everY
ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.3-3.1 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1
ผู้เขียน : MINTRAN
แปลโดย : ทันบี
ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 2.3
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็ออกไปจากตรงนั้นด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ปัญหาใหม่จึงเกิดขึ้นมาแทน ถ้าสองคนนั้นไปทำงานนอกสถานที่นานขึ้น เอกสารของพวกผมที่จะต้องได้รับการอนุมัติก็จะถูกเลื่อนจนล่าช้าออกไปด้วย ตอนนี้ทุกคนต่างมีเมฆดำครึ้มปกคลุมบนใบหน้า ส่วนผมเองก็ได้แต่กระวนกระวายใจ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนเลิกงาน เรื่องทั้งหมดนี้จะสามารถแก้ไขได้ลุล่วงทันหรือเปล่านะ วันนี้ผมจะเลิกงานตรงตามเวลาได้ไหมวะเนี่ย
ผมพะวักพะวนจนไม่สามารถโฟกัสกับงานได้เลย ถ้าตอนนี้สองคนนั้นไม่ได้กำลังไปทำงานนอกสถานที่อยู่แล้วผมจะทำยังไงล่ะเนี่ย ถ้าหากว่าสองคนนั้นกำลังพูดคุยปรับความเข้าใจกันด้วยร่างกายในสถานที่ลับตาคนที่ไหนสักแห่งในบริษัทแล้วผมจะต้องทำยังไงอะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ต้องทนก้มหน้าทำโอทีไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ ทำไมชีวิตมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมันถึงได้รันทดขนาดนี้กันนะ
“อย่าคิดว่านี่มันเป็นเพราะฝีมือของคุณเลยครับ”
“ฮยอนแจ…”
สองคนนั้นกลับมาแล้ว!
ดูจากสถานการณ์ที่ยังคงคุกรุ่นเหมือนอยู่ในภาวะสงครามเย็นแล้ว พวกเขาน่าจะยังไม่ได้คืนดีกันด้วยร่างกาย
ขณะเดียวกันระบบเมสเซนเจอร์ในบริษัทของผมก็ยังคงกะพริบไม่ได้หยุดพัก ทุกคนต่างกำลังรอคนทั้งคู่อย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่ผู้ช่วยคังเองก็ยังส่งข้อความหาผมเช่นกัน
‘เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา!’
‘ขอให้ได้เลิกงานตรงเวลาเถอะ ได้โปรด’
‘ทำไมมันถึงได้ช้าขนาดนี้เนี่ย เรียกทีมตรวจสอบมาเลยไหม ในเมื่อสองคนนั้นแอบเถลไถลไปที่อื่นแบบนี้’
ในเมื่อกลับเข้ามาแล้วก็ต้องทำงานสิ ไม่ใช่ทำอย่างอื่น
หัวหน้าแผนกซอไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แถมยังเอาแต่คอยตามเกาะแกะอยู่กับหัวหน้าอีอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันนักหนา หัวหน้าอีถึงได้ผลักหัวหน้าแผนกซอออกแล้วรีบเดินหนีไปจากตรงนั้น ท่าทีที่ต่อต้านกันมันชัดเจนมากขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่หัวหน้าแผนกซอกลับยืนเซ่อ มองตามหลังของหัวหน้าอีไปด้วยสีหน้าเหม่อลอย
สำหรับผมตอนนี้แล้ว ขอเพียงแค่สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ ไม่ว่าอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผมทั้งนั้น
ทว่าแม้เวลาจะผ่านไปพักหนึ่งแล้ว หัวหน้าอีก็ยังไม่กลับมา เอกสารที่รอการอนุมัติก็มีแต่จะกองพะเนินทับถมกันสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ช่วยคิม…เราจะทำยังไงกันดีคะเนี่ย”
พนักงานอาวุโสซอที่รอจนท้อถือแฟ้มเอกสารเดินมาทางผม ตัวอักษรสีทองที่เขียนว่า ‘รอการอนุมัติ’ บนแฟ้มนั้นราวกับตอกย้ำสถานการณ์ในตอนนี้ ผมมองไปที่ผู้ช่วยคัง แต่ผู้ช่วยคังก็ได้แต่ส่ายหัว ต่อให้เป็นผู้ช่วยคังก็คงไม่มีอะไรที่พอจะสามารถทำได้อยู่ดี
นี่คงถึงเวลาที่ผมต้องออกโรงแล้วสินะ
ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง หลังจากพยักหน้าให้พนักงานอาวุโสซอ ผมก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำอย่างไม่ลังเล หัวหน้าอีน่าจะต้องอยู่ที่ห้องน้ำแน่ๆ เวลาเป็นแบบนี้พนักงานโอเมก้าส่วนใหญ่ก็มักจะไปสงบสติอารมณ์คลายความโกรธอยู่ในห้องน้ำคนเดียว
และการคาดเดาของผมก็ถูกต้อง ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องน้ำชั้นสามผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นจนเผลอกำมือแน่น ผมเข้าใจดีเลยล่ะ ถ้าถูกคู่ครองนอกใจ ต่อให้เป็นผมก็คงจะเสียใจไม่ต่างกัน แต่ที่นี่คือบริษัท ที่นี่คือสถานที่ที่ทุกคนต้องทำงานหาเงิน และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่จะต้องเลิกงานอย่างตรงเวลาด้วย!
