ถ้านายหวังจะให้ฉันเชื่อ ฉันก็ให้โอกาสตามที่นายต้องการ”

หัวหน้าอีเดินมาทางผมอย่างเชื่องช้าในขณะที่มือกำแว่นเอาไว้แน่นจนซีดเผือด

“หัวหน้าครับ…”

ได้โปรดอย่ามาทางนี้เลยครับ ผมรู้สึกเสียวสันหลังอะ

“ผู้ช่วยคิม รบกวนช่วยส่งข้อมูลที่บอกเมื่อครู่นี้ให้ผมอีกทีนะครับ”

“ครับ…”

หัวหน้าอีตบบ่าผม ในขณะเดียวกันหัวหน้าแผนกซอก็ถลึงตามองมาทางนี้ เขาเขม้นมองผมก่อนจะเดินหายออกไป

น่าอึดอัดสุดๆ

ในบรรดาบทสนทนาที่หัวหน้าอีคุยกับหัวหน้าแผนกซอเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าจะมีคำพูดที่ทำให้ทุกคนต่างหน้าแดงไปตามๆ กันอยู่ด้วย ไม่สิ…เหมือนจะมีแต่คำพูดพวกนั้นซะด้วยซ้ำ

ทำไมกันนะ ทำไมกัน!

ในสถานที่ที่ไม่ควรนัดคุยกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ต่อให้จะจัดงานสัมมนาวิจารณ์ของเล่นผู้ใหญ่ขึ้นก็คงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่หรอก นั่นสินะ ต่อให้จะรู้สึกแปลกๆ กับการถามไถ่กันว่าเมื่อวานเล่นของเล่นชิ้นไหนอะไรยังไงอยู่หน่อยๆ แต่สถานที่ที่จะสามารถพูดคุยเล่นได้แม้กระทั่งเรื่องเพศสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันก็คงมีแต่บริษัทนี้นี่แหละ สิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิตในสังคมการทำงาน’ ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนมาก็คงจะมีแต่เรื่องพวกนี้นี่แหละนะ

ถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวในชีวิตประจำวันของหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอจะถูกเปิดเผยในที่สาธารณะจนคนทั้งบริษัทแทบจะรู้กันถ้วนหน้าแล้วก็เถอะ แต่ทำไมเขาสองคนถึงต้องมาพูดเรื่องชีวิตส่วนตัวของตัวเองแบบนั้นในเวลาอยู่นอกบ้านแบบนี้ด้วยเล่า

แต่ดูท่าจะมีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่มองว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องแปลก

แม้แต่ตอนนี้เองในออฟฟิศก็คงจะมีกลิ่นฟีโรโมนของใครบางคนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ทุกคนคงต่างกำลังได้กลิ่นอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ไม่ว่ากลิ่นนั้นจะเป็นกลิ่นวานิลลาที่หอมหวาน หรือว่าจะเป็นกลิ่นจาจังมยอนก็ตาม ดูท่าคงมีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่กำลังทำงานอยู่ท่ามกลางกลิ่นฝุ่นหนา

สงสัยคงต้องสั่งจาจังมยอนจากที่ไหนกินซะแล้วสิ

ผมส่งไฟล์ไปขณะกำลังข่มความรู้สึกหวั่นวิตกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจไม่หยุดหย่อน ก่อนที่หัวหน้าอีจะตอบกลับมาด้วยอีโมติคอนน่ารักๆ

ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมตอนนี้คือผมกำลังคิดหนักว่าผมสามารถใช้อีโมติคอนซึ่งมีคำพูดกวนประสาทที่ผมซื้อมาเมื่อวานนี้ตอบกลับอีโมติคอนน่ารักๆ ที่หัวหน้าอีส่งมาได้ไหม ดูเหมือนว่าความกังวลของพนักงานในบริษัทของเรานั้นทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับผลงาน ซึ่งแตกต่างไปจากความกังวลของผมอย่างสิ้นเชิง

