everY
ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 3.2-3.3 #นิยายวาย
Chapter 3.3
ผมกับฮาวอนอีลงจากรถมาก่อนในระหว่างที่ผู้จัดการอีไปจอดรถ ร้านอาหารที่ผู้จัดการอีพูดถึงน่าจะอยู่ข้างในโรงแรมนี้ พอได้ลองคาดเดาเรตราคาแล้วผมก็เกิดเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าผมต้องเป็นคนจ่าย สงสัยคงต้องผ่อนจ่ายไปหลายงวดแน่ๆ
ฮาวอนอีที่กำลังมองภาพรถซีดานจอดเข้าซองอย่างเรียบร้อยเอ่ยเรียกผม
“ผู้ช่วยคิมครับ”
“ครับ?”
“เรื่องที่บอกว่าจะไม่มีแฟนนั่นเรื่องจริงเหรอครับ”
“อ๋อ ใช่ครับ”
“ทำไมเหรอครับ”
“ถ้าจะให้พูดมันก็ยาวน่ะครับ…”
สาเหตุที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่มีแฟนนั้นก็เป็นเพราะเรื่องของหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอนั่นแหละ ผมคิดหนักว่าควรจะบอกเรื่องราวความรักที่คาดไม่ถึงซึ่งเกิดขึ้นในทีมดูแลลูกค้าให้พนักงานในแผนกการเงินอย่างฮาวอนอีรู้ดีไหม บางทีต่อให้ผมไม่พูด ข่าวลือนั่นก็อาจจะกระจายไปทั่วแล้วก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมคุยโม้เรื่องของคนอื่นมันก็น่าตลกไม่น้อยเช่นกัน อย่างน้อยๆ หัวหน้าอีก็จริงใจต่อหัวหน้าแผนกซอ และอีกอย่างต่อให้เรื่องนั้นจะทำให้ผมเหนื่อยหน่ายมากขนาดไหน แต่มันก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่กับการพูดจาพล่อยๆ ในเรื่องความจริงใจของคนอื่น
“คือผม…อืม…ไม่คิดจะมีความรักน่ะครับ”
ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้น แสงไฟจากเสาไฟเผยให้เห็นใบหน้าของเขา ผมจึงพลั้งปากพูดไปโดยอัตโนมัติ
“สิ่งที่เรียกว่าความรักน่ะ มันคือการที่คนเรามีความสุขด้วยกันนี่ครับ แต่พอมองดูรอบตัวแล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ รอบตัวผมมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิครับ ต่างคนต่างยึดติดกัน ทะเลาะกัน อีกอย่างมันก็มีเรื่องแบบนั้นอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ เรื่องที่ว่าความรักของอัลฟ่ากับโอเมก้านั้นคือเรื่องของโชคชะตา แต่สำหรับเบต้าแล้วมันก็แค่เป็นความรักเฉยๆ ต่อให้ไม่ได้เจอหน้ากัน มันก็ไม่ได้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ…”
ผู้จัดการอีกำลังเดินมาทางเรา เขากับฮาวอนอีหน้าตาดูไม่ได้คล้ายกันเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่ตรงที่ทั้งคู่คงจะต้องพบเจอกับความรักที่โชคชะตาได้กำหนดไว้ในสักวันหนึ่ง ความรักที่แสนน้ำเน่าและน่าประทับใจในคราวเดียวกันเพราะพวกเขาเป็นอัลฟ่าและโอเมก้า
ส่วนผมนั้นเป็นเบต้า
“ผมไม่อยากจะมีหรอกนะ ถ้าความรักมันยุ่งยากและซับซ้อนมากขนาดนั้น ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตแบบธรรมดาน่ะครับ”
ผู้จัดการอีโบกมือให้พวกเราพลางก้าวเท้าเดินตรงเข้ามา ในขณะที่ฮาวอนอีกำลังลอบสังเกตท่าทีของผมและดูเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูด ผมก็พูดเสริมขึ้นเบาๆ
“อีกอย่างนะครับ ไม่ค่อยมีใครมาชอบผมกันหรอกครับ”
จู่ๆ ฮาวอนอีก็หัวเราะขึ้นมา
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกครับ ก็มีผมอยู่คนนึงนี่ไง”
ฮาวอนอีเดินนำผ่านหน้าผมไป ฝีก้าวของผมค่อยๆ ช้าลง ภาพเงาบนพื้นของฮาวอนอีกับผู้จัดการอีนั้นดูเหมาะกันจนผมแทบไม่อยากเชื่อ
ผมขึ้นลิฟต์ของโรงแรมไปจนถึงเลานจ์ พอผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฮาวอนอีกับผู้จัดการอีแล้วก็รู้สึกอึดอัดในใจขึ้นมา
เรื่องความรักที่คุยกันเมื่อกี้นี้มันทำให้ใจผมกระสับกระส่ายไปหมด
ผมกำลังมองข้ามความรู้สึกดีๆ ที่ผู้จัดการอีกับฮาวอนอีมีให้อย่างเย็นชา
ผู้จัดการอีเองก็คงจะต้องเป็นคนแบบนั้นแน่ๆ คนเป็นอัลฟ่าก็ต้องคบกับโอเมก้าแล้วก็แต่งงานกันสิ ส่วนผมน่ะเป็นแค่เบต้า ถ้าจะให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าการจีบของผู้จัดการอีนั้นเป็นเพียงแค่การล้อเล่นไม่ได้จริงจังอะไรก็เท่านั้น ไม่มีทางหรอกที่อัลฟ่าจะมาชอบเบต้าอย่างผม
ปฏิกิริยาโต้ตอบที่โอเมก้าคนอื่นๆ หรือแม้แต่ฮาวอนอีแสดงให้ผมเห็นก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน ทุกคนก็แค่เข้าใจความปรารถนาดีที่ผมมอบให้ผิดไป ผมคิดว่าหลังจากนี้ฮาวอนอีก็คงจะได้เจอกับอัลฟ่าของตัวเอง
แต่มันก็มีบางอย่างแปลกๆ…ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มดูแปลกไป
การที่ผู้จัดการอีเดินมาช่วยดึงเก้าอี้ของผมออกให้นั้นก็แปลก การที่ฮาวอนอีเอาตัวมาแนบชิดผมแล้วแนะนำไวน์นั่นนี่ให้ก็น่าหวาดระแวงเช่นกัน การที่ทั้งสองคนคอยจ้องตาผมตอนที่คุยกันก็ชวนฉงน การยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นั้นก็มีบางอย่างดูน่าสงสัย ตอนนี้การคุยเล่นของสองคนนั้นไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด
แต่แล้วจู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่กับเหล่าคนที่บอกว่าชอบผม
‘ผมชอบคุณ’
คำสารภาพรักของผู้จัดการอีผุดขึ้นมาในหัวของผม ในขณะเดียวกันใบหน้าของฮาวอนอีที่แดงระเรื่อยามมองหน้าผมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมละสายตาจากแก้วไวน์ที่กระเพื่อมไหวเล็กน้อย เหล่าตัวละครหลักในห้วงความคิดของผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้านี้ และดวงตาทั้งสองคู่ต่างก็กำลังจับจ้องมาที่ผม
ผมรู้จักแววตาพวกนั้นดี มันเป็นแววตาที่ผมเห็นทุกวันในบริษัท แววตาของโอเมก้าและอัลฟ่ายามตกหลุมรักใครสักคน
แต่ผมเป็นเบต้า
ผมเป็นเบต้านะเว้ยเฮ้ย!?
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”
ผมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มแทนไวน์ก่อนจะลุกขึ้น ผู้จัดการอียกยิ้มที่ดูใจดีให้ ในขณะที่ฮาวอนอีเองก็โบกมือให้ผม และในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินคำพูดที่สองคนนั้นกระซิบกระซาบกัน
“นี่นายยังแก้นิสัยเดิมของนายไม่ได้อีกหรือไง”
“ว่าแต่ผม พี่เองก็มีนัดเจอตอนวันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ผมได้ยินหมดนะเฮ้ย
แล้วทำไมถึงได้เป็นอัลฟ่าผู้ชายกับโอเมก้าผู้ชายด้วยล่ะวะเนี่ย ถ้าเป็นอัลฟ่าสาวหรือโอเมก้าสาวก็น่าคิดอยู่หรอก ก็แฟนเก่าของผมล้วนแต่เป็นผู้หญิงกันหมดเลยนี่ แถมยังเป็นเบต้าอีกต่างหาก
ผมไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ชอบอีกเช่นกัน
ผมเดินเข้าห้องน้ำก่อนจะล้างมืออยู่นานสองนานทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไรเลอะเปรอะมือ จากนั้นผมก็ใช้มือที่เย็นขึ้นกดนวดลงบนเปลือกตา ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด
บางทีมันอาจจะเป็นความจริงใจทั้งหมดเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของผู้จัดการอีที่บอกว่าชอบผม หรือคำพูดที่ฮาวอนอีพูดเมื่อครู่นี้ว่า ‘ก็มีผมอยู่คนนึงนี่ไง’
ทำไมอัลฟ่าอย่างเขาถึงมาบอกชอบผมกันนะ อย่าบอกนะว่ามันไม่ใช่แค่การล้อเล่นน่ะ? ปกติแล้วพวกอัลฟ่าเองก็ชอบเบต้าหรอกเหรอ
แล้วทำไมโอเมก้าถึงได้มาบอกว่าชอบผมกันนะ นั่นก็เป็นคำพูดจากใจจริงหรือเปล่า
ผมพยายามเปิดโทรศัพท์มือถือ ทว่ามันก็กดไม่ติดเนื่องจากมือผมเปียก ผมจึงดึงทิชชูอย่างลวกๆ แล้วเช็ดมือ
ซอลกีโดไง ผมต้องถามเจ้าซอลกีโด…
เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานนักก่อนที่ซอลกีโดจะรับสาย
“ว่าไงพี่!”
