everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ในพรรคไท่ซวีมีสิบสองยอดเขา เจ็ดยอดเขามีไว้ให้พรรคใช้งาน อีกห้ายอดเขาที่เหลือเป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้งอันตรายเกินไปจึงยังไม่ได้บุกเบิก เพียงใช้เป็นรางวัลมอบให้กับศิษย์ที่โดดเด่นหรือไม่ก็เหล่าผู้อาวุโสพักอาศัย
อย่างเช่นผาฉางเซิงของจงจี่ ฝั่งนั้นใกล้กับสมุทรแห่งซวีวั่ง (ลืมสุญ) อสูรพเนจรดุร้ายมีเยอะสุด อุณหภูมิเยียบเย็นสุด จึงทิ้งร้างมาโดยตลอด ภายหลังเป็นจงจี่ที่บอกว่าต้องการสถานบำเพ็ญที่สงบสักแห่งถึงได้เลือกพำนักบนยอดเขานั้นด้วยตนเอง
เหล่าผู้อาวุโสพรรคไท่ซวีย่อมอนุญาตอย่างเป็นเอกฉันท์ ศิษย์อัจฉริยะเช่นจงจี่ ทรัพยากรในพรรคต้องจัดหามาให้เขาใช้ก่อนเป็นอันดับแรก อย่าว่าแต่ยอดเขาลูกหนึ่งเลย ต่อให้เป็นดวงดารา บรรดาผู้ปกปักพรรคไท่ซวีก็เด็ดลงมาให้เขาดวงหนึ่งได้
พูดอีกก็คือผาฉางเซิงเดิมทีก็ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลไร้คนต้องการ ผู้ใดต้องการก็ให้ผู้นั้น ไม่ได้สูญเสียสิ่งใดไปแม้เพียงครึ่ง
เพิ่งจะเช้าตรู่บนยอดเขาหลักพรรคไท่ซวีก็คึกคักอย่างยิ่ง เงาร่างสองสายกระโจนขึ้นโผลง ทำเอายอดเขาหลักที่ปกติจะเงียบสงัดนั้นไก่เตลิดสุนัขกระเจิง ผู้อาวุโสที่สัญจรมารายงานภารกิจต่างก็ยืนมองความคึกคัก
สองศิษย์อาจารย์กำลังขึ้นแสดงฉากศิษย์อาจารย์ล่าสังหารกันและกัน ทว่าศิษย์น้องเล็กเหยียนซื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกว่าเห็นจนชินตา เพียงกุมสองมือไว้ในแขนเสื้ออย่างนิ่งเฉย ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาไกล่เกลี่ยเลยแม้แต่น้อย
หลายปีถึงเพียงนี้แล้ว เหยียนซื่อก็ยังคงไม่ชัดแจ้งว่าข้อพิพาทของศิษย์อาจารย์ประเภทนี้มีแต่ต้องตีกันหนึ่งคำรบถึงจะจบเรื่องได้
กล่าวคือก็ไม่ใช่ไม่มีข้อดี วรยุทธ์ใต้ฝ่าเท้าของศิษย์พี่จงโดยพื้นฐานก็ล้วนฝึกฝนมาจากเหตุการณ์เจ้าไล่ข้าตามกับหมิงซวีจื่อนี่แล
ท่าย่างก้าวท่องคลื่น ย่ำหิมะไร้แผล บุปผาโปรยสะท้านใบ…
“โอ๊ย…”
“อาจารย์ท่านพักผ่อนสักครู่เถิด อายุปูนนี้หากเจ็บตรงเอวจะไม่ดีนัก”
จงจี่ใช้ความสามารถของขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองเพิ่งจะทะลวงมาได้อย่างชาญฉลาด ฝ่าเท้าราวกับทาน้ำมันลื่นไถลอย่างยิ่ง ทั้งยังน่าตื่นตะลึงที่ทำให้หมิงซวีจื่อที่ใช้ปราณวิญญาณแล้วก็ยังไม่อาจตามทัน ครู่เดียวเจ้าหนุ่มนี่ก็กระโดดอย่างโอ้อวดขึ้นไปบนชายคานอกยอดเขาหลัก งอปลายเท้าคราหนึ่ง ก่อนห้อยศีรษะลงมาจากบนชายคาอย่างยั่วยุ ผมสีดำสยายลง ยิ้มหัวแหะๆ
“เจ้าเด็กบ้า อย่าคิดว่าทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วอาจารย์จะไร้หนทางจับเจ้า!”