อยากลาออกชะมัด ย้ายที่ทำงานไปเลยได้ยิ่งดี ถึงจะอยู่ไหนก็คงไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากลาออกจังแฮะ

 

‘ผู้ช่วยคิม เที่ยงนี้กินอะไรกันดี

 

คนที่ทักมาคือผู้ช่วยคัง

 

จาจังมยอน

แล้วทังซูยุก* ด้วยไหม

เหลือเวลาอีกกี่วันกว่าจะถึงวันเงินเดือนออกครับ

17 วัน

ถ้างั้นเราสั่งไซส์เล็กแล้วมาแบ่งกันกินดีกว่าครับ

จัดไป

 

ผู้ช่วยคังที่ไม่ได้ละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ยกกำปั้นหลวมๆ ขึ้นมาทางผม ก่อนที่ผมจะชนหมัดกับกำปั้นของเขา

เยส! ทังซูยุก!

 

ผมนั่งฝั่งตรงข้ามผู้ช่วยคัง และในระหว่างที่กำลังคลุกจาจังมยอนอย่างระมัดระวังอยู่นั้น พนักงานอาวุโสซอก็เดินเข้ามาใกล้โดยที่ในมือเธอถือข้าวกล่องเอาไว้ ผู้ช่วยคังจึงดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างตัวเองออก

“วันนี้ทั้งสองคนกินจาจังมยอนกันเหรอ”

“คุณซอมานั่งนี่สิ”

“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร พอดีวันนี้ฉันมีนัดไปกินข้าวกับเพื่อนจากแผนกการเงินน่ะค่ะ”

“เพื่อน? โอเมก้าคนนั้นที่ไปไหนมาไหนด้วยกันน่ะเหรอ”

ใบหน้าของพนักงานอาวุโสซอแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเธอเขินอายหรืออย่างไรถึงได้ปัดกระโปรงรีดให้เรียบทั้งที่กระโปรงก็ไม่ได้ยับ

“เปล่า อะไรกันเล่า โอเมก้านั่นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับฉันสักหน่อย…!”

ผมเอ่ยปากถามขณะคีบทังซูยุกไปจิ้มซอส

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ว่าแต่คุณมีคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันไม่ใช่เหรอครับ เห็นเคยบอกว่าเพื่อนสมัยเด็กหรืออะไรนี่แหละ ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันกับเธอคนนั้นเหรอ”

พนักงานอาวุโสซอทำหน้ายู่ขึ้นมาในทันที

“อย่าพูดถึงเธอเชียวนะคะ โอเมก้าอะไรแรงเยอะขนาดนั้น แถมยังเถียงคำไม่ตกฟาก…ทั้งที่เป็นเรื่องที่ควรรอบคอบแท้ๆ แต่กลับชอบลืมพกยาระงับฮีตอยู่ตลอด…ถ้าฉันไม่พกเอาไว้ให้ก็คงแย่ไปแล้ว แต่ก็ยังมาบ่นฉันทุกวัน แถมยังมาไม่พอใจกันอีก วันนี้ก็เหมือนกัน พอฉันบอกว่าจะไปกินข้าวกับคุณจีฮเยที่อยู่แผนกการเงินก็มางอนกันแล้วไม่ตอบข้อความเลยตลอดทั้งวัน เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ งอนอยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวง้อนิดง้อหน่อยก็หาย…”

“เดี๋ยวสิครับ ผมถามเรื่องมื้อเที่ยงต่างหาก…”

ผู้ช่วยคังเลื่อนมือมาแตะถ้วยซอสทังซูยุก ส่วนผมก็เลื่อนไปจับมือของผู้ช่วยคังไว้ ผมรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีจากรอยยิ้มปีศาจของผู้ช่วยคัง

“เอาเถอะ ยังไงฉันไปก่อนนะคะ! ทานข้าวให้อร่อยค่า!~”

“ทานให้อร่อยเช่นกันครับ!”

