everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
แผ่นดินเสวียนซวีแตกตื่นแล้ว
ทำเนียบเสวียนจีคือทำเนียบที่ถูกสร้างขึ้นโดยมรรคาสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเพียงต้องปล่อยรอยสัมผัสวิญญาณลงไปในม้วนคัมภีร์หยก จึงจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของความลึกลับด้วยล้ำลึกไพศาลนี้ได้โดยตรง
แม้ไม่รู้ว่ามรรคาสวรรค์สร้างทำเนียบนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร (จงจี่ : เพื่อให้พระเอกได้อวดความเก่งกาจ) แต่ในความเป็นจริงมันก็เหมือนสรรพสิ่งที่ควรมีอยู่ตามครรลองของธรรมชาติ เป็นการมีอยู่อันสมเหตุสมผล
ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรในแผ่นดินเสวียนซวีแล้ว การมีอยู่ของทำเนียบเสวียนจีนั้นเป็นเรื่องปกติราวกับการกินข้าวดื่มน้ำ และเป็นสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่งที่เที่ยงตรงที่สุด ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าล้วนถือเอาการได้ขึ้นทำเนียบเสวียนจีเป็นเกียรติ และทำเนียบนี้ก็เป็นกังหันลมที่ทรงอำนาจที่สุด
ทว่าวันนี้นามที่ร่อนลงมาจากฟ้าทะยานขึ้นสู่ต้นทำเนียบได้ทำให้ทั้งแผ่นดินเดือดพล่าน
รายนามของทำเนียบเสวียนจีจะจัดลำดับโดยอิงจากความสามารถโดยสรุป หากล่วงเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงไปต่อท้ายรายชื่อผู้อาวุโสคนก่อนหน้าเท่านั้น ไม่อาจกระโดดทะยานไปต้นอันดับได้ในครั้งเดียว
ในความเป็นจริงเพราะช่องว่างระหว่างดาวต้นกำเนิดทุกดวงนั้นห่างไกลกันดั่งฟ้ากับเหวในการบำเพ็ญระยะหลัง น้อยคนนักจึงจะก้าวข้ามระยะห่างของระดับขั้นได้ ต้องใช้ความสามารถของตนอย่างยิ่งยวดเพื่อก้าวขึ้นไป ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนต่างก็ยอมรับกันโดยปริยายว่านี่คือทำเนียบจัดลำดับขั้นดาวต้นกำเนิด
ดังนั้น…
ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือมีคนทะลวงไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาว
หลายพันปีมานี้บนแผ่นดินเสวียนซวีไม่มีผู้ที่สามารถทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์หนึ่งดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่ชัดแจ้งว่าปราณวิญญาณบนแผ่นดินนั้นเปี่ยมล้น อัจฉริยะปรากฏตัวไม่ขาดสาย แต่ก็คล้ายกับว่ามีฉากกำบังไร้รูปผืนหนึ่งคอยขวางกั้นขั้นศักดิ์สิทธิ์หนึ่งดาวจากทุกคนเอาไว้อย่างแน่นหนา ตลอดชีวิตมิอาจย่ำเข้าไปได้แม้เพียงชุ่น
ปัจจุบันนี้บนแผ่นดินมีขั้นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดห้าคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่มาใกล้จะพันปีแล้ว พวกเขาต่างก็ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตคิดทะลวงฉากกำบังหนึ่งดาว แต่ยังคงไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ชวนให้ผู้คนทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่ายามนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อัจฉริยะผู้เดิมทีหมื่นปียากพบพานสักคราออกท่องหล้าปรากฏสู่โลกและก้าวล่วงเข้าขั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดว่าจะมีผู้ที่ทะลวงฉากกำบังได้อย่างไร้สุ้มเสียง นี่จะมิให้ผู้คนแตกตื่นตกใจได้อย่างไรเล่า
อนุชนน่านับถือ* นี่หนา
แต่เดิมจงจี่ก็เป็นแขกเจ้าประจำบนม้วนคัมภีร์หยกของแผ่นดินเสวียนซวีอยู่แล้ว ชื่อเสียงเลื่องลือข่มขวัญคนในแผ่นดิน เป็นผู้นำชั้นแนวหน้าของคนรุ่นเยาว์เลยทีเดียว ยามนี้ก็ต่อท้ายอยู่ในอันดับเหล่ายอดฝีมือชั้นหัวกะทิผู้ร้ายกาจจนมีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า
พูดได้ว่าตั้งแต่ผู้เฒ่าอายุหลายร้อยไปจนถึงเด็กน้อยอายุสามขวบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนามของจงจี่ หากสุ่มเดิมเข้าไปในโรงเตี๊ยมโรงน้ำชาสักแห่ง แปดส่วนของนักเล่านิทานล้วนโอ้อวดเขาเสียจนดอกไม้สวรรค์ปลิวว่อน ประดุจนรเซียนเสด็จเยือนโลกมนุษย์
แบบอย่างของชาวประชา มิพ้นว่าเป็นเช่นนี้
ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ห้าคนมีท่านสองคนที่อายุขัยใกล้จะถึงขีดจำกัด หลังจากได้ยินข่าวว่ามีคนทลายฉากกำบังได้ก็น้ำตาอาบหน้า โยนไม้เท้าแล้วกระโจนขึ้นสูงสามฉื่อ จากนั้นเร่งรีบดึงสีหน้า ตระเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ไม่น้อย หมายว่าจะมาขอคำชี้แนะจากอนุชนผู้นี้ที่พรรคไท่ซวีเสียหน่อย
บนแผ่นดินเสวียนซวีในยามนี้เรียกได้ว่าสงบสุข
มนุษย์ มาร และปีศาจ ทั้งสามเผ่าล้วนสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยในมหาสงครามเมื่อหมื่นปีก่อน แต่ละฝ่ายต่างประกาศว่าจะวางมือ แล้วกลับบ้านใครบ้านมันไปเริ่มพัฒนาบ้านเมืองอยู่ลับๆ
ระหว่างทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็มีความเคียดแค้นชิงชังกันและกัน บางคราก็มีการกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเท่าไรนัก แม้เจดีย์ปีศาจพรรคปีศาจ นิกายมารสำนักมารจะปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่กล้ากระทำการกำเริบเสิบสานยั่วยุโทสะของผู้คนทั้งแผ่นดินใหญ่ดั่งเช่นหมื่นปีก่อนแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อสิบปีก่อน จู่ๆ คณะบุคคลกลุ่มใหญ่นามว่า ‘ตำหนักลับ’ ก็ปรากฏตัวขึ้น ตัดผ่านใจกลางทั้งสามเผ่า หยิบยกคำขวัญสามเผ่าพันธุ์มาพัฒนาอย่างสันติพร้อมจับมือก้าวหน้าไปอย่างดีงามบนแผ่นดินเสวียนซวี ทำให้ทั้งสามเผ่าสร้างสายสัมพันธ์สงบสุขชนิดหนึ่งอย่างประจักษ์แจ้งแก่ใจมิใช่วาจา ผ่อนคลายบรรยากาศความเป็นน้ำเป็นไฟก่อนหน้านี้ลงไปได้
ครั้งนี้เผ่ามนุษย์เข้ายึดครองตำแหน่งยอดสุดของทำเนียบเสวียนจี เป็นผู้เริ่มทะลวงฉากกำบังของการบำเพ็ญได้ก่อน แผ่นดินเสวียนซวีจะต้องเกิดลมปั่นเมฆป่วน* ขึ้นอีกระลอกเป็นแน่
หลังจากจงจี่เก็บตัวหมากเสร็จก็ไม่ได้มีท่าทีทำให้มู่เหยี่ยลำบากใจอะไรอีก กลับปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนอาภรณ์สีดำของตนออกอย่างเนิบนาบ แล้วย่ำหิมะว่อนทั่วฟ้าอย่างแช่มช้ากลับพรรคไปภายใต้สายตาซับซ้อนของมู่เหยี่ย
เมื่อเขาหันศีรษะกลับมา บรรดาศิษย์พรรคไท่ซวีในชุดประจำพรรคสีน้ำเงินขาวทั้งหมื่นพันต่างก็ทำความเคารพต่อเขาด้วยสายตาคลั่งไคล้
หลังจากเห็นปราณกระบี่หนึ่งกระบวนท่าของจงจี่ ดวงตาของมือกระบี่ผู้เงียบขรึมเหล่านี้ก็ล้วนเกือบจะวาบประกาย อยากเข้าไปคุกเข่าคารวะขอคำชี้แนะสักคำรบหนึ่งเสียเดี๋ยวนี้อย่างอดไม่ได้
สถานการณ์เช่นนี้จงจี่พบพานมาเยอะแล้ว
คิดว่าสายตาที่มือกระบี่ทั้งหลายมองเขาในเวลานี้เหมือนกำลังมองรักแรกหรือไม่เล่า ก็ไม่แปลกใจที่มือกระบี่มีอัตราการครองตนเป็นโสดสูงที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด
เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย
เขาหน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง สองตาสีทองหม่นเยียบเย็นกระจ่างใส สายตามิได้หยุดอยู่ที่ตัวผู้ใด กลับกวาดผ่านอย่างวาบไหวเป็นเหมือนหยาดหิมะบนเขาสูงอันงามสง่าโดดเด่น
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่ที่ทะลวงระดับขั้นสำเร็จ”
เหยียนซื่อเป็นผู้เริ่มก้าวขึ้นมาหน้าฝูงชนก่อน บนใบหน้าที่ยามปกติไม่เคยใส่ใจในอารมณ์ขันปรากฏแววปีติยินดีขึ้นมา ถึงกับมองเห็นเงาของเด็กหนุ่มได้หลายส่วน
“ลำบากศิษย์น้องเหยียนแล้ว”
เมื่อครู่จงจี่เกือบจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง โชคดีที่เขามีศิษย์น้องผู้เฉลียวฉลาด ไม่อย่างนั้นคงทำให้มู่เหยี่ยท้าทายกับทั้งพรรคไท่ซวี แล้วอีกครู่ประมุขพรรคจะต้องมาเขกกะโหลกเขา
เหยียนซื่อเป็นศิษย์น้องเล็กของจงจี่
หมิงซวีจื่อประมุขพรรคไท่ซวีรุ่นนี้รับศิษย์มาทั้งหมดสองคน ศิษย์เอกจงจี่และศิษย์ปิดสำนักเหยียนซื่อ
เดิมทีหมิงซวีจื่อคิดจะรับศิษย์เพียงคนเดียว เขาในยามนั้นเห็นจงจี่รากกระดูกล้ำเลิศ มีเค้าเงื่อนของฤทัยกระบี่โดยกำเนิดอยู่เลือนราง จึงอาศัยช่วงจงจี่ยังเด็กเร่งรุดพาเมล็ดพันธุ์ชั้นดีนี้มาเลี้ยงดูสอนสั่งที่ยอดเขาฉังเจี้ยนของตนราวกับแม่ไก่ปกป้องเลี้ยงดูลูก คาดหวังว่าเขาจะสืบทอดจีวรและบาตร* ของตนต่อไป
หมิงซวีจื่อเป็นใคร เขาก็คือผู้ใช้กระบี่ในใต้หล้าที่มีชื่อเสียงสะท้านทำเนียบ สายตาที่มองคนเฉียบขาด หลังจากทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็คิดเพียงกลับพรรคไท่ซวีไปใช้ชีวิตยามแก่เฒ่า สอนสั่งศิษย์สักคนหนึ่งให้ดี และบำรุงอายุขัย เพลิดเพลินกับสุขแห่งสายสัมพันธ์ฟ้า**
ผลที่ไม่คาดคิดก็คือเจ้าหนุ่มน้อยจงจี่แม้จะมีฤทัยกระบี่โดยกำเนิด หากหยิบตัวหมากขึ้นมาตามใจก็ล้วนส่งประกายกระบี่ออกมาได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเปลี่ยนเป็นกระบี่แล้วกลับล้มเหลว
วิชากระบี่ชุดหนึ่งแปดสิบเอ็ดกระบวนท่า หมิงซวีจื่อถือกิ่งหลิวมองเจ้าหนุ่มนี่ฝึกกระบี่ทุกวัน ทว่าฝึกมาแล้วสามปีกลับไม่มีความก้าวหน้าแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง กลายเป็นตัวตกต่ำเอาแต่ลอกเลียนท่วงท่าการโบกพัด เชี่ยวชาญทุกศาสตร์นอกรีตและดื่มสุราเป่าขลุ่ย
นี่น่ากังวลเสียจนทำให้ผมดกดำทั้งศีรษะของหมิงซวีจื่อเกือบจะได้พบกับวิกฤตหัวล้านของชายชาตรีเป็นที่สุด
ภายใต้ความจนใจหมิงซวีจื่อทำได้เพียงเปิดประตูภูเขารับเหยียนซื่อมาเป็นศิษย์ปิดสำนักเพื่อให้ตนมีผู้สืบทอดวิชากระบี่สืบไป
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ หมิงซวีจื่อยังไม่ชัดแจ้งว่าจงจี่นั้นเป็นคนนิสัยเกียจคร้านล่องลอยอิสระ ดังนั้นสำหรับเหยียนซื่อผู้เป็นคนมีระบบระเบียบแล้ว เขารู้สึกพึงพอใจกับศิษย์ปิดสำนักผู้เข้มงวดจริงจังผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง มีเรื่องไม่มีเรื่องอะไรก็เรียกศิษย์คนเล็กมาเปิดสำรับถึงในถ้ำบำเพ็ญของเขา
ภายใต้การเปรียบเทียบจากทั้งสองฝั่งนี้ จงจี่ถูกเลี้ยงปล่อยแล้ว
จงจี่ : ประเสริฐนัก!
เขาอยากให้หมิงซวีจื่อเลี้ยงปล่อยเขา หลังจากไม่ต้องฝึกกระบี่ทุกวัน อาทิตย์ขึ้นสามราวไผ่*** จงจี่ถึงจะตื่นนอน ไม่มีเรื่องอะไรก็กรายไปกรายมาอยู่ในสำนัก นอนกลางวันบนต้นไม้สักต้น สามวันตกปลาสองวันตากแห**** ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเบิกบานใจในคืนวันน้อยๆ นี้เลย
จนกระทั่งวันหนึ่งหมิงซวีจื่อพลันพบว่าไม่รู้ผู้ใดมาขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ (ขาวเกินสำราญ) ที่เขาแอบซุกเอาไว้ใต้ต้นซงไป่***** นอกถ้ำบำเพ็ญไป
เป้าหมายแรกที่สงสัยก็คือจงจี่
ใครไม่รู้บ้างว่าจงจี่เป็นเจ้าหนุ่มติดสุรา ยามที่หมิงซวีจื่อสอนสั่งเขาในตอนนั้น สุราไท่สี่ไป๋ที่หน้าประตูถูกเขาสร้างหายนะให้ไปไม่น้อย
เช่นนั้นปัญหาก็มาเยือนแล้ว ช่วงนี้หมิงซวีจื่อล้วนพาจงจี่เร่งรีบไปเลือกยาที่ยอดเขาเหลี่ยนเย่า ศิษย์สำนักพรรคผู้รู้ตำแหน่งฝังไหสุราที่ถูกต้องก็มีอยู่น้อย แล้วเหตุใดสุราไท่สี่ไป๋ยังหายไปอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้ได้
จงจี่ : หึๆ
แน่นอนว่าเป็นเพราะเขามีศิษย์น้องเล็กผู้น่ารักอย่างไรเล่า!
ในตอนที่เหยียนซื่อเพิ่งจะเข้าสำนักนั้นมีอายุเพียงห้าหกขวบ และเป็นเพราะขาดแคลนอาหารจึงสูงถึงแค่อกของจงจี่ ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววเอาจริงเอาจังราวกับเด็กที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
ในแง่อายุของร่างกายแล้วจงจี่โตกว่าเขาแค่ปีกว่า ทั้งยังมีงานอดิเรกที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ปกติยามไม่มีเรื่องอะไรก็มักไปสัพยอกศิษย์น้องเล็ก ถือเอาการเปลี่ยนสีหน้าของเขาเป็นความสนุก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่จงจี่เปลี่ยนสารพัดวิธีในการหยอกเย้าเหยียนซื่อไปเรื่อย เหยียนซื่อกลับตกหลุมพรางชุดนั้นของเขา วิ่งตามหลังเขาไปทุกที่ ร้องเรียก ‘ศิษย์พี่ ศิษย์พี่’ อยู่ทุกวัน ท่าทางนับถือศิษย์พี่เป็นสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นในเดือนปีที่ผ่านมาจงจี่พาศิษย์น้องลูกสมุนของตนกระโดดโลดเต้นไปทุกที่ ทำเอาคนพลิกม้าคว่ำ ไก่เตลิดสุนัขกระเจิง* ไปทั้งสำนักไท่ซวี หลายปริศนาที่ไม่คลี่คลายซึ่งยังปรากฏอยู่ในทุกวันนี้อย่างเงาผีของผู้นำยอดเขากลางดึกหรือกระโถนปัสสาวะที่หายไปเหล่านั้นล้วนมาจากฝีมือของศิษย์พี่น้องคู่นี้ทั้งสิ้น
คาดว่าหมิงซวีจื่อเองก็คงไม่มีวันคิดว่าผู้ขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ที่เขาซุกเอาไว้หลายปีไปนั้นจะเป็นศิษย์น้องผู้ที่ในยามปกติเชื่อฟังรู้เหตุรู้ผลที่สุดกระมัง
แน่นอน ครู่เดียวสุราไท่สี่ไป๋เหล่านั้นก็ลงท้องของจงจี่ไปทั้งหมด
“ข้าจะไปพบอาจารย์สักหน่อย ศิษย์น้องจะไปด้วยกันหรือไม่”
“ขอรับ”
แม้ว่าในภายหลังเนื่องจากบทนิยายเริ่มต้นขึ้นจงจี่จะออกท่องไปนอกพรรคตลอดปีสี่ฤดู กลับพรรคมาก็กักตนบำเพ็ญเพียร แต่ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้เพียงครึ่ง กลับยังมีความอบอุ่นสายน้อยๆ อยู่ในใจอย่างเงียบๆ
เกรงว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้าพรรคไท่ซวีมาใหม่และกำลังมองพวกเขาด้วยความเคารพเหล่านี้ก็คงไม่มีทางคิดว่าผู้นำยอดเขาฉังเจี้ยน นักพรตเหยียนที่ทำท่าเหมือนกับค้างหนี้เขาแปดล้านศิลาวิญญาณผู้นั้นก็มีด้านที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้
เพียงแต่ศิษย์น้องในยามนี้เติบใหญ่แล้ว บุคลิกท่าทางนับวันยิ่งเรียบนิ่งเหมือนกับหมิงซวีจื่อ เฮ้อ
ยามใดจะได้สนทนาพาทีดีๆ กับศิษย์น้องหนอ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็เป็นไปได้อย่างมากว่าแม้แต่ริ้วรอยบนใบหน้าเองก็คงจะเหมือนกับอาจารย์เป็นแน่แท้
แขนเสื้อของบุรุษชุดดำพลิ้วสะบัดเล็กน้อย พลังวิญญาณทรงพลังพลันปรากฏขึ้นรอบกายเขา พร้อมกับพาเหยียนซื่อไปด้วย เกือบจะเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ทิวทัศน์รอบกายเปลี่ยนเป็นภาพมายาอย่างต่อเนื่อง เพียงครู่เดียวก็จากประตูพรรคไท่ซวีมาถึงยอดเขาหลักที่ห่างออกมาหลายหลี่
“เจ้าเด็กบ้า!!!”
จงจี่ไม่ได้มีเจตนาปกปิดระลอกพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย หมิงซวีจื่อจึงรู้ถึงการมาเยือนของเขาในทันที แล้วถือไม้เท้าเริ่มไล่ตีศิษย์เอกของตนอย่างดุร้าย ลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ตีเสียจนจงจี่เจ็บศีรษะไปหมด
จงจี่ที่เดิมทียกมือขึ้นสูงอ้าแขนเตรียมรับการโอบกอดต้อนรับจากอาจารย์ “???”
จงจี่ที่กักตนมาห้าปีหลบไม่ทัน ในตอนที่โดนตีศีรษะไปหนึ่งไม้เท้าถึงนึกออกด้วยสีหน้าโง่งม…
ก่อนที่ตนเองจะกักตนได้ก่อเรื่องไว้ใหญ่โต
เขาร่วมมือกับเหยียนซื่อขุดเอาสุราไท่สี่ไป๋ที่หมิงซวีจื่อซุกเอาไว้กลับมายังยอดเขาฉังเจี้ยนด้วยกัน XD
* อนุชนน่านับถือ เป็นสำนวน หมายถึงคนหนุ่มสาวที่เก่งนำหน้าคนรุ่นก่อน
* ลมปั่นเมฆป่วน เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องราวที่พลิกผันไปมาอย่างรวดเร็วคาดเดาไม่ได้
* จีวรและบาตร เดิมในทางพุทธศาสนาหมายถึงจีวรและบาตรที่อาจารย์มอบให้แก่ศิษย์ ต่อมาหมายถึงการประสิทธิ์ประสาทความคิด วิชา ความสามารถให้แก่ศิษย์
** สายสัมพันธ์ฟ้า เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสายสัมพันธ์ครอบครัว
*** อาทิตย์ขึ้นสามราวไผ่ เป็นสำนวน หมายถึงดวงอาทิตย์ขึ้นสูงถึงระดับความสูงของราวไม้ไผ่สามราวต่อกัน สะท้อนลักษณะนิสัยของคนนอนตื่นสายจนดวงตะวันลอยโด่งแล้ว
**** สามวันตกปลาสองวันตากแห เป็นสำนวน หมายถึงทำอะไรไม่จริงจัง
***** ซงไป่ หรืออีกชื่อหนึ่งคือสนไซปรัส เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 20 ถึง 50 เมตร สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศหนาวเย็น
* ไก่เตลิดสุนัขกระเจิง อุปมาถึงเหตุการณ์วุ่นวายไปทั่ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…