everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
จงโจว พรรคไท่ซวี
ภูเขาหิมะอันโอฬารที่โอบล้อมจงโจวลูกนี้คือดินแดนที่ลึกลับที่สุด บรรพชนพรรคไท่ซวีใช้หนึ่งกระบี่กรีดตัดยอดเขาออก แล้วก่อตั้งพรรคเอาไว้ภายในแดนหิมะน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ดาวล้อมดวงเดือน
หิมะตกหนักเป็นขนห่าน* เส้นขอบฟ้าขาวโพลนจนเกือบวิเวก ชัดแจ้งว่าอุณหภูมิเหน็บหนาวเสียดกระดูก แต่ในใจศิษย์พรรคไท่ซวีทุกคนล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจดจ้องเงาร่างสีดำทองตรงหน้าเขม็ง สายตาร้อนแรงเสียจนเกือบจะเผาแผ่นหลังของจงจี่เป็นรูโหว่
ใช้หมากเป็นศาสตรา ฟังก็ไม่เคยฟังมาก่อน เห็นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน!
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าหมากที่พุ่งยิงออกมาตอนจงจี่โบกแขนเสื้อยังอาบไปด้วยปราณกระบี่เข้มข้นข่มขวัญคน กระทั่งกรีดผ่าห้วงอากาศได้
ผู้ชมที่รายล้อมอยู่ห่างออกมาไกลยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศยะเยือกนั้น ต่างควบคุมลมหายใจตั้งสติให้มั่น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เหล่าผู้ฝึกกระบี่ต่างเข้าใจดีว่าต้องเร่งรีบตั้งสติให้ได้เพื่อสังเกตการณ์ปราณกระบี่ในช่วงเวลาที่หาได้ยากเช่นนี้
“ตั้งค่ายกล!”
เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาที่มู่เหยี่ยก้าวถอยหลัง จงจี่ที่ยืนอยู่ ณ ตรงนั้นก็ยกสองมือขึ้นมากลางอากาศ สิบนิ้วเคลื่อนขยับเป็นจังหวะ มือก็เริ่มจัดแจงวางหมากแต่ละเม็ดตามตำแหน่ง
ฌานวิเศษอันทรงพลังไหลทะลัก กักขังนักดาบเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
ชั่วพริบตานั้นหิมะที่ปลิวว่อนทั่วฟ้าคล้ายกับว่าได้หยุดโรยตัวลงมาที่ค่ายกลหมากล้อม ภาพกระดานหมากปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนรางด้วยปราณวิญญาณ อำนาจกดดันดั่งขุนเขาหนักอึ้งพลันทาบทับลงมาจนชะงักนิ่งแทบหายใจไม่ออก
นี่คือ…ขั้นศักดิ์สิทธิ์
นักดาบยกดาบยาวขึ้นขณะยืนอยู่กลางลมหิมะ เงาร่างพลิกผันไม่มั่นคง ดวงตาสีดำขลับของเขาลึกล้ำไร้แสงราวกับหินโมราสีดำ
ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์และขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกันเพียงครึ่งคำ แต่ระยะห่างของมันกลับประหนึ่งฟ้ากับดิน
มู่เหยี่ยจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้มากมาย
ยามที่พวกเขาร่างสัญญาห้าปีในคราแรก จงจี่อยู่ในขั้นเก้าห้าดาวเท่านั้น ถึงจะเป็นเพราะระดับชั้นไม่ปรากฏ ทำให้คนมองความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ออก แต่มู่เหยี่ยกลับกล้าพูดเลยว่าตนเองนำอีกฝ่ายอยู่ไม่กี่ขั้นเล็กๆ
หลังจากรอจนออกมาจากการกักตนในอีกห้าปีให้หลัง เขาทะลวงสู่ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางสายตาเปี่ยมความหวังของทุกคนที่พรรคอู๋จี๋ เข้าสู่สถานะไร้คู่ปรับโดยพลัน รายนามบนทำเนียบเสวียนจีสับเปลี่ยนพึ่บพั่บ ยามเดินเท้าก็ไม่ติดพื้น