ผู้ช่วยคังผละมือออกจากถ้วยซอสแล้วเริ่มหันไปคลุกจาจังมยอน ผมได้ปกป้อง ‘ศักดิ์ศรีของการจิ้มกิน’* เอาไว้อย่างสุดชีวิต ก่อนที่ผู้ช่วยคังที่กินจาจังมยอนไปคำหนึ่งจะเอ่ยปากถามโดยที่ยังคงเคี้ยวแก้มตุ่ย

“คุณซอน่าจะชอบโอเมก้าที่อยู่แผนกการเงินนั่นน่าดูเลยนะครับ”

“ไม่ใช่ว่าชอบโอเมก้าเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นหรอกเหรอ เห็นพูดถึงฝั่งนั้นบ่อยจะตายนี่”

“เห? ไม่หรอกน่า”

“แต่ปริมาณคำพูดที่พูดถึงต่างกันลิบเลยนะครับ”

ผู้ช่วยคังโบกตะเกียบไปมาพลางพร่ำสอนนั่นนี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเดิมทีพวกอัลฟ่าก็ชอบโอเมก้าเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว หรือไม่ก็เรื่องที่ว่าเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่โอเมก้ายิ่งสวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีหนามแหลมคมมากเท่านั้น…

สรุปก็คือแม้โอเมก้าที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นจะสวยมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้เป็นคนอ่อนหวาน เพราะแบบนั้นเลยเข้ากับพนักงานอาวุโสซอไม่ค่อยได้ แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น…

ผมเคี้ยวทังซูยุกแสนอร่อยไปพลางฟังคำพูดของผู้ช่วยคังไปด้วยโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเองประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ก่อนที่พนักงานอาวุโสอิมจะเดินเข้ามา

“โอ้โห กลิ่นหอมน่าอร่อยจัง! ขอร่วมวงกินข้าวเที่ยงที่นี่ด้วยหน่อยได้ไหมคะเนี่ย”

“โอ๊ะ คุณอิม! มาเลยๆ มากินทังซูยุกด้วยกันสิครับ”

“ฮ่าๆ! รู้ใช่ไหมคะว่าคนอย่างฉันไม่เคยปฏิเสธใครเพราะเกรงใจหรอกนะ คุณวอนอีมานี่เร็ว!”

ในเมื่อมีพนักงานอาวุโสอิมอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พนักงานฮาจะไม่อยู่ด้วย ฮาวอนอีกำลังถือข้าวกล่องลายตารางสีชมพูน่ารักอยู่ มันดูเข้ากับใบหน้าของเขาที่แดงเรื่อเอามากๆ

“สวัสดีครับ”

พอพนักงานฮาเห็นผม เขาก็ทำหน้ายู่เหมือนคนที่กำลังขบเคี้ยวอะไรอยู่ จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าทังซูยุกรสชาติเหมือนกระดาษขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พนักงานอาวุโสอิมนั่งลงข้างผู้ช่วยคัง พนักงานฮาจึงลังเลอยู่สักพักก่อนจะดึงเก้าอี้ข้างผมออก ทันทีที่เขาหย่อนก้นนั่งลงผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งตลบ มันเป็นกลิ่นเย็นสบายที่ไม่ได้เข้ากับฮาวอนอีที่เป็นคนผิวขาวเลยสักนิด ไม่สิ…ในทางกลับกันบางทีนี่อาจจะเหมาะกว่าอยู่หน่อยหนึ่งก็ได้ เพราะมันก็ดูเหมาะดีกับนิสัยของเขาที่ชอบพูดจาเหน็บแนมผมอย่างห้วนๆ

“กลิ่น…”

ฮาวอนอีสะดุ้งโหยงก่อนหันมามองผม ผมจึงรีบเคี้ยวทังซูยุกแล้วกลืนมันลงคอไป

“มะ…ไม่ใช่นะครับ คือว่า…ผมจะบอกว่ากลิ่นมันเหมือนร้านครีมอาบน้ำในห้างน่ะครับ พอดีว่ากลิ่นมัน…”

ฮาวอนอีทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ปลายจมูกของเขาแดงเรื่อน้อยๆ เขาเป็นคนที่สวยที่สุดจากในบรรดาผู้คนที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิตเลยจริงๆ ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วแหละว่าคำว่า ‘โอเมก้าแสนสวย’ นั้นหมายความว่ายังไง

“คุณพูดถูกแล้วล่ะครับ ผมซื้อมาจากห้างนั่นแหละ ผมเองก็กำลังคิดอยู่พอดีเลยว่าเหมือนจะฉีดเยอะเกินไปหน่อย”

พนักงานอาวุโสอิมเปิดกล่องข้าวดังกุกกักๆ

“ก็นะ เห็นคุณวอนอีบอกว่าปกปิดฟีโรโมนได้ไม่ค่อยเก่งน่ะ เพราะงั้นก็เลยจงใจฉีดน้ำหอมเยอะๆ ไง”

“อ๋า…อย่างนั้นเหรอครับ”

“ค่ะ ได้ยินมาว่าปกติแล้วพวกอัลฟ่าชอบกลิ่นของคุณวอนอีเอามากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะงั้นคุณวอนอีก็เลยพยายามหาอะไรมากลบกลิ่น จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันเองก็เป็นเบต้าซะด้วย เพราะงั้นเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ”

ฮาวอนอีเปิดกล่องข้าว ไข่ม้วนที่อัดแน่นอยู่เต็มกล่องอย่างเป็นระเบียบนั้นดูสวยงามราวกับเป็นของปลอม ดูท่าเขาน่าจะเป็นคนเจ้าระเบียบไม่น้อยเลยจริงๆ

“อัลฟ่าพวกนั้นแค่ได้กลิ่นผมเข้าหน่อยก็จ้องแต่จะกระโจนเข้าหา เพราะงั้นผมเลยต้องคอยระวังตัวน่ะครับ แต่ผู้ช่วยคิมคงไม่ใช่คนแบบนั้นสินะครับ ก็คุณสนใจกลิ่นน้ำหอมมากกว่ากลิ่นฟีโรโมนของผมซะอีก”

“นั่นเป็นเพราะผม…”

กลิ่นฟีโรโมนอะไรนั่นน่ะ เบต้าอย่างผมไม่ได้กลิ่นหรอกครับ ต่อให้อยากจะได้กลิ่นก็ไม่ได้กลิ่นอยู่ดี

“เอาไข่ม้วนสักชิ้นไหมครับ”

ฮาวอนอีคลี่ยิ้มให้ในขณะที่ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างเหม่อลอย ก่อนที่เขาจะพูดกระซิบ

“ความจริงแล้วผมควบคุมฟีโรโมนไม่ค่อยได้น่ะครับ อัลฟ่าอย่างคุณก็คงจะเหนื่อยกับการอดทนสินะครับ…มันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นขอบคุณมากนะครับที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้”

“เปล่าครับ คือความจริงแล้วผมเป็น…”

“คุณอิมราดซอสทังซูยุกแล้วค่อยกินหรือเปล่าครับ ปกติผมกินแบบนั้นอะ”

“ฮิๆ! ถ้างั้นราดตอนนี้เลยไหมคะ”

พนักงานอาวุโสอิมขยับมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบราดซอสลงไปบนทังซูยุก ด้านฮาวอนอีเองก็คีบไข่ม้วนใส่ปากผม ผมรู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูสุขใจอยู่หน่อยๆ

“…เบต้าน่ะครับ”

“การราดซอสกินมันเกี่ยวกับเบต้าโอเมก้าตรงไหนคะ ฮ่าๆ!”

ไข่ม้วนมีรสชาติหวานหอมเล็กน้อยกำลังดี แถมฮาวอนอีเองก็สวยละมุนสุดๆ ในขณะเดียวกันทังซูยุกก็เริ่มชุ่มไปด้วยซอส ผมใช้ตะเกียบคนจาจังมยอนที่ไม่ได้เข้าพวกกับสิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด ดูสิ เส้นอืดหมดแล้วเนี่ย

พอหันไปมองด้านข้างผมก็เห็นว่าฮาวอนอีกำลังกัดปลายตะเกียบพลางหัวเราะอยู่

ฟีโรโมน…ฟีโรโมน?

กลิ่นน้ำหอมเย็นสบายที่ลอยมาจากฮาวอนอีส่งกลิ่นตลบอบอวล ใบหน้าของเขาสวยมากจนผมรู้สึกว่าโลกใบนี้มันโคตรจะไม่ยุติธรรม

ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนได้รับคะแนนจากฮาวอนอีอย่างบอกไม่ถูก

อยากลาออกชะมัด

 

หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็เป่ายิงฉุบพนันกันกับผู้ช่วยคังเพื่อหาคนเก็บกวาด ถึงจะพ่ายแพ้ แต่ผมก็ยอมรับมันอย่างใสสะอาด ผมอยากจะรีบๆ หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ รีบเอาชามไปวางไว้แล้วเดินไปอยู่ที่ห้องชงกาแฟคนเดียวสบายๆ ดีกว่า

“ผู้ช่วยคิมเอาชามไปวางไว้ข้างนอกสิ อีกเดี๋ยวเขาจะมาเอาคืนแล้วนะ”

ผู้ช่วยคังตบไหล่ผมก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”

พอผมบ่นพึมพำ พนักงานอาวุโสอิมก็หัวเราะร่าออกมา เธอที่เก็บกล่องข้าวเรียบร้อยแล้วคว้าแขนของพนักงานฮามาควง

“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราลงไปข้างล่างก่อนนะ”

แม้เธอจะพูดแบบนั้น แต่ฮาวอนอีกลับส่ายหัว

“ผมจะออกไปช่วยผู้ช่วยคิมก่อน เดี๋ยวกลับมานะครับ พอดีผมอยากดื่มกาแฟด้วยน่ะครับ ให้ผมซื้อมาเผื่อคุณอิมแก้วนึงด้วยไหมครับ”

“ถ้างั้นก็ขอบใจนะ! ฉันว่าจะไปแปรงฟันสักหน่อยพอดีเลย เดี๋ยวฉันไปแปรงเลยดีกว่า งั้นฉันลงไปก่อนนะ จังหวะเหมาะเหม็งพอดีเลย พวกนายสองคนจะได้สนิทกันมากขึ้นด้วย”

พนักงานอาวุโสอิมโบกมือก่อนจะออกจากห้องประชุมไป หลังเดินออกมาพ้นจากพื้นที่ที่มีแต่กลิ่นจาจังมยอนแล้ว ข้างกายผมก็เหลือแค่ฮาวอนอีกับถุงพลาสติก ผมอยากให้ถุงที่ใส่ชามจาจังมยอนนี่เป็นกำแพงใหญ่ๆ คั่นกลางระหว่างเราเสียเหลือเกิน แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้

“ไม่ลงไปเหรอครับ”

“เอ่อ…ครับ”

เวลานี้ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติกดังพอๆ กับเสียงเครื่องเจาะในไซต์ก่อสร้าง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เกลียดสถานการณ์นี้ขนาดนั้น ไม่สิ…ความจริงแล้วมันก็พอจะทนไหวอยู่หรอก คงต้องขอบคุณที่ผมท้องอิ่ม โลกใบนี้มองไปทางไหนถึงได้ดูสวยงามไปหมด ให้ตายสิ นี่ผมคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อแค่กินข้าวเที่ยงหรอกนะ?

การที่ผมสามารถอดทนกับชีวิตในบริษัทได้ก็เป็นเพราะอาหารกลางวันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สิ…นี่คือพลังของบัตรเครดิตนิติบุคคล* ต่างหาก ความรู้สึกดียามที่ใช้จ่ายค่าอาหารกลางวันด้วยบัตรเครดิตนิติบุคคลมันทำให้ผมรอดตายไปได้ในแต่ละวัน

ผมเดินแกว่งถุงพลาสติกไปมามุ่งตรงลงไปยังชั้นหนึ่ง ส่วนฮาวอนอีก็เดินไล่หลังตามติดผมมาเหมือนเงา พอเดินผ่านล็อบบี้หินอ่อนที่ส่องประกายวาววับออกมาข้างนอกตัวอาคารแล้ว อากาศเย็นสบายและแสงแดดอ่อนๆ ก็ตกกระทบผิวกายต้อนรับพวกเรา

“คุณวอนอีบอกว่าจะไปร้านกาแฟใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมรอคืนชามให้พนักงานส่งอาหารตรงนี้เสร็จก็กะว่าจะขึ้นไปแล้วล่ะครับ”

ผมพอก้มหัวลงมอง ฮาวอนอีก็โบกมือปัดปฏิเสธทันที

“อ๊ะ ไม่เอาสิครับ เดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อน”

อะไรของนาย ไม่เอาโว้ย มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย

ตัวผมหลายคนกำลังพากันกรีดร้องอยู่ในใจ

ส่งวอนอีไปร้านกาแฟซะ! ต้องหลีกเลี่ยงบรรยากาศอึดอัดนี่ดิเฮ้ย!

แม้ใจจะคิดแบบนั้น แต่ปากของผมที่ถูกฝึกฝนซ้ำๆ จากการเข้าสังคมจนเคยชินกลับต่อต้านและขัดขืน

“เอ่อ…จะรอด้วยกันจริงๆ น่ะเหรอครับ”

“ครับ”

“งั้นก็ได้ครับ”

“ครับ”

“…”

“…”

กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ พวกเราต่างยืนเกร็งกันราวกับภาพเหมือนที่กลืนไปกับพื้นหลัง จากนั้นไม่นานฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“วางชามลงก่อนเถอะครับ คุณถือไว้ไม่หนักเหรอ”

ไม่หนักเลย…ไม่หนักเลยสักนิด

“ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ คือ…”

นี่เราควรทิ้งชามนี่ไว้แล้ววิ่งหนีดีไหมนะ

ผมรู้สึกเหมือนเวลาหยุดไปทั้งอย่างนั้น พนักงานออฟฟิศที่กลับมาหลังจากไปกินข้าวเดินผ่านไปมาเต็มไปหมดทุกที่อย่างกับฝูงปลาในน้ำ ทว่ามีแต่พวกเราที่กำลังยืนหยุดนิ่ง

โทรศัพท์มือถือไง ทำเป็นเล่นโทรศัพท์หน่อยละกัน

ปกติแล้วก็ชอบมาตามตื๊อชวนไปดื่มกันตลอดแท้ๆ ทีเวลาแบบนี้กลับหายหัวไปไหนกันหมดนะ ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้ ช่องแชตขาวสะอาดสุดๆ หรือนี่ผมโดนเพื่อนแบน? นี่ผมโดนแบนจนต้องมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อคืนชามจาจังมยอนข้างนอกคนเดียวเลยเหรอเนี่ย หรือความจริงแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้ช่วยคังอยากจะแกล้งผมมาโดยตลอด!?

ไม่สิ…ต้องโทษความไม่รู้ของตัวผมเองที่มักจะออกค้อนไปเวลาเป่ายิงฉุบ

หลังจากที่เงียบไปสักพัก ในที่สุดฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“ผมอยากขอโทษน่ะครับ”

“ครับ?”

“ก็ที่ผมพูดในห้องน้ำเมื่อคราวก่อน…เรื่องฟีโรโมนน่ะครับ”

“อ๋อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ ก็คุณเข้าใจผิดนี่นา”

“ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่คิดว่าผมทำผิดครับ เพราะสิ่งที่ผมพูดไปมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมก็เสียมารยาทที่ไปพูดกับผู้ช่วยคิมแบบนั้น เพราะแบบนั้นก็เลยรู้สึกผิดนิดหน่อยน่ะครับ ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ”

นี่คิดจะขอโทษกันจริงไหมวะเนี่ย

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ อย่าคิดมากเลยครับ ยังไงผมก็เป็น…”

“ไม่ได้สิครับ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ความจริงแล้วผมก็คงจะปากไวไปเอง เพราะผมก็จัดการกับฟีโรโมนไม่ค่อยได้มาตั้งแต่เกิดแล้วน่ะครับ เพราะงั้น…เวลาตกใจ ฟีโรโมนของผมก็จะส่งกลิ่นออกมาเยอะกว่าคนอื่นๆ น่ะครับ”

“คงจะลำบากน่าดูเลยนะครับเนี่ย”

ก็พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักหรอก

“เพราะงั้นผมก็เลยเป็นคนอ่อนไหวง่ายมากครับ แล้วผมก็กดดันนิดหน่อยด้วยกับการควบคุมฟีโรโมนของตัวเอง ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

แพขนตาของฮาวอนอีที่กำลังคลี่ยิ้มราวกับเขินอายอยู่นั้นต้องแสงที่สดใสภายใต้แสงอาทิตย์ ยอมรับเลยว่าเป็นใบหน้าที่สวยงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็สวยจนไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง แม้แต่ดวงตากลมโตนั้นก็ยังดูสวยเป็นพิเศษ ผมที่หลงใหลไปกับใบหน้าของเขาหลุดพึมพำออกมา

“ไม่เป็นไรครับ”

“เมื่อกี้นี้ผมแอบตกใจนิดหน่อยนะครับที่คุณไม่ใช่คนแบบนั้น คุณควบคุมฟีโรโมนเก่งมากเลยครับ แล้วตอนเช้าทำไมถึงได้ปล่อยฟีโรโมนแบบนั้นออกมาล่ะครับ…”

ฮาวอนอีเหมือนจะคิดอะไรอยู่คนเดียวแล้วก็หน้าแดงก่ำ จะว่าไปแล้วไอ้ฟีโรโมนที่ผู้จัดการอีปล่อยออกมานั้นเป็นฟีโรโมนเวลาติดสัดนี่ ถึงผมจะไม่ได้รู้อย่างละเอียดว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ผมก็พอรู้สึกได้ว่ามันน่าจะดูโรคจิตอยู่ไม่น้อยเลย แม้ว่าผมจะไม่มีความคิดที่อยากจะสนิทสนมกับวอนอีมากขึ้นไปกว่านี้ แต่ผมก็ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ให้จงได้ ดีไม่ดีบางทีฮาวอนอีอาจจะยังคิดว่าผมเป็นอัลฟ่าอยู่ก็ได้

“คือว่านั่นมันไม่ใช่ฟีโรโมนของผมตั้งแต่แรกแล้วครับ และอีกอย่างผมเองก็เป็น…”

“นั่นมันมอเตอร์ไซค์ของร้านจาจังมยอนไม่ใช่เหรอครับ”

นิ้วของฮาวอนอีชี้ไปทางด้านหน้า พอผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกแต่งอย่างหรูหรากำลังขับเข้ามาทางนี้ ก่อนจะเห็นว่าข้างหลังมีกล่องอาหารดีไซน์จีนๆ สีฟ้าเทินอยู่บนเบาะ ดูทรงแล้วไม่ผิดแน่นอน

“คือความจริงแล้วผมเป็นเบต้าครับ”

ผมอุตส่าห์พูดออกไปได้แล้ว แต่ฮาวอนอีกลับเดินนำหน้าไปไกลแล้ว

“รีบตามมาสิครับ!”

