ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

Chapter 2.2

 

ฮาวอนอีมองมาที่ผมก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงอู้อี้

“แผ่กลิ่นฟีโรโมนออกมาขนาดนั้น…ผู้ช่วยคิมมัวทนยืนอยู่เฉยๆ แบบนั้นได้ยังไงกันครับ ถึงการอดทนอยู่เฉยๆ ได้มันจะสุดยอดมากก็เถอะ แต่ว่า…”

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าและโอเมก้าที่ผมไม่รู้จัก ผมแยกพนักงานส่งอาหารคนนั้นไม่ออกว่าเขาเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพยายามจะยั่วโมโหผมหรือพยายามจะยั่วยวนผมกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนเขากำลังพยายามยั่วยวนผม…

ผมก้มมองฮาวอนอี ใบหูและใบหน้างดงามถูกย้อมไปด้วยสีแดงปลั่ง บางทีพนักงานนั่นอาจจะแค่อยากชวนทะเลาะเพราะเห็นว่าผมดูเหมือนจะเป็นแฟนของฮาวอนอีก็เป็นได้ ซึ่งความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นดูจะสูงกว่าแบบแรกที่ผมคิดเสียอีก เพราะเมื่อกี้เขายังถามอยู่เลยว่าผมเป็นอัลฟ่าหรือเปล่า

ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เขาดูยังไงว่าผมเป็นอัลฟ่า โอเมก้า หรือเบต้า ไหนจะเหตุผลที่ชวนทะเลาะนั่นอีก ผมไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ

ผมจะเหมือนอัลฟ่าหรือโอเมก้าแล้วมันทำไม คนเราก็เกิดมาหน้าตาเหมือนคนกันหมดไม่ใช่หรือไงกัน

“คุณวอนอีครับ ผมดูเหมือนอัลฟ่าขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

ฮาวอนอีที่เดินนำหน้าอยู่หันขวับกลับมาทันทีเหมือนโมโห

“มั่นหน้าเกินไปแล้วครับ คุณน่ะเหมือนเบต้าสุดๆ ไปเลยต่างหาก!”

เรื่องนั้นมันก็จริง แต่ฟังแล้วรู้สึกไม่ยุติธรรมชะมัดเลยแฮะ ฟังดูเหมือนคำด่ายังไงไม่รู้

ถ้าถามว่าคิมจูฮยอกเป็นคนหน้าตาแบบไหนน่ะเหรอครับ ก็คงตอบได้แค่ว่าหน้าตาเหมือนคิมจูฮยอกไงล่ะครับ หน้าตาเหมือนคิมจูฮยอกน่ะ…

“ถ้าจะมาอวดเบ่งว่าตัวเองหล่อแล้วมีพลังอัลฟ่าเหลือล้นล่ะก็ ไม่มีโอเมก้าคนไหนชอบคนแบบนั้นหรอกนะครับ”

ผมก็ไม่เคยพูดแบบนั้นสักหน่อย

ฮาวอนอีที่จ้องเขม็งมาที่ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนหันกลับไปราวกับไม่พอใจ

“แต่ผมเป็นเบต้านะครับ”

“ตอนนี้มันใช่เวลามาล้อเล่นเหรอครับ ผู้ช่วยคิมนี่แปลกคนชะมัด…จริงๆ เลย ให้ตายสิ…”

ฮาวอนอีที่หลุดหัวเราะออกมาแหงนหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าที่ราวกับจะบอกว่ากลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น สรุปแล้วปัญหามันเริ่มจากตรงไหนกันแน่นะ ทำไมผม…เดี๋ยวนะ นี่อะไรเนี่ย…

ฮาวอนอีใช้ปลายนิ้วเชยคางผม

“ช่างเถอะครับ ว่าแต่คุณไม่สนใจไปซื้อกาแฟด้วยกันกับผมหน่อยเหรอครับ”

ผมจำใจต้องพยักหน้าเพราะไม่สามารถปฏิเสธออกไปได้ เส้นผมที่หยักศกน้อยๆ ของฮาวอนอีปลิวไสวไปกับสายลม

ปลายนิ้วของฮาวอนอีที่เดินผ่านไปนั้นสัมผัสไล้ปลายคางของผม ฝีเท้าของเขาดูสบายใจ ผมไล่สายตามองภาพด้านหลังของเขาก่อนขยับเท้าก้าวเดินตาม