หากว่ากันด้วยอายุของมู่เหยี่ยล่ะก็ ความสำเร็จเช่นนี้ย่อมได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในรอบหลายพันปีแล้ว แม้แต่อาจารย์ของเขายังทอดถอนใจ หากไม่มีจงจี่ มู่เหยี่ยก็อาจไม่ได้ทะลวงขั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้
เพราะมีเป้าหมายถึงได้ปลุกเร้าศักยภาพขึ้นมาได้
ยามนั้นมู่เหยี่ยยังมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าตนจะคว้าชัยมาไว้ในกำมือได้ และคิดว่าแค้นมหันต์ของตนจะได้รับการชำระ เพียงแค่คิดจิตใจก็ตื่นเต้นขึ้นมา
แต่ผลลัพธ์นั้นรอจนพบหน้าถึงได้รู้ เพียงเวลาแค่ห้าปีจงจี่ก็เหนือกว่าเขาอักโข ย่ำก้าวเข้าสู่ยอดฝีมือชั้นสูงสุดในใต้หล้า…อันดับขั้นศักดิ์สิทธิ์
รอจนยืนอยู่กลางค่ายกลหมากล้อมนี้ มู่เหยี่ยจึงได้ประสบความยากในการท้าประลองข้ามขั้นด้วยตนเอง
ทว่า…
ชัดแจ้งว่าสำหรับจงจี่แล้วการท้าประลองข้ามขั้นนั้นง่ายดายเหมือนดื่มน้ำกินข้าว แล้วเหตุใดมู่เหยี่ยถึงทำไม่ได้เล่า
ครานั้นยามที่จงจี่ยังอยู่แค่ขั้นหกก็ข้ามขั้นกดมู่เหยี่ยที่อยู่ในขั้นเจ็ดระดับต้นลงใต้ฝ่าเท้า ระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดก็อาจหาญไปต่อกรกับพี่ใหญ่ขั้นเก้า ถึงขนาดทำให้ล่าถอยไปได้ เรียกเสียงฮือฮาทั่วทั้งแผ่นดิน
มู่เหยี่ยยิ่งคิดในอกยิ่งลุกโชนไปด้วยความเดือดดาล ยากจะสงบลงได้
เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตนด้อยกว่าจงจี่ ไม่ว่าด้านใด
ทว่าทุกครั้งที่เขาเสียสติถือเอาอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ คนผู้นี้กลับสะบัดเขาออกไปไกลพันหมื่นหลี่ก่อนแล้ว ทำได้เพียงเงยหน้ามองอีกฝ่ายจากที่ห่างไกล คล้ายกับว่าสรรพสิ่งล้วนไม่อยู่ในดวงตาสีทองเฉยเมยคู่นั้น
“หึ…อยากให้ข้ายอมแพ้ จะเป็นไปได้อย่างไร”
นักดาบยืนอยู่กลางลมหิมะที่ปกคลุมไปทั่วผืนดินและพึมพำกับตนเอง
กลับเป็นจงจี่ที่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เขาสัมผัสได้ว่ามู่เหยี่ยดูเหมือนจะคว้าโอกาสบางอย่างและเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้
หลังจากเสร็จศึกนี้ไป เกรงว่าแผ่นดินเสวียนซวีจะมีขั้นศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว
พูดแล้วก็กระดากอายอยู่เล็กน้อย เพราะ ‘อิสระ’ เป็นนิยายออนไลน์เรื่องแรกที่จงจี่เขียน ก็เลยเผลอเขียนนิ้วทองคำของตัวประกอบเอาไว้มากไปหน่อย (เกาหัว)
มารดามันเถอะ ก็ไม่แปลกใจที่สุดท้ายแล้ว ‘อิสระ’ ล้วนไม่เป็นที่รู้จัก ถึงอย่างไรนักอ่านที่มาอ่านก็คงไม่ได้มาเพราะอยากเห็นเรื่องราวการดิ้นรนเอาตัวรอดตั้งแต่ต้นจนจบของตัวประกอบที่น่ารำคาญตัวหนึ่ง
เพราะนักอ่านชอบที่จะเห็นพระเอกจัดการตัวประกอบ ตบหน้าเพียะๆๆ แล้วเลื่อนขั้น
และก็เป็นเวลานี้พอดีที่ประกายดาบพลันฉายวาบทั่วท้องฟ้าท่ามกลางลมหิมะเลือนราง ผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งผืน ขาวเสียจนเกือบเป็นสีเดียวกับหิมะ
หากคิดจะทลายค่ายกล จำเป็นต้องหาจุดเปราะบางที่สุดให้เจอ!
เป้าประสงค์ของนักดาบและมือกระบี่นั้นล้วนเหมือนกัน มี ‘หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นวิชา’ ย่อมต้องมี ‘หนึ่งดาบตัดสินชัย’
มู่เหยี่ยจำเป็นต้องออกดาบให้ได้ก็เท่านั้น
“ดี!”
แม้แต่จงจี่เองก็อดร้องว่าดีออกมาเสียไม่ได้
แค่ความหาญกล้านี้ก็เพียงพอให้เขาตอบรับการโจมตีตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจังที่สุด
หมากกระดูกคือศาสตราลับของจงจี่ เขาไม่เคยใช้มันต่อหน้าคนอื่นแม้แต่กระบวนท่าเดียว วันนี้มีคู่มือที่ทัดเทียมส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู ประจวบเหมาะที่จงจี่กำลังอยากทดสอบอานุภาพสักหน่อยพอดี
“เปลี่ยนค่ายกล!”
เพียงใช้ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองคราหนึ่ง พลังวิญญาณมหาศาลก็พาร่างของจงจี่ให้ทะยานไป เขาย่ำสุญทะยานฟ้า ผมสีดำพลิ้วไหว เหยียบลงกลางอากาศว่างเปล่าแล้วเริ่มจัดการหมากกระดานของตนจากด้านบน
ขณะล่องลอยอยู่กลางอากาศ เขาเป็นดั่งราชันของที่แห่งนี้
หมากกระดูกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามความคิดของจงจี่ เม็ดหมากสีดำขาวหกๆ เหินๆ คล้ายจะก่อตัวขึ้นเป็นภาพพร่าเลือนหมื่นพันชนิด
หมากตาย
ไม่ว่าตัวหมากจะเปลี่ยนผันไปอย่างไร บทสรุปก็มีเพียงอย่างเดียว
นักดาบที่ในมือถือดาบยาวกัดฟัน โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างให้กำซาบเข้าไปในดาบ ก่อนทะยานขึ้นฟ้าโดยอาศัยแรงลม ท่วงท่าดั่งดวงอาทิตย์ทรงกลด
ดาบสุดท้าย ทุ่มสุดตัว
ประจวบเหมาะพอดีที่ค่ายกลของจงจี่ก็จัดวางเสร็จเรียบร้อย
ยุทธวิธีของเขาในคราวนี้แปลกใหม่เกินไปแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นสุดยอดจอมเวทใส่เดี่ยวฉบับตะวันออกเลยทีเดียว การวางกลหมากนี้ขอแค่เข้าใจคณิตศาสตร์ระดับสูงสักหน่อยก็ได้แล้ว ทักษะยุทธ์เคล็ดวิชาอื่นใดล้วนไม่จำเป็น
ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีชอบรังแกตัวละครทะลุมิติเข้ามาในนิยายเอง
ดังนั้นตอนนี้…เป็นช่วงเวลาที่การฝึกฝนจะออกดอกออกผลแล้ว
จงจี่หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าเผยแววเอาแต่ใจตน
“ฆ่า”
ริมฝีปากบางของเขาเอื้อนเอ่ยออกมาคำหนึ่ง ถ้อยวจีผะแผ่วทว่าสื่อนัยหนักอึ้งเกินพันชั่ง*
ปราณกระบี่พันหมื่นสายเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง หมากกระดูกในค่ายกลหมากกระดานพลันสูญสิ้นทุกสีสัน ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านเป็นคมกระบี่กรีดเฉือน วงโคจรผิดแผกมิอาจคาดเดา โอบล้อมเงาร่างสีเทากลางค่ายกลจนเลือนราง
วางหมากสะท้านลมหิมะ ค่ายกลผีสางสะอื้น
คล้ายกับว่าผ่านไปแล้วสามสิบปี ทว่าเป็นเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น
