everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
ดวงอาทิตย์ในวสันตฤดูส่องแสงจัดจ้า ทว่าในเมืองเซิ่งหยาง (ตะวันรุ่ง) ทางตอนใต้ของจงโจวมีผู้คนมากมายสัญจรไปมาดั่งธารน้ำ ไหล่กระทบ ส้นเท้าชนกัน
นี่คืออาณาเขตเป็นกลาง มีพรรคไท่ซวีและกลุ่มบุคคลของแผ่นดินเสวียนซวีหลายกลุ่มร่วมกันดูแลจัดการ คอยจำกัดพฤติกรรมอันกำเริบเสิบสานของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่นการเหาะเหินข้ามบ้านเรือน เดินย่ำบนกำแพง หรือย่างเหยียบกระเบื้องมุงหลังคาล้วนไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด หากถูกคนของจวนบังคับกฎหมายจับได้ โทษสูงสุดสามารถปรับได้ถึงศิลาวิเศษชั้นหนึ่งหนึ่งก้อน
การลงโทษนี้หนักหนาเกินไปหน่อย ศิลาวิญญาณชั้นหนึ่งหนึ่งก้อนสามารถซื้อของเล่นหายากได้ไม่น้อย กอปรกับพรรคไท่ซวีร่วมมือกับตำหนักลับ ภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปย่อมไม่กล้าก่อเรื่อง เหล่าบุคคลสำคัญทั้งรักถนอมขนปีก* ย่อมไม่มีทางทำพฤติกรรมที่ทำให้ภาพลักษณ์ตนเสื่อมเสียโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ตนกลายเป็นข่าวพาดหัวบนม้วนคัมภีร์หยกในวันต่อมา
นานวันเข้าแม้จงโจวจะไม่มีแว่นแคว้น แต่กฎเกณฑ์เหล่านี้ก็ตกลงเป็นธรรมเนียม ไม่มีผู้ใดฝ่าฝืน
ยามนี้อาทิตย์เคลื่อนขึ้น ใกล้เข้ากลางปีแล้ว คนสัญจรบนถนนเบาบางลงไม่น้อย ภายในโรงน้ำชาริมถนนโดยรอบมีคนนั่งเต็ม นักเล่านิทานเล่าเรื่องราวในฟ้าดิน มีเกร็ดประวัติเกี่ยวกับบุคคลเลื่องชื่อตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาบอกเล่าไม่น้อย ทำให้เหล่าผู้กินแตงได้ยินแล้วเพลิดเพลินหลงใหลดุจคนเมามาย ไม่อาจละเมิน ขณะที่อีกด้านหนึ่งของร้านเด็กรับใช้กลับร้องตะโกนไม่หยุด ยุ่งเป็นลูกข่าง โคจรปราณวิญญาณนำจานส่งออกไปอย่างมั่นคง
ผู้คนบนแผ่นดินเสวียนซวีล้วนเป็นวรยุทธ์ ไม่ว่าย่ำแย่อย่างไรก็ล้วนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นหนึ่งซึ่งดึงปราณเข้าร่างได้ ดังนั้นตอนแรกที่จงจี่ไม่อาจปรากฏดาวต้นกำเนิด ครั้งหนึ่งที่ถูกคิดว่าอาจจะเป็นเมล็ดพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีที่ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ของพรรคไท่ซวีต่างเข้ามาแย่งกันมุงดู
โดยเฉพาะยอดเขาเหลี่ยนเย่า ต่างนวดหมัดถูมือคิดอยากใช้โอสถแขนงใหม่มาทดสอบเสียหน่อย ต่อมาเมื่อรู้ว่าจงจี่เพียงแค่ไม่สามารถปรากฏระดับขั้นที่แน่นอนก็ถอนใจอย่างเสียดายครั้งแล้วครั้งเล่า
จงจี่ “…”
ในเมืองเซิ่งหยางมีตลาดค้าขายที่ใหญ่ที่สุดของแผ่นดินเสวียนซวีอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวกในการท่องสำราญนั้นไม่เป็นอันดับหนึ่งก็สอง ยอดพธูผู้ยั่วยวนเปี่ยมเสน่ห์ชื่อดังบนแผ่นดินใหญ่จำนวนไม่น้อยอยู่ที่เซิ่งหยาง แน่นอนหากพูดถึงสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งมีชื่อที่สุดของที่นี่ นั่นย่อมเป็นหอไจซิงซึ่งมีเกียรติว่าเป็นหออันดับหนึ่งในใต้หล้า
หอไจซิงดำเนินการโดยตำหนักลับ แม้บุคคลกลุ่มนี้จะใช้พลังยุทธ์สูงส่งและแข็งกร้าวจัดการเรื่องราวอย่างโหดร้ายจนถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนิกายมาร แต่เมื่อตบเท้าเข้าสู่การค้าขายแล้วกลับไม่มีความคลุมเครือแม้แต่น้อย สร้างสิ่งใดเป็นสิ่งนั้น กอบโกยทองพันชั่งเข้ามาในอก
ตัวอย่างเช่นหอไจซิง
หอไจซิงในช่วงแรกก็ทำการโฆษณาบนม้วนคัมภีร์หยกอย่างบ้าคลั่ง ฉายบนม้วนคัมภีร์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าตำหนักลับกับสำนักเทียนจี (ความลับสวรรค์) ทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรกัน ถึงได้ทำให้อนุชนของสำนักเทียนจีสามสี่คนผู้ซ่อนแซ่ปิดนามและทิฐิสูงเหล่านั้นลุ่มหลงจนสามารถขึ้นโถงเข้าห้อง** ไปอยู่บนม้วนคัมภีร์หยก
ปัญหาคือการจัดการของหอไจซิงนั้นหรูหราเกินไป นักเล่นพิณซึ่งประจำการอยู่ที่นั่นคือคุณชายเป่ยชิงผู้มีชื่อเสียงสะท้านสะเทือน ไหนจะสุราชิวลู่ไป๋ (สารทน้ำค้างขาว) ที่บ่มมาหลายสิบปีและดื่มได้เฉพาะจักรพรรดิเท่านั้นก็สามารถดื่มได้ตามแต่ใจ ทั้งยังว่าจ้างบุรุษสตรีรูปโฉมงดงามจากเผ่ามารเผ่าปีศาจมาไม่น้อย ยกระดับดรรชนีความหน้าตาดีของเมืองเซิ่งหยางขึ้นไปอีกหลายขั้น ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีเหล่าคุณชายสูงศักดิ์หรือเศรษฐินีมาใช้บริการ
ลมโชยพัดผ่าน ต้นหยางต้นหลิวที่หอจิตรกรรมฝั่งตะวันตกใกล้แม้น้ำคล้ายจะแตกหน่อสีเขียวออกมาแล้ว ปุยหลิวสีขาวคงใกล้จะปรากฏในเวลาถัดมา
หอไจซิงมีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทั้งยังยืมใช้ทัศนวิสัยพิเศษโดยการบิดเบือนช่องว่างอากาศอย่างชาญฉลาด มันดูเหมือนสูงตระหง่านเทียมเมฆ จุดที่สูงที่สุดคล้ายทะลวงเข้าไปในชั้นเมฆจนเอื้อมมือเด็ดดาราได้ แต่ละชั้นล้วนประดับตกแต่งอย่างโออ่าตระการตา งามประณีตสุดเปรียบ มุมทางเดินโค้งคั่งดั่งแพรผ้า มุมชายคาโง้งหงายคล้ายนกจิก* หรูหราเป็นที่สุด
ผู้สัญจรตามอารมณ์ด้านนอกเมื่อหยุดยืนจะได้ยินเสียงพิณอึงอลจากด้านใน ระคนกับกลิ่นเครื่องหอมชั้นเลิศ เทียบกับโรงเตี๊ยมโรงน้ำชาอื่นแล้วย่อมแตกต่างและแปลกใหม่
นอกหอยังเป็นเช่นนี้ การประดับประดาในหอก็นับว่าพอเหมาะพอดี ไม่ดูรุ่มร่ามเกินไป ปรับลดความหรูหราลงมาอย่างมีนัย
หออันดับหนึ่งในใต้หล้านั้นทรงเกียรติบริสุทธิ์อย่างมาก ในหอไม่ประกอบกิจการจำพวกหอโคมเขียวหรือโรงพนัน เพียงขายสุราและถือโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ทั้งแผ่นดินใหญ่นอกจากสำนักเทียนจีแล้วก็มีเพียงหอไจซิงนี่ที่ล่วงรู้ความลับเยอะที่สุด เพียงแค่คิดคำถามออก ไม่มีคำตอบใดที่พวกเขาไม่รู้
อันที่จริงในต้นฉบับ ‘อิสระ’ นั้นตำหนักลับไม่ได้เป็นทั้งธรรมะทั้งอธรรมเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นกลุ่มนิกายมารตลอดหัวจรดหาง ขอบเขตการค้าที่ประกอบการเป็นหลักไม่ค่อยถูกทำนองคลองธรรม เป็นนายหน้าลับคอยจัดหาผู้ขายและสั่งซื้อภายใต้ชื่อหอไจซิง
ถึงอย่างไรก็เป็นนิยายแนวเลื่อนขั้นนั่นแหละ กลุ่มนักฆ่าเท่ขนาดนั้น ไปมาอย่างสายลมไร้ร่องรอย เด็ดชีวิตที่อยู่ห่างออกไปพันหลี่ได้
แต่นี่ก็ห้ามไม่ได้ที่จงจี่นั้นเป็นคนหนุ่มคนดีที่รากตรงหน่อแดง** คนหนึ่ง เขียนนิยายก็ส่วนเขียนนิยาย แต่พอก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในความเป็นจริงนี้แล้ว จงจี่ก็ยังคงไม่ยินยอมเป็นฝ่ายก่อเหตุพิพาทในโลกใต้ปากกาตน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำให้ตำหนักลับกลายเป็นผู้รักษาความสงบสุขของโลกหล้าอย่างแน่วแน่ เป็นตำรวจของแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องยื่นเท้าเข้าไปมีส่วนร่วม คำขวัญที่หยิบยกขึ้นมาล้วนเป็น ‘แผ่นดินใหญ่สงบสุข’ เขายังเป็นผู้ริเริ่มรับอัจฉริยะสามเผ่าพันธุ์เข้ามาในตำหนักอย่างกล้าหาญ กระทำการพร้อมเพรียง ทั้งแผ่นดินเสวียนซวีหากที่ใดเกิดข้อขัดแย้งขึ้น พวกเขาล้วนเป็นคนแรกที่เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน
เข้าไปเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้วเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็นและอดทนก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยกำราบด้วยพลังยุทธ์
แน่นอนว่าโดยทั่วไปแล้วมักใช้วิธีการประเภทหลังมากกว่า
รักษาความสงบสุขของแผ่นดินใหญ่ มีตำหนักลับของข้าเป็นผู้กระทำ ไม่ว่ากระบวนการเป็นอย่างไร อย่างน้อยผลลัพธ์ก็สมบูรณ์แบบ XD
“มิจำเป็นต้องมากพิธี”
เมื่อครู่จงจี่ร่อนลงมาที่ชั้นเจ็ดของหอไจซิงโดยตรง เขาโบกแขนเสื้อวาดเป็นริ้วทองคำคราหนึ่ง องครักษ์ลับทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณพลิ้วละล่องขุมหนึ่ง ชัดแจ้งว่าแผ่วเบาแต่กลับแฝงด้วยท่วงท่าหนักแน่นพันชั่ง ให้พวกเขาทั้งหมดเงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพรียง
ชั้นที่เจ็ดไม่เคยเปิดให้คนภายนอกใช้มาก่อน เพราะที่นี่คือศูนย์กลางของทั้งตำหนักลับ
ผู้คนต่างคาดเดากันว่าตำหนักลับนั้นก่อตั้งจุดศูนย์กลางของตนเอาไว้ในกลุ่มภูเขาหิมะพันหลี่หรือไม่
ผลลัพธ์คือไม่ว่าผู้ใดก็คงนึกไม่ถึงว่าหนังสือและสารลับสุดยอดมากมายดั่งมหาสมุทรไร้พรมแดน แท้จริงแล้วถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างโจ่งแจ้งในหอไจซิง
ฤๅษีน้อยซ่อนในป่า มหาดาบสซ่อนในเมือง***
“ยินดีต้อนรับเจ้าตำหนักออกจากการกักตน”
ปกติแล้วเมื่อจงจี่สวมเกราะของเจ้าตำหนักลับ เขาจะสวมหน้ากากผีสีเงินอันไร้รสนิยมเป็นอย่างยิ่งบนใบหน้าตน นำเสื้อคลุมยาวสีดำทองที่บ่งบอกความสูงส่งมาคลุมร่างเอาไว้ ด้านนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมกระเรียนขนอีกาดำมีเงาอันลึกลับอหังการตัวหนึ่ง
อาภรณ์ชุดนี้ดูอิสระและอหังการ เมื่อใช้วิชาลับปกปิดระลอกปราณวิญญาณของตนเอาไว้อีกชั้น จงใจแผ่พลังปราณออกมารอบกายบิดเบือนอากาศวางท่าทางมาดร้าย ขณะยืนอยู่ ณ ที่นั้น แม้แต่หมิงซวีจื่อก็ไม่คิดว่าเจ้านิกายนิกายมารตรงหน้าผู้นี้เป็นศิษย์เอกของเขา
ผู้ที่สามารถปรากฏตัวอยู่ที่ชั้นเจ็ดของหอไจซิงได้นั้นล้วนเป็นระดับสูงของตำหนักลับ จงจี่ก็ไม่มีเจตนาจะปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนต่อหน้าคนสนิท
“ช่วงนี้แผ่นดินใหญ่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่ นำม้วนเอกสารตั้งแต่ระดับดินขึ้นไปเข้ามา ข้าอยากพลิกอ่านทีละหน้า”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้อมูลที่ให้พวกเจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้าง”