ฮาวอนอีโบกมือไม้ไปมาไหวๆ เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังมอเตอร์ไซค์คันนั้น ครั้งนี้ผมจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องบอกเขาไปให้ได้ว่าผมเป็นเบต้า

พนักงานส่งอาหารจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงฝั่งสนามหญ้าก่อนจะถอดหมวกกันน็อกออก ไม่รู้ว่าตอนสัมภาษณ์เขาคัดเลือกกันจากหน้าตาหรือเปล่า พนักงานคนนั้นถึงได้มีหน้าตาหล่อเหลาเอาการขนาดนี้

“ชาม”

เลือกจากหน้าตาอย่างเดียวจริงๆ ด้วยแฮะ

พอผมยื่นถุงออกไป พนักงานส่งอาหารก็ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเหยียดยิ้ม เมื่อมองดูโดยละเอียดแล้วถึงได้เห็นว่าเขามีจิวเจาะอยู่ตรงหางคิ้วด้วย

พนักงานคนนั้นเอาถุงใส่ลงในกล่องด้านหลัง เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาจ้องฮาวอนอีพลางเหยียดยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้

“คุณคืออัลฟ่า? ส่วนนี่ก็โอเมก้าแฟนคุณสินะ?”

“ครับ?”

ผมอึ้งไปกับคำพูดเหลวไหลนั่น เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาอยู่ในหัวผมมากมายนับสิบอัน ฮาวอนอีควงแขนผมก่อนจะโต้กลับไป

“แล้วคุณดูท่าจะเป็นโอเมก้าสินะ? ถึงว่าได้กลิ่นฟีโรโมนจากที่ไหน”

พนักงานส่งอาหารโน้มร่างผอมบางเข้ามาหาผม ทำเอาผมเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ก่อนที่เขาจะยื่นนิ้วมาจิ้มหน้าอกผม นิ้วของเขาทั้งเรียวและสวย แถมแรงยังเยอะอีกต่างหาก ถ้าได้เล่นดีดหมากล้อม* ก็ท่าจะเก่งน่าดู

“ทำอะไรของคุณครับ”

“นิ่งจังเลยนะครับ หรือว่าตอนนี้กำลังอดทนอยู่? วันนี้ถ้าเลิกงานแล้วสนใจ…”

“กลับดีๆ นะครับ”

ผมจับไหล่ของฮาวอนอีหมุนตัวแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที พอผมแอบหันไปเหลือบมองด้านหลังก็เห็นว่าพนักงานส่งอาหารกำลังมองมาทางเราพลางตะโกนพูดอะไรบางอย่างอยู่ และในจังหวะที่หันกลับไปมองอีกครั้ง เขาก็สวมหมวกกันน็อกและหันกลับไปทางมอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้ว

 

* ทังซูยุก คือหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน

* คำว่า ‘การจิ้มกิน’ ในที่นี้เป็นคำพูดยอดฮิตเวลากินทังซูยุกของคนเกาหลี เนื่องจากคนเกาหลีแต่ละคนจะมีวิธีกินเมนูนี้แตกต่างกัน โดยจะแบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งคนที่จิ้มซอสก่อนแล้วกิน กับฝั่งคนที่ราดซอสลงไปให้ทั่วเลยแล้วค่อยกิน

* บัตรเครดิตนิติบุคคล คือบัตรเครดิตที่บริษัทออกให้กับพนักงาน โดยบัตรนี้ไม่สามารถใช้ส่วนตัวได้ตามใจชอบ ต้องใช้ภายในขอบเขตที่ได้รับการอนุมัติเท่านั้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในสำนักงาน ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าสวัสดิการ และค่าใช้จ่ายสาธารณะอื่นๆ เป็นต้น

* ดีดหมากล้อม คือบอร์ดเกมรูปแบบหนึ่งซึ่งเล่นโดยการใช้นิ้วดีดลูกหมากล้อมให้ตัวหมากล้อมของฝ่ายตรงข้ามกระเด็นออกไปนอกกระดานหมาก

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com