รอจนความขาวโพลนค่อยเลือนหายไป ประกายดาบถูกบดขยี้ เงากระบี่ถูกเก็บกลับคืน บนพื้นหิมะเหลือเพียงเงาร่างของนักดาบที่ทรุดกายคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างซวนเซ
ติ๋ง
โลหิตสีแดงสดหยดลงมาจากเส้นผมยุ่งเหยิงของนักดาบ แต่งแต้มพื้นดินสีขาวให้มีสีสันสดใหม่เป็นด่างดวง
ราวกับหนึ่งดาบสะท้านฟ้า หนึ่งดาบไพศาลที่มู่เหยี่ยภูมิใจที่สุดถูกหมากกระดูกสีดำขาวทำลายลงอย่างง่ายดาย
อีกทั้งจงจี่ยังไม่ได้ขยับกระบี่ของจริงเลยด้วย ในช่วงเวลาสุดท้ายเขายังลอบใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มตัวหมากซึ่งอาบด้วยปราณกระบี่ ยั้งมือเอาไว้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
มู่เหยี่ยเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดอาจารย์เขาถึงชี้แนะเขาอยู่เสมอว่าอย่าไปเปรียบเทียบกับจงจี่
เพราะว่า…
‘เจ้าดีไม่เท่าเขา’
ในตอนที่อาจารย์เอ่ยประโยคนี้ออกมามู่เหยี่ยรู้สึกไม่ยินยอมทั้งหัวใจ
แต่ในตอนที่คนผู้หนึ่งก้าวข้ามคนอีกผู้หนึ่งมากเกินไป ความริษยาอื่นใดก็ล้วนไม่มีอีกแล้ว
ความพ่ายแพ้ในกาลก่อนมู่เหยี่ยยังหาเหตุผลหมื่นพันมาได้ แต่สัญญาห้าปีนี้เขาเป็นคนร่างขึ้นมาเอง เหตุการณ์ก็ยังเป็นเขาที่มาท้าทายพรรคไท่ซวีก่อน กระทั่งจุดเริ่มต้นเขาก็เหนือกว่าจงจี่
แต่ผลลัพธ์ยังคงเป็นแบบเดิม
องอาจผึ่งผาย ไม่อาจหลบเลี่ยง มู่เหยี่ยเองก็ไม่ยอมให้ตนกลายผู้ที่แพ้ไม่เป็น
“ข้า…แพ้แล้ว”
แผ่นหลังที่มักเหยียดตรงอย่างทะนงของนักดาบในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา หางตาที่ยามปกติชี้ขึ้นด้วยแววกำเริบเสิบสานเองก็ตกลง ราวกับสุนัขฮัสกี้น่าสงสารตัวหนึ่ง
จงจี่ “…”
จิตใจสับสน
ในฐานะนักเขียน เขาย่อมไม่มีความรู้สึกรังเกียจสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา
เพียงแต่เจ้ามู่เหยี่ยคนนี้ บางทีก็น่ารำคาญมากจริงๆ
เดิมทีตอนที่จงจี่เพิ่งรู้ตัวว่าทะลุมิติเข้ามาในนิยายก็ได้วางแผนไว้ว่าจะบำเพ็ญเพียรสายพุทธ อย่างไรเสียการพัฒนาของโลกในอนาคต ความลับทุกอย่างล้วนอยู่ในมือเขา
เมื่อเป็นผู้แจ่มแจ้งในทุกสิ่ง ล่วงรู้อนาคตก็ยากจะบอกว่าชีวิตนี้ยังมีความหมายอะไร
หลังจากมู่เหยี่ยปรากฏตัว ในทุกๆ ครั้งก็จะเข้ามาเอ่ยวาจาหรือแสดงกิริยายั่วยุจงจี่อย่างไม่ลดละ ทำให้เขาหาทางลงจากเวทีไม่ได้* ต่อหน้าผู้คน
ตอนเขียนนิยายไม่รู้สึก พอมาประสบพบเจอด้วยตัวเองถึงได้รำคาญเป็นอย่างมาก
จงจี่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ถูกทำให้รำคาญเข้าหน่อยก็โมโหจนหอบของกองใหญ่จากในพรรคมาที่ผาฉางเซิง (อายุยืน) ของตนแล้วกักตนบำเพ็ญเพียร ควบคุมสติรู้ผิดรู้ชอบ ตื่นเช้ากว่าไก่ หลับช้ากว่าสุนัข ถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในวันนี้ จัดการกดมู่เหยี่ยแนบพื้น