“รายงานเจ้าตำหนัก เวลานี้เริ่มมีวี่แววขึ้นมาแล้ว ข้าน้อยจะไปนำม้วนเอกสารออกมาให้เดี๋ยวนี้”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สวมชุดสีดำของตำหนักลับพลันก้มหน้า ย่ำเท้าก้าวไร้เงารับบัญชาแล้วจากไป ไม่ถึงครู่ก็กอบม้วนเอกสารที่ซ้อนกันจนเป็นภูเขาขนาดย่อมกองหนึ่งก้าวเข้ามาตรงหน้า
แผ่นดินเสวียนซวีเดิมทีก็ใหญ่ ถึงแม้จะเจาะจงเลือกดูเฉพาะเรื่องใหญ่ แต่ห้าปีมานี้ก็พอกพูนกันเป็นม้วนเอกสารจำนวนไม่น้อย
มากมายถึงเพียงนี้ก็เกินกว่าที่จงจี่คาดไว้อยู่บ้าง
แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า ก็ทำได้เพียงนั่งลงแล้วค่อยๆ อ่าน
ที่เขาได้รับเดิมทีก็คือบทพระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนผู้ตามลมตามน้ำผู้หนึ่ง พละกำลังที่มีกลับทำได้เพียงตบหน้ามู่เหยี่ยได้เพียงคนเดียว นั่นไม่มีความหมายอะไร
ดังนั้นเพื่อเป็นการหาเรื่องให้กับตนเองเล็กน้อย จงจี่จึงต้องเลื่อนตำแหน่งอันทรงเกียรติขึ้นไปเป็นตำรวจของแผ่นดินใหญ่ไร้แว่นแคว้น ควรจะได้รับรางวัลสันติภาพแผ่นดินเสวียนซวีมาเป็นรางวัล
‘อิสระ’ คือโลกที่สร้างขึ้นมาใต้ปากกาเขา
ไม่มีนักเขียนคนใดจะไม่รักโลกที่ตนเองเป็นคนสร้างขึ้นมา
ดังนั้นการวาดหวังให้โลกสันติ แคว้นสงบ ชาวประชาปลอดภัย ผู้คนสุขเกษมเปรมปรีดิ์ก็สมเหตุสมผลแล้ว
จงจี่ไม่มีปณิธานอื่นอีก อย่างน้อยก็หวังว่าโลกที่ถือกำเนิดขึ้นใต้ปากกาตนนั้นจะสามารถร่มเย็นเป็นสุข ห้านครสันติ
หากจะกล่าวในอีกระดับหนึ่ง อุดมคตินี้อหังการยิ่งกว่าการกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเสียอีก
* รักถนอมขนปีก เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงรักชื่อเสียงของตนเอง
** ขึ้นโถงเข้าห้อง เป็นสำนวน หมายถึงการขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หรือสำเร็จในระดับที่สูงยิ่งขึ้น
* มุมทางเดินโค้งคั่งดั่งแพรผ้า มุมชายคาโง้งหงายคล้ายนกจิก มาจากกวีนิพนธ์ชื่อ ‘ลำนำวังอาฝาง’ ประพันธ์โดยตู้มู่ กวีสมัยราชวงศ์ถัง กวีนิพนธ์นี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ในตอนที่ราชวงศ์ฉินล่มสลาย โดยวังอาฝางนี้เป็นวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นวังอันดับหนึ่งในใต้หล้าและถูกเผาทำลายลงเมื่อการโค่นล้มอำนาจเป็นผลสำเร็จ ท่อนที่หยิบยกมานั้นบรรยายถึงทางเดินที่ทอดยาวมากมายและคดเคี้ยว มุมชายคาที่โค้งงอราวกับจะงอยปากนก
** รากตรงหน่อแดง เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม หมายถึงลูกหลานจากครอบครัวชนชั้นแรงงานหรือเกษตรกรผู้ยากจน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นคนดีเพราะไม่ได้รับอิทธิพลจากความคิดสมัยเก่า
*** ฤๅษีน้อยซ่อนในป่า มหาดาบสซ่อนในเมือง เป็นหนึ่งในแนวคิดเชิงปรัชญา หมายถึงชีวิตวิเวกสันโดษไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่าเขาจึงจะสัมผัสได้ ชีวิตสันโดษในเมืองใหญ่คือการปลีกวิเวกที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง