ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 2

 

สีหน้าของมู่เหยี่ยพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเหลือบตาคราหนึ่ง จดจ้องไปยังกระบี่ยาวสีดำทองที่อยู่ข้างเอวของจงจี่เล่มนั้นไม่วางตา

เขาคือนักดาบผู้หนึ่ง แม้ไม่เข้าใจเรื่องกระบี่ แต่ทักษะการแยกแยะศาสตรานั้นเป็นเลิศ

นั่นคือกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง

มู่เหยี่ยกล้าพูดเลยว่ากระบี่เล่มนี้เป็นได้ถึงวัตถุเซียนเล่มหนึ่ง

ปราณเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวดาบนั้นข่มขวัญกดดันคน เขาเพียงมองปราดเดียวก็ราวกับจะถูกมังกรทองที่แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บนด้ามกระบี่กลืนกินเข้าไป

ศาสตราที่ระดับขั้นยิ่งสูงก็ยิ่งมีวิญญาณ อีกทั้งกระบี่ของจงจี่ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีสติปัญญาแล้ว หากสามารถเชื่อมโยงกับจิตใจของผู้เป็นนายได้ก็เหมือนเสือติดปีก

ในตอนที่มู่เหยี่ยพบกับจงจี่เป็นครั้งแรก เจ้าหนุ่มนี่ก็พกกระบี่เล่มนี้เอาไว้ข้างกายแล้ว แต่ไม่ว่ามู่เหยี่ยจะประชันกับเขามากี่ครั้ง จงจี่ล้วนไม่เคยใช้มันเลย

ในแผ่นดินเสวียนซวี พรรคไท่ซวีขึ้นชื่อเรื่องกระบี่มาแต่ไหนแต่ไร จงจี่มีฐานะเป็นถึงศิษย์เอกรุ่นนี้ของประมุขพรรคหมิงซวีจื่อ เล่ากันว่ามีความแตกฉานในวิชากระบี่สูงล้ำจนมิอาจคาดเดา ปีก่อนในพรรคไท่ซวีมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าเขาใช้อานุภาพของกระบี่เดียวทำลายค่ายกลดอกท้อเบญจธาตุที่ไม่อาจแก้ได้มาเป็นพันปีแล้ว กระทั่งศิษย์น้องของจงจี่ ผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยนเหยียนซื่อยังพูดออกมาโดยตรงว่า ‘ข้าสู้ศิษย์พี่ไม่ได้’

ดังนั้นแม้ชาวโลกจะไม่เคยเห็นจงจี่ใช้กระบี่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนมาก่อนก็ยังมอบนามกิตติคุณให้กับเขาว่า ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ กระทั่งเล่าลือกันว่าจงจี่จะชักกระบี่ออกมารบก็ต่อเมื่อพานพบกับคู่ปรับที่แท้จริงเท่านั้น

คู่ปรับไม่แท้ มู่เหยี่ย “…”

น่าโมโหนัก

“ว่าอย่างไร หรือว่าในศึกสุดท้ายนี้คุณชายจงก็ยังคงไม่ยินยอมชี้แนะ”

ประชันฝีมือกับคนเขาแม้แต่อาวุธก็ไม่ชักออกมา หากนี่ไม่ใช่การดูหมิ่นแล้วจะเป็นอะไรได้!

ยิ่งคิดยิ่งโมโหจนเกือบจะเสียชีวิตเฉียบพลัน

จงจี่ได้ยินคำพูดนั้น มือที่เพิ่งจะยื่นออกมาก็นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ รู้สึกจนใจอยู่บ้าง

ที่จริงแล้วโลกใบนี้คือนิยายออนไลน์สำหรับผู้ชายที่มีชื่อว่า ‘อิสระ’

และจงจี่ก็เป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้

ที่บังเอิญก็คือจงจี่เองก็เป็นนามปากกาของผู้เขียน ‘อิสระ’ เช่นกัน

ไม่ผิด ตอนนี้เรื่องมันเหนือจินตนาการถึงเพียงนี้เลยล่ะ จงจี่ในฐานะที่เป็นนักเขียนทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างผู้ชายที่มีชื่อแซ่เดียวกันในนิยายที่ตนเขียนแล้ว นับเป็นการเริ่มต้นอย่างยากลำบากในการยกระดับหน้าที่การงานของตนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นนักเขียนของนิยายเรื่องนี้ จงจี่ไม่ได้ใส่ทักษะการใช้กระบี่ให้กับพระเอกเอาไว้ในตอนที่เขียนนิยาย และก็ไม่ได้หมายความว่าพอนักเขียนทะลุมิติเข้าไปยังร่างของพระเอกในนิยายแล้วก็จะมีนิ้วทองคำ* มาชี้สั่งฟ้าบันดาลได้ตามใจเสียหน่อย! (กรีดร้อง)

ยิ่งไปกว่านั้นในตอนแรกแม้จะเขียนถึงการมีอยู่ของกระบี่เฉิงอิ่ง** (สืบทอดเงา) เล่มนี้เอาไว้ในต้นฉบับ จงจี่ในตอนนี้ได้สัมผัสถึงซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้นำสมบัติประจำตระกูลของคนเขาออกมากวัดแกว่ง

แม้จงจี่จะไม่เป็นกระบี่ แต่โชคดีที่กระบี่เล่มนี้เป็นวัตถุครึ่งเทพ ต้องการให้รูปลักษณ์ภายนอกดูดีเท่าไรก็ดูดีเท่านั้น อีกทั้งตอนที่แกว่งไปมาอยู่ข้างเอวขณะก้าวเดินนั้นก็ยิ่งทำให้ได้รับความยกย่องทบทวี ทั้งเท่แล้วก็มีหน้ามีตา

ศาสตราของจงจี่ในยามปกติเป็นพัดเล่มหนึ่ง ตอนต่อสู้ เพียงโบกพัดตามแต่ใจต้องการก็ปล่อยปราณกระบี่ออกไป

ปล่อยปราณกระบี่ออกไปเลยนะ! ในยามปกติย่อมเพียงพอให้หวั่นเกรง

ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ เท่าที่เห็นจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับได้ไม่เกินห้านิ้ว

การใช้พัดชั่วคราวเช่นนี้ย่อมทำให้คนจินตนาการได้ว่ายามที่จงจี่ชักกระบี่ออกมาจะต้องเป็น ‘กระบี่เดียวทะลวงฟ้าดิน โบกกระบี่เคลื่อนเมฆา’ เป็นแน่

จงจี่ “…”

ฉันควรจะบอกกับพวกคุณอย่างไรดี มีปราณกระบี่แต่ใช้กระบี่ไม่เป็นนี่เป็นสิ่งที่ออกแบบเอาไว้ให้กับพระเอกในต้นฉบับอย่างไรล่ะ (เป็นกังวล)

ด้วยเหตุนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยิ่งชื่อเสียงของจงจี่ในแผ่นดินเสวียนซวีมากขึ้นเรื่อยๆ วิชากระบี่แมวสามขา* ที่ไม่เคยใช้ของเขาก็ได้เปลี่ยนความหมายเป็นเหมือนคำว่าลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ตามที่ผู้คนเล่าลือกันไปแบบปากต่อปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กระทั่งเหตุผลก็ยังคิดไว้ให้แทนจงจี่อีกด้วย

ปุจฉา พวกเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดถึงไม่มีใครเคยเห็นจงจี่ชักกระบี่ออกมา เพราะว่า…

วิสัชนา ผู้ที่เห็นกระบี่เขาล้วนตายหมด

จงจี่ ฉันเกือบจะเชื่อแล้วนะเนี่ย

แม้จะกล่าวกันเช่นนั้นกระบี่ก็ยังไม่อาจชักออกมาได้

ถ้าชักออกมานั่นไม่ใช่หมายความว่าต้องการเผยความลับหรือ แล้วเขาจะเอาใบหน้าชรานี่ไปไว้ที่ใดได้อีก

“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การเคารพผู้หนึ่ง”

จงจี่กระแอมกระไอเสียงเบาสองเสียง นิ่งค้างอยู่ในท่าเตรียมหยิบพัดออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวบนิ้วเรียวยาวกลับมาวางไว้ที่บริเวณริมฝีปากอย่างเก้งก้าง โชคดีที่ท่าทีตอบสนองของเขารวดเร็ว จึงมองดูแล้วไม่ถึงกับแข็งทื่อ และยังคงองอาจดั่งที่เขียนเอาไว้ งามสง่าตามใจตน

“วันนี้ผู้แซ่จงไม่ใช้กระบี่ เพื่อให้เจ้าได้พ่ายแพ้ทั้งกายใจ”

ภายนอกของจงจี่มองดูแล้วหล่อเหลาเย็นชา สุภาพแบบบาง แต่ถ้อยวาจาที่เอ่ยออกมานั้นกลับถือดีและยั่วยุชวนตี นี่ย่อมทำให้มู่เหยี่ยอดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“วาจาแสนโอหัง!”

นักดาบหัวเราะเย็นเยียบสองเสียง “คิดจะใช้พัดผุพังเล่มนั้นของเจ้าอีกครั้งหรือ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้มู่เหยี่ยก็มีความโกรธอัดแน่นเต็มท้อง

จงจี่เจ้าคนต่ำช้า แม้แต่กระบี่ก็ไม่ใช้ ไม่สั่งสอนให้เข้าใจเสียหน่อยไม่ได้แล้ว

ตอนมู่เหยี่ยประชันฝีมือกับเขาในยามปกติ จงจี่มักใช้พัดสีดำเล่มนั้นของเขาอย่างมักง่าย ยืนโบกมันอยู่ตรงที่ไกลๆ อย่างส่งเดช

อย่ามองว่าใช้พัดแล้วจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพราะปราณกระบี่เข้มข้นที่ล้นทะลักออกมาจากด้านในนั้นสมจริงเป็นอย่างมาก สามารถสกัดกั้นดาบของมู่เหยี่ยเอาไว้กลางอากาศได้อย่างสมบูรณ์ สี่ตำลึงปาดพันชั่ง**

ต้องโจมตีจากระยะไกลถึงจะตีโดนเจ้าโง่นั่นที่ยืนอยู่บนพื้น

มู่เหยี่ยย่อมไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด เขาคิดหาวิธีเข้าไปใกล้ตัวจงจี่ แต่ก็จนใจที่วรยุทธ์ของเจ้าหนุ่มนี่สุดพิสดาร ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองใต้สองเท้าพลิกผันต่อเนื่อง ในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นเงาร่างมายาหมื่นพันร่าง รอจนตากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งอีกฝ่ายก็อยู่ตรงที่ไกลๆ อีกครั้งแล้ว จากนั้นก็เริ่มเจ้าตามข้าถอยกันใหม่อีกครั้งไม่รู้จบ

แต่ไม่ว่าจะสู้อย่างไรมู่เหยี่ยก็จับชายเสื้อของจงจี่ไม่ได้เลยอย่างน่าคับข้องใจ

โง่หรือเปล่า ใครที่เคยเล่นเกมก็รู้กันหมด กลยุทธ์ปล่อยว่าวบินร้ายกาจที่สุด นักดาบคนหนึ่งอย่างนายแม้แต่ชายเสื้อยังคว้าไม่ได้แล้วยังคิดอยากชนะ กุญแจเงินดอกหนึ่งราคาสามไคว่ นายคู่ควรหรือไม่*

“ไม่ใช้”

ทว่าครั้งนี้ดียิ่ง เจ้าหนุ่มจงจี่นี่ถึงกับบอกว่าไม่ใช้พัด

ช่างมีไมตรีจิตยิ่งนัก!

มู่เหยี่ยแววตาวาวโรจน์ กอบหมัดคำนับ ดึงดาบขึ้นจากพื้นอย่างอดรนทนไม่ไหวมากวาดเก็บความอับอาย

สัตบุรุษควรต่อสู้กันด้วยดาบกระบี่ถึงจะถูก หรือว่าเจ้าเต่าหดหัวจงจี่ก็ตระหนักในเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกโดยแท้

“ออกดาบเถิด”

จงจี่เอ่ยเสียงเรียบ บนใบหน้าปรากฏเป็นลมเอื่อยเมฆจาง** สองมือเขาไพล่หลัง ท่ามกลางสีขาวพิสุทธิ์ทั่วฟ้า ชายแขนเสื้อพลิ้วไปตามลมหิมะ มองดูแล้วราวกับผู้สูงส่งต่างดินแดนที่ถือสันโดษเหนือผู้คน ปลีกวิเวกอยู่นอกด่าน

มู่เหยี่ย…สังหรณ์ว่ามีอุบาย

นักดาบในอาภรณ์สีเทาปลอดกุมดาบแน่นพลางหรี่ตาลงอย่างแคลงใจ ในใจมีความลังเลอยู่บ้าง

จงจี่จะยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมโดยเปิดเผยจุดอ่อนออกกว้าง ทั่วร่างเต็มไปด้วยช่องโหว่เช่นนั้นจริงๆ หรือ

ไม่สนใจแล้ว ในความอันตรายมีความมั่งคั่งซ่อนอยู่ หากบีบบังคับให้จงจี่ออกกระบี่ได้ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

ในฐานะนักดาบผู้หนึ่ง ย่อมควรท้าทายโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด

มู่เหยี่ยสงบจิตใจ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งตาดำคู่นั้นก็เขม็งเกลียวไว้ด้วยจิตต่อสู้

ดาวต้นกำเนิดสีเงินม่วงอันเป็นตัวแทนของระดับขั้นบนหน้าผากของนักดาบพลันเลือนหายไป ขุมพลังอันตรายค่อยๆ คืบคลานรายล้อมอยู่รอบกายเขา โดยเริ่มรุดไล่มาจากปลายเท้า ทำให้อาภรณ์สีเทาพัดไหว

ในตอนที่เขายกดาบขึ้น คล้ายกับว่าดาบในมือล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายตลอดทั้งร่าง

มู่เหยี่ยเป็นนักดาบอัจฉริยะโดยแท้

ที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นตอนจงจี่ออกแบบลักษณะตัวละครเมื่อตอนนั้นกระมัง ที่วางบทให้เขาเป็นเจ้ารองหมื่นปี

อืม ใช่ เป็นตัวประกอบซึ่งถูกบีบบังคับให้เป็นตัวรับกระสุน* ที่มีไว้ให้พระเอกมาตบหน้าเพื่อขับเน้นว่าพระเอกมีความเท่เถื่อนอหังการขนาดไหนประเภทนั้นแหละ

มู่เหยี่ยมาหาเรื่องใครไม่หา กลับจ้องมาหาเรื่องจงจี่ที่เป็นพระเอกเสียให้ได้

ตอนที่ออกแบบตัวละครในตอนนั้นจงจี่เขียนขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ อยากให้เป็นพระเอกที่หลงตัวเองขนาดไหนก็หลงเท่านั้น นั่นคือบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์เชียวนะ ใครตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาล้วนต้องตาย

จงจี่ยังคงรักษาท่าทางลึกล้ำไม่อาจคาดเดาเอาไว้ต่อไป ถึงขนาดที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนดั่งเกล็ดหิมะ

เวลานี้ต้องมีคนหยิบม้วนคัมภีร์หยกขึ้นมาจดบันทึกการต่อสู้ชั่วชีวิตฉากนี้เป็นแน่

เพื่อรักษาภาพลักษณ์เทพบุตรในฝันของสาวน้อยนับหมื่นพันในแผ่นดินเสวียนซวีของตน จงจี่ยืนให้มั่นอย่างเชี่ยวชาญ แม้แต่อารมณ์บนใบหน้าทุกชุ่นก็ล้วนควบคุมเอาไว้อย่างดีทั้งหมด มุ่งหมายให้เหล่าผู้กินแตง*** ได้ถ่ายภาพเขาออกมาให้หล่อเหลาสักหน่อย

ยามพูดช้า ยามนั้นเร็ว****

เงาร่างที่เพิ่งจะตั้งท่าเตรียมพร้อมอยู่เมื่อครู่ของมู่เหยี่ยพลันบิดเบือน เพียงพริบตาก็หายไปจากที่เดิม

ประกายดาบที่งดงามดั่งรุ้งสายหนึ่งคล้ายพุ่งขึ้นกลางอากาศ แผดเสียงคำรามและปรากฏขึ้นจากกลางฝ่ามือของนักดาบ เพียงชั่วพริบตาก็แหวกฝ่าอากาศมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากจงจี่หลายจั้ง***** กรีดผืนหิมะลึกเท่าหัวเข่าและไม่ละลายตลอดทั้งปีของจงโจวออกเป็นร่องลึกตลอดทั้งสาย

มาแล้ว!

เวลานี้จงจี่ผู้มักวางตนสูงกว่ามู่เหยี่ยอยู่สองขั้นเสมอก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม

แต่นี่กลับไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าตนจะสู้มู่เหยี่ยไม่ได้

จงจี่กำลังครุ่นคิดว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายอย่างไรดี ถึงจะทำให้เจ้าหนุ่มคนนี้ยอมจำนนทั้งกายใจ ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะได้อย่างงดงาม

“เอาเถิด เช่นนั้นข้าก็จะเผยความสามารถเล็กน้อยแล้วกัน”

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วัตถุเย็นยะเยือกหลายเม็ดพลันปรากฏขึ้นเหนือปลายนิ้วที่วางไพล่อยู่ด้านหลัง

หนึ่งหลี่******! สามจั้ง! ห้าฉื่อ*******!

ใกล้แล้ว

ใบหน้าของมู่เหยี่ยเริ่มเผยรอยยิ้มได้ใจ ดาบในมือเขาใกล้จะแทงเข้าไปในอกของจงจี่เต็มทีเพียงออกแรงที่ข้อมือเล็กน้อยเท่านั้น

ฝันร้ายที่ถูกอีกฝ่ายเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าตลอดหลายปีมานี้ใกล้จะถูกเขาบดขยี้เอาไว้กับพื้นแล้ว

เจ็ดชุ่น!

ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เสียจนมู่เหยี่ยมองเห็นลวดลายซับซ้อนสีทองหรูหราบนสาบเสื้อของจงจี่ และเพียงพอให้มองเห็นแววขบขันวาบขึ้นในดวงตาสีทองสองข้างนั้นของอีกฝ่ายอย่างหาได้ยาก

แววขบขันหรือ!

ครู่ถัดมาตาดำของมู่เหยี่ยพลันหดแคบ พลังวิญญาณทรงพลานุภาพส่งออกมาจากปลายเท้าของเขา เส้นขนทั่วร่างตั้งชัน ขาก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

แม้ไม่ได้สัมผัสถึงแรงสั่นไหวใดๆ ของพลังวิญญาณ แต่ลางสังหรณ์ในฐานะที่เป็นนักดาบกลับร้องเตือนเขาล่วงหน้า ร่างกายเลือกกระทำก่อนจิตใต้สำนึก

“หนีอะไร”

หัวคิ้วของจงจี่ขมวดเล็กน้อย แววขบขันปรากฏเป็นระลอกแต่มือกลับไม่หยุด

แขนเสื้อสีดำของเขาพลันสะบัด นิ้วเรียวยาวคลายออก ส่งวัตถุที่ห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นออกไปโดยพลัน ขุมกำลังหนักดั่งหมื่นจวิน* จู่โจมทะลวงอากาศ

คิดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นเม็ดหมากสีดำขาวจำนวนหนึ่ง

“วางหมาก”

“เรียง”

จงจี่ตะโกนออกคำสั่งเสียงหนึ่ง หมากพลันเปลี่ยนเป็นสิบกว่าเม็ด ล้อมรอบมู่เหยี่ยที่หนีไม่ทันเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

ในตอนแรกเริ่มเขาออกแบบให้พระเอกเป็นปัญญาชนผู้ไม่จับดาบถือกระบี่ เช่นนั้นเรื่องพิณหมากภาพอักษร** ล้วนต้องเข้าใจสักหน่อย

หมากกระดูกนี้คือศาสตราชั้นเลิศที่จงจี่เก็บซ่อนเอาไว้มาตลอด

นำมาเสริมความองอาจสง่างามขณะต่อสู้ ยิ้มหัวยามนาวามอดประลัย ไหวพัดขนนกโพกผืนแพร** ลมเอื่อยเมฆจาง อิสรเสรี สังหารไร้ร่องรอย

ทั้งหล่อเท่และเอาชนะศัตรูได้ไปพร้อมๆ กัน สามารถนำมาต่อกรกับนักดาบมือกระบี่ผู้โจมตีระยะประชิดอย่างมู่เหยี่ยได้อย่างเหมาะเจาะเป็นพิเศษ

ขุมอำนาจของขั้นศักดิ์สิทธิ์มาเยือนอย่างกะทันหัน ดุจเขาไท่ซานทาบทับ ดั่งภูเขาหิมะพังทลาย ราวกับมหาสมุทรไร้ขอบเขต เพียงพริบตาก็กดทับลงมาที่หัวใจของทุกคน

บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ตรงนั้นตามใจปรารถนากลับเป็นคูลึกตามธรรมชาติที่มู่เหยี่ยไม่อาจก้าวข้ามได้ชั่วชีวิต

 

* นิ้วทองคำ เป็นคำสแลง หมายถึงได้เปรียบกว่าผู้อื่นเพราะมีความสามารถหรือตัวช่วยที่เหนือกว่า

** กระบี่เฉิงอิ่ง เป็นหนึ่งในสิบกระบี่ที่มีชื่อเสียงในตำนานของจีน ได้ชื่อว่าเป็นกระบี่แห่งความประณีตงดงาม บ้างก็ว่าเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ ไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวกระบี่

* แมวสามขา อุปมาถึงคนที่มีทักษะไม่เชี่ยวชาญหรือความรู้ในศิลปะบางแขนงเพียงผิวเผินเท่านั้น

** สี่ตำลึงปาดพันชั่ง คือเพลงมวยชนิดหนึ่งที่มีหลักการอ่อนพิชิตแข็ง ใช้แรงน้อยกว่าเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า

* กุญแจเงินดอกหนึ่งราคาสามไคว่ นายคู่ควรหรือไม่ เป็นคำสแลงที่นิยมใช้กันในอินเตอร์เน็ต ใช้สำหรับถากถางฝ่ายตรงข้าม

** ลมเอื่อยเมฆจาง เป็นสำนวน หมายถึงอากาศสดใส เป็นการใช้สภาพอากาศเพื่อเปรียบเปรยถึงสภาพจิตใจของตัวละคร

* ตัวรับกระสุน เปรียบเปรยถึงทหารในสงครามที่จะอยู่หรือตายก็ไม่มีค่าอะไร

*** เหล่าผู้กินแตง เป็นคำสแลง หมายถึงพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน

**** ยามพูดช้า ยามนั้นเร็ว หมายถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

***** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน แต่ละยุคสมัยอาจมีระยะแตกต่างกัน โดยทั่วไป 1 จั้งเทียบได้ประมาณ 3 เมตร

****** หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 หลี่เทียบเท่าระยะทางประมาณ 500 เมตร

******* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อในสมัยโบราณเท่ากับ 10 ชุ่น 1 ชุ่นเทียบระยะประมาณ 1 นิ้ว แต่ปัจจุบันชาวจีนใช้คำว่าฉื่อในความหมายว่า ‘ฟุต’

* จวิน เป็นหน่วยตวงสมัยโบราณของจีน มีค่าเท่ากับ 30 จิน (ชั่งจีน) หรือประมาณ 15 กิโลกรัม

** พิณหมากภาพอักษร หมายถึงความรู้ความชำนาญทางด้านศิลปวัฒนธรรม

** ยิ้มหัวยามนาวามอดประลัย ไหวพัดขนนกโพกผืนแพร มีที่มาจากกลอน ‘ไหวพัดขนนกโบกผืนแพร ยามยิ้มสรวลนาวามอดประลัย’ ในบทกลอน ‘ระลึกหญิงยอดดวงใจ’ ของซูซื่อ กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง อันเป็นบทกลอนที่บรรยายถึงความอิสรเสรีและความงามของชีวิต

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com