ทำไมต้องใช้นิ้วมาสัมผัสคนอื่นตอนเดินผ่านไปด้วยนะ แปลกคน…

 

ในร้านกาแฟเต็มไปด้วยเหล่าพนักงานออฟฟิศที่โหยหากาเฟอีน แน่นอนว่าทุกคนคงกำลังคิดอยู่ว่าจะผ่านวันนี้ที่เหลืออยู่ไปได้อย่างไร

ฮาวอนอีคว้าแขนเสื้อของผมไว้แล้วเดินนำหน้า เขาใช้ร่างเล็กๆ เดินเลี่ยงผู้คนที่ยืนออกันอยู่เหมือนฝูงเพนกวินไปทางนู้นทีทางนี้ที ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเดินเลี่ยงผู้คนได้เพราะคล่องแคล่วว่องไวหรือเปล่า แต่ผมกลับเดินชนแทบจะทุกคนที่เดินผ่านราวกับกำลังทักทายผู้คนอยู่

“ขอโทษครับ อ๊ะ ขอโทษนะครับ ขอทางที…ขอทางหน่อยครับ ขอโทษด้วยครับ…”

กว่าจะเดินมาถึงเคาน์เตอร์ ผมก็กลายเป็นเครื่องพูดคำขอโทษอัตโนมัติไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถพูดขอโทษได้แม้แต่กับพนักงาน

ฮาวอนอีจิ้มสีข้างของผมจึกๆ

“อยากดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“ถ้างั้นผมขอเป็นอเมริกาโนแล้วกันครับ”

ห้ามปฏิเสธเวลามีคนบอกว่าจะเลี้ยง มันคือกฎเหล็กในการเข้าสังคมกับคนอื่นของผม ห้ามปฏิเสธตอนที่คนอื่นอาสาเลี้ยงและห้ามหลบเลี่ยงเวลาที่จะต้องตอบแทนอะไรใครเด็ดขาด ขอแค่รักษากฎนี้เอาไว้ได้ ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเป็นกอง แน่นอนว่าผมสั่งเมนูที่ราคาถูกที่สุดไป เพราะมันคือคุณธรรมประจำใจในแบบของผม

หลังจากสั่งอเมริกาโนไปสามแก้วเสร็จแล้ว ฮาวอนอีก็หันกลับมาลอบสังเกตผม หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณในการบอกให้ผมเป็นคนจ่าย? บางทีบรรดาพวกโอเมก้าด้วยกันอาจจะมีวัฒนธรรมที่ว่านี่ก็ได้ แม้ปากบอกว่าจะจ่ายค่ากาแฟให้ แต่ความจริงแล้วจะปล่อยให้โอเมก้าจ่ายเงินเองไม่ได้เด็ดขาด ปกติแล้วเวลาดูในละคร พวกอัลฟ่าก็มักจะเป็นฝ่ายจ่ายค่ากาแฟเสมอ ถึงผมจะไม่ใช่อัลฟ่าและไม่ได้เป็นโอเมก้าก็เถอะ

อีกอย่างผมเองก็มีตำแหน่งสูงกว่าเขา เพราะแบบนั้นครั้งนี้ผมควรจะต้องเป็นคนจ่ายให้หรือเปล่านะ ดูท่าผมคงจะต้องจ่ายให้จริงๆ สินะ

ในขณะที่ผมกำลังควานหากระเป๋าเงินอยู่นั้น ฮาวอนอีก็เปิดปากพูดขึ้น

“ขอคุกกี้แอนด์ครีมแฟรปปูชิโน เพิ่มจาวาชิป แล้วก็ช่วยท็อปวิปปิ้งครีมไว้ข้างบนด้วยนะครับ โอ๊ะ แล้วก็…”

ออเดอร์ของฮาวอนอีใช้เวลาประมาณครึ่งนาทีได้กว่าจะเสร็จ มันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะรู้สึกรำคาญหากสั่งอะไรยาวๆ แต่พนักงานกลับกำลังยิ้มกว้างอย่างยินดี

“ดูจากที่สั่งเมนูหวานๆ แล้ว สงสัยคุณคงเป็นโอเมก้าสินะครับ รอยยิ้มคุณสวยมากเลย เดี๋ยวผมลดให้พันวอนนะครับ สนใจรับกลับบ้านไปพร้อมเบอร์โทรศัพท์ผมไหมครับ”

ฮาวอนอีขมวดคิ้วยุ่งทันควัน พอเห็นมือที่ถือบัตรเครดิตอยู่ชะงักนิ่งไป ผมจึงรีบดันเขาออกแล้วยื่นบัตรของตัวเองออกไปแทน เพราะว่ากันตามตรงแล้วผมเองก็เป็นถึงระดับผู้ช่วย จะปล่อยให้เขาเลี้ยงก็กระไรอยู่

“รับกลับครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

“เอ่อ…”

พนักงานพลันหน้าแข็งทื่อไป ก่อนจะเบนสายตาไปทางฮาวอนอี

“มีแฟนอยู่แล้วนี่เองสินะครับ?”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าแขนขวาถูกคนด้านข้างกระชากไปเกาะ พอก้มลงมองข้างตัวผมก็เห็นฮาวอนอีที่ควงแขนผมอยู่กำลังคลี่ยิ้มหวานอย่างสดใส

“ยอดทั้งหมดหนึ่งหมื่นหนึ่งพันวอนครับ…”

ฮาวอนอีดึงแขนผมให้เข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด คงเพราะกลัวว่าผมจะดึงแขนออก ซึ่งมันทำให้ท่าทางของเราตอนนี้ดูชวนเข้าใจผิดเอามากๆ ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกเหมือนว่าขืนผมขยับตัวออกห่างล่ะก็ มีหวังได้โดนศอกของฮาวอนอีกระแทกเข้าสีข้างแน่

“เดี๋ยวเตรียมเครื่องดื่มเสร็จแล้วจะเสิร์ฟให้ทางด้านนี้นะครับ คิวที่หนึ่งสองหนึ่งนะครับ คนต่อไปเชิญครับ”

ดูเหมือนพนักงานตรงหน้าจะดูหงอยอยู่หน่อยๆ พอเดินพ้นออกมาจากแถวฮาวอนอีก็ปล่อยแขนผมก่อนจะเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง

“ขอโทษนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ถึงจะตกใจนิดหน่อย แต่พอเห็นเขาชอบใจที่ผมเลี้ยงถึงขั้นเกาะแขนหนึบแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้วล่ะที่จ่ายเงินไป

ในขณะเดียวกันผมก็นึกถึงน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในจังหวัดคยองกีขึ้นมา ยัยโจรรีดไถที่ชอบมาบีบนวดให้ผมแค่เวลาที่จะอ้อนขอให้ซื้ออะไรให้…ถ้าไม่ใช่ตอนที่ต้องการเงินค่าขนม ยัยนั่นก็จะหายหัวไปไม่ติดต่อมาเลย เลี้ยงมาผิดชัดๆ

“บางทีผมก็มักจะเจอคนแบบนี้แหละครับ ชอบหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดี แต่แท้จริงแล้วก็แค่กำลังดูถูกโอเมก้าอยู่ พอเห็นใครซื้อของหวานๆ เข้าหน่อยก็ตีตกว่าเป็นโอเมก้าไปซะหมด…ผมน่ะเหม็นขี้หน้าคนที่เข้ามาจีบผมเพียงเพราะเห็นแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกของผมที่สุดเลยล่ะครับ”

ฮาวอนอีทำแก้มป่องพลางทำปากยื่น เขาดูเด็กมาก ดูเหมือนนักศึกษามากกว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศซะอีก พอผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังแอบเหลือบมองมาทางพวกเรา ฮาวอนอีโดนจ้องอีกแล้ว จะว่าสวยก็สวยจริงๆ นั่นแหละนะ

“แต่ผมเพิ่งเคยเจอครั้งแรกเลยนะครับ คนที่ถูกพนักงานขอเบอร์ในร้านกาแฟเนี่ย เสน่ห์แรกพบของคุณวอนอีนี่ใช่เล่นเลยนะครับเนี่ย”

ผมพูดไปอย่างอ้อมๆ เพราะเขาไม่น่าจะชอบคำว่าสวยสักเท่าไหร่

‘สนใจรับกลับบ้านไปพร้อมเบอร์โทรศัพท์ผมไหมครับ’ เนี่ยนะ? ผมพนันได้เลยว่าหมอนั่นคงฝึกพูดวิธีขอเบอร์ทางอ้อมนี้อยู่ในใจตอนที่ฟังออเดอร์แน่ๆ น่าสงสารที่ฮาวอนอีไม่แม้แต่จะแยแสตอบอะไรกลับไปเลยสักคำ นิสัยสมกับเป็นพนักงานฮาจริงๆ

พอผมหันไปมองหน้าเขาแล้วหัวเราะ ฮาวอนอีก็เบือนหน้าหนีทันที เรียวนิ้วของเขาที่ขยับยุกยิกอยู่นั้นหลุดเข้ามาในสายตาผม

จู่ๆ ระหว่างเราก็เงียบลงไร้คำพูดใดอีกครั้ง ผมรู้สึกประหม่าทำตัวไม่ถูกจึงทำเป็นเปิดโทรศัพท์มือถือดู แน่นอนว่ายังไม่มีการติดต่อใดๆ จากใครหน้าไหนเลย นี่ผมคงถูกเพื่อนแบนแน่ๆ ผมกดเข้าไปในหน้าแชตแล้วกดออกซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นเป็นสิบรอบ

“คุณลูกค้าคิวหนึ่งสองหนึ่งค่ะ!”

“ของเราได้แล้วครับ”

ผมเดินไปยังเคาน์เตอร์พร้อมกับรอยยิ้มโดยที่มีฮาวอนอีวิ่งตามหลังมา

“ขอบคุณค่ะ”

พนักงานสาวที่สวมหมวกเบเรต์สีน้ำตาลแดงดันถาดมาทางพวกเรา การปล่อยผมยาวเอาไว้ด้านข้างนั้นทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้…

“ทรงผมคุณเหมือนยูซอลฮีเลยนะครับ นางเอกละครน่ะครับ”

และเพื่อนของผมก็เป็นพระเอกละครเรื่องนั้นด้วยครับ ผมหลุดขำออกมาเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ของวงการบันเทิงเอาไว้อย่างบอกไม่ถูก

เพื่อนผมเป็นนักแสดงนำในละครเรื่องนั้นด้วยนะครับ! เมื่อวานไอ้เวรนั่นดื่มเหล้าแล้วมานอนค้างบ้านผมด้วยล่ะ! ผมมีเพื่อนเป็นดาราเลยนะครับ!

ผมนึกถึงแม่ขึ้นมาเลย สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถม แม่มักจะเอารางวัลการแข่งคณิตศาสตร์ที่ผมได้รับมาไปอวดในที่ทำงาน และตอนนี้ผมก็กำลังเป็นแบบนั้นเป๊ะเลย ทั้งที่ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับปลาบปลื้มใจสุดๆ กับหมอนั่น

พนักงานสาวมองดูใบเสร็จบนถาดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมซ้ำไปซ้ำมา ในระหว่างนั้นผมก็หยิบหลอดมาเรียบร้อยอย่างรู้งาน

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าขอทราบเบอร์ออเดอร์หน่อยได้ไหมคะ…”

พนักงานสาวกระซิบเสียงเบามากจนผมแทบไม่ได้ยิน

“คิวเบอร์หนึ่งสองหนึ่งถูกแล้วนะครับ อเมริกาโนสามแก้วกับแฟรปปูชิโน ขอบคุณครับ ลาก่อนนะครับ”

ผมหัวเราะออกมาทั้งที่ถือกาแฟอยู่ ซอลกีโดนี่เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ถ้าตอนนี้หมอนั่นยังอยู่ที่บ้าน ผมก็อยากจะย่างหมูสามชั้นให้สักหน่อย ไอ้เด็กเวรในวันนั้นในที่สุดก็ประสบความสำเร็จแล้วแฮะ แถมดูท่าจะเป็นสไตล์แฟนหนุ่มที่กำลังเป็นที่นิยมด้วย!