แต่ว่าจงจี่ยังไม่เกลียดมู่เหยี่ย ถึงอย่างไรคนจากปลายปากกาตนก็เหมือนกับลูก ใครจะเกลียดลูกที่ตนเองเขียนออกมากับมือได้ลงคอกันล่ะ
ตรงกันข้าม ในฐานะที่เป็นผู้สร้างเขาย่อมเข้าใจจิตใจของมู่เหยี่ยเป็นอย่างดี
ลองคิดดูสิ มู่เหยี่ยราบรื่นไร้อุปสรรคมาทั้งชีวิต ทั้งยังคู่ควรกับคำว่าอัจฉริยะและเจ้ารองหมื่นปี
ใครจะอยากเป็นเจ้ารองหมื่นปีกันเล่า
จงจี่เป็นใคร เขาคือพระเอกนิยายแนวเลื่อนขั้น ใครมาสู้กับเขาก็ลงเอยไม่สวยกันทั้งนั้น พูดให้ดูโอ้อวดหน่อยก็คือบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์นี่เอง
มู่เหยี่ยนั้นโดดเด่นมากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเจ้าตัวขี้โกงจงจี่ เขานั่นแหละเป็นต้นแบบอัจฉริยะของแผ่นดินเสวียนซวีในยามปกติ
ที่จริงมู่เหยี่ยไม่ใช่คนจิตใจไม่ดี กลับค่อนไปทางน่ารักอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำ
ในฐานะที่เป็นนักดาบผู้หนึ่ง เขาล้วนทำให้จงจี่ไม่มีความสุขอย่างองอาจผึ่งผาย ไม่เคยใช้ลูกไม้วางอุบายใดๆ กระทั่งในตอนที่คนอื่นเอ่ยวาจายั่วยุจงจี่ มู่เหยี่ยยังแบกดาบเดินมาหน้าประตู ก่อนซัดเหล่าผู้ดีมีความสามารถหน้าใหม่ของสำนักพรรคเขาเสียจนหมอบราบ ทั้งยังทิ้งท้ายเอาไว้อีกหนึ่งประโยคว่า ‘อาศัยแค่พวกเจ้า ยังกล้าเรียกตนเองว่าคู่มือของจงจี่หรือ’
ความหมายในวาจานี้ก็คือมีเพียงตัวเขามู่เหยี่ยผู้นี้เท่านั้นถึงมีคุณสมบัติจะเป็นคู่มือของจงจี่
…ฟังแล้วก็แปลกๆ เหมือนจะเป็นความเข้าใจผิด
“เจ้าเก่งมาก”
เพื่อเลี่ยงไม่ให้มู่เหยี่ยถูกตนตบตีจนล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีก จงจี่จึงคลายเคล็ดวิชา หลังจากเก็บตัวหมากทั้งหมดกลับมาแล้วก็เอ่ยเสียงเบา
“เจ้ามีหัวใจของนักดาบอยู่กับตัวแล้ว มหามรรคนั้นเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ละอายต่อดาบ”
หากไม่ได้เป็นเพราะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จงจี่เกือบจะพูดประโยคโศกเศร้าอันโด่งดังออกไปอีกประโยคแล้วว่า ‘เจ้าก็คือเจ้า ดอกไม้ไฟมีสีสันไม่เหมือนกัน’
สุดท้ายเมื่อได้สบสายตาไม่อยากเชื่อทั้งยังตกตะลึงของมู่เหยี่ยแล้ว จงจี่จึงพูดเสริมตามใจตนเองไปอีกหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้
“แน่นอนว่าข้าเก่งกว่า”
มู่เหยี่ย “…”
🙂
* ขนห่าน เป็นคำบรรยายสภาพหิมะที่ตกหนัก เปรียบเปรยว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมานั้นหนาหนักราวกับขนห่าน
* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน หน่วยมาตราชั่งของจีน โดย 1 ชั่งเทียบน้ำหนักประมาณ 500 กรัม
* ลงจากเวทีไม่ได้ เป็นสำนวน หมายถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย