everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ยามนี้เป็นเดือนต้นกก* ของแผ่นดินเสวียนซวี (ทรงสุญ) ลมอุดรพัดเป็นระลอก ละล่องลิ่วพลิ้วมาจากหุบเขาห่างไกล กรีดลงบนกายคนจนรู้สึกเจ็บปวด
พรรคไท่ซวี (มหาสุญตา) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางแผ่นดินเพิ่งประสบกับหิมะห่าใหญ่ไปห่าหนึ่ง
หิมะบนสิบสองยอดเขาขาวโพลน สีสกาวอาบย้อมทั่วบริเวณ ชั้นของหิมะหนาเพียงพอให้ช่วงเอวของบุรุษวัยฉกรรจ์จมลงไปได้
ดั่งลมวสันต์โชยพัดมาฉับพลันในหนึ่งราตรี** ทั้งทัศนะมีเกล็ดหิมะปลิวว่อนราวกับนุ่งเงินห่มขาว*** มีเพียงยอดกิ่งต้นล่าเหมย**** ที่แต้มจุดสีแดงผลิบานต้อนรับลมเหมันต์อย่างอบอุ่น คล้ายว่าระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงสีสันชนิดนี้เท่านั้น
พรรคไท่ซวีที่ในวันปกติมักมีผู้คนสัญจรไปมาก็เงียบสงัดอย่างหาได้ยาก แต่กลับทำให้บุคคลพิเศษที่อยู่ในพรรคพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
บุคคลพิเศษผู้ฝึกกระบี่แสดงท่าทีว่า ‘อา เป็นความสงบที่มิได้พบพานมานานแล้วจริงๆ’
ใช่แล้ว ภายในพรรคซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘พรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ แห่งนี้ เกือบห้าในสิบส่วนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่
หากเอ่ยถึงผู้ฝึกกระบี่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดล้วนเข้าใจ นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเพียร ‘หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นวิชา’
แม้ฟังแล้วพวกพี่ชายจะดูเยี่ยมยอด แต่ว่าไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ก็คือคนที่ปากบอกว่าจะถือกระบี่ออกผจญภัยสุดขอบฟ้า บิดามารดาไม่ต้องกังวลถึงการดำรงชีวิตของบุตรอีกต่อไป ทว่าความเป็นจริงกลับอับอายในถุงเงิน***** ทำได้เพียงวางท่าเมินเฉยเพื่อรักษาชีวิตและหน้าตา
แต่การที่พรรคไท่ซวียืนหยัดคัดเลือกคนจากคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง ช่วงเวลาที่พรรครับคนใหม่ทุกสี่ปีล้วนต้องได้คัดเอาเศษใจสลายของเหล่าคนหนุ่มสาวนับไม่ถ้วนออกไป
ถนนทุกสายมุ่งสู่จงโจว****** การยัดเงินบริจาคเล็กน้อยให้กับยอดเขาหนึ่งเพื่อปะปนเข้าไปแขวนชื่อเป็นศิษย์สายนอกก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เมื่อออกท่องยุทธภพก็จะได้ประกาศสมญาของพรรคไท่ซวี ยามเกิดเรื่องอันใดล้วนเป็นเกราะคุ้มภัยได้
ต้องขออภัย มีเงินก็ล้วนทำได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา
เวลานี้ชัดแจ้งว่าเป็นเที่ยงตรง ทว่าเมฆหนากลับย้อมทั้งผืนฟ้าให้เป็นสีเทาขาวราวกับตกอยู่ในความวิเวกวังเวง เพียงครู่เดียวเกล็ดหิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีก ยามตกกระทบแขนเสื้อก็ละลายอย่างรวดเร็ว พาให้หนาวเย็นทั่วสรรพางค์กาย
มองเห็นเหล่าศิษย์เฝ้าประตูยังคงยึดมั่นอยู่ที่แนวหน้า โชคดีที่ศิลาวิญญาณอันเป็นรางวัลของภารกิจพิทักษ์สำนักเองก็ทบทวีขึ้นตามสภาพอากาศอันเลวร้าย ดังนั้นแม้ตำแหน่งนี้จะยากลำบากแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทุกคนต่างแก่งแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกเพื่ออุทิศแรงกายให้กับพรรคไท่ซวีผู้สร้างความปรองดองดีงามภูเขาสวยลำน้ำใส
ยามปกติเพียงสมญานามของพรรคไท่ซวีก็ทำให้ผู้อื่นแว่วเสียงลมก็เสียขวัญ* มิกล้าล่วงเกิน แต่วันนี้มีเหตุให้ถึงคราวพลิกผันบ้างแล้ว
นั่นคือประกายดาบสายหนึ่ง
ยะเยือกสุด สว่างสุด ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ณ จุดแสงซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเส้นขอบฟ้ากับหิมะขาวโพลน ส่องแสงเรืองรองคล้ายแสงจันทร์ ทั้งยังแฝงไอสังหารอันเย็นเยียบ ร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบผ่าลงตรงกึ่งกลางเกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งอย่างเหมาะเจาะ
“สัญญาห้าปี ได้เวลาพอดี”
ยังไม่ทันเห็นตัวคน เสียงก็มาถึงก่อนแล้ว
เงาร่างในอาภรณ์สีเทาปลอด ศีรษะสวมหมวกสานพลันเดินออกมาจากสถานที่ห่างไกล แม้จะเห็นชัดว่าเป็นจังหวะย่างก้าวที่เชื่องช้า แต่ทุกการย่ำเท้ากลับก้าวข้ามระยะทางสุดไกลโพ้น ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เดินมาถึงอย่างเงียบงัน ก่อนหยุดลงหน้าประตูทางเข้า
ดาบมิได้ออกจากฝัก บนพื้นหิมะมิได้ทิ้งร่องรอยใด มีเพียงราวกั้นไม้ของประตูทางเข้าที่ตอบรับโดยการแตกหักและแหลกละเอียดเป็นขี้เลื่อยฟุ้งตลบปะปนไปในลมหิมะ ต้อนรับสายตาตื่นตะลึงของศิษย์เฝ้าประตู
“มู่เหยี่ยมาแล้ว ขอถามว่าจงจี่อยู่ที่ใด”
ขอบหมวกสานเคลื่อนขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าเย็นชาใต้หมวกนั้น เขายกมือขึ้นอย่างผยอง เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกบีบคั้นสลักลึกถึงกระดูก ถ้อยวาจาถ้าโยนลงพื้นจักเกิดเสียง**
มู่เหยี่ย!
พูดได้ว่านามนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในแผ่นดินเสวียนซวี
ตอนที่ทำเนียบเสวียนจี (ลึกลับ) ถูกปรับปรุงใหม่เมื่อสิบปีก่อน นามนี้ได้ทะยานจากหลังอันดับที่หนึ่งพันขึ้นมาอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ความเร็วในการเลื่อนอันดับของเขานั้นยากจะพบเห็นในชีวิตหนึ่ง
มู่เหยี่ยเพิ่งปรากฏตัวได้ห้าสิบปี กลับมีความรู้สูงล้ำมากเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็เป็นจุดสนใจไร้ผู้ใดเทียบ นามแห่งนักดาบอัจฉริยะ ใต้หล้าล้วนล่วงรู้
แผ่นดินเสวียนซวีไม่มีอัจฉริยะระดับนี้ถือกำเนิดมานานมากแล้ว เพียงปรากฏตัวพรรคแห่งนั้นล้วนประคองวางไว้บนยอดดวงใจ ประเคนทรัพยากรให้ทั้งหมด
หากไม่มีอัจฉริยะอีกผู้หนึ่ง มู่เหยี่ยคงได้ทะยานสู่ฟ้าสูงตามแต่ใจเขาเป็นแน่
น่าเสียดายที่โชคชะตาชอบกลั่นแกล้งคน ในยุคสมัยเดียวกันนั้นอัจฉริยะอีกคนได้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากมู่เหยี่ยเพียงไม่กี่ปีและแย่งเอาความสนใจจากเขาไปจนหมดสิ้น
นามของคนผู้นั้นถูกมู่เหยี่ยเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หลายรอบ ทั้งยังแฝงความไม่ยินยอมและความอิจฉาอันไร้สิ้นสุดอยู่ก่อนแล้ว
จงจี่
หากกล่าวว่ามู่เหยี่ยคืออัจฉริยะที่หมื่นปีพานพบคราหนึ่ง เช่นนั้นจงจี่ย่อมไม่ใช่เพียงอัจฉริยะที่หมื่นปีพานพบคราหนึ่งเท่านั้น ไม่เพียงแค่พรสวรรค์ แม้แต่โชคชะตาและสภาวะจิตล้วนเหนือกว่าเขามาก
ผู้มีโอกาสประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดอย่างสูงล้ำเช่นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เท่านั้น แต่โชคชะตาก็สำคัญไม่แพ้กัน และก็เป็นโชคดีที่โชคชะตาของเจ้าเด็กน้อยจงจี่ผู้นี้ดีเสียจนน่าประหลาดใจจริงๆ
“จอมท่าน…กำลังกักตนอยู่”
ศิษย์คนหนึ่งทำใจกล้าเอ่ยออกไปหนึ่งประโยค ศิษย์คนอื่นๆ อีกหลายคนก็คล้อยตามกัน แม้จะหวาดกลัวกลิ่นอายข่มขวัญจากกายของนักดาบ แต่แววตาของพวกเขาก็เด็ดเดี่ยวไร้ที่เปรียบขณะเอ่ยตอบไปอย่างงันงก
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของพรรคไท่ซวีเกือบเจ็ดส่วนล้วนวิ่งตะบึงมาเพราะจงจี่ เก้าส่วนในกลุ่มนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวผู้ชื่นชอบในตัวเขา หากสุ่มเลือกออกมาสักหนึ่งคนก็คงจะสามารถร่ายวีรกรรมของจงจี่อย่างคล่องปากโดยไม่หายใจได้รอบหนึ่ง
เช่นว่าจอมท่านเอาชนะนักดาบอัจฉริยะมู่เหยี่ยแบบตัวต่อตัวได้ในกระบี่แรก ณ การประลองครั้งใหญ่ของสำนักพรรคเมื่อปีนั้น เช่นว่าใช้กำลังภายในกดดันพรรคอู๋จี๋ (ไร้ขอบเขต) ในสถานการณ์คับขันจนคว้าอันดับหนึ่งที่สมุทรฮ่วน (มายา) มาได้ หรือเช่นว่าจับเจ็ดมู่เหยี่ย* ต้านทานกลางคลื่นอสูรคลั่ง…
มู่เหยี่ย ‘…’
ไม่ ข้าไม่อยากมีบทแล้ว ไม่ต้องพาตัวข้ามา
แต่อันที่จริงหลังจากทั้งสองท่านนี้ขมวดปมแค้นกันเป็นครั้งแรก ณ การประลองครั้งใหญ่ในพรรค เวลาต่อมาไม่ว่าจงจี่กระทำสิ่งใด มู่เหยี่ยล้วนจงใจไปหาเรื่องด้วยความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง ลงมือแต่ละครั้งล้วนเป็นฝ่ายยื่นหน้าไปให้คนเขาตบตีจนปูดโปน ทั้งยังทำเช่นนั้นอย่างปรีดาไม่เหน็ดเหนื่อย
นี่กลับทำให้จงจี่ผู้ก่อนหน้านี้ยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไรนักได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไม่น้อย ทว่ามู่เหยี่ยก็ไม่ล้มเลิกเสียที ยังคงยืนหยัดไม่ยอมลดละอยู่เช่นเดิม
“หึ ก็แค่เต่าหดหัวเท่านั้น”
นักดาบแค่นหัวเราะ เงาร่างพลันขยับ เหยียบลงกลางอากาศหมายจะบุกฝ่าเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจการขัดขวาง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นย่ำสุญทะยานฟ้า!
ครานี้ศิษย์เฝ้าประตูไม่มีเวลามาสนใจเรื่องมากมายพวกนั้นอีก พวกเขาพลันโคจรปราณวิญญาณคราหนึ่ง และโยนยันต์ที่วาดด้วยชาดแดงไปกลางอากาศ
ทันใดนั้นมังกรเขียวที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้า ก่อนส่งเสียงคำรามกึกก้องเสนาะโสต
ตราประทับมังกรเขียว!
นี่คือเครื่องมือสื่อสารอันสะดวกสบายสำหรับใช้เรียกรวมตัวศิษย์ในยามที่พรรคไท่ซวีถูกจู่โจม แน่นอนว่าการใช้งานของมันมีหลากหลาย ในบางคราก็จะวางไว้กลางฟ้า ประกาศว่าอาณาบริเวณนี้พรรคไท่ซวียึดครองแล้ว
เผชิญหน้ากับมู่เหยี่ยผู้สำเร็จย่ำสุญทะยานฟ้าแล้วเช่นนี้ ศิษย์เฝ้าประตูไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ย่ำสุญทะยานฟ้าเป็นกระบวนท่าที่มีเพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะทำได้ อีกทั้งในแผ่นดินเสวียนซวี…ผู้ที่สามารถเยียบย่างเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ หากลองนับนิ้วดู ต่อให้นับรวมขั้นครึ่งศักดิ์สิทธ์เข้าไปด้วยก็เพิ่งจะมีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
ทั้งพรรคไท่ซวีมีเพียงประมุขพรรคหมิงซวีจื่อเท่านั้นที่บรรลุถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำเจ็ดยอดเขาคนอื่นมีห้าคนที่อยู่ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ และอีกสองคนอยู่ขั้นสูงสุดของขั้นเก้า
นี่คือมาตรฐานในปัจจุบันของพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า และพวกมันก็เป็นทุนรอนในการท่องไปในแผ่นดินเสวียนซวีด้วย เพราะในฤดูกาลเปิดประตูพรรคทุกครั้งพรรคไท่ซวีจะได้รับการเพิ่มชื่อลงไปในรายการนำเที่ยวอันหรูหราของจงโจว ในทุกช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมออกมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมากพรรคไท่ซวีล้วนมีรายรับมหาศาล
“นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้าหรือ”
มู่เหยี่ยแค่นยิ้ม อาวุธลักษณะเรียวยาวที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีเทาหนาในมือพลันพุ่งออกจากฝัก ดาบยาวทรงจันทร์เสี้ยวแผดเสียงคำรามแล้ววาดโค้งดั่งมังกรเหิน ประทับลงในฝ่ามือของนักดาบ
“สัญญาห้าปีเมื่อครานั้นตอบรับอย่างเร็วรี่ ในยามนี้ไม่กล้าแม้แต่จะออกมาจากยอดเขาแล้วหรือ!”
พริบตานั้นก็มีริ้วแสงจำนวนนับไม่ถ้วนร่อนลงมาที่หน้าประตูภูเขา
พรรคไท่ซวีไม่ได้ใช้ตราประทับมังกรเขียวมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทันทีที่มังกรเขียวปรากฏ ผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหมดที่เห็นมันต้องมาให้ถึงในทันที
ประตูภูเขาที่เพิ่งจะโหรงเหรงพลันเนืองแน่นไปด้วยผู้คน พวกเขาแต่ละคนต่างสวมชุดประจำพรรคสีน้ำเงินขาวของพรรคไท่ซวี เหยียบย่ำชั้นหิมะหนาถึงเข่าจนมันกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง
เสียงของมู่เหยี่ยกึกก้องไปทั่วหน้าประตูภูเขา ทั้งยังซุกซ่อนปฏิภาณเอาไว้ภายในอย่างแยบยล สั่นสะเทือนจนหิมะบนยอดเขาร่วงกราว มีกระทั่งเสียงครืนครั่นของหิมะถล่มดังมาจากที่ห่างไกล
บรรดาคนของพรรคไท่ซวีที่เดิมทีลับมีดกันมาแฉ่งฉับ คิดอยากจะสั่งสอนเจ้าเด็กทระนงผู้ไม่รู้จักฟ้าสูงพื้นดินหนา* ถึงขนาดขวัญกล้าบุกมายังหน้าประตูภูเขาพรรคไท่ซวีให้ดีๆ สักหน่อย ผลคือหลังจากได้ยินประโยคนี้แล้วต่างก็เก็บกระบี่ยาวสี่สิบหมี่** กลับไปอย่างเงียบเชียบ
เรื่องนี้ไม่อาจท้าทายมู่เหยี่ยได้จริงๆ
ห้าปีก่อนสองสุดยอดอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าพากันย่ำเข้าสู่ขอบเขตคอขวดของจุดสูงสุดในขั้นเก้า ยอดหอไจซิง (เด็ดดารา) หออันดับหนึ่งในใต้หล้าจึงร่างสัญญาห้าปีขึ้นมา โดยมีสิ่งเดิมพันก็คือให้ต่อสู้กันอีกครั้งในอีกห้าปีให้หลัง ดูว่าผู้ใดจะคว้าสมญานามอัจฉริยะอันดับหนึ่งมาได้
เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกมาก็พลันขึ้นพาดหัวบนม้วนคัมภีร์หยกของแผ่นดินเสวียนซวีในทันที หลังจากสับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายทอดให้แก่กันตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน บรรดาเจ้ามือทุกหมู่เหล่าต่างพากันเปิดโต๊ะพนันเพื่อเดิมพันกันว่าทั้งสองท่านนี้ใครจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด
จงจี่ทราบภูมิหลังในการประชันฝีมือของมู่เหยี่ยดีว่าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ดังนั้นจึงต้องมาดูที่ตัวจงจี่ผู้นี้ให้ดีเป็นสำคัญ
เจ้าหนุ่มจงจี่ผู้นี้นับว่ามีความผิดแผกมาตั้งแต่เกิด ดาวต้นกำเนิด* ของเขาไม่ปรากฏ ในยามปกติทำได้เพียงสร้างปรากฏการณ์ฟ้าดินเท่านั้น และก็เป็นเพราะดาวต้นกำเนิดของเขาไม่ปรากฏนี่เองถึงได้มอบความรู้สึกลึกซึ้งไม่อาจคาดเดาชนิดหนึ่งให้แก่ผู้คน
ในตอนแรกเริ่มจงจี่เกือบจะถูกคนสงสัยว่าเขาคือตัวไร้ค่าผู้ไม่อาจฝึกบำเพ็ญเพียรได้ ผลคือหลังจากรอจนเขาเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรผู้คนถึงได้ตระหนัก
ไหนเลยจะเป็นตัวไร้ค่าพรรค์นั้น ชัดแจ้งว่าเป็นบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์ต่างหาก (ปาดน้ำตา)
“อาจารย์อาจงไม่ใช่คนตระบัดสัตย์เช่นนั้น ยามนี้กักตนไม่ออกมา ไร้ทางเลือกให้โดยแท้ สหายมู่ได้โปรดผ่อนปรนให้ด้วย”
เหยียนซื่อผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยน (ซ่อนกระบี่) หนังตากระตุกทีหนึ่ง แล้วผินกายไปส่งสายตาให้กับหยางเฉียนผู้นำยอดเขาเหลี่ยนเย่า (กอบเก็บโอสถ) ปราดหนึ่ง จากนั้นฝ่ายหลังก็พลันเข้าใจความคิด จึงเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัด
“ฮึ ผ่อนปรนหรือ”
ในฐานะที่มู่เหยี่ยเป็นนักดาบผู้ตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง สิ่งที่รังเกียจที่สุดก็คือการอ้อมค้อมเหล่านี้ เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าพรรคไท่ซวีคิดอยากกำราบเขาลงที่นี่ ฉับพลันนั้นเขาจึงปักดาบลงบนพื้นหิมะเสียงดังฉึก และกดหมวกสานลงเล็กน้อย เผยท่าทีว่าไม่ยอมแพ้
“วันนี้ถึงกำหนดเส้นตายแล้ว เช่นนั้นมู่เหยี่ยก็จะรออยู่ที่นี่ครึ่งวัน ไม่ล่วงเข้าประตูพรรคเจ้าแม้แต่ก้าวเดียว คิดว่าผู้สูงศักดิ์จงคงจะไม่ทำให้แขกต้องลำบากกระมัง”
มีการเตรียมตัวมาก่อนดังคาด
แม้มู่เหยี่ยจะไม่ได้วางอุบายเอาไว้ในการประชันฝีมือ แต่ท่าทีเย่อหยิ่งเช่นนี้กลับทำให้บรรดาศิษย์ในพรรคไม่ใคร่จะสบายใจนัก
ไม่ได้ วันนี้ต้องหาสักเหตุผลหนึ่งมาสั่งสอนเจ้าเด็กนี่ให้ดีๆ เสียก่อน!
เพิ่งจะย่ำเข้าธรณีประตูขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงพื้นดินหนาแล้ว ไม่ว่าเอ่ยอย่างไร ประมุขพรรคไท่ซวีพวกข้าก็ยังเป็นถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง หากปล่อยให้เจ้าเด็กน้อยผู้หนึ่งมาท้าทายถึงที่ พรรคไท่ซวีก็ไม่รู้จะเอาใบหน้าชรากว่าพันปีนี้ไปวางไว้ที่ใด
เหยียนซื่อเหลือบตาไปเห็นเศษขี้เลื่อยสีน้ำตาลที่แหลกละเอียดอยู่บนพื้นหิมะฟุ้งตลบขึ้นมา นัยน์ตาสีดำสนิทพลันวาบประกาย
ป้ายไม้ที่เขียนตัวอักษรสามตัวเอาไว้ว่าพรรคไท่ซวีแผ่นนี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีค่ามากนัก เพราะพรรคตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ทั้งยังมีหิมะตกตลอดทั้งปี ลูกพี่จึงโดนลมหวีดหวิวพัดโกรก ภายใต้สภาพแวดล้อมสุดขั้วเช่นนี้ป้ายไม้จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ สองสามเดือน
แต่ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรมู่เหยี่ยก็เป็นคนนอก เหยียนซื่อย่อมเหลือพื้นที่ให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง ประกอบกับลิ้นสามชุ่นไม่เน่า* ของผู้นำยอดเขาเหลี่ยนเย่าแล้ว รับรองได้เลยว่าจะทำให้มู่เหยี่ยผู้นี้ต้องตกตะลึง
ทว่าตอนนี้ต้องหาเหตุผลสักข้อมาตีเจ้าเด็กนี่สักครู่หนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กล้ามาร้องเรียกรังแกศิษย์พี่จงถึงหน้าประตูเลยหรือ ฮึ รนหาที่ตาย
เหยียนซื่อเพิ่งจะตัดสินใจได้ สองมือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้ออยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทว่าในตอนที่เตรียมถลึงตาเอ่ยผรุสวาทนั้น เบื้องหลังพลันมีเสียงหัวเราะก้องกังวานลอยมา ดั่งอสนีบาตฟาดลงบนผืนดิน
“สหายมู่ไม่จำเป็นต้องรอนาน แขกผู้มีเกียรติมาเยือน จงจี่ย่อมมาต้อนรับ”
น้ำเสียงนี้ทั้งไพเราะและแฝงความเอาแต่ใจ ทั้งยังเผยถึงแววขบขันเจ็ดส่วน ความเกียจคร้านสามส่วน ซุกซ่อนปฏิภาณแบบเดียวกันเอาไว้อย่างแยบยล ทั้งยังทำให้บรรดาผู้คนที่ได้ยินเสียงคำรามของมู่เหยี่ยจนเลือดลมพลุ่งพล่านก่อนหน้านี้นิ่งงัน คืนกลับสู่ความสงบ
“จงจี่!”
เพียงได้ยินเสียงนี้มู่เหยี่ยไหนเลยจะอดทนไหว ประกายเพลิงในดวงตาพลันลุกโชน
ว่าแล้วก็แปลกนัก นักดาบผู้เงียบขรึมสงวนวาจาอยู่เป็นนิจ เพียงได้พบจงจี่ก็กลายเป็นดั่งพวงประทัดที่แค่จุดไฟก็ระเบิด แล้วนักดาบผู้สุขุมเยือกเย็นก็เปลี่ยนร่างเป็นเด็กน้อยในชั่วพริบตา
“มาแล้วๆ เบาเสียงหน่อย”
เงาร่างสีดำเรียวเล็กสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากที่ห่างไกล อาภรณ์สีดำดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุดกลางผืนหิมะกว้าง เหนือศีรษะปรากฏเป็นเส้นริ้วสีทองเรืองรองที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน เหินเหาะอย่างหงส์ร่อน ลอยล่องดั่งเริงรำ
ย่ำก้าวของเงาร่างไร้ลมไร้เสียงหายใจ เยื้องย่างมาอย่างลมเย็นเดือนหงาย** เหยียบลงบนหิมะไร้ร่องรอย พริบตาเดียวก็ย่อพิภพเป็นชุ่น*** เดินมาถึงหน้าประตู
บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่หน้าประตูพรรคต่างถอนหายใจโดยพลัน ความมั่นใจเปี่ยมล้นขึ้นมา
“ว่าอย่างไร ไม่ได้พบกันห้าปี คุณชายมู่คิดถึงผู้แซ่จงถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
บุรุษผู้มีผมสีดำลู่ลงมาทั้งศีรษะ ไม่ได้สวมเครื่องประดับใด ปล่อยสยายประบ่าอยู่เช่นนั้นตามแต่ใจ สองคิ้วของเขาดั่งกระบี่ นัยน์ตาสีทองราวกับห้วงน้ำล้ำลึก สันจมูกสูงโด่ง องคาพยพงามวิจิตร บุคลิกโดดเด่นองอาจ ยามยกมือยื่นเท้าก็งามสง่า ดั่งทิวทัศน์ใสกระจ่างหลังฝน**** ทั้งหล่อเหลาและอิสรเสรี
แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่กำลังเดินมาดวงตาของเขาก็เหลือบขึ้น ถ้อยวาจาแฝงความเกียจคร้านจนใจ ทว่าเมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่นกลับเห็นเป็นความยโสโอหัง
“เจ้า…!”
มู่เหยี่ยโมโหเสียจนเกือบจะดึงดาบขึ้นจากพื้น
ทว่านักดาบผู้สวมหมวกสานนับว่าอดทนเอาไว้ได้ในครานี้ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถอดหมวกสานออกอย่างเชื่องช้า จงใจเผยให้เห็นดาวต้นกำเนิดบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเสียงเย็นเยียบอย่างบ้าคลั่ง
ดาวห้าแฉกสีเงินม่วงดวงหนึ่งปรากฏบนหน้าผากเขาแล้วค่อยๆ ขยายตัวขึ้น จากนั้นก็ลอยขึ้นมาอยู่ที่ตำแหน่งกลางกระหม่อม เรืองแสงสุกใสเป็นประกาย
สีเงินม่วง!
ผู้มีดาวต้นกำเนิดขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะมี!
“ฮึ”
มู่เหยี่ยมีใจคิดโอ้อวด จึงจงใจโคจรปราณวิญญาณทำให้ดาวต้นกำเนิดที่หน้าผากเปล่งประกายชัดยิ่งกว่าเดิม นึกอยากประทับดาวดวงนี้ลงตรงหน้าจงจี่อย่างอดรนทนไม่ไหว ให้เจ้าเด็กไม่รู้ฟ้าสูงพื้นดินหนาผู้นี้ได้มองเห็นให้ชัดเจน
ผู้คนโดยรอบล้วนทราบดี อัจฉริยะจงจี่ไม่ปรากฏดาวต้นกำเนิดมาตั้งแต่เกิด มู่เหยี่ยจึงต้องการยั่วยุเจ้าเด็กผู้นี้
แน่นอนว่าอีกทางก็เพื่อจะหยั่งเชิงดูว่าจงจี่บำเพ็ญถึงขั้นใดแล้วด้วยเช่นกัน เพราะโดนตบหน้ามาก็หลายครั้ง ในใจเขาจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก
ในแผ่นดินเสวียนซวีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนน้อยมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพียงทะลวงขั้นสำเร็จล้วนสามารถทะยานขึ้นสู่ยี่สิบอันดับแรกของทำเนียบเสวียนจีได้เลย
เพื่อที่จะแสดงความแข็งแกร่งของตนเองอย่างเงียบๆ ทว่าหรูหราและมีท่วงท่าที่ผ่านการบ่มเพาะ ทั้งยังไม่ต้องการให้เสียภาพลักษณ์พี่ใหญ่อันเพียบพร้อมไร้ที่ติ เหล่าพี่ใหญ่กลุ่มนี้ยามเดินเหินจึงวางเท้าห่างจากพื้นอยู่หลายชุ่น* ย่ำท่องกลางอากาศ
และในเมื่อจงจี่ไม่ได้เดินย่ำท่องกลางอากาศ จึงเป็นไปได้มากว่าไม่ได้ล่วงเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์
แต่สิ่งที่น่าพูดถึงก็คือเนื่องด้วยการพัฒนาในด้านการบำเพ็ญเพียรของแผ่นดินเสวียนซวี ไม่นานมานี้ปรมาจารย์ด้านการเขียนยันต์คิดค้นยันต์ชนิดหนึ่งที่แปะบนฝ่าเท้าแล้วจะเลียนแบบวิชาย่ำสุญทะยานฟ้าขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าสมบัติลอกเลียนแบบ พอออกขายสู่ตลาดผู้คนก็ซื้อไปจนเกลี้ยง
“โอ้”
จงจี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“คุณชายมู่ไยมีดาวเพียงดวงเดียวเล่า ทั้งสียังกระดำกระด่างเสียด้วย”
ความเยาะหยันระดับสูงสุด
ยิ่งเห็นจงจี่มีท่าทีเช่นนี้ ในใจมู่เหยี่ยก็ยิ่งไม่มั่นใจ
นักดาบพินิจพิเคราะห์สีหน้าของเจ้าเด็กผู้นี้อย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่ลักษณะภายนอกของจงจี่นั้นเป็นท่วงท่าสี่มั่นแปดคง* มองไม่เห็นเค้าเงื่อนใดแม้เพียงครึ่ง
มู่เหยี่ยพลันระลึกถึงความหลังยามที่ตนถูกจงจี่ควบคุมอยู่หลายครั้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ทุกครั้งในตอนที่เขาคิดว่าตนจะได้ชัยชนะมาครองแน่แล้วจนเริ่มเป็นฝ่ายยั่วยุก่อเรื่องนั้น จงจี่มักจะเป็นฝ่ายฟาดเขากลับสักหนึ่งฝ่ามือ
จากครั้งแล้วครั้งเล่านี้ถือกำเนิดเป็นสัมผัสลางหายนะที่หก แม่นยำอย่างยิ่ง
แต่ในฐานะที่เป็นนักดาบผู้หนึ่ง มู่เหยี่ยไม่อาจถอยหลัง ยิ่งไม่อาจถอยหลังไปมากกว่านี้ เขาไม่อาจกระทำในสิ่งที่ละอายต่อดาบในมือ
นี่เป็นโอกาสในการเอาชนะจงจี่เพียงหนึ่งเดียว
หากชนะก็จะได้ปีนข้ามขุนเขาสูงหนักลูกนี้ หากว่าแพ้อำนาจของการรบกันครั้งนี้จะกลายเป็นมารในจิตของมู่เหยี่ยไปตลอดชีวิต
“พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ หยิบกระบี่เถิด”
นักดาบสงบจิตใจให้มั่นคง ยกปลายดาบขึ้นเล็กน้อย แววตาปรากฏความมุ่งมั่นและทะนงตนไม่ย่อท้อ
หลังเขาพูดจบจงจี่ที่อยู่ตรงหน้าก็ยังคงไม่แสดงกิริยาใด สีหน้ากลับแปลกพิกลอยู่บ้าง
“ว่าอย่างไร หรือว่าในศึกสุดท้ายนี้คุณชายจงก็ยังคงไม่ยินยอมชี้แนะ”
จงจี่ “…”
จบกัน จะบอกเจ้าโง่นี่อย่างไรว่ากระบี่ที่เขาพกก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วก็เพื่อความหล่อเท่ก็เท่านั้น
อันที่จริงจงจี่ไม่เป็นกระบี่เลย 🙂
เวลาเดียวกันนั้น ในช่วงเวลาสำคัญที่ผู้คนยังไม่ทันได้รู้สึกตัว
บนม้วนคัมภีร์หยกพลันมีนามหนึ่งวาบแสงติดๆ ดับๆ พุ่งขึ้นมาราวกับริ้วแสงมุ่งสู่อันดับสูงสุดของทำเนียบเสวียนจีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดหนึ่งร้อยปี ทะยานสู่จุดยอดที่สุด
‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า จงจี่’
* เดือนต้นกก คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนตามปฏิทินจันทรคติ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีต้นกกงอกงาม
** ดั่งลมวสันต์โชยพัดมาฉับพลันในหนึ่งราตรี มาจากกลอน ‘ลำนำหิมะขาวส่งตุลาการทหารกลับนครหลวง’ ของเฉินชาน กวีสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นบทกลอนที่บรรยายถึงภาพฉากความงดงามในวันหิมะตก
*** นุ่งเงินห่มขาว เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบถึงความงามตอนหิมะตกปกคลุมทิวทัศน์จนหนาราวกับสวมอาภรณ์สีเงินขาวเอาไว้
**** ล่าเหมย แปลตรงตัวว่าเหมยเดือนสิบสอง เป็นไม้ดอกที่ออกดอกในฤดูหนาว ส่วนมากเป็นสีเหลือง แต่ก็มีที่เป็นสีชมพูหรือสีแดง คนทั่วไปรู้จักในชื่อต้น Winter Sweet หรือ Japanese Allspice
***** อับอายในถุงเงิน เป็นสำนวน หมายถึงอัตคัดขัดสน รู้สึกอับอายเพราะในกระเป๋าเงินไม่มีเงิน
****** ถนนทุกสายมุ่งสู่จงโจว ดัดแปลงมาจากสำนวน ‘ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม’ หมายถึงไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ล้วนมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน
* แว่วเสียงลมก็เสียขวัญ เป็นสำนวน หมายถึงเพียงได้ยินเสียงลมก็ตกใจจนสูญเสียความกล้า ใช้บรรยายถึงความรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งหนึ่งเป็นอย่างมาก
** ถ้อยวาจาถ้าโยนลงพื้นจักเกิดเสียง มาจากสำนวน โยนลงพื้นจักเกิดเสียง ใช้พรรณนาว่าถ้อยคำนั้นกึกก้องทรงพลัง
* จับเจ็ดมู่เหยี่ย ดัดแปลงมาจากสำนวน ‘จับเจ็ดปล่อยเจ็ด’ เป็นกลยุทธ์การทำสงครามของขงเบ้งกับชาวพื้นเมืองทางภาคใต้ โดยการจับหัวหน้าชาวพื้นเมืองได้ทั้งเจ็ดครั้งแล้วปล่อยไป ทำให้สามารถชนะใจของฝ่ายตรงข้ามได้
* ฟ้าสูงพื้นดินหนา เดิมมีความหมายตรงตัวว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ต่อมาใช้เปรียบถึงบุญคุณอันใหญ่หลวง และยังหมายถึงความยากลำบาก ความหนักหนารุนแรงของเหตุการณ์ ความยุ่งยากซับซ้อนของสิ่งต่างๆ ด้วย
** หมี่ เป็นหน่วยวัดระยะทาง มีค่าเท่ากับหน่วย ‘เมตร’
* ดาวต้นกำเนิด คือสิ่งที่ทุกคนมีพร้อมตั้งแต่เกิด เป็นตัวแทนของระดับขั้นพลังยุทธ์ของการบำเพ็ญเพียร ทั้งยังเป็นตัวแทนของความสามารถที่จะจำแนกระดับขั้นของผู้บำเพ็ญเพียรตามสีสันของดาวต้นกำเนิดอีกด้วย
* ลิ้นสามชุ่นไม่เน่า เป็นสำนวน หมายถึงผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศ
** ลมเย็นเดือนหงาย เป็นสำนวน ใช้เปรียบเปรยถึงผู้มีบุคลิกอิสรเสรี ไม่อนาทรในสิ่งใด
*** ย่อพิภพเป็นชุ่น เป็นหนึ่งในสกิลของอาชีพแม่มดจากเกม Dungeon Fighter Online โดยเป็นท่าสำหรับเคลื่อนย้ายย่นระยะทางให้สั้นลง ในที่นี้เปรียบเปรยถึงความเร็วในการเดินทางของตัวละคร
**** ทิวทัศน์ใสกระจ่างหลังฝน เป็นสำนวน ใช้เปรียบเปรยถึงผู้มีจิตใจเปิดกว้าง ตรงไปตรงมา
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว
* สี่มั่นแปดคง เป็นสำนวน หมายถึงกิริยาท่าทางสุขุมและมั่นคง