“นี่ กีโด ฉันมีอะไรอยากถามหน่อย”
“อะไรอะ เดี๋ยวผมกำลังจะเข้าฉากแล้วเนี่ย”
“พวกอัลฟ่ากับโอเมก้าก็ชอบเบต้าด้วยเหรอ”
“จู่ๆ พี่พูดเรื่องไรเนี่ย”
“ก็นายเป็นอัลฟ่าใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่”
“ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้จักอัลฟ่ากับโอเมก้าดีไม่ใช่เหรอ นายชอบเบต้าไหม อัลฟ่าอย่างนายสามารถชอบเบต้าได้ด้วยเหรอ”
“นี่พี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
ซอลกีโดเดาะลิ้น ผมรู้สึกปวดร้าวในอกไปหมด ถ้าเกิดพวกนั้นคิดว่าผมอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ‘อ๋อ พอดีผมท้องผูกครับ’ ไม่ๆ ไม่เข้าท่าเลยสักนิด
“พี่ลองคิดดูนะ พี่จำคนที่เคยมาชอบพี่ได้ไหม เด็กรัฐศาสตร์การทูตอะ”
“เคยมีใครมาชอบฉันด้วยเหรอ”
“อะไรของพี่เนี่ย พี่นี่ท่าจะหนักแล้วนะ พี่ ฟังผมดีๆ นะ ผมจะรีบพูด พอดียุ่งอยู่ ตอนสมัยเรียนมหา’ลัย มีพวกอัลฟ่า โอเมก้า เบต้าที่ชอบพี่เยอะจะตายไป ต่อให้บอกว่าเป็นโอเมก้าหรืออัลฟ่าก็ไม่ได้หมายความว่าชอบเบต้าไม่ได้สักหน่อย ถ้าพี่คิดแบบนั้นก็เป็นอคติของพี่เองแล้ว ขนาดแฟนเก่าผมยังเป็นเบต้าเลย”
“…”
“เกิดเป็นอัลฟ่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะคบกับเบต้าไม่ได้สักหน่อย ความจริงมันก็เป็นแบบนั้นแหละ”
“เอ่อ…”
“ผมวางก่อนนะ ผู้กำกับเรียกแล้ว ไว้เดี๋ยวผมโทรไปใหม่!”
ผมยัดโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋าก่อนจะกดนวดเปลือกตาเบาๆ
แฟน…แฟน…
“อึก…ฮึก…”
เสียงครางดังมาจากประตูห้องน้ำห้องในสุด ทำเอาผมได้แต่ถอนหายใจ
เริ่มอีกแล้วสินะ
ความรักของโอเมก้ากับอัลฟ่านั้นเป็นเรื่องทางร่างกาย ทั้งการเกิดอาการติดสัด ทั้งการลุ่มหลงอยู่กับฟีโรโมนของกันและกัน สำหรับเบต้าแล้วมันเป็นโลกที่เข้าไม่ถึงเลยสักนิด เพราะแบบนั้นมันถึงได้ยากยิ่งกว่าเดิม
ผมเดินไปยังห้องน้ำด้านใน ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังข่มความรู้สึก คนแบบนี้มีเยอะมากมายเต็มไปหมด และผมก็ไม่ได้เพิ่งมาเจอคนแบบนี้แค่วันสองวัน โลกของอัลฟ่ากับโอเมก้ามันก็แบบนี้แหละ ซึ่งคนในห้องน้ำห้องนี้เองก็คงจะมีแฟนอัลฟ่าที่ซ่อนเอาไว้อยู่อย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะซ่อนเรื่องราวความรักที่น่าสงสารเอาไว้อยู่ก็ได้ คนเราไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตให้ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้นเลย
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฮึก…”
“ให้โทรเบอร์หนึ่งหนึ่งเก้าเรียกรถพยาบาลไหมครับ”
“แฮก…อึก…”
“นี่คุณคงไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมทรามในที่สาธารณะอยู่ใช่ไหมครับ”
เสียงครวญครางยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือว่า…นี่เขาคงไม่ได้กำลังช่วยตัวเองอยู่หรอกใช่ไหม
ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ เลยลองคลำกระเป๋ากางเกงหายาระงับอาการฮีต ก่อนจะดึงทิชชูมาห่อเม็ดยาหนึ่งเม็ดเอาไว้แล้วสอดเข้าไปทางใต้ประตูห้องน้ำ
“ขอโทษนะครับ นี่ยาระงับครับ ก่อนอื่นกินนี่เข้าไปก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะไปเรียกพนักงานในร้านมาให้นะครับ”
“ฮึก!”
และในตอนนั้นเองเสียงครางแหลมสูงก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนเหมือนกำลังหัวเราะคิกคักอยู่
จริงสินะ บางทีก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โอเมก้ากับอัลฟ่าที่เกิดความใคร่มักจะมาใช้เวลาเริงรักกันอย่างแสนสนุกข้างนอก ผมเคยเห็นเรื่องแบบนั้นทั้งที่บริษัทและที่ร้านอาหารเหมือนอย่างวันนี้ และแน่นอนว่าผมก็ทำได้เพียงแค่ยืนปรับลมหายใจอยู่เงียบๆ
พอลองคิดดูดีๆ แล้วมันก็ชัดเจนอยู่ ผมไม่ชอบทั้งโอเมก้าและอัลฟ่า ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมไม่ชอบ ผมพยายามเพื่อที่จะปกป้องหัวใจของผมเอาไว้อย่างดี แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว
ผมไม่ชอบ…ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ
ผมเกลียดสังคมนี้ที่ถูกอัลฟ่ากับโอเมก้ายึดครองไว้หมด
ส่วนเบต้านั้นก็ต้องใช้ชีวิตไปอย่างเบต้า
ผมกำหมัดแน่น
ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมโดนดูถูกอีกต่อไปแล้ว
ผมออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินตรงไปเรียกพนักงาน
“เหมือนจะมีคนแปลกๆ อยู่ในห้องน้ำห้องสุดท้าย รบกวนช่วยไปลากออกมาทีนะครับ ไม่ทราบว่าที่นี่ไม่มีคนตรวจตราห้องน้ำกันเลยเหรอครับ”
พนักงานกลอกตาไปมาก่อนจะก้มหัวงกๆ แล้ววิ่งออกไป ส่วนผมก็ยืนกอดอกรออยู่ตรงนั้นตามเดิม ไม่นานนักพนักงานหลายคนก็มารวมตัวกันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
จากนั้นผมก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ก่อนเอ่ยปากขอให้เรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกนี้มา โดยจงใจทำเสียงเหมือนร้อนใจ
“ผมได้ยินเสียงครางจากในห้องน้ำ ดูเหมือนจะมีใครโดนทำร้ายนะครับ”
พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตกใจหน้าตาตื่นก่อนรีบยกโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อภายในขึ้น ส่วนผมก็ส่งข้อความเรียกตำรวจอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเห็นพนักงานคนหนึ่งเคาะประตูห้องน้ำพลางตะโกนลั่น
“เฮ้! คุณเป็นอะไรไหมครับ เปิดประตูหน่อยครับ ถ้าไม่ออกมาจะแจ้งความแล้วนะครับ!”
ผมได้ยินเสียงฝาชักโครกกระแทกปิดลงเสียงดังอึกทึกครึกโครม จากนั้นก็มีคนสองคนออกมาจากห้องน้ำจริงๆ คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่หน้าตาสวยมากๆ กับอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่แค่มองดูก็รู้แล้วว่าคงมีฐานะไม่ใช่เล่น ทั้งที่ทั้งคู่เป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าเข้าไปอยู่ในห้องแคบๆ แบบนั้นได้ยังไง
พวกพนักงานต่างตกใจและถอยหลังไป ในวินาทีเดียวกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินมาอย่างเร่งรีบดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกนี้ที่สวมเครื่องแบบเต็มยศจะเดินปรี่เข้ามา
“ผมได้รับแจ้งมาน่ะครับ”
“ผมก็บอกแล้วนี่ว่าอย่าทำอะ…”
“นี่พวกคุณทำอะไรกันอยู่ครับ”
คนสองคนที่ออกมาจากห้องน้ำถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าพนักงานบริกรและพนักงานรักษาความปลอดภัย
น่าสนุกชะมัด ผมล่ะอยากให้โดนลากไปสถานีตำรวจกันทั้งแบบนี้เลยจริงๆ
พนักงานรักษาความปลอดภัยล็อกแขนผู้ชายตัวสูงใหญ่เอาไว้ ในขณะที่ผู้ชายตัวเล็กผงะไปเพราะความตกใจก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น
“ก่อนอื่นไปสถานีตำรวจด้วยกันก่อน! ไอ้พวกคนหนุ่ม! ชิ!”
เยส เอาตัวไปสถานีตำรวจเลย
“ปล่อยผมนะครับ!”
“ฮึก…ฮือ…”
“นี่มัน…เอ๊ะ? โอ๊ะ หนีไปแล้ว! พี่เรียกผู้จัดการเร็วครับ!”
“ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ ทางผมได้รับแจ้งมาว่ามีใครบางคนมีเพศสัมพันธ์กันที่นี่”
สถานการณ์ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด ผมรู้สึกราวกับมีเพลงซามุลโนรี* กำลังบรรเลงอยู่ลึกๆ ภายในใจ เหล่าพนักงานเองก็ต่างร้อนอกร้อนใจ แต่ภายในใจผมกลับโล่งสบาย ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาตบบ่าผมดังปุๆ
“มาทำอะไรอยู่ที่นี่ครับเนี่ย”
เขาคนนั้นคือผู้จัดการอี ผมเบิกตาที่เรียวคมขึ้นแล้วจ้องไปที่เขา ผู้จัดการอีเองก็เป็นอัลฟ่า สักวันหนึ่งเขาก็อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบนั้นได้เหมือนกัน ผมจะเชื่อใจพวกอัลฟ่าไม่ได้ พวกโอเมก้าเองก็เช่นกัน
“รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นน่ะครับ ผมเลยกำลังเฝ้าดูอยู่น่ะ”
“นั่นมัน…”
ผู้จัดการอีจ้องมองชายสองคนที่ถูกตำรวจลากออกไปก่อนจะรีบหันกลับมาหาผมอย่างรวดเร็ว
“อย่าบอกนะว่าเป็นคนรู้จักของคุณน่ะ?”
“ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกครับ”
“โล่งอกไปที”
“อาหารออกมาเสิร์ฟพอดีเลยครับ คุณชอบกุ้งใช่ไหม”
“ชอบครับ”
“ถ้างั้นก็เยี่ยมไปเลย”
ผู้จัดการอียกยิ้มอย่างอ่อนโยน ลักยิ้มบนแก้มนั้นดูเหมาะกับเขาเกินไปจริงๆ และในตอนนั้นเองผมก็ตัดสินใจได้
“ผมมีของต้องทิ้งนิดหน่อย สักครู่นะครับ”
ผมคลำกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเอายาระงับออกมา ก่อนจะรั้งพนักงานที่เดินผ่านไปแล้วยัดยาระงับใส่มือของเขา
“นี่เป็นยาระงับของโอเมก้า รบกวนช่วยจัดการให้หน่อยนะครับ จะเอาไปทิ้งหรือเอาไปทำอะไรก็ได้ครับ”
“ครับ?”
พนักงานจ้องมองผมอย่างงุนงงแล้วหันไปมองผู้จัดการอี และเมื่อเขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงเรื่อ
“เอ่อ…ยาระงับ? ตอนนี้เลยเหรอครับ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะครับ”
ผมลูบมือของพนักงานเบาๆ พนักงานใช้ทั้งสองมือกำยาระงับเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นของมีค่า
“ขะ…ขอให้มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันนะครับ…”
พอกลับมายังที่นั่ง ผมก็เห็นฮาวอนอีกำลังนั่งเท้าคางอยู่ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
“พอดีมีเรื่องวุ่นวายที่ห้องน้ำนิดหน่อยน่ะ”
บนโต๊ะมีอาหารประเภทกุ้งที่ดูน่ากินวางอยู่ กุ้งที่เอาลงไปทอดอย่างดีมีสีแดงอมส้มมันวาว กลิ่นกระเทียมและกลิ่นเนยหอมกรุ่น และผมรู้สึกได้ถึงรสชาติเผ็ดหวานของพริกเปปเปอรอนชีโน่จากกลิ่นนั้น
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว กลิ่นอะไรอย่างอื่นในชีวิตนี้ผมไม่ต้องการเลยสักนิด เพราะเบต้าอย่างผมนั้นไม่ต้องการของอย่างฟีโรโมนหรอก อีกอย่างอาหารนี่ก็ไม่มีทางทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศได้
“พอดีคุณจูฮยอกบอกว่าชอบอาหารประเภทกุ้งน่ะ”
ผู้จัดการอีพูดขึ้น ก่อนที่ฮาวอนอีจะยิ้มกว้าง
“โล่งอกไปทีครับ”
ทั้งคู่เข้ากันได้ดีมากเลยทีเดียว ถึงผมจะไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ต่อให้ใครมองมาก็คงเข้าใจผิดคิดว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน มันเป็นค่านิยมมาตรฐานของโอเมก้ารูปงามกับอัลฟ่ารูปหล่อ ทุกอย่างล้วนเป็นพลังของสายเลือดทั้งนั้น
ส่วนครอบครัวเบต้าอย่างผมก็จะมีแต่เบต้าเกิดมาเท่านั้น อาจมีบ้างที่บังเอิญมีโอเมก้าหรืออัลฟ่าเกิดมา แต่นั่นก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ นอกจากนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ในบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมปรากฏช้า
เบต้าที่ไม่ใช่เบต้า
นั่นแหละคือคนเหล่านั้น
การที่ผู้จัดการอีกับฮาวอนอีสามารถกลายเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าได้อย่างราบรื่นแบบนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะพันธุกรรมล้วนๆ
พวกเขาแตกต่างจากผมนับตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลกแล้ว และในอนาคตพวกเขาก็จะมีชีวิตต่างไปจากผม
ผมกระดกไวน์เข้าไปรวดเดียวเหมือนดื่มโคล่า
สายตาของคนทั้งคู่มองตามแก้วไวน์ที่ว่างเปล่านั้น ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งติดอยู่ที่ปลายจมูก
“ผมจะขอพูดอีกครั้งนะครับ…ผมไม่คิดมีแฟน”
สายตาของพวกเขาทั้งคู่เคลื่อนมาจับจ้องที่ผม
“ต่อให้พวกคุณสองคนจะบอกว่าชอบผม แต่ผมก็จะไม่คบใครครับ”
ผู้จัดการอีหัวเราะขึ้นมา
“ผมจะไม่ขอคุณเป็นแฟนให้คุณลำบากใจหรอกครับ อย่าห่วงเลย”
ฮาวอนอีเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการอี ผมเองก็จ้องเขม็งไปที่ผู้จัดการอีเช่นกัน
“จริงเหรอครับ”
“ก็เรื่องคบกันมันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนนี่ครับ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งไม่ได้ชอบแล้วจะคบเป็นแฟนกันได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่คิดจะรบเร้าเซ้าซี้ให้คุณเป็นแฟนกันหรอกนะครับ” ผู้จัดการอีก้มลงมองฮาวอนอี “ใช่ไหม วอนอี?”
ฮาวอนอีเติมไวน์ลงในแก้วไวน์ของผม ผู้จัดการอีเหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดริมฝีปากเหมือนคิดหนัก และแล้วฮาวอนอีก็พยักหน้าตอบ
“ถ้าไม่อยากมีใครมันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ”
“เพราะฉะนั้นจากนี้ไปก็อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะครับ อย่างเช่นคำว่าชอบผมอะไรทำนองนั้นน่ะ ผมลำบากใจนะครับ”
ผู้จัดการอีฝืนหัวเราะเจื่อนๆ
“เข้าใจแล้วครับ”
“ผมคิดว่าคนเราไม่ควรสร้างบาดแผลให้กับคนอื่นโดยเด็ดขาดน่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องความรัก”
“คุณพูดถูกแล้วล่ะครับ ผมเองก็ได้ยินเรื่องข่าวลือของทีมดูแลลูกค้ามาเหมือนกัน เอ่อ…แล้วก็ได้ข่าวว่าพี่ชีฮยอนไปหาคุณผู้ช่วยทุกวันเลยนี่ครับ ทุกวันตอนเช้าเลย”
ฮาวอนอีมองผู้จัดการอีก่อนยิ้มร่า ในขณะที่ผู้จัดการอีดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว ดูท่าคงจะคอแห้ง
“เพราะแบบนั้นต่อจากนี้ผมจะไม่ไปยุ่งกับปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของใครอีกแล้วครับ”
ผมกลืนไวน์ลงไปหลายอึก รสชาติฝาดเฝื่อนแผ่ซ่านอยู่ที่ปลายลิ้น
ในขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนการตัดสินใจที่แน่วแน่อยู่นั้น ฮาวอนอีก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมา
“ผู้ช่วยคิมครับ คุณบอกว่าตกลงจะเป็นเพื่อนกับพี่ใช่ไหมครับ”
“เพื่อน?”
“ครับ เพื่อน”
“ผมว่าผมไม่เคยไปตกลงอะไรแบบนั้นนะครับ…”
ดวงตาของฮาวอนอีเปล่งประกาย ก่อนจะหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจนเห็นเงาของขนตา
“ถ้างั้นช่วยเป็นเพื่อนกับผมด้วยไม่ได้เหรอครับ”
ไม่ได้…จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด
มุมปากของฮาวอนอียกยิ้มขึ้น ผมเหลือบมองผู้จัดการอี ดูเหมือนว่าริมฝีปากของพวกเขาจะถอดแบบมาเหมือนกัน ทว่าลักยิ้มของผู้จัดการอีนั้นดูเหมือนจะเลือนหายไปครู่ใหญ่แล้ว
“คุณชอบไปดื่มกับเพื่อนใช่ไหมครับ นี่เป็นครั้งแรกที่เรามากินข้าวเย็นด้วยกันเลยนะครับ”
ผมที่เผลอใจอ่อนไปกับรอยยิ้มของฮาวอนอีได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่เขาจะปรบมือเรียกพนักงาน
“ขอบลูสกายสองแก้วครับ”
จู่ๆ เมื่อตั้งสติได้ผมก็รู้สึกหนักตรงไหล่ ฮาวอนอีกำลังนอนพิงไหล่ผมอยู่ ท่านอนของเขาดูไม่สบายคอ ผมจึงเขยิบตัวให้เขาเล็กน้อย ดูเหมือนเขาน่าจะไม่ได้สติแล้ว ผมก็เลยดึงหัวเขาให้เข้ามาใกล้อีกนิด ในลำคอผมแห้งผากจนหลุดกระแอมกระไอออกมาบ่อยครั้ง
“ตื่นแล้วเหรอ”
ผู้จัดการอีถาม
“ผู้จัดการ?”
“ไหนคุณบอกว่าชอบนั่งข้างคนขับไงครับ แล้วทำไมถึงไปนั่งข้างหลังล่ะ แบบนี้ผมเสียใจนะครับเนี่ย”
ผู้จัดการอีหัวเราะ แม่น้ำฮันจมอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์มืดสนิทนอกหน้าต่าง แสงไฟสีเหลืองที่สะท้อนเหนือผิวน้ำกระเพื่อมไหวไปมา
“ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปส่งคุณจูฮยอกที่บ้านอยู่ครับ”
“ขอโทษนะครับ”
“วันนี้คุณดื่มเยอะอีกแล้ว เพราะวอนอีเลยจริงๆ ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ เขาคงน้อยใจเรื่องที่ผมบอกว่าไปดื่มกับคุณจูฮยอกสองคนน่ะ”
“คุณคงเอ็นดูคุณวอนอีมากเลยสินะครับ”
“แหงอยู่แล้วสิครับ ก็เขาเป็นน้องที่อายุห่างจากผมค่อนข้างเยอะนี่นา”
“เพราะเป็นโอเมก้าด้วยสินะ”
ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะได้กลิ่นเหล้าเคล้ามากับลมหายใจ
“แล้วรู้ไหมครับว่าผมเองก็มีน้อง”
ผู้จัดการอีระเบิดหัวเราะออกมา
“รู้สิครับ คุณเล่าให้ผมฟังแล้วนี่นา”
“ตอนเด็กๆ จูยองน้องผมป่วยบ่อยมากเลยครับ มีอยู่ครั้งนึงเธอหมดสติไปจนทั้งครอบครัวต่างวิ่งหน้าตั้งไปที่โรงพยาบาลของมหา’ลัยกันหมดเลยล่ะครับ…”
ปวดหัวชะมัด…
ผมใช้มือกดนวดขมับเอาไว้
“ตอนนั้นผมอยู่ในระหว่างช่วงสอบกลางภาค พอที่บ้านส่งข่าวมา…ผมก็เลยออกมาจากสนามสอบทั้งอย่างนั้น ผมกลัวจะเสียเธอไปจริงๆ เพราะเธอหมดสติแทบทุกวัน…”
มันเป็นโรคที่เราไม่รู้จักชื่อ เธอก็แค่หมดสติไปเฉยๆ เรื่องที่เธอหมดสติไประหว่างเดินเหินนั้นเกิดขึ้นบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน ยาสมุนไพรแผนโบราณที่ใครต่อใครว่าดีต่อร่างกาย ผมก็หามาให้เธอกินอยู่ตลอดไม่เคยขาด แถมยังเคยต้องเสียสละเงินอั่งเปาเพื่อเอาไปใช้จ่ายเป็นค่ายารักษาให้เธออีกต่างหาก แม้แต่เหล้าดองงู บ้านผมก็เคยเอาให้เธอกินทั้งที่ตอนนั้นเธอเพิ่งจะพ้นวัยประถมมาเอง คงเพราะแบบนั้นยัยคิมจูยองถึงได้มีนิสัยป่าเถื่อนสุดๆ แบบทุกวันนี้
คิมจูยองที่มักจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะเจ็บป่วยอยู่ทุกวัน…คิมจูยองที่เคยกลัวการไปโรงเรียน…
“จะว่าไปพอเห็นคุณวอนอีแล้ว ผมก็นึกถึงยัยกอริลล่าน้องสาวผมขึ้นมาแปลกๆ”
ผมพูดพลางอิงแก้มเข้ากับกระหม่อมของฮาวอนอี
อบอุ่นจัง
“ผมน่ะอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“…”
“และผมก็อยากให้คิมจูยองได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเหมือนคนปกติเหมือนกัน”
“…คุณจูฮยอกนอนต่ออีกหน่อยเถอะครับ กว่าจะถึงคงอีกสักพัก”
“พวกคุณทั้งคู่เองก็ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาไปเถอะครับ อย่าใช้ชีวิตลำบากเหมือนพวกอัลฟ่าหรือโอเมก้าคนอื่นเลย”
“…”
“ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข อย่าเจ็บอย่าป่วยเลยครับ…”
ผมตั้งใจว่าจะปรับลมหายใจสักหน่อย แต่ประตูรถก็ได้เปิดออกเสียก่อน
“คุณจูฮยอก ถึงแล้วครับ ลงมาเร็ว”
ผู้จัดการอีเปิดประตูรถแล้วยื่นแขนออกมา ผมจึงกระซิบข้างหูฮาวอนอี
“ไม่ต้องแกล้งหลับก็ได้ครับ”
ฮาวอนอีลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซุกซน
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
ผมปัดเส้นผมที่กระจายปรกหน้าผากของเขาออกไปข้างๆ
“น่ารักจัง เหมือนกอริลล่าเลยครับ”
พอก้าวขาลงมาจากรถ ร่างกายของผมก็ซวนเซไปนิดหน่อย ผู้จัดการอีจึงช่วยประคองผมไว้
“ไหวไหมครับ”
“ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อย่าหักโหมนะครับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรที่บริษัท คุณบอกผมได้หมดเลยนะ โดยเฉพาะ…อืม…เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะอัลฟ่าหรือโอเมก้าน่ะ คุณช่วยบอกทั้งหมดนั่นกับผมด้วยนะครับ”
ผมพยักหน้ากับคำพูดของผู้จัดการอี
“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง เรื่องที่บอกว่าจะไม่มีแฟนน่ะ ผมจริงจังนะครับ”
“อย่าย้ำนักสิครับ ผมเจ็บนะ”
“ผมไม่คิดจะมีจริงๆ นะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ เข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ”
ผมพยายามยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วโบกมือลาพวกเขา ผู้จัดการอีเองก็โบกมือลาผมเช่นกัน บางทีพวกเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ ก็ได้ เพราะขนาดปฏิเสธไปตรงๆ ขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์โบกมือให้แบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นเพื่อนกับผู้จัดการอีไปแล้วจริงๆ เลย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกัน…ต้องเป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้วสิ เพื่อนไง ขนาดซอลกีโดเองก็ยังเป็นเพื่อนผมได้เลย
ผมเอาหัวพิงผนังลิฟต์แล้วกดขึ้นไปชั้นบน เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องผมก็กดรหัสประตูหน้าก่อนจะเดินเข้าไป
ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย
มีบางอย่างแปลกๆ ไปแฮะ อืม…มีอะไรที่แปลกไปกันนะ
ผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่แปลกไป กระทั่งไฟห้องน้ำเปิดขึ้น ก่อนที่เจ้าซอลกีโดจะเดินออกมา
“ซอลกีโด นี่นายยังไม่กลับบ้านตัวเองไปอีกเหรอ”
“นี่พี่ดื่มเหล้ามาเหรอ”
“อื้อ ดื่มมานิดหน่อย”
“ถ้างั้นก็เข้าไปนอน”
“จ้าๆ”
ผมซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มก่อนเริ่มครุ่นคิด นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะไม่ยอมให้คนรอบตัวหยิบเอาเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของคนรักออกมาพูดอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ชีวิตถูกสั่นคลอนโดยอัลฟ่ากับโอเมก้าเด็ดขาด
ผมลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอม ทั้งยังรู้สึกหนักที่ขาด้วย พอหันมองไปรอบๆ ถึงได้เห็นหนุ่มหน้าตาดีราวกับรูปปั้นกำลังนอนกรนอยู่ข้างผม บางทีเจ้าซอลกีโดก็นอนกรนแบบนี้แหละ
ผมดันขาของเขาออกแล้วหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง พอได้ดื่มเหล้าแล้วผมก็มักจะตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดแบบนี้ประจำ หลังจากเช็กดูโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่ใกล้จะหมดอยู่รอมร่อก็เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้า ผมมองไปรอบๆ ห้องที่รกเละเทะไปหมด ซึ่งเป็นความรกที่ผมไม่คุ้นตาสุดๆ
“อะไรกันเนี่ย…พี่ตื่นแล้วเหรอ…”
“กีโด…?”
“อื้อ…”
“ทำไมฉันมาอยู่บ้านนายได้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ…”
และแล้วซอลกีโดก็เริ่มกรนอีกครั้ง ผมเองก็เอนตัวนอนลงอีกครั้งเช่นกัน
* ซามุลโนรี เป็นการแสดงพื้นบ้านของประเทศเกาหลีโดยใช้เครื่องดนตรี 4 ชนิด เครื่องดนตรีทั้ง 4 ชนิดมีเสียงคล้ายกับลักษณะเสียงธรรมชาติรอบตัว เช่น เสียงฝนที่กำลังตก เสียงฟ้าผ่า เสียงลม เป็นต้น การแสดงซามุลโนรีเป็นการแสดงการเคาะเพลง แนวเพลงแบบพื้นบ้านเกาหลี มักจะนำไปประกอบกับการแสดงกายกรรมหรือพิธีกรรม
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เขตห้ามรักฉบับเบต้า
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่