ผมตั้งท่าจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่น่าเสียดายที่ห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่ไม่ถูกหลักอนามัยสักเท่าไหร่ในการสูดหายใจลึกๆ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปสูดลมหายใจเข้าแบบเบาๆ แทนอย่างทันควัน ผมกำหมัดแน่นก่อนคลายออกพลางผ่อนคลายความตึงเครียด
“ฮึก…ฮือ…ฮึก…อึก…”
“หัวหน้าครับ…หัวหน้าอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ”
“ฮะอึก…ฮือ…”
ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ ชอบกลเลยเคาะประตูห้องน้ำแรงขึ้นอีก
“หัวหน้าครับ? หัวหน้า!”
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลมหายใจรุนแรง ก่อนที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออก มือของหัวหน้าอีที่โผล่พ้นออกมาจากช่องประตูนั้นซีดเผือด
“…ผมไม่เป็นไร คุณกลับเข้าไปเถอะ”
“แต่ผมว่าคุณดูไม่โอเคเลยนะครับ”
เวลาแบบนี้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้สิ ที่นี่มันห้องน้ำนะ ท่องเอาไว้ เชื้ออีโคไล เชื้ออีโคไลเลยนะเว้ย!
“ผู้ช่วยคิม…”
หัวหน้าอีเดินเซออกมาอย่างทุลักทุเล ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงระเรื่อ ดูท่าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างทางร่างกายเกิดขึ้นแน่ๆ ความคิดต่างๆ มากมายไหลผ่านเข้ามาในหัว แม้แต่คนหนุ่มสาวเองยังเป็นโรคหัวใจวายได้เลย หัวหน้าอีคงไม่ได้เป็นอะไรถึงตายหรอกใช่ไหม นี่ผมต้องโทรเรียกรถพยาบาลหรือเปล่าเนี่ย
หัวเข่าของหัวหน้าอีที่กำลังใช้กำปั้นค้ำยันผนังห้องน้ำอยู่แลดูอ่อนแรงสุดๆ ในขณะที่ผมกำลังประคองหัวหน้าอีอยู่นั้นก็มีอะไรบางอย่างร่วงออกมาจากกำปั้นของเขา มันกลิ้งหลุนๆ ไปเรื่อยก่อนจะหยุดลงบนแผ่นกระเบื้อง
มันคือแหวน…แหวนทองที่ไร้ลวดลาย มันคงจะเป็นแหวนแต่งงานของเขากับหัวหน้าแผนกซอ
เพล้ง
บางอย่างภายในใจผมแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี เสียงดนตรีเนิบช้าสบายหูของหมู่เกาะเขตร้อนดังทะลุเข้ามาในเยื่อแก้วหูแล้วผ่านไป ก่อนที่ผมจะกระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“ความรักที่มันมีแต่จะเจ็บปวดแบบนี้น่ะ พอกันทีเถอะครับ!”
ดวงตาของหัวหน้าอีที่ผวาคว้าตัวผมไว้นั้นเบิกกว้าง
“…”
“…”
สติสัมปชัญญะที่ทำงานช้าเกินไปกำลังเริ่มหัวเราะเยาะผม ผมรีบคำนวณเงินค่าชดเชยจากการลาออกในหัวอย่างไว วันที่สัมภาษณ์งาน วันที่เข้าทำงาน วันที่รับโปรเจ็กต์แรก ภาพวันเวลาเหล่านั้นแทรกเข้ามาภายในหัวของผมสะเปะสะปะไปหมด
หัวหน้าอีจับมือผมไว้ เขาหันหน้าไปยังประตูทางเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้าซีดเผือด สายตาของผมพลันมองตามหัวหน้าอีไปโดยอัตโนมัติ เหล่าเมียร์แคตเมื่อตอนบ่ายต่างก็รวมตัวกันอยู่ตรงนั้น
แน่นอนว่าหัวหน้าแผนกซอเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน
“ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ถอยออกมาซะ”
ให้ตายสิ อยากจุดไฟเผาบริษัทเวรนี่ชะมัด
“ก็อยากไปกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่หรอกนะครับ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมื้อเย็นแบบนี้”
ผมคนซุนแดกุก* ไปพลางรู้สึกคันในช่องจมูกเพราะกลิ่นผงงาขี้ม่อนรสอร่อย
“ขอโทษนะครับ”
“อย่าตำหนิตัวเองนักเลยครับ เท่าที่ผมฟังเรื่องราวแล้ว หัวหน้าอีเองก็มีส่วนผิดครับ ทัศนคติของหัวหน้าแผนกซอเองก็ผิดเหมือนกัน”
ผู้จัดการอีกระแอมกระไอก่อนจะดื่มน้ำ ดูเหมือนเขากำลังพยายามกลั้นขำอยู่เลยแฮะ
“ถึงจะบอกว่าอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณคิมจูฮยอกทำถูกแล้วหรอกนะครับ”
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษนะครับ! ทางนี้ขอโซจูขวดนึงครับ”
“เอาแบบไหน!”
พนักงานในครัวตะโกนกลับมาดังลั่น ผู้จัดการอีมองหน้าผมพลางถามว่า “มีเหล้าที่คุณไม่ดื่มไหมครับ”
ผมส่ายหัวเป็นคำตอบเพราะเมื่อกี้เพิ่งจะตักซุนแดกุกเข้าปากไปหนึ่งคำโต ก่อนที่ลักยิ้มของผู้จัดการอีจะบุ๋มลึกขึ้นกว่าเดิม
“เอาอะไรก็ได้ครับ”
ผมจ้องมองดูขวดแก้วสีเขียวที่พนักงานนำมาวางไว้บนโต๊ะเงียบๆ ก่อนที่ผู้จัดการอีจะดันถ้วยกิมจิหัวไช้เท้าผสมผักกาดขาวมาให้ผม
“กินเยอะๆ นะครับ”
“ครับ”
ผมตักซุนแดกุกเข้าปากอีกหน น้ำซุปสีขุ่นรสกลมกล่อมกระจายไปทั่วปาก สำหรับผู้จัดการอี ผมยอมรับว่าผมอคติ ทีแรกผมนึกว่าเขาจะเป็นคนประเภทที่จับเป็นแต่มีดกินเป็นแต่สเต๊ก แต่ความจริงแล้วเขาเองก็ดูจะชอบกินอาหารง่ายๆ อย่างซุนแดกุกด้วยเหมือนกัน พอเห็นเขาตักเนื้อขึ้นมากินก่อนอย่างชำนาญแล้ว ดูท่ามันไม่น่าจะใช่เทคนิคการกินซุนแดกุกของคนที่เพิ่งเคยกินมาแค่วันสองวัน
“ที่จริงแล้ววันนี้ผมกะจะเลี้ยงของแพงๆ อร่อยๆ อย่างพวกซาชิมิอะไรประมาณนั้นน่ะครับ”
“ซุนแดกุกนี่ก็อร่อยครับ”
“ถ้าหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอไม่ทะเลาะกันในห้องทำงานของผมก็คงจะดี เราจะได้ออกมากันเร็วกว่านี้”
ผู้จัดการอีเบนสายตาลงไปมองที่นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาสีเงินเป็นประกายส่งเสียงบอกเวลาเบาๆ
นี่สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย
เมื่อสามชั่วโมงก่อน หลังจากที่ผมคว้าคอเสื้อของหัวหน้าอี เหตุการณ์อลหม่านก็ลุกลามไปใหญ่โต
ผมปล่อยมือออกเพราะความตกใจ ส่วนหัวหน้าอีก็ทรุดลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น หัวหน้าแผนกซอที่กำลังโมโหก็โผเข้ามาผลักผมออกแล้วพยุงตัวหัวหน้าอีลุกขึ้นมาราวกับดึงสาหร่ายทะเลที่อ่อนปวกเปียก ส่วนผมที่สูญเสียการทรงตัวก็เซถลาล้มลงไปทั้งอย่างนั้น ถ้าแค่ล้มเฉยๆ ก็คงจะดีน่ะแหละ แต่นี่เท้าของผมดันฟาดไปที่หน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซออย่างแรง หัวหน้าแผนกซอถึงได้เสียหลัก และหัวหน้าอีก็ได้ใช้จังหวะนั้นตบเข้าที่หน้าของหัวหน้าแผนกซอเต็มแรง
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงของผู้ช่วยคังพูดขึ้นว่า ‘มีใครถ่ายไว้ไหมครับ’
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการที่บรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่เพิ่งประชุมเสร็จต่างก็กรูมารวมตัวกันในที่เกิดเหตุ เพราะพวกเขาตั้งใจจะแวะมาเพื่อถามไถ่ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องคำร้องเรียนของลูกค้าระหว่างทางที่ลงไปชั้นหนึ่ง และพอเห็นว่าชั้นสามเต็มไปด้วยที่นั่งว่างเปล่า พวกเขาต่างก็ยิ่งโกรธจนควันออกหู
ผมนั่งอยู่บนพื้นห้องน้ำ หัวหน้าอีกำลังยืนร้องไห้ หัวหน้าแผนกซอเองก็ได้แต่ทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าเหล่าพนักงานกลัวว่าผู้บริหารจะพลาดฉากนี้ไปหรืออย่างไรถึงได้สไลด์ตัวหลบจากตรงนั้นกันหมด
‘นั่นหัวหน้าแผนกซอฮีแทใช่ไหม’
‘ทุกคนมัวยืนทำอะไรกัน! นี่มันน่าดูมากนักหรือไง กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้!’
‘ผู้ช่วยฮวังอยู่ที่นี่ไหม’
เหล่าผู้คนส่งเสียงดังเอะอะโวยวายกันอยู่สักพักก่อนจะเงียบลงไปในพริบตาราวกับป่าช้า จากนั้นผู้จัดการอีก็เดินกอดอกหน้าขรึมแหวกออกมาตรงกลางระหว่างหมู่คน
‘คิมจูฮยอก ซอฮีแท อีฮยอนแจ รบกวนขึ้นมาที่ห้องทำงานผมด่วน’
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากเข้าทำงานมาเลยที่ผมได้ยินน้ำเสียงตอนโมโหของผู้จัดการอี ผมจำลองสถานการณ์ต่างๆ มากมายตั้งแต่การโดนตัดเงินเดือนจนถึงการโดนไล่ออก ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเปิดโปงปัญหารักๆ ใคร่ๆ ของสองคนนั้นก่อนแล้วค่อยลาออกเองดีกว่า
หัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีทะเลาะกันอย่างดุเดือดแม้แต่ตอนที่อยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการ ผู้จัดการอีฟังการโต้แย้งกันของสองคนนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้และลุกพรวดขึ้นอย่างแรงในที่สุด
‘ที่นี่มันบริษัทนะครับ พวกคุณยังมีสติดีกันอยู่ไหม!’ ผู้จัดการอีตวาดออกมาเสียงดังลั่น ‘คุณทั้งคู่ไปเขียนหนังสือชี้แจงมาให้ผมภายในวันพรุ่งนี้ ส่วนคุณอยู่ที่นี่ก่อน คุณคิมจูฮยอก’
หัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอียังคงใช้เวลาอีกเกือบสิบห้านาทีกว่าจะออกไป พอได้ยินเสียงประตูห้องทำงานของผู้จัดการปิดลง ผู้จัดการอีก็ถอนหายใจออกมา
‘สองคนนั้นเขาเป็นแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เหรอครับ’
‘เหมือนจะเพิ่งมาหนักขึ้นช่วงนี้น่ะครับ’
‘ทั้งที่ผมควรจะต้องรู้ก่อนหน้านี้แท้ๆ ขอโทษด้วยนะครับ อีกอย่างพวกเขาเองก็ยากที่จะแตะต้อง…พอดีผลงานของพวกเขายอดเยี่ยมมากทั้งคู่เลยน่ะครับ…’
‘ผู้จัดการอีครับ คือที่จริงแล้ว…’
ผมเล่าเรื่องราวความรักอันน่าอัศจรรย์ใจของหัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีที่เกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง ผมคิดจะเปิดเผยทุกอย่างว่าคนพวกนี้คบกันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะมากขนาดไหน
ทั้งเรื่องที่ถ้าพวกเขาทั้งคู่ไม่อยู่ ทีมเราก็ตายกันยกทีม ทั้งเรื่องที่ทำงานอยู่แล้วจู่ๆ ก็ชอบหายตัวไป ไหนจะเรื่องที่ชอบคุยเรื่องทางเพศในที่สาธารณะอีก…
ระหว่างเล่าไปนั้นผู้จัดการอีก็คอยช่วยพูดเสริมอย่างเห็นใจว่า ‘ลำบากแย่เลยนะครับ’
พอบทสนทนายาวขึ้นเรื่อยๆ ผมก็แอบกังวลเรื่องเวลาหน่อยๆ เพราะดูเหมือนว่ามันจะเลยเวลาเลิกงานของผมไปแล้ว…
ผู้จัดการอียกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ จนเส้นเลือดปูดขึ้นบนหลังมือของเขา จากนั้นเขาก็ยิ้มก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้น
‘คุณหิวแล้วสินะครับ?’
ผมพยักหน้าหงึกๆ
จากนั้นพวกเราก็หอบกันมาที่ร้านซุนแดกุกใกล้บริษัท
ในระหว่างที่ผลัดกันเทโซจูไปมา ผมก็ได้ระบายเรื่องราวที่รู้สึกไม่ยุติธรรมออกไป ไม่ว่าจะเรื่องโอเมก้าของบริษัทเราที่มักจะไม่พกยาระงับกันอยู่บ่อยๆ หรือเรื่องของพวกพนักงานอัลฟ่าที่มักจะชอบมาเบียดเบียนเหล่าโอเมก้าอยู่เสมอ…
ผู้จัดการอีเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจริงใจ เขาฟังเรื่องที่ผมพูดอย่างจริงจัง ทั้งยังบอกว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต
มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย รู้แบบนี้ผมมาคุยกับผู้จัดการอีตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
นัยน์ตาของผมเป็นประกายระยิบระยับชั่วครู่หนึ่ง
พอผมเงยหน้าขึ้นมา จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็พลันกลายเป็นสีดำ ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่ไหนสักที่ และเมื่อได้สติ ถนนที่มีป้ายส่องแสงก็เข้ามาในสายตาผม ผมนั่งอยู่ในร้านกับผู้จัดการอีมาจนถึงเมื่อกี้นี้ เอ่อ…จากนั้นเราก็ย้ายไปที่ร้านเบียร์สด…นี่ผมดื่มไปมากขนาดไหนกันเนี่ย
ผู้จัดการอียื่นเครื่องดื่มมาให้ แต่น่าเสียดายที่สายตาของผมจับจุดโฟกัสอะไรไม่ได้จนไม่สามารถรับเครื่องดื่มที่เขายื่นมาให้ได้ ผู้จัดการอีจึงจับมือผมแล้วเอาเครื่องดื่มยัดใส่มือแทน
“ผู้จัดการมือใหญ่จังเลยครับ”
“นี่เป็นคำชมใช่ไหมครับเนี่ย”
“พวกอัลฟ่าใหญ่แบบนั้นกันหมดเลยสินะครับ แบบว่า…ใหญ่ไปหมดทุกอย่างเลยเหรอครับ”
ใบหน้าของผู้จัดการอีพลันแดงเถือก
“หมายถึงอะไรครับ”
“พอดูไปแล้ว พวกอัลฟ่าเนี่ยทั้งตัวใหญ่ มือใหญ่ แถมเท้าก็ยังใหญ่อีก แต่โอเมก้าเนี่ยอะไรๆ ก็เล็กไปหมดซะทุกอย่าง แถมยังขาวและน่ารักอีกต่างหาก…”
ผู้จัดการอีถอนหายใจก่อนจะเสยผมขึ้นไปลวกๆ
“ดูเหมือนว่าผมจะให้คุณดื่มเยอะไปแฮะ แล้วคุณลุกไหวไหมครับเนี่ย”
“แน่นอนสิครับ”
ผมเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนลูกปืน ผู้จัดการอีผงะถอยไปด้านหลังเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยืนเซไปมาเหมือนเจ้าหญิงเงือกน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะทิ่มลงบนหน้าอกของผู้จัดการอี
“กลิ่นตัวคุณหอมจังเลยครับ”
“คุณคิมจูฮยอก นี่คุณคงไม่ได้จงใจแกล้งทำตัวแบบนี้หรอกนะครับ”
“ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มของอะไรเหรอครับ สงสัยผมต้องซื้อยี่ห้อใหม่ซะแล้วแฮะ บ้าน่า ต้องรอซื้ออันที่ลดราคาเซ่”
ผมตบหน้าอกของผู้จัดการอีเบาๆ
อกแน่นจังแฮะ
“ก๊อกๆ นี่ใครครับ อัลฟ่าไงล่ะ! อัลฟ่าที่ต่อให้ไม่ออกกำลังกายก็มีกล้ามไง! แล้วเบต้าทำไมไม่เป็นแบบนั้นกันนะ”
“…ผมออกกำลังกายทุกวันนะครับ”
“ผมไม่ได้ถามคุณสักหน่อย”
ผมผลักผู้จัดการอีออกแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า ผู้จัดการอีจึงวิ่งตามมาแล้วคว้าจับมือผมเอาไว้
“ผมเรียกพนักงานรับจ้างขับรถแทนมาแล้ว เดี๋ยวกลับด้วยกันนะครับ”
ผมถูกผู้จัดการอีลากเดินไปถึงรถ ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกเหมือนว่าผู้จัดการอีทักทายใครบางคน ก่อนที่จะเปิดประตูที่นั่งด้านหลัง
“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน ระหว่างนี้คุณนอนพิงผมไปก่อนนะครับ”
“แต่ผมชอบที่นั่งข้างคนขับมากกว่าอะ”
ผมโผตัวเข้าไปเปิดประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับแล้วโน้มตัวนั่งลงไป ผู้จัดการอีจึงยืนเหม่ออยู่สักพักก่อนรีบขึ้นไปนั่งบนที่นั่งด้านหลัง
“ปิ๊นๆ บ้านจ๋า กลับบ้านกัน”
และแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้จัดการอีดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ปกติก็น่ารักแบบนี้อยู่แล้วเหรอครับ”
“ได้โปรด ผมขอล่ะครับ อย่าพูดแบบนั้นกับผมเลย”
“คุณไม่ชอบคำว่าน่ารักเหรอครับ แต่เท่าที่ตาผมเห็น คุณก็น่ารักจริงๆ นี่”
ผมหันไปมองพลางพูดต่อ
“รู้ไหมครับว่าน้องสาวผมเรียกผมว่าอะไร”
“เรียกว่าอะไรเหรอครับ”
“ฟักทองที่โดนรถเหยียบ…”
ผู้จัดการอีกัดฟันหัวเราะอย่างอดกลั้น ในระหว่างที่เขางอตัวขำอยู่นั้น รถก็เคลื่อนออกตัวไป ผู้จัดการอีวางมือลงกับเบาะคนขับ แล้วพนักงานที่มาขับรถแทนให้ก็พูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่ผู้จัดการอีจะตอบอะไรกลับไปสักอย่างเหมือนกัน หูผมตอนนี้ไม่ค่อยได้ยินอะไรเลยแฮะ
ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ขอพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน
“ผู้จัดการครับ ผมน่ะ ไม่คิดจะมีแฟนหรอกนะครับ”
“ทำไมล่ะครับ ผู้ชายอย่างผมมันดูไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”
“ต่อให้ดูดีไปก็เท่านั้น มันก็ไม่ใช่ทุกอย่างนี่ครับ”
“ถ้างั้นคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกเหรอครับ”
“ฮาวาย”
ดูเหมือนว่าสติสตังผมจะเริ่มเลือนหายไปเรื่อยๆ
“…ฮาวาย”
* ซุนแดกุก คือซุปไส้กรอกเลือด