หมิงซวีจื่อได้ยินวาจานั้น เส้นผมหนวดเคราพลันลุกตั้ง เขานำไม้เท้าในมือกระแทกพื้นคราหนึ่ง ตัวไม้เท้าทั้งท่อนพลันบิดงอเปลี่ยนรูป เผยให้เห็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งอยู่ภายใน ไม่พูดคำใดต่อก็ยกกระบี่ขึ้นชี้
หมิงซวีจื่อในยามปกตินั้นทรงมรรคศักดิ์เซียน ล่องลอยเหนือธุลี ทว่าเวลานี้กิริยากลับปราดเปรียวว่องไว ไม่เข้ากับหนวดสีขาวหย่อมใหญ่บนใบหน้าของเขาเลย
บ้าเอ๊ย! เอาจริงรึ?!
ยามจงจี่เห็นกระบี่หลงเฉวียน (น้ำพุมังกร) เล่มนั้นในใจก็พลันผวาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาระลึกถึงคืนวันอันขมขื่นตอนถูกกระบี่หลงเฉวียนเล่มนี้ฟาดหลังขณะฝึกกระบี่ในกาลก่อน แผ่นหลังพลันเกิดท่าทีตอบสนองพลอยเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ร้องโหยหวนขึ้นมาเสียงหนึ่ง…
“อย่าๆๆๆๆ! อาจารย์ ข้าไม่ใช่แค่ทะลวงระดับธรรมดานะ…! ยั้งกระบี่ไว้ไมตรีด้วย!”
จงจี่หวาดกลัวเสียจนหยิบพัดที่ข้างเอวออกมา ตะลีตะลานทะยานฟ้าอยู่เช่นนั้น ใช้ปราณกระบี่พลิกแพลงไปตามกระบวนท่าของหมิงซวีจื่อ
ภายใต้การปะทะกันอย่างเกรี้ยวกราดของปราณกระบี่สีเหลืองสกาวและปราณกระบี่สีขาวที่กลางอากาศ สะท้านสะเทือนจนเกิดเป็นคลื่นการโจมตีพัดให้ใบไม้ร่วงรอบทิศลอยฟุ้งตลบ ม้วนรวมเข้ากับลมหิมะแล้วแหลกละเอียด กลายเป็นผงธุลีโรยโปรยลงบนพื้นหิมะ
เขาไม่ใช้ปราณกระบี่ยังดีเสียกว่า พอใช้ปราณกระบี่หมิงซวีจื่อก็พลันนึกถึงความหลังในปีนั้นที่จงจี่ต่อหน้าตั้งอกตั้งใจฝึกกระบี่แต่ในความเป็นจริงกลับแอบลูบปลา* ฉับพลันนั้นใบหน้าชราพลันบึ้งตึง มีเจตนาคิดหยั่งเชิงอยู่หลายส่วนว่าระดับขั้นของศิษย์ตนมั่นคงหรือยัง จึงใช้พลังที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
มรรคากระบี่ที่หมิงซวีจื่อเดินนั้นยึดถือทางสายกลาง กิริยาท่าทางในหยาบมีละเอียด** มิขาดท่วงท่าอันผ่าเผย
เขาไม่เหมือนกับเจ้าหนุ่มจงจี่ที่พอเปิดใช้นิ้วทองคำแล้วก็ใช้ปราณกระบี่ได้ หมิงซวีจื่อนั้นเดินทางฝึกยุทธ์เลื่อนระดับขึ้นมาด้วยตนเองอย่างจริงจังเข้มงวด หนึ่งคนหนึ่งกระบี่จริงประจัญจริง ตระหนักรู้ปราณกระบี่สายกลางท่ามกลางลมหิมะโดยตรง ก่อนที่จงจี่จะออกท่องโลกหล้า หมิงซวีจื่อล้วนเป็นผู้นำทัพในมรรคากระบี่บนแผ่นดินเสวียนซวี ชื่อเสียงสะท้านสี่ทิศ เพียงพอให้เป็นบุรุษหล่อเหลาเปี่ยมพรสวรรค์แล้ว
แน่นอนว่านี่ก็เป็นน้ำตาแห่งยุคสมัยเช่นกัน
จงจี่ไหนเลยจะกล้าแข็งปะทะแข็งกับหมิงซวีจื่อ เส้นทางฝึกฝนที่เขาเดินอยู่เดิมทีก็ห่างไกล เวลานี้ไม่กล้ากำเริบเสิบสานเหมือนตอนสู้กับมู่เหยี่ยเช่นนั้นอีก ทำได้เพียงถ่วงปราณลงไปในจุดตันเถียน* อย่างกล้ำกลืน แล้วประมือกับอาจารย์อย่างซื่อตรง
ผู้ฝึกกระบี่ล้วนเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่สนทนาเหตุผลกัน ต่อให้จงจี่เน้นย้ำเรื่องที่ตนเองได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่จากการกักตนครั้งนี้อีกอย่างไร หมิงซวีจื่อล้วนปิดหูไม่ฟัง ซ้ำยังเพิ่มความรวดเร็วขึ้นกระบวนท่าต่อกระบวนท่า
ผลลัพธ์ที่แท้จริงหลังจากประมือกันหลายกระบวนท่าผ่านไปก็คือหมิงซวีจื่อพลันร้อง ‘เอ๋?’ เสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้า…”
อาศัยช่วงระหว่างที่หมิงซวีจื่อสติหลุดลอยวาบหนึ่ง ใต้เท้าของจงจี่พลันก้าวไปข้างหน้า กระโดดอย่างระแวดระวังไปอีกด้านหนึ่งแล้วถึงค่อยกางพัดออกอย่างสง่างาม ก่อนจะฮึดฮัดอย่างภาคภูมิยิ่ง “ท่านดูทำเนียบเสวียนจีก่อนสักหน่อยเถิด”
หมิงซวีจื่อไม่เป็นหวัด* กับท่าทางชูหางชี้ฟ้าของศิษย์เอกตนแต่อย่างใด เขาเก็บกระบี่ยาวสี่สิบหมี่ของตนลงโดยพลัน หยิบม้วนคัมภีร์หยกออกมาจากอก ปล่อยจิตสัมผัสเข้าไปสำรวจอย่างใคร่รู้
เจ้าเด็กดี ต้นรายนามคืออักษรตัวใหญ่หกตัวที่วาบประกายแสงสีทอง ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า จงจี่’ มันระยิบระยับสว่างไสว ทำให้ผู้คนยากละเลยโดยแท้ และทำให้รับรู้ถึงการมีตัวตนอย่างบ้าคลั่ง
รายนามหมิงซวีจื่อก่อนหน้านี้ล้วนเป็นอันดับห้ามาโดยตลอด เป็นเพราะเขาอายุน้อยกว่าเหล่าเฒ่าไม่ตายที่ทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ก่อนเขาหลายท่านนั้น จึงทำได้เพียงต่อท้ายอันดับอย่างฝืนทน
แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรของแผ่นดินเสวียนซวี ความปรารถนาของหมิงซวีจื่อก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปทั้งหมื่นพัน ล้วนปรารถนาว่าจะขึ้นไปอยู่บนยอดสุดของทำเนียบเสวียนจี
น่าเสียดายที่อุดมคติงดงาม ยามลงมือทำนั้นยากเย็น อันดับแรกฉากกำบังระดับขั้นนี้ก็เหมือนกับเขื่อนใหญ่กั้นธาร อย่างไรก็ทะลวงไม่ได้ พาให้วิตกกังวลถึงดวงใจที่คิดอยากค้นหามหามรรคของหมิงซวีจื่อ
ผลคือยามนี้กลับดียิ่ง ตนเองไม่อาจทะลวงได้ สุดท้ายเจ้าเด็กบ้าจงจี่ผู้นี้ทะลวงให้แล้ว
แม้ในยามปกติหมิงซวีจื่อจะปากบอกว่ารังเกียจจงจี่มาก แต่ความเป็นจริงนั้นกลับพึงพอใจในตัวศิษย์เอกตนเป็นอย่างยิ่ง ในตอนที่ได้เห็นว่าศิษย์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่เช่นนี้ช่องอกของท่านผู้เฒ่าก็กระเพื่อมไหวอย่างภูมิใจอย่างไรก็ไม่อาจสงบนิ่ง อยากจะถ่ายทอดเสียงพันหลี่ไปหาพวกเฒ่าไม่ตายพรรคอื่นเหล่านั้นอย่างโอ้อวดเสียเดี๋ยวนี้อย่างอดไม่ได้
“เป็นอย่างไร สุราไท่สี่ไป๋สิบกว่าไหเหล่านั้นศิษย์มิได้ดื่มให้สูญเปล่า”
เห็นท่าทีของหมิงซวีจื่อแล้วจงจี่ก็วางใจในที่สุด เขาหัวเราะคิกคักพลางโฉบเข้ามาหาจากที่ห่างไกล แล้วถึงได้กล้ามายืนตรงหน้าหมิงซวีจื่อ
“อาจารย์ ศิษย์ทำความปรารถนาชั่วชีวิตของท่านสำเร็จแล้ว ในยามนี้ซาบซึ้งใจเป็นพิเศษใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร เราศิษย์อาจารย์ครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน”
…
กาไหนไม่เดือด หยิบกานั้น**
เดิมทีหมิงซวีจื่อยังคิดจะโบกมือใหญ่คราหนึ่ง แสดงออกว่าสุราไท่สี่ไป๋หมักใหม่ของตนสามารถพิจารณาเป็นรางวัลให้กับจงจี่ได้ ผลคือหลังจากได้ยินประโยคนี้กลับทั้งโมโหและขบขัน จากนั้นก็พลันหมุนมือมอบผลเกาลัดระเบิด* ผลหนึ่งให้ศิษย์เอกตน
“แค่กๆ ในเมื่อเจ้าทะลวงแล้ว…”
พอได้ยินวาจานี้จงจี่พลันเข้าใจความคิด “ประเดี๋ยวศิษย์จะจัดเตรียมวิธีการทะลวงให้ท่าน”
จะให้พูดก็คือฉากกำบังระดับขั้นของแผ่นดินเสวียนซวีนี้ ในความเป็นจริงคือหลังจากมหาสงครามสามเผ่าพันธุ์หมื่นปีก่อนถึงได้ถูกจำกัดโดยมรรคาสวรรค์
นับตั้งแต่หลังมหาสงคราม ภาพเหตุการณ์แต่เดิมอย่างการที่มีขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมายดั่งสุนัข ขั้นเซียนเตร่ทั่วภพกลับไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
คิดอยากทะลวงฉากกำบังนี้ล้วนขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร
จงจี่คือผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวที่หมื่นปีมานี้สามารถเพิกเฉยฉากกำบังระดับขั้นได้
ที่ไม่มีเคล็ดลับก็เพราะเขาคือบุตรแห่งโชคชะตา คือศูนย์กลางของโลกใบนี้ และก็คือพระเอกของ ‘อิสระ’
ในตอนที่เขียนนิยายเรื่องนี้จงจี่เขียนขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ มอบนิ้วทองคำให้กับพระเอกของ ‘อิสระ’ มากมาย และยังใส่การวางมาดเป็นพระเอกที่เห็นได้ชัดอย่างมากเข้ามาเป็นพิเศษด้วย
มีเพียงรอให้จงจี่ทะลวงขั้น หลังจากม่านกำบังถูกตีทะลวงถึงจะหมดประสิทธิภาพ ประดาผู้บำเพ็ญเพียรถึงได้มีโอกาสจับจ้องความรุ่งโรจน์บนเส้นทางของขั้นศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นที่จงจี่บอกว่า ‘เคล็ดลับบำเพ็ญเพียร’ อะไรนั่นเมื่อครู่ล้วนเป็นการหลอกลวงอาจารย์ตนล้วนๆ
หมิงซวีจื่อไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่าตนสามารถลิ่วล่องจากเจ้าห้าในหมื่นปีกลายเป็นอันดับสองได้ ภายในใจก็ปีติอย่างยิ่ง แม้แต่หนวดก็ยังลูบอยู่หลายครา
สองศิษย์อาจารย์ต่างมีผีในอก** สบตาแล้วหัวเราะ บรรยากาศเปลี่ยนจากยกกระบี่ง้างหน้าไม้กลับไปเป็นเกษมศานต์สมานฉันท์อีกครั้ง
“อาจารย์”
เวลานี้เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เหยียนซื่อถึงได้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า ค้อมกายคารวะอย่างเคารพ
“ไม่เลว มีวิริยะเช่นเคย”
เทียบกับศิษย์น้องเล็กของตนแล้ว ราวกับว่าท่าทีของหมิงซวีจื่อได้พลันเปลี่ยนไปทั้งหมด บนดวงหน้าอันยับย่นเผยความอ่อนโยนมีไมตรีจิต
ชาวโลกผู้ใดไม่รู้บ้างว่าศิษย์ทั้งสองท่านของประมุขพรรคไท่ซวี แต่ละคนล้วนเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ ปกติแล้วตอนที่เขาไปดื่มชาสนทนาผายลมกับประมุขหลายท่านก็มีหน้ามีตาทบทวี
คนหนึ่งจงจี่ แม้หมิงซวีจื่อจะชัดแจ้งแก่ใจว่าเขาฝึกกระบี่ไม่ได้ แต่ก็ยังพูดออกมาได้อย่างไม่ละอายใจ ผลคือเวลานี้ทั้งแผ่นดินเสวียนซวีล้วนคิดว่าจงจี่คืออัจฉริยะมรรคากระบี่
อีกคนเหยียนซื่อ อายุยังเยาว์ก็ท้าทายบุคคลสำคัญของยอดเขาฉังเจี้ยน ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำยอดเขา อยู่อันดับต้นบนมรรคากระบี่ เป็นตัวแทนของมรรคากระบี่รุ่นใหม่ได้อย่างสง่างาม
“อาจารย์”
จงจี่กลับมายอดเขาหลักครานี้ หนึ่งคือส่งมอบผลลัพธ์การกักตน อีกหนึ่งก็คือวางแผนจะอำลาหมิงซวีจื่อเพื่อลงเขา
อย่างไรเสียทะลวงก็ทะลวงแล้ว อุดอู้กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่พรรคไท่ซวีมาห้าปี จงจี่รู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายตนล้วนขึ้นสนิม จำเป็นต้องออกไปเตร็ดเตร่สักหลายรอบ เป็นตำรวจของสมุทรแห่งซวีวั่งสักรอบ ปกปักความสงบสุขของโลกหล้าสักหน่อย
“ไปๆๆ รีบไป อย่ามัวแต่คิดถึงสุราข้าอยู่ในพรรค”
หมิงซวีจื่อแทบอยากจะให้จงจี่ลงเขา เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่มีนิสัยอยู่ไม่สุข เวลานี้ทะลวงขั้นพอดี ควรสวมฉายาอันดับหนึ่งในใต้หล้าก่อหายนะทั่วแผ่นดินใหญ่ ไปเป็นป้ายประกาศมีชีวิตให้กับพรรคไท่ซวีได้แล้ว
พูดอีกก็คืออาศัยกำลังที่แท้ของจงจี่ในยามนี้ เขาไม่ไปก่อหายนะให้ผู้อื่นก็ไม่เลวแล้ว คนอื่นไหนเลยจะเข้ามารังแกเขาได้
สรุปได้ว่าหมิงซวีจื่อวางใจอย่างมาก โบกมือไหวๆ อย่างรังเกียจ แสดงท่าทีให้จงจี่รีบไป
ครู่เดียวหมิงซวีจื่อก็หันไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเหยียนซื่อ และเริ่มชี้แนะข้อสับสนในการบำเพ็ญของศิษย์คนเล็ก
จงจี่ “…”
ไม่เป็นกระบี่ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้รับความรักจากอาจารย์ เด็กเอ๋ย นี่คือสัจธรรมโดยแท้
* ลูบปลา เป็นคำสแลงที่นิยมใช้กันในอินเตอร์เน็ต หมายถึงแอบอู้
** ในหยาบมีละเอียด เป็นสำนวน หมายถึงภายนอกดูหยาบกระด้างแต่แฝงความละเอียดไว้ภายใน
* จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว
* ไม่เป็นหวัด เป็นคำสแลง หมายถึงไม่สนใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ
** กาไหนไม่เดือด หยิบกานั้น เป็นสำนวน หมายถึงไม่ควรพูดถึงปมด้อยของผู้อื่น ควรพูดเรื่องที่ควรพูด และไม่พูดเรื่องที่ไม่ควร
* ผลเกาลัดระเบิด เป็นคำสแลง หมายถึงเขกศีรษะ
** ผีในอก เป็นสำนวน หมายถึงมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ในจิตใจ