พอผมเดินออกมาจากร้านกาแฟ ฮาวอนอีก็จับแขนเสื้อผมเอาไว้

“คุณจงใจทำแบบนั้นเหรอครับ”

คิ้วที่เรียงตัวสวยเป็นระเบียบเรียบร้อยยกขึ้นข้างหนึ่ง

“หมายถึงอะไรเหรอครับ”

ฮาวอนอีอ้าปากหวอน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะแปลกๆ ออกมา

“ช่างมันเถอะครับ”

“รีบไปกันดีกว่า ใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้วครับ”

ผมเดินไปส่งฮาวอนอีที่แผนกการเงินชั้นหนึ่ง ก่อนจะหยิบอเมริกาโนมาหนึ่งแก้วแล้วส่งที่เหลือทั้งหมดไปให้เขา ทว่าฮาวอนอีกลับส่ายหัวแล้วส่งคืนมาให้ผม ปลายนิ้วที่สัมผัสโดนกันนั้นเย็นเฉียบมาก

“อีกแก้วนึงผมสั่งให้ผู้ช่วยคังครับ ผู้ช่วยคิมเอาขึ้นไปเถอะครับ”

ฮาวอนอีกัดหลอดดูดอเมริกาโนเล่น ก่อนจะหยิบแก้วแฟรปปูชิโนขึ้นมา

“อเมริกาโนนั่นไม่ใช่ของคุณอิมหรอกเหรอครับ”

“เปล่าครับ ของคุณฮันนาคือแก้วนี้ต่างหากล่ะครับ”

“อ้า…”

ผมดูดอเมริกาโนลงคอ มันทั้งสดชื่นและมีรสขมติดปลายลิ้นนิดหน่อย ฮาวอนอีมองผมก่อนจะหัวเราะออกมา

“กลับเข้าไปทำงานเถอะครับ”

ผมผงกหัวบอกลาแล้วขึ้นลิฟต์ไป ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองสนิทกับฮาวอนอีมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ แต่อย่างน้อยขอแค่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็ดีแล้วแหละนะ

ทว่าลิฟต์กลับหยุดลงที่ชั้นสอง ถ้ารู้แบบนี้สู้ผมเดินขึ้นไปเองน่าจะดีกว่า ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากด้านนอก ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย

“เตรียมพรีเซนต์ให้ดี แล้วเจอกันตอนบ่ายสามนะครับ ทุกคนกลับไปทำงานได้ครับ”

มือที่กำกาแฟเอาไว้พลันเย็นเยียบ ชายหนุ่มที่สบตากับผมหรี่ตาลงพลางหัวเราะเบาๆ

“ทานข้าวอร่อยไหมครับ”

ผู้จัดการอีไงจะใครล่ะ

ผมปิดปากเงียบจนถึงชั้นสาม พอได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ ของลิฟต์ผมก็รีบเอาตัวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“ขอตัวนะครับ”

ผมเดินพุ่งตัวไปข้างหน้า ทว่าผู้จัดการอีเองก็พุ่งตามอยู่ข้างๆ ผมเช่นกัน

“วันนี้หลังเลิกงานคุณทำอะไรเหรอครับ”

“ครับ?”

“ไปทานดินเนอร์กับผมไหมครับ”

“เอ่อ…”

ผมหยุดฝีเท้าลงทันควัน ขณะที่ผู้จัดการอีเดินมาขวางอยู่ด้านหน้า

“จากนั้นก็ไปดื่มเหล้าด้วยกันสักหน่อย”

“พอดีผมมีนัดแล้วครับ”

“ผมถามได้ไหมครับว่ากับใคร”

ต้องปั้นเรื่องมันซะตั้งแต่ตอนนี้ อีกเดี๋ยวผมจะมีนัดกับใครดีนะ และแล้วผมก็นึกถึงเจ้าซอลกีโดขึ้นมาได้ ถ้าเป็นหมอนั่นก็ถือว่าเป็นไม้กันหมาที่เข้าท่า

ผู้จัดการอียิ้มพราวเสน่ห์โดยไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกผมเลยสักนิด ผมดูดอเมริกาโนเข้าไปอึกใหญ่อย่างจนใจ นี่มันแทบไม่ต่างอะไรจากการชวนเดตเลยสักนิด

ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไหร่ อัลฟ่าเขาไม่ได้คบกับโอเมก้ากันหรอกเหรอ ปกติแล้วพวกเบต้ามักจะคบแต่กับเบต้าด้วยกัน พ่อแม่ของผมก็เป็นแบบนั้น ปู่ย่าตายายของผมเองก็เช่นกัน แม้แต่คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันที่อยู่ข้างบ้านผมก็ยังเป็นเบต้าทั้งคู่เลย

