everY
ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.3-3.1 #นิยายวาย
Chapter 3.1
ลืมตาตื่นมาที่บ้านคนอื่น
ผมลืมตาพึ่บขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกเหมือนข้างในท้องมันแน่นอืดไปหมด
อ่า…นี่ผมดื่มไปมากขนาดไหนกันเนี่ย
ผมซุกหน้าลงไปในผ้าห่มที่อุ่นสบายพลางคิดว่าอยากนอนต่อทั้งแบบนี้ไปอีกนิดและไม่อยากไปทำงานเลย
ไปทำงาน…?
นี่มันกี่โมงแล้ววะเนี่ย
ปลายนิ้วของผมพลันเย็นเฉียบขึ้นมา พอผมสะบัดผ้าห่มออก อากาศหนาวเย็นก็แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายทันที ผมไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ในตอนที่ยังอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ แต่ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ห้องของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังอยู่ในห้องจำลองอินทีเรียดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ผสมผสานสีขาวและสีดำได้อย่างลงตัว
ผมเบนสายตามองไปที่ชั้นติดผนังที่อยู่ข้างๆ แว่นตากรอบทองอันหนึ่งวางอยู่บนนั้นเหมือนพร็อพตกแต่งเล็กๆ ทว่ามันกลับไม่มีป้ายราคา ก่อนอื่นเลยดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นห้องที่คนอาศัยอยู่จริงๆ ผมยันตัวลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกปวดหัวตุบๆ อย่างหนัก
พอลุกขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่านอกจากกางเกงในแล้ว เนื้อตัวผมก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นเลย ดูท่าผมคงแก้ผ้าแล้วนอนหลับไปโดยไม่มีสติสตังแบบนั้น
ผมพลิกผ้าห่มไปมาจนเจอโทรศัพท์มือถือ พอเห็นว่าเวลาตอนนี้เพิ่งจะหกโมงครึ่ง ผมก็เอนตัวนอนลงอีกครั้ง ทั้งที่เห็นอยู่ตำตาว่าที่นี่เป็นบ้านของคนอื่น แต่ช่างเถอะ เวลานี้ผมขอเอนตัวลงนอนไปก่อนก็แล้วกัน
ว่าแต่นี่มันบ้านของผู้จัดการอีหรือเปล่านะ
ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นแฮะ จำไม่ได้ว่าเมื่อวานนี้ผมได้บอกที่อยู่กับแท็กซี่ไปถูกหรือเปล่า ทั้งหมดที่จำได้มีเพียงแค่สีหน้าสิ้นหวังของหัวหน้าอีที่ถูกผมกระชากคอเสื้อ
“ทำไมตื่นเร็วจังเลยล่ะครับ”
ผมพลันสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเห็นผู้จัดการอีเดินเข้ามาในห้อง เขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เนื้อตัวถึงได้มีหยาดน้ำเกาะพราวไปทั่ว
“ขอโทษทีครับ”
“คุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก พอดีบ้านผมอยู่ใกล้บริษัทน่ะ”
ผู้จัดการอีเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ ก่อนจะดันไหล่ผมให้เอนลงไปนอนอีกครั้ง ลักยิ้มสวยบุ๋มลึกลงไปพร้อมกับหยาดน้ำที่หยดร่วงลงมาจากหน้าอกเปลือยของเขา ผมคงจะเป็นพนักงานคนแรกที่ได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเจ้านายสินะ ไม่สิ หัวหน้าอีเองก็น่าจะเคยเห็น…ของหัวหน้าแผนกซอ
คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัดเลยแฮะ
“ผมไม่ได้เป็นคนถอดเสื้อผ้าให้คุณนะครับ สาบานได้ เมื่อวานคุณเป็นคนถอดเอง”
ผู้จัดการอีหัวเราะในลำคอก่อนพูดขึ้น เขาเป็นพระโพธิสัตว์หรือไงนะ ขนาดมีไอ้ขี้เมามาแก้ผ้านอนในบ้านของตัวเองแท้ๆ ยังไม่โกรธ…เอ๊ะ ก็เขาชอบผมอยู่นี่หว่า ผมลองพยายามเค้นหาความทรงจำเมื่อคืน แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้มีเรื่องอะไรแปลกๆ เพราะผมเอาแต่หลับเป็นตายท่าเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็โล่งใจไป
“ขอบคุณนะครับ ดูเหมือนว่าเมื่อวานผมจะดื่มจนไม่มีสติเลย ขอโทษด้วยนะครับ”
“แล้ว?”
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ…”
“คุณไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าเมื่อวานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน”
“นี่ ผมเองก็ไม่ได้ภาพตัดอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ”
ผู้จัดการอีขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ แล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกดนวดบริเวณหว่างคิ้ว
“ก็ถูกของคุณ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ”
“ว่าแต่ผู้จัดการครับ”
“ครับ?”