ผมไม่เคยนึกอยากก้าวเท้าเข้าสู่โลกที่แสนวุ่นวายของโอเมก้ากับอัลฟ่าเลยแม้แต่น้อย ในฐานะเบต้าผมชอบชีวิตแสนธรรมดาที่ได้อยู่ร่วมกันกับเหล่าเบต้ามากกว่า สำหรับผมแล้วผู้จัดการอีที่ทำท่าทีแพรวพราวใส่ผมนั้นไม่ต่างอะไรจากผู้เฝ้าประตูแห่งแม่น้ำจอร์แดนเลยสักนิด

ผมอยากมีชีวิตเรียบง่าย อีกอย่างการเดตกับเจ้านายที่เป็นผู้ชายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ผมจะสามารถยอมรับได้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีความคิดที่จะมีความรักในสังคมเส็งเคร็งนี้เลยแม้แต่น้อย โลกอันแสนสกปรกที่มีแต่อัลฟ่ากับโอเมก้าไล่จับคู่กันจนน่าเบื่อหน่าย

“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะผมนัดเพื่อนสมัยมหา’ลัยไว้น่ะครับ”

“คงจะมีนัดแค่วันนี้สินะครับ แล้วต่อจากนี้จะมีนัดแบบนี้ทุกวันหรือเปล่า หรือความจริงแล้วคุณมีแผนว่าจะมีนัดทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากชวน?”

ผู้จัดการอียกมุมปากยิ้มอย่างรู้ทันจนเผยให้เห็นลักยิ้ม ผมจึงเปิดปากพูดโดยไม่ละสายตาไปจากลักยิ้มนั้น

“ในอนาคตต่อจากนี้ผมก็ไม่มีความคิดจะข้องเกี่ยวอะไรกับผู้จัดการอีเป็นการส่วนตัวครับ แม้ว่าผมจะเคยบอกไปแล้ว แต่ผมก็อยากจะบอกอีกครั้งว่าผมไม่คิดที่จะมีแฟนครับ”

ผู้จัดการอีเดินก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าวอย่างระวังท่าที เงาของเขาทาบทับลงบนใบหน้าของผม ผมรู้สึกหวั่นใจหน่อยๆ จึงก้าวถอยไปข้างหลัง เขานี่สมกับเป็นอัลฟ่าจริงๆ ทั้งตัวสูง แถมยังหล่ออีกต่างหาก

“ผมก็ไม่ได้ขอคุณเป็นแฟนนี่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะมาหาผมบ่อยๆ ทำไมล่ะครับ”

“เมื่อกี้เราเจอกันโดยบังเอิญต่างหาก”

“แต่นั่นมัน…”

“ไหนคุณบอกว่าจะไม่มีแฟนไง ถ้างั้นก็อย่าคบกับใครเลยนะครับ ผมสัญญาเลยว่าจะไม่รบกวนคุณคิมจูฮยอกจริงๆ”

“รู้ใช่ไหมครับว่านั่นเป็นคำพูดที่แปลกมากน่ะครับ”

ผมดูดอเมริกาโนในมืออีกครั้ง คอแห้งชะมัด

“ลองให้โอกาสผมเป็นเพื่อนคุณหน่อยเป็นไงครับ ถ้าคุณไม่อยากมีแฟน อย่างนั้นเราคบกันแบบเพื่อนก็ได้นี่”

“นั่นน่ะโคตรไม่ชอบมาพากลเลยครับ…”

ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อหยดหนึ่งไหลกลิ้งลงมาตามหลัง ไม่รู้ว่าผู้จัดการอีตัดสินใจมาแล้วหรือเปล่าถึงได้ไม่แม้แต่จะยอมหลีกทางให้ผมเลยสักนิด พอนึกถึงละครที่ดูมาจนถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นโอเมก้าเลยแฮะ

เหมือนได้กลายเป็นโอเมก้าที่โดนอัลฟ่ารุกเร้า เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ปกติแล้วพวกตัวละครเอกเขาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบยังไงกันนะ…

จำไม่ได้แล้วแฮะ ความจริงแล้วนอกจากฉากที่ซอลกีโดโผล่มาผมก็แทบจะไม่ได้ตั้งใจดูอะไรอีกเลย ทั้งชีวิตนี้ผมได้ดูละครแบบจริงๆ จังๆ แค่ตอนเรียนมหา’ลัยเท่านั้น เพราะช่วงนั้นพ่อกับแม่ติดละครกันงอมแงม ผมเลยมีโอกาสได้ดูบ้างเป็นครั้งคราวเวลาพ่อกับแม่ส่งเสียงดังตอนดูทีวี

น้องสาวกับผมมักจะนอนดูบอลบนโซฟาและเล่นเกมลงโทษด้วยกันเวลาดูบอลแล้วไม่สนุก ยัยนั่นมักจะกระชากผมของผมแล้วบอกว่าตัวเองชนะทั้งๆ ที่ตัวเองฟาวล์ ยัยน้องสาวคนนี้นี่มันจริงๆ เลย…ว่าแต่ทำไมช่วงนี้ไม่ทักมาเลยนะ นี่น่าจะถึงช่วงค่าขนมหมดแล้วนี่นา…

เดี๋ยวคงต้องส่งข้อความไปหาซะหน่อยแล้วสิ ตอนนี้จะสบายดีหรือเปล่านะ คงไม่ใช่ว่ามีแฟนไปแล้วหรอกนะ

ผมแกะฝาครอบแก้วอเมริกาโนออกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดยังไง ช่วงนี้ยัยคิมจูยองน้องสาวตัวดีก็น่าสงสัย ทำไมถึงได้ไม่ขอค่าขนมกันนะ ไม่มีทางที่แม่จะให้ค่าขนมยัยนั่นจนพอใช้หรอกน่า…

“คุณคิมจูฮยอก ชีวิตคุณมีปัญหาที่ต้องคิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“อ่า ครับ…”

จริงสิ ผู้จัดการอี

“ขอโทษนะครับที่รั้งคุณไว้ ทั้งๆ ที่คุณกำลังยุ่งอยู่แท้ๆ ยังไงก็ลองคิดดูอีกครั้งเถอะนะครับ เรื่องที่จะไปกินข้าวเย็นกับผมวันนี้น่ะ เพราะถ้าคุณตอบตกลง ผมจะพาไปร้านอาหารที่อร่อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ”

ผู้จัดการอีตบบ่าผมปุๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังลิฟต์ ผมยกอเมริกาโนที่เหลืออยู่กระดกรวดเดียวจนหมด บางทีถ้าตามผู้จัดการอีไปผมอาจจะได้กินอาหารหรูสุดแพงก็เป็นได้ จิตสำนึกตามระบบทุนนิยมในตัวผมกำลังสั่นไหว ไม่ได้สิ…ท่องเอาไว้ ชีวิตอันแสนสงบสุข…ชีวิตอันแสนสงบสุข…

ผมกลับไปยังที่ของตัวเองแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พลางคิดว่าก่อนทำงานคงต้องส่งข้อความไปหายัยน้องสาวซะหน่อยแล้ว

 

ไม่ต้องการค่าขนมหรือไง

 

ทันทีที่กดรีเฟรชระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ ระบบเมสเซนเจอร์ก็กะพริบขึ้น ยัยนั่นไม่เรียนหนังสือหรือไงนะ ทำไมถึงได้ตอบเร็วทันทีแบบนี้

 

โอนมาสิ

เอาแต่เล่นมือถือหรือไง ทำไมถึงได้ตอบเร็วขนาดนี้น่ะฮะ

ก็ตอบแล้วนี่ไง ยังจะกวนอีก

ไม่ต้องเอามันแล้วนะ ค่าขนมอะ

มั่ยต่องอาวมัลแร้วนร๊ะ ค่าขณมอร่ะ

ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นโทรมาขอค่าขนมเลย

ก็เงินแต๊ะเอียยังเหลืออยู่ไง

แล้วสรุปจะเอาค่าขนมไหม

เอา

 

แค่เช็กว่ายังอยู่ดีก็พอแล้ว ไว้โอนไปให้สักแสนวอนแล้วกัน

 

ปัญหามักจะถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง สัญญาณขอความช่วยเหลือถูกส่งมาจากแผนกให้คำปรึกษาลูกค้าที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามา เนื่องจากลูกค้ามีการขอทำธุรกรรมเรียกร้องขอเงินค่าบริการในการให้คำปรึกษาหารือคืนเป็นเงินก้อนใหญ่ เห็นบอกว่าถึงพนักงานให้คำปรึกษาจะพยายามปลอบใจและเกลี้ยกล่อมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของทางฝ่ายนั้นแล้ว แต่สุดท้ายก็เกิดการกระทบกระทั่งกันอยู่ดี สุดท้ายแล้วทั้งคู่ด่ากันวุ่นวายจนต้องติดต่อมาที่สำนักงานใหญ่

ไม่รู้ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่มากหรือเปล่า หัวหน้าแผนกซอถึงได้วิ่งหน้าตั้งลงมาถึงชั้นสาม พอหัวหน้าแผนกซอมาปรากฏตัวเท่านั้นแหละ เหล่าพนักงานทุกคนต่างก็ยื่นหัวออกมาจากพาร์ทิชั่นกันหมด จนหัวหน้าอีต้องสั่งพวกเมียร์แคตคอยื่นคอยาวทั้งหลายที่เกลียดการทำงานให้สงบลง

“ทุกคนกลับไปทำงานของตัวเองเถอะครับ ปัญหานี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”

หัวหน้าแผนกซอคว้าข้อมือของหัวหน้าอีเอาไว้ทันควัน

“นายไหวแน่นะ?”

งานนี้ต่อให้ไม่ไหวยังไงก็ต้องไหว บริษัทจ่ายเงินเดือนมาก็เพื่อให้เราแก้ไขปัญหาถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนี่นา

หัวหน้าอีสะบัดมือหัวหน้าแผนกซอออก

“อย่ามาทำเป็นรู้จักผมตอนนี้เลยครับ”

เรื่องนั้นดูท่าจะยากหน่อยแฮะ ถ้าเจ้านายเมินเฉยต่อลูกน้อง งานมันก็ไม่เดินน่ะสิ

ความจริงแล้วผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าอีดี ผมคิดว่าปัญหาของเขาสองคนมันเริ่มมาจากการนอกใจของหัวหน้าแผนกซอ อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเป็นการแต่งงานทางผลประโยชน์ แต่การนอกใจก็คือการนอกใจอยู่วันยังค่ำ

ถ้าจะให้สรุปเรื่องราวของปัญหาที่เกิดขึ้นคร่าวๆ มันเป็นอย่างที่กล่าวมา เมื่อวานนี้ทั้งคู่แยกกันออกไปเจอกันเพื่อเดต แต่เหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง หัวหน้าอีก็เลยปลีกตัวจากตรงนั้นไป ส่วนหัวหน้าแผนกซอที่ทนรอไม่ไหวในระหว่างนั้นก็ดันไปสานความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับโอเมก้าที่ไปเจอกันกลางถนน เวลานี้หัวหน้าแผนกซอคือไอ้อัลฟ่าสวะคนหนึ่งที่ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้เลย ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอาการรัตหรืออะไรพรรค์นั้นมากนัก แต่ไม่ว่ายังไงการนอกใจก็คือการนอกใจอยู่ดี

และการได้ดูหนังสดอะไรแบบนี้ในบริษัทมันก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าสุดๆ ทำไมผมถึงต้องมารับรู้ปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของสองคนนี้ด้วยวะเนี่ย

ผู้ช่วยคังเหลือบมองมาทางผมก่อนจะส่งข้อความมา

 

หัวหน้าอีจะโกรธไปอีกกี่วันอะ

จนกว่าจะหย่า

แต่หัวหน้าอีชอบหัวหน้าแผนกซอมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ

จากที่ดูฉันว่าน่าจะหายโกรธหลังจากนี้แหละ

 

ในระหว่างนั้นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอก็เริ่มทะเลาะกันใหญ่โต พอหัวหน้าแผนกซอบอกว่างานนี้ต้องไปทำงานนอกสถานที่ ฝ่ายหัวหน้าอีก็ตอบกลับไปว่านายเป็นคนนอก เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาทะเลาะกันถึงขั้นที่ทนไม่ไหวจนชวนกันลงไปทะเลาะกันที่บันได เรื่องแบบนี้ในบริษัทคนเป็นผู้จัดการสมควรจะต้องรู้เรื่องสิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการมันก็กำลังจีบผมอยู่นี่หว่า

คำตอบสุดท้ายจึงมีเพียงแค่การลาออกหนีไปเท่านั้น กัดฟันทนอีกแค่สามปี ผมแค่ต้องทนสภาพทุเรศนี้ไปอีกสามปีเท่านั้น

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com