ผู้จัดการอีเสยผมที่ปรกหน้าของผมไปด้านหลัง ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยกับมือที่เย็นเฉียบของเขา ก่อนที่หยาดน้ำบนตัวเขาจะหยดลงมาบนใบหน้าของผม
“ว่าไงครับ”
“น้ำมันหยดลงบนเตียงครับ…”
ผู้จัดการอีคงรู้สึกอายเลยถอยหลังลุกออกไป ก่อนจะบรรจงใช้ผ้าขนหนูไล่เช็ดผมและผิวกายอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมเองก็เคยเช็ดขนของลูกหมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้านสมัยก่อนแบบนั้นเหมือนกัน แต่สำหรับผู้จัดการอีแล้วคงบอกว่าเช็ดขนไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องบอกว่าเช็ดตัวถึงจะถูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามร่างกายเขาเหมือนเดิม
ผู้จัดการอีเดินไปมาอยู่ข้างๆ ผมราวกับกำลังอวดหุ่นล่ำ ถึงจะรู้สึกเก้อเขินอยู่หน่อยๆ แต่สายตาผมก็ดันชอบเผลอไปมองมันอยู่เรื่อย
นี่เขาจงใจทำให้มองหรือเปล่านะ บ้าน่า…เขาไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเภทที่ชอบอวดของลับสักหน่อย ว่าแต่กางเกงในของผู้จัดการอีเป็นสีดำด้วยแฮะ หุ่นดีชะมัด อิจฉาจัง
ผมคิดแบบนั้นอยู่ในใจขณะจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะรู้สึกสงสัยขึ้นมา
คนบ้าอะไรเดินไปเดินมาอยู่ได้ ทำไมไม่ยอมไปใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆ
ผู้จัดการอีหยุดฝีเท้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถามผม
“นี่คุณไม่เขินผมหน่อยเหรอครับ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยได้ยังไงกัน ทั้งที่ผมลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้วนะ”
“เขินสิครับ ไม่เขินได้ไง…ดื่มจนเมาแล้วดันมาลืมตาตื่นอยู่ในบ้านของผู้จัดการแบบนี้…”
“ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องนั้น…”
“แถมเมื่อวานผมยังกระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีอีก…”
ผู้จัดการอีได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มเช็ดตัวอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งอก
แทนที่จะเช็ดให้มันดีๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ ป่านนี้พื้นห้องเปียกหมดแล้วมั้ง
“นอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นนะครับ เดี๋ยวกินข้าวเช้ากับผมก่อนค่อยไปทำงาน”
“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมดื่ม…”
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไร ผิดที่ผมเองแหละที่รินเหล้าให้คุณดื่มเยอะขนาดนั้น ความจริงแล้วผมเองก็ชอบเวลาที่คุณคิมจูฮยอกอยู่ในบ้านผมนะครับ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคู่รักกันเลย”
ผู้จัดการอียิ้มพลางสอดแขนเข้าไปในเสื้อเชิ้ต ในขณะที่ผมดันตัวลุกขึ้นมาเหมือนผีดิบ
“ผู้จัดการครับ”
“ครับ”
“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าผมไม่คิดจะมีแฟน…”
ผู้จัดการอีรีบตอบกลับทันควัน
“รู้แล้วครับ ผมรู้แล้ว ยังไงคุณนอนต่อเถอะครับ”
ถึงจะอยากปฏิเสธให้มันหนักแน่นกว่านี้ แต่ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในสถานการณ์ที่ติดหนี้บุญคุณอยู่แบบนี้ ผมจึงเอนตัวนอนลงอย่างว่าง่าย
ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในบ้านของเจ้านาย และหลังจากนี้เราก็จะออกไปทำงานด้วยกัน จะมีเหตุการณ์ไหนที่ซวยไปได้มากกว่านี้อีก แต่ถึงอย่างนั้นผ้าห่มของเขามันก็อุ่นสบายมากจริงๆ แม้แต่เตียงก็ยังเหมือนกับเตียงในโรงแรมเลย
เตียงหลังละเท่าไหร่กันนะ มันดีจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าองค์การนาซ่าเป็นผู้ผลิตหรือเปล่า ผมคลำเตียงพลางคิดว่าเปลี่ยนฟูกเตียงบ้างดีไหมนะ ถ้าได้นอนฟูกแบบที่นี่ทุกวันก็คงจะสดชื่นน่าดู
ผู้จัดการอีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูห้องให้ด้วยในตอนที่ออกไป
ผมนอนหลับตานิ่ง ยังไงสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่การถอนหายใจให้กับหนี้บุญคุณ ความเสียดาย และความกังวลเท่านั้น
เวียนหัวชะมัด นอนต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน
เมื่อขึ้นมาบนรถของผู้จัดการอี ผมถึงได้รู้สึกเหมือนต้องกลับมาเผชิญโลกแห่งความจริง ผมแทบอยากจะเทเลพอร์ตวาร์ปไปนรกมันทั้งอย่างนี้เลย หรือไม่ก็อยากจะลาออกมันซะเดี๋ยวนี้
เมื่อวานก็เพิ่งจะไปกระชากคอเสื้อของหัวหน้ามา ส่วนวันนี้ก็ยังลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านของผู้จัดการ ผมนี่ขอบตาร้อนผ่าวแทบอยากร้องไห้ ชาติก่อนผมคงจะทำเวรทำกรรมขายชาติมาสินะ ไม่อย่างนั้นชาตินี้ผมคงไม่มีทางโดนสวรรค์ลงโทษแบบนี้แน่ๆ
ผู้จัดการอีที่ขึ้นรถมาอย่างเงียบๆ เปิดปากพูดขึ้น
“จะไม่กินข้าวเช้าจริงๆ เหรอครับ”
“ครับ…พอดีผมเป็นคนไม่ค่อยกินข้าวเช้าอยู่แล้วน่ะครับ…”
โกหกคำโต ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ที่ผมย้ายออกมาอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่กินข้าวเช้าเลย แม่ผมเองก็สอนผมมาแบบนั้นเหมือนกัน แม่บอกว่าต้องกินข้าวเช้า สมองจะได้แล่น ต่อให้จะมีแค่ซีเรียล แต่ผมก็ต้องกินก่อนเข้างานเสมอ วันนี้ผมก็แค่ไม่มีสมาธิมากพอที่จะมานั่งมองหน้าผู้จัดการอีแล้วกินอะไรก็เท่านั้น
จู่ๆ ผู้จัดการอีที่กำลังสตาร์ตรถอยู่ก็โพล่งถามขึ้น
“ทำไมถึงไม่อยากมีแฟนล่ะครับ”
“ผมเห็นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอแล้วก็คิดขึ้นมาได้น่ะครับ ไม่ต้องมีความรัก ใช้ชีวิตแต่ละวันไปแบบธรรมดาๆ น่าจะดีกว่า”
“ถึงจะมีแฟนแต่ก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ได้นี่ครับ”
“ก็พวกอัลฟ่ากับโอเมก้าไม่ได้มีความรักกันแบบธรรมดาๆ นี่ครับ”
“แบบนั้นถ้าอีกฝ่ายเป็นเบต้า คุณจะคบด้วยเหรอครับ”
“ไม่รู้สิครับ แค่ตอนนี้ผมยังไม่คิดอยากจะมีน่ะ”
ผู้จัดการอีเอี้ยวตัวมาหาผม
“เดี๋ยวผมคาดเข็มขัดนิรภัย…คาดแล้วแฮะ”
“ถ้าไม่คาดเดี๋ยวก็ได้โดนค่าปรับเอาน่ะสิครับ…”
ผู้จัดการอีจับพวงมาลัยก่อนลอบถอนหายใจออกมา
“ไม่ง่ายเลยแฮะ ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
พวกเราเดินทางไปบริษัทอย่างเงียบๆ บรรยากาศภายในรถเองก็อึดอัดไม่ต่างจากถนนในยามเช้า
รถแล่นไปประมาณยี่สิบนาทีกว่าจะถึงบริษัท คำพูดที่บอกว่าบริษัทอยู่ใกล้บ้านนั้นก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า ผู้จัดการอีจอดให้ผมลงก่อนจะเอ่ยปากพูด
“เรื่องเมื่อวานคุณอย่าไปคิดมากเลยนะครับ ส่วนเรื่องบ้านผม คุณมาเที่ยวเล่นได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องคิดมากเหมือนกัน แล้วผมก็มีอีกเรื่องที่อยากจะบอกด้วย”
“ครับ”
“ผมชอบคุณนะครับ”
“…”
“ผมไม่ได้บอกให้คุณมาชอบผมกลับ และผมก็จะไม่ร้องขอให้คุณมาเป็นแฟนผมด้วย แค่อยากบอกให้คุณรับรู้ไว้เฉยๆ น่ะครับ การกระทำที่ผมทำไปแต่ละอย่าง ผมทำไปเพราะว่าชอบคุณจริงๆ ขอแค่รับรู้เอาไว้ก็พอครับ”
“ผมขอคิดแค่ว่าคุณทำทุกอย่างให้ด้วยความปรารถนาดีในฐานะเจ้านายไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้ครับ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว อีกเดี๋ยวอย่าลืมเขียนหนังสือชี้แจงเอาขึ้นมาให้ผมด้วยนะครับ เพราะคุณเองก็ต้องถูกลงโทษด้วย”
ผู้จัดการอีขับรถไปยังลานจอดรถทันทีโดยไม่แม้แต่จะฟังคำตอบของผม
ผมงงไปหมดแล้ว ผู้จัดการอีชอบผมจริงๆ และก็เป็นเพราะเขาชอบผม เมื่อวานนี้เขาเลยไม่ทิ้งผมไว้ข้างถนน แต่พากลับไปดูแลถึงที่บ้าน ถึงจะหนักใจ แต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกเลย
ผมหมุนตัวก้าวเท้าเข้าไปในบริษัทพร้อมกับความรู้สึกสั่นไหวข้างในอก
เมื่อผมมาถึงชั้นสาม สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องและมุ่งความสนใจมาที่ผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมมาช้ากว่าปกติหรือเปล่าถึงแทบจะมองไม่เห็นที่ว่างเลย ดวงตาหลายสิบคู่จ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว และในบรรดาสายตาเหล่านั้นก็มีสายตาของหัวหน้าอีรวมอยู่ด้วย ผมก้มศีรษะลงทักทายเขา ก่อนที่หัวหน้าอีจะยกมือขึ้นรับคำทักทายด้วยท่าทีอึดอัดใจ จากนั้นผมก็ลากแข้งขาที่แข็งทื่อไปนั่งลงตรงที่ของตัวเอง
ผู้ช่วยคังยกแขนขึ้นโอบไหล่ผม
“ชุดเหมือนเมื่อวานเลยนะ โดนเรียกไปดุมาตลอดสิบห้าชั่วโมงเลยเหรอ”
“ก็คล้ายๆ อยู่ครับ”
“ลองดูแชตสิ”
ผมกดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ เซลล์แต่ละเซลล์กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความอับอาย หน้าจอคอมพิวเตอร์กะพริบปริบๆ
ให้ตายสิ โลกจะช่วยแตกๆ ไปทั้งแบบนี้เลยไม่ได้หรือไงกัน
ผมคงเพ้อฝันไปเองแหละ ยังเหลือเวลาอีกเก้าชั่วโมงกว่าจะเลิกงานนี่นา
พอผมลองเปิดโปรแกรมแชตขึ้นมา นอกจากผมแล้ว ทุกคนต่างก็เฉลิมฉลองกันอยู่ มีทั้งคำชมที่บอกว่า ‘คิมจูฮยอกสุดยอด’ ไหนจะข้อความที่บอกว่า ‘สงสัยคงต้องปิดร้านเนื้อย่างเลี้ยงปาร์ตี้ลาออกซะแล้วล่ะ’ นั่นอีก อีโมติคอนรูปดาวมากมายหลั่งไหลเต็มหน้าแชต และในบรรดาหมู่คนเหล่านั้น ผู้ช่วยคังดูจะร่าเริงที่สุด
ในขณะที่ผมแทบจะกรีดร้องท่ามกลางการฉลองนั้น
สนุกกับความเจ็บปวดของคนอื่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ?
สนุกนักเหรอ? สนุกมากเลยสินะ!?
ต้องขอบคุณนายเลยนะเนี่ย
เมื่อวานพวกเราทุกคนเลยได้เลิกงานตรงเวลา
ผู้ช่วยคิม นางฟ้าแห่งการเลิกงานตรงเวลาของทีมเรา!
ผู้เสียสละ!
เท่สุดๆ! ผู้ช่วยคิม~
นี่มันตำนานชัดๆ วันนี้ยังไม่เห็นผู้ช่วยพูดอะไรสักคำ
55555555
วันนี้หัวหน้าแผนกซอเองก็ไม่โผล่หน้ามาชั้นสามด้วย
สวรรค์มาโปรด
ผู้ช่วยคังเหมือนจะส่งแฟ็กซ์มาผิดนะคะ~ ^^
รบกวนมาหาฉันด้วยค่ะ
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหมดคำจะพูด จากนั้นก็กดเข้าไปในระบบเครือข่ายภายในองค์กรแล้วค้นหาแบบฟอร์ม ก่อนจะเห็นแบบฟอร์มหนังสือชี้แจง
อนาถใจชะมัด นี่เป็นหนังสือชี้แจงที่ผมเพิ่งจะเคยเขียนเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามาทำงานที่นี่เลยนะ
พอผมหันกลับไปมองเพราะได้ยินเสียงกรอบแกรบจากด้านข้างก็เห็นว่าผู้ช่วยคังกำลังเดินโซเซถือกระดาษมา ผมเลยจับข้อมือของเขาเอาไว้อย่างอ้อนวอน
“ผมต้องเขียนหนังสือชี้แจงด้วยอะ”
“ก็เขียนไปสิครับ ผมไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย”
“ช่วยผมหน่อยสิครับ นี่ผมเพิ่งเคยเขียนหนังสือชี้แจงเป็นครั้งแรกเลยนะครับ”
“แล้วผมเคยเขียนมาก่อนซะที่ไหนล่ะครับ”
ผู้ช่วยคังเม้มริมฝีปากพลางกลั้นขำ ผมจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรู้สึกเหมือนตรงพื้นที่ว่างบนหนังสือชี้แจงนั้นดูกว้างราวกับผืนมหาสมุทรแปซิฟิก
‘หนังสือชี้แจง
ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ…’
เวียนหัวชะมัดเลยโว้ย
‘หนังสือชี้แจง
ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ และเตะที่หน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซอฮีแท’
ผู้ช่วยคังจับไหล่ผมไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังกลั้นขำอยู่หรือยังไง แรงสั่นถึงได้สะเทือนมาถึงตัวผม ผมจึงหันกลับไปมองข้างหลังแล้วเอ่ยกระซิบ
“แล้วจะให้ผมเขียนยังไง”
“ไม่เอาน่า…อุบ…คิกๆ เขียนต่อสิ”
ผมเคลื่อนสายตากลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่หลายคนกลับเริ่มมารวมตัวกันตรงโต๊ะทำงานผมทีละคนสองคน ผมลดหน้าต่างหนังสือชี้แจงลงแล้วหันไปมองด้านหลัง เหล่าผู้คนที่กำลังกลั้นขำอยู่นั้นยืนตัวติดกันกลมเกลียว
“ทุกคนมารวมตัวทำอะไรกันครับ”
“รู้ทั้งรู้อยู่แล้วจะถามทำไมล่ะครับ”
“นี่คุณมีคดีเตะหน้าแข้งด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ฉันไม่ทันเห็นภาพตอนนั้นเลยแฮะ”
“แบบฟอร์มของผู้ช่วยคังอันนี้ กรอกเสร็จแล้วก็ส่งไปให้แผนกการเงินได้เลยนะครับ”
ในระหว่างที่ผมไล่คนพวกนั้นเหมือนไล่ฝูงแมลง หัวหน้าอีก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง สายตาพวกเราทุกคนล้วนหันไปมองที่เขาเป็นตาเดียว จากนั้นหัวหน้าอีก็กวักมือเรียกผม
“ผู้ช่วยคิมครับ ตามผมมาสักครู่สิครับ”
“ครับ”
เพราะฝูงคนที่ยืนออกันอยู่ทำให้ยากต่อการดันเก้าอี้ออก แต่ละคนต่างกระซิบกระซาบให้กำลังใจผม ซึ่งมันไม่ได้จำเป็นเลยสักนิดในโลกที่ผมต้องเหลืออยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ เมื่อวานพวกเขาต่างก็ได้เลิกงานตรงตามเวลากันหมด เพราะแบบนั้นตอนนี้ถึงยังมายืนหัวเราะหน้าระรื่นกันได้อยู่นี่ไง
ผมเดินตามหัวหน้าอีไปยังห้องชงกาแฟ หัวหน้าอียิ้มอย่างกระดากอายพลางยื่นกาแฟแก้วหนึ่งมาให้ผม
“เมื่อวานคุณคงลำบากแย่เลยนะครับ”
“ผมขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ”
ผมลูบแก้วกระดาษอุ่นๆ ในมือ หัวหน้าอีดันกรอบแว่นตาขึ้นเล็กน้อย กรอบแว่นตาสีเงินบางๆ นั้นดูเข้ากับกรอบหน้าของหัวหน้าอีที่เป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานเอามากๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหน้าตาดีแบบนี้หรือเปล่า ถึงได้มีข่าวลือที่ไม่อาจรู้ถึงข้อเท็จจริงได้เกี่ยวกับตัวเขาเกิดขึ้น ผมได้ยินว่าพนักงานอัลฟ่าหลายคนทะเลาะกันเรื่องเขา…มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนผมเข้ามาทำงาน ดังนั้นผมจึงไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงนั้นได้ แต่มันก็สมควรอยู่หรอก ก็หัวหน้าอีหน้าตาสวยมากเลยนี่นา เขาเป็นคนที่เหมาะกับคำว่า ‘สวย’ มากกว่าคำว่า ‘หล่อ’ ซะอีก
“เมื่อวานผมขอโทษจริงๆ นะครับ ทั้งที่ผมต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันแท้ๆ…เดิมทีแล้วฮีแทเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรกหรอกครับ ก็แค่อาจจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง ถ้าผมสามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องพวกนั้นได้มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ” เขายกยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าให้ใจมากเกินไป สุดท้ายก็จะเจ็บตัวเองสินะ”
หัวหน้าอียกกาแฟขึ้นดื่ม ริมฝีปากที่ดูซีดเซียวหน่อยๆ นั้นยิ่งทำให้เขาดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก
“ขอโทษที่เมื่อวานทำให้วุ่นวายไปหมดนะ พวกผมคงทำให้คุณลำบากน่าดูเลย”
ผมบีบแก้วกาแฟก่อนตัดสินใจ จากนั้นก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
“หัวหน้าอีครับ”
“อื้อ”
“ถ้ามันเหนื่อยนักก็หย่าเถอะครับ ช่วงนี้ผมได้ยินมาว่าถ้าไปที่โอเมก้าเซ็นเตอร์ก็จะได้รับสวัสดิการดีๆ และมีบริการให้คำปรึกษาด้วยนะครับ”
“หืม?”
“ผมพยายามที่จะไม่พูดแล้วนะครับ แต่ผมขอโทษด้วยจริงๆ สิ่งที่หัวหน้าแผนกซอทำมันคือการใช้ความรุนแรงนะครับ ความรุนแรงภายในครอบครัว คุณต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้นะครับ”
“ฮะ? เอ่อ…”
“ถ้ารู้สึกเหมือนจะถูกตบตีเหมือนเมื่อตอนนั้นก็รีบโทรแจ้งตำรวจไปเลยครับ ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วตำรวจจะรับเงินภาษีเราไปทำไมล่ะครับ เขารับภาษีเราไปเพื่อที่จะทำงานแบบนั้นเพื่อเราไงครับ อีกอย่างคนที่นอกใจก็คือหัวหน้าแผนกซอใช่ไหมล่ะครับ”
“เอ่อ…ถ้าจะให้พูดมันก็ใช่แหละ…”
“ถ้างั้นก็นอกใจกลับไปเลยสิครับ มีคนอื่นบ้างไปเลย ขอโทษจริงๆ นะครับที่พูดแบบนี้ แต่เพราะผมอึดอัดมากจริงๆ เวลามองดูในสายตาคนนอกน่ะครับ…เฮ้อ ขอโทษนะครับ ทั้งที่ไม่ควรพูดแบบนี้แท้ๆ…”
หัวหน้าอีทำหน้าแปลกใจก่อนจะกลืนกาแฟเข้าไปดังอึกๆ
“คุณเคยบอกว่าตัวเองเป็นเบต้าสินะครับ?”
“ใช่ครับ”
“ระหว่างฮีแทกับผม…มันเป็นความสัมพันธ์ที่เขาตีตราทำพันธะกับผมไปแล้ว ‘พันธะ’ นั่นหมายถึงเราจะตายจริงๆ หากไม่มีกันและกัน”
“หมายถึงพันธะทางกายภาพสินะครับ?”
“ชะ…ใช่”
“แล้วมันไม่มีวิธีปลดพันธะเหรอครับ”
“ถ้าไปโรงพยาบาลก็สามารถรับการผ่าตัดได้แหละ…แต่ก็จะมีความเสี่ยงสูงกันทั้งสองฝ่าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตเราจะสามารถสร้างพันธะใหม่อีกครั้งได้ไหม หรือจะลบพันธะนี้ไปได้ตลอดจริงๆ หรือเปล่า”
“หัวหน้าอีครับ”
“หือ…?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะครับ ผมว่าหย่าเถอะครับ ถ้าตัดพันธะไม่ได้ อย่างน้อยหย่ากันได้ก็ยังดี ลองคิดดูสักครั้งเถอะนะครับ ผมเห็นหัวหน้าอีร้องไห้อยู่ทุกวัน แถมยังโฟกัสกับงานไม่ได้อีก”
“เอ่อ…”
“ต้องมองถึงอนาคตสิครับ อนาคตน่ะ”
ผมยกกาแฟขึ้นดื่มหมดในอึกเดียวก่อนจะขยำแก้วกระดาษ สายตาของหัวหน้าอีมองไปยังแก้วกระดาษที่ยับยู่ยี่ แล้วเขาก็ดันกรอบแว่นขึ้นอีกครั้ง
“ผู้ช่วยคิมเนี่ย…มีน้ำใจมากๆ เลยนะครับ”
“แต่ยังไงผมก็ต้องขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วยนะครับ”
“ไม่หรอก…”
“เดี๋ยวถ้าเขียนหนังสือชี้แจงเสร็จแล้วผมจะเอาขึ้นไปอนุมัตินะครับ เช้านี้น่าจะต้องขึ้นไปชั้นเก้าพอดีน่ะครับ”
“อืม ตอนขึ้นไปก็ฝากของผมไปด้วยแล้วกัน เพราะเดี๋ยวผมมีประชุม…”
“ครับ”
ผมโยนแก้วกระดาษทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็ก้มหัวลาก่อนจะออกจากตรงนั้นไป
ผมกลับมายังที่นั่งแล้ววอร์มนิ้ว วันนี้คือวันพฤหัส ทนอีกแค่หนึ่งวันก็จะถึงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว
อดทนเข้าไว้
‘หนังสือชี้แจง
ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ และก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น จากนั้นข้าพเจ้าก็เผลอไปเตะหน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซอฮีแทโดยไม่ได้ตั้งใจ รบกวนช่วยพิจารณาว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากการที่หัวหน้าแผนกซอฮีแทเป็นคนผลักข้าพเจ้าก่อนด้วยนะครับ
ข้าพเจ้าได้แสดงความไม่พอใจที่อัดอั้นมาตลอดออกมาโดยวิธีการที่ไม่เหมาะสม และบัดนี้ข้าพเจ้าก็ได้สำนึกผิดแล้ว’
เขียนแบบนี้โอเคหรือยังนะ
ผมเอียงคอพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
ลองปรับไซส์ฟอนต์ให้ใหญ่ขึ้นดีไหมนะ
“ต้องเขียนแผนในการปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นด้วยสิคะว่าอนาคตจะไม่ทำอะไรทำนองนี้แล้ว”
ผมหันกลับไปมองข้างหลังเพราะตกใจเสียงที่ดังเข้ามาในหูอย่างกะทันหัน และต้นเสียงนั้นก็คือพนักงานอาวุโสอิมนี่เอง
“คุณมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
“ฉันเหรอ ก็มาทำงานน่ะสิคะ นี่ค่ะ รบกวนช่วยตรวจสอบอันนี้แบบด่วนที่สุดแล้วก็กรอกโค้ดลงระบบประมวลผลให้หน่อยนะคะ”
ผมรีบใช้มือบังหน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที ก่อนที่พนักงานอาวุโสอิมจะหัวเราะออกมาเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ฮ่าๆ! ข่าวลือดังไกลไปถึงแผนกการเงินเลยนะคะเนี่ย เห็นบอกว่าผู้ช่วยของทีมดูแลลูกค้าเตะคุณหัวหน้ากับคุณหัวหน้าแผนก”
“ผมไม่ได้เตะสักหน่อย”
“เห็นเขาบอกว่าเตะนี่คะ?”
“อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ได้เจตนานี่”
“โอ๊ะ เตะจริงๆ ด้วยแฮะ ฮ่าๆๆๆ”
พนักงานอาวุโสอิมตบหลังผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป ส่วนผมก็นั่งพิมพ์หนังสือชี้แจงต่อจนเสร็จสมบูรณ์
‘ในอนาคตข้าพเจ้าจะพยายามหาวิธีคลายความเครียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่พอใจนี้…’
ผมกดบันทึกแล้วกดปุ่มพริ้นต์เอกสาร พอมองนาฬิกาถึงได้เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่สี่สิบนาที วันนี้เวลาช่างเดินผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน
ในระหว่างที่กำลังเดินไปยังเครื่องพริ้นต์ผมก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ดูจากการที่ปิดปากฉับทันทีที่เห็นผมแล้ว ฝั่งนั้นเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน
“อรุณสะ…อุบ! คิกๆ…”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
ฮาวอนอีเป็นคนที่ควบคุมสีหน้าไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
ยิ่งพนักงานฮาเดินเข้ามาใกล้ผมมากเท่าไหร่ ใบหน้าเขาก็ยิ่งเกร็งมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายเขาก็หัวเราะออกมาจนน้ำตาแทบไหล
“ฮ่าๆๆ…ขอโทษนะครับ ขอโทษที…กระดาษนี่น่ะ…หนังสือชี้แจงแผ่นนี้…ฮึบ…ของคุณผู้ช่วยคิมสินะครับ?”
ผมแย่งกระดาษที่อยู่ในมือของฮาวอนอีมา และแน่นอนว่ามันคือหนังสือชี้แจงของผมเอง
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”
“พอดีเครื่องพริ้นต์ชั้นหนึ่งใช้ทำอย่างอื่นอยู่น่ะครับ ผมก็เลยขึ้นมาพริ้นต์เอกสารที่ชั้นนี้”
ฮาวอนอีหัวเราะพลางเดินเข้ามาหาผมด้วยแก้มกลมๆ ที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“คุณเตะเขาจริงๆ เหรอครับ”
“ผมไม่ได้เตะสักหน่อย ทำไมคนชั้นหนึ่งถึงได้ชอบพูดแบบนั้นกันเนี่ย”
“ก็ข่าวลือมันแพร่ไปทั่วแผนกการเงินเลยนี่ครับ”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก แต่ผมไม่ได้เตะนะครับ”
“จริงเหรอครับ”
“จริงๆ ก็เตะแหละ แต่เตะโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ…”
ฮาวอนอีหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจเสียงหัวเราะของตัวเองหรือเปล่า จู่ๆ ถึงได้ยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะโน้มตัวมาแทบชิดหน้าอกของผมแล้วเงยหน้ามองขึ้นมา
“ทำไมคุณถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับเนี่ย”
“แม้แต่คุณวอนอีเองก็พูดแบบนั้นกับเขาด้วยเหรอครับเนี่ย”
ผมยกมือปิดหน้าด้วยความอับอายและโบกหนังสือชี้แจงไปมาพลางตบแก้มตัวเอง ในขณะที่ฮาวอนอีรีบจับแขนเสื้อผมอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยปากถาม
“นี่มีใครบอกว่าผู้ช่วยคิมน่ารักอีกเหรอครับ”
ฮาวอนอีทำหน้ามุ่ยได้น่ารักมากๆ ผมรู้สึกว่าเขาก็แค่น่ารักด้วยตัวของเขาเองมากกว่าจะบอกว่าน่ารักเพราะตัวเขาเป็นโอเมก้า
เฮ้อ…ทำไมเด็กนี่ถึงได้หน้าตาน่ารักขนาดนี้นะ จริงๆ เลยเชียว อย่างนี้ก็โกรธไม่ลงน่ะสิ
ถ้าคิมจูยอง (ยัยกอริลล่าสายพันธุ์โลว์แลนด์, อายุยี่สิบเอ็ดปี) ว่านอนสอนง่ายขึ้นกว่านี้สักหน่อยก็คงจะให้ความรู้สึกแบบนี้แหละ ยัยนั่นเองก็น่ารักจนกระทั่งถึงตอนอายุแปดขวบ เด็กนั่นโตเป็นวัยรุ่นตั้งแต่เก้าขวบ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายัยนั่นก็ใช้ลิ้นปี่ผมเป็นแทรมโปลีน* กระโดดเล่นบนอกผมอย่างกับกอริลล่าที่เพิ่งหลุดออกมาจากขุมนรก…
“พอเห็นคุณวอนอีแล้วผมก็นึกถึงน้องของผมขึ้นมาเลยครับ”
“นี่คุณมองผมเป็นแค่น้องเหรอครับ”
ฮาวอนอีหัวเราะอย่างหยอกเย้า เขายืนเขย่งปลายเท้าจนใบหน้าขยับมาใกล้จมูกผม กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ลอยมาแตะปลายจมูก ทำเอาผมผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
อันตรายแฮะ เกือบโดนแล้วไง
ดวงตาของฮาวอนอีส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ
“มองผมเป็นแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอครับ”
“ผู้ช่วยคิมเขาเป็นเบต้านะคะ”
พนักงานอาวุโสซอที่กำลังคนกาแฟสำเร็จรูปอยู่พูดขึ้นเสียงเรียบก่อนเดินผ่านไป
“ครับ?”
พอผมหันกลับไปมองข้างหลัง พนักงานอาวุโสซอก็เดินไปไกลโน่นแล้ว และเมื่อผมหันกลับมามองตรงหน้า สีหน้าของฮาวอนอีเมื่อครู่นี้ก็พลันสลายหายไปจนหมด ก่อนที่สีแดงเรื่อจะเริ่มไต่ไล่ขึ้นมาช้าๆ ตั้งแต่ต้นคอ
และในที่สุดใบหน้าและปลายหูของฮาวอนอีก็ถูกย้อมไปด้วยสีชมพูภายในชั่วพริบตา
“เบต้า?”
“เอ่อ…ครับ…”
“หนะ…ไหนบอกว่าเป็นอัลฟ่าไงครับ”
“ผมไม่เคย…”
“ไม่เคยจริงๆ ด้วยแฮะ”
ผมได้แต่พยักหน้ารับ จากนั้นฮาวอนอีก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะใช้มือปิดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว
“คุณวอนอี หน้าคุณแดงมากเลยนะครับ”
“ปะ…แป๊บนึงนะครับ”
ฮาวอนอีก้มหน้างุดก่อนคลำดูเครื่องพริ้นต์
“เดี๋ยวผมขอตัวเอาเอกสารนี่ลงไปก่อนนะครับ”
“คุณวอนอีครับ!”
ผมจับไหล่ของฮาวอนอีที่ตั้งท่าจะเดินหนีให้หันกลับมา แม้แต่ใต้ดวงตาของเขาก็ยังแดงขึ้นจนเจ้าตัวต้องใช้กระดาษปิดบังใบหน้า
“ผมมันโง่เองแหละ” เขาพูดขึ้น
“ขอโทษนะครับ”
“มันเป็นความผิดผมเองครับ”
ผมพยายามใช้สมองครุ่นคิด อย่าบอกนะว่า…
“ฟีโรโมน?”
ฮาวอนอีใช้กำปั้นทุบหน้าท้องผม หมัดของเขาหนักมากจนผมรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของอวัยวะภายในที่ผมเคยลืมไปชั่วขณะหนึ่ง ผมกุมท้องพลางใช้มืออีกข้างจับไหล่ของฮาวอนอีเอาไว้ กระทั่งได้ยินเสียงหนังสือชี้แจงยู่ยับ ฮาวอนอีถึงได้เปิดปากพูดขึ้นมาโดยที่ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ
“ผมแค่ล้อเล่นน่ะครับ อย่าใส่ใจเลยนะครับ”
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่ชอบขี้หน้าผมหรอกเหรอครับ” ผมถามเขา
“ไม่ได้ไม่ชอบนะครับ”
“ถ้างั้นก็มองผมสิครับ”
ฮาวอนอีเลื่อนกระดาษลงให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขา ขนตาของเขายาวมาก หางตาก็งามงอนมากเช่นกัน
“คุณผู้ช่วยเป็นเบต้าเหรอครับ”
“ผมเป็นเบต้าครับ เพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ เมื่อกี้ต้องการจะบอกอะไรผมผ่านทางฟีโรโมนเหรอครับ”
“ฟีโรโมนมันไม่ได้เหมือนกับการส่งกระแสจิตหรอกนะครับ”
ฮาวอนอีเอื้อมมือมาจิ้มนิ้วลงบนกลางอกของผมจึกๆ
“คุณเป็นเบต้าแน่ๆ ใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“ไม่ใช่อัลฟ่าแน่นะครับ”
“ไม่ใช่แน่นอนครับ”
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะครับ”
ฮาวอนอีผลักผมออกอย่างแรงแล้วก็รีบจ้ำอ้าวหนีไปทันที
ผมก้มลงมองหนังสือชี้แจงในมือที่ตอนนี้ยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว
ผมพริ้นต์หนังสือชี้แจงใหม่แล้วเอาไปประทับตราอนุมัติของหัวหน้าอี หัวหน้าอียิ้มอย่างอายๆ พลางพลิกหาหนังสือชี้แจงของตัวเองก่อนยื่นมาให้ผม ผมไม่ได้อ่านหนังสือชี้แจงของหัวหน้าตามคำแนะนำของจิตสำนึกตัวเอง แต่ก็แอบเหลือบมองผ่านๆ มันยาวโคตรๆ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าในบรรดาคำพวกนั้นมันมีสักกี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เป็นคำสำนึกผิด
“ไม่ต้องเอาให้หัวหน้าแผนกซอเซ็นอนุมัติก็ได้นะ เอาขึ้นไปส่งได้เลย”
หัวหน้าอีตบบ่าผมดังปุๆ เขาหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนยกยิ้มให้ ทว่าจู่ๆ พนักงานใหม่ที่ยืนอยู่ข้างกันก็กระแอมแล้วพูดขึ้น
“หัวหน้าอีจะยิ้มแบบนั้นไม่ได้นะครับ”
“หืม?”
“อย่าไปยิ้มสวยๆ ต่อหน้าพวกอัลฟ่าสิครับ เดี๋ยวก็ทำคนอื่นเขาหวั่นไหวกันไปหมดพอดี”
ไม่รู้ว่าพนักงานใหม่คนนี้ไม่มีความกลัวใดๆ เลยหรือไง ถึงได้เปิดปากพูดโพล่งออกมาแบบนั้น หัวหน้าอีหน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดของเขา แม้แต่ผมเองก็เริ่มหน้าแดงขึ้นเหมือนกัน
ไอ้เด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือไง
ไม่รู้ว่าที่กล้าพูดกับโอเมก้าตามอำเภอใจแบบนั้นเป็นเพราะเด็กนี่เป็นอัลฟ่าหรือเปล่า ไม่ดิ เด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือไงวะนั่น มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หรือว่าสังคมที่นี่หล่อหลอมให้เจ้าเด็กนี่เสียคนกันนะ พี่เลี้ยงของไอ้เจ้าเด็กนี่คือใครกัน
ผมเบิกตากว้างแล้วจ้องไปที่หัวหน้าอี ส่วนหัวหน้าอีก็ทำได้เพียงแค่หลบสายตาผม ปัญหาของหัวหน้าอีก็คือนิสัยที่ชอบใจอ่อนกับคนอื่นนี่แหละ
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ พนักงานหนุ่มหน้าใหม่นั่นก่อนกระซิบเบาๆ
“นี่มันเป็นการคุกคามทางเพศภายในบริษัทนะ”
หลังจากพุ่งตัวไปกระซิบบอกเด็กนี่เสร็จ ผมก็ผละตัวออกและโบกหนังสือชี้แจงของหัวหน้าอี ก่อนที่เด็กนี่จะหดคอหนีผมไปด้านหลัง
ผมถอยออกมาจากตรงนั้นอย่างเชื่องช้าในขณะที่โบกหนังสือชี้แจงไปมา
ผมจ้องหน้าพนักงานใหม่จนแทบพรุนพลางขยับปากพูดแบบไร้เสียง
‘ระวังจะโดนหนังสือชี้แจง’
ผมมั่นใจเลยว่าเด็กนี่เพิ่งเคยเข้าสังคมอยู่ร่วมกับคนอื่นเป็นครั้งแรก สงสัยคงจะนึกว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าที่เอาไว้ล่าเหยื่อเหมือนในฮงแดแน่ๆ
ผมบังเอิญเจอหัวหน้าแผนกซอที่หน้าห้องทำงานของผู้จัดการ หัวหน้าแผนกซอก้มมองผมด้วยสีหน้าหยิ่งยโสก่อนจะหยุดเดินและพูดขึ้นด้วยเสียงที่กดลงต่ำจนฟังดูน่ากลัว
“คุณเป็นอะไรกับฮยอนแจ”
“หัวหน้าอีน่ะเหรอครับ”
“ใช่ คุณทั้งคู่เป็นอะไรกัน”
“ก็เป็นลูกน้องกับเจ้านายไงครับ”
“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้อยู่ด้วยกัน”
หัวหน้าแผนกซอเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีข่มขู่จนผมรู้สึกเหมือนสันจมูกโด่งนั่นจะแทงเข้าหน้าผม
“เอ่อ…ก็เพราะเมื่อวานหัวหน้าอียังไม่ได้อนุมัติงานให้ไงครับ”
ไม่รู้ว่าพูดไม่ออกหรือเพราะอะไร หัวหน้าแผนกซอถึงได้หยุดชะงักไปแบบนั้น
“หัวหน้าแผนกซอครับ”
“มีอะไร”
“อย่าทำแบบนั้นในบริษัทเลยนะครับ…”
ผมโน้มตัวลงเหมือนเต่าหลังค่อมแล้วเดินผ่านข้างตัวเขาไป ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’ ในจังหวะที่หัวหน้าแผนกซอค่อยๆ ไกลห่างออกไป
ไอ้ประสาทเอ๊ย อิจฉาทุกอย่างแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สินะ ถ้าเขาสำคัญมากขนาดนั้นก็อย่านอกใจเขาสิวะ
* แทรมโปลีน เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยผืนผ้าใบขึงตึง คานยึดที่เป็นเหล็ก และสปริงที่ทำหน้าที่ในการขึงให้แผ่นผ้าใบตึงติดกับโครงเหล็กที่แข็งแรงของตัวแทรมโปลีนเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…