ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 8

 

หอไจซิงชั้นเจ็ดเงียบสงบทั้งชั้น ตำหนักลับใช้ทุนกองใหญ่ไปกับการทาน้ำมันวาฬที่พื้นและเพดานในแต่ละชั้น น้ำมันประเภทนี้มีประสิทธิภาพในการกั้นเสียง ทำให้เสียงพิณจากชั้นล่างไม่ดังรบกวนคนชั้นบนโดยง่าย

ม้วนเอกสารที่กองซ้อนกันเป็นชั้นบนแท่นไม้เยอะเกินไปจริงๆ บุรุษผมดำนั่งหลังตรงอยู่ท่ามกลางม้วนคัมภีร์หยกอันกว้างใหญ่ดั่งทะเล เริ่มพลิกอ่านจากม้วนเอกสารระดับดินที่สีสลัวที่สุดก่อน ใช้ฌานวิเศษไล่อักษรตามประโยค* กวาดผ่านอย่างรวดเร็ว

องครักษ์ลับด้านข้างมองหัวคิ้วที่มุ่นน้อยๆ ของจงจี่ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ช่วงนี้เผ่ามารคล้ายจะมีสัญญาณเลือนรางว่าต้องการก่อเรื่องขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศของทั้งแคว้นเป่ย (อุดร) ล้วนมีลับลมคมนัย

ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญคือเผ่ามารเองก็คล้ายกับว่าจะมีฆานประสาทว่องไว คิดอยากแบ่งน้ำแกงสักหนึ่งชาม** อยู่เบื้องหลังเผ่ามารด้วย จึงลอบมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอยู่บ้างเช่นกัน

ปรากฏการณ์ข้างต้นยิ่งทวีคลื่นใต้น้ำรุนแรงและซับซ้อนขึ้นหลังจากที่จงจี่ได้รับสมญานามอันดับหนึ่งในใต้หล้า คิดดูแล้วทั้งสองเผ่านี้คงวางแผนจะก่อเรื่องอีกครั้งเป็นแน่

“ไปติดต่อหุบเขาหย่งเยี่ย (รัตติกาลนิรันดร์) สักหน่อย”

เขารวบฌานวิเศษให้กลายเป็นเส้นบางสายหนึ่งไว้ที่ปลายนิ้ว ก่อนใช้นิ้วแทนพู่กัน สลักตัวอักษรหลายตัวลงไปบนคัมภีร์หยก แล้วส่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง

แม้ตำหนักลับจะเป็นทั้งธรรมะทั้งอธรรมบนแผ่นดินเสวียนซวี ถูกจัดให้อยู่ในจำพวกเดียวกับนิกายมาร แต่ถ้าเทียบกับหุบเขาหย่งเยี่ยแล้วนับว่าเป็นกลุ่มที่ดีมีครบทั้งสิบกุศลกรรมบถ*

หุบเขาหย่งเยี่ยเป็นกลุ่มทางการในเผ่ามาร ผู้นำคือหกมหาเจ้าเมืองของเผ่ามาร

หกมหาเจ้าเมือง

สมญานามนี้ได้ยินแล้วกระตุ้นอารมณ์อย่างยิ่ง

ปกติจงจี่ก็ติดต่อกับเผ่ามารเพราะเรื่องการค้าไม่น้อย อันที่จริงการสานสัมพันธ์ส่วนตัวในบางครั้งก็คือการรวมตัวดื่มสุราหยั่งเชิงคำขวัญซึ่งกันและกัน นานวันเข้าจงจี่ก็ประจักษ์ชัดแจ้งถึงนิสัยปัสสาวะ** ของเจ้าเมืองหลายตนนี้

นั่นไม่ได้เป็นเพราะเหล่าเจ้าเมืองพูดความจริงหลังดื่มสุรา แต่เป็นเพราะ…เขาคือนักเขียนอย่างไรล่ะ เรื่องราวอย่างเผ่ามารหลายตนนี้วัยเด็กเคยปัสสาวะรดที่นอนตอนไม่กี่ขวบล้วนเป็นตัวเขาที่เขียนขึ้นมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในตอนที่ออกแบบตัวละครและลำดับวงศ์ตระกูล จงจี่แค่ต้องเผยรายละเอียดเล็กน้อยออกไปตามใจ ก็ทำให้ชาวเผ่ามารแต่ละตนต่างเห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก*** ไม่กล้าว่าร้ายตำหนักลับแม้เพียงครึ่งคำ

ทว่ามองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเผ่ามารต้องเว้นไปสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยฟาดให้เข็ดอีกสักรอบ เหมือนตัวอย่างในคัมภีร์ที่ว่าเมื่อแผลหายแล้วมักลืมเจ็บ

จงจี่แค่นเสียงเย็นเยียบหนึ่งเสียง แล้วก้มหน้าก้มตากวาดสายตาอ่านม้วนคัมภีร์หยกต่อ จากนั้นก็หยิบเรื่องราวที่สำคัญออกมาถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ

ภายใต้การบัญชาของเขา ทั้งตำหนักลับก็เริ่มดำเนินงานอย่างมีระเบียบแบบแผนเหมือนเครื่องจักรที่มีความแม่นยำมหาศาลอย่างไรอย่างนั้น

คำสั่งจำนวนนับไม่ถ้วนส่งออกมาจากหอไจซิง ใช้วิธีการส่งข้อมูลของตำหนักลับโดยเฉพาะส่งมอบให้กับสมาชิกตำหนักย่อยบนแผ่นดินเสวียนซวีตั้งแต่ช่วงเวลาแรก

ตั้งแต่องค์ชายตกอับผู้กำลังฟังเพลงพื้นบ้านอยู่ในพระราชวังแคว้นหนึ่ง ไปจนถึงขอทานน้อยผู้ซุกตัวที่หัวมุมถนน คนธรรมดานับไม่ถ้วนทั้งหมดต่างคิดไม่ถึงเลยว่าพรรคพวกที่ตำหนักลับรวบรวมมาจะเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบห้าปี

บนแผ่นดินเสวียนซวีปัจจุบันนี้ ตำหนักลับคือกลุ่มบุคคลที่มีความเปิดกว้างที่สุด ไม่สนว่ามาจากเผ่าพันธุ์ใด ไม่สนว่าชาติกำเนิดเป็นอย่างไร ขอเพียงผ่านการประเมินของตำหนักลับ หลังจากให้คำสัตย์จำพวก ‘ชั่วชีวิตนี้ปรารถนาเพียงร่มเย็นเป็นสุข’ หรือ ‘ปฏิเสธการแบ่งชนชั้นทางเผ่าพันธุ์เริ่มที่ตัวข้า’ แล้วก็สามารถเข้าร่วมคณะบุคคลนี้ได้

แน่นอนว่าการประเมินเข้มงวดมาก แต่ก็ยังมีคนนับไม่ถ้วนแห่แหนมาอย่างเป็ด**** โดยเฉพาะเผ่ามารระดับต่ำที่อยู่ในชนชั้นล่างสุดของสังคมในประวัติศาสตร์มาโดยตลอดและเผ่าปีศาจผู้มีชื่อเสียงไม่ดี

จงจี่หยิบสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยออกมาใช้ ประสบการณ์การจัดการบริหารธุรกิจที่ตอนแรกเกือบจะลืมไปหมดแล้ว เมื่อประสานเข้ากับแนวคิดของตนก็นับว่าทำให้กิจการของคณะบุคคลนี้งอกงามเฟื่องฟู

ถึงอย่างไรความคิดก็นำหน้าไปอยู่หลายพันปี อีกทั้งจงจี่ยังเป็นผู้รังสรรค์โลกนี้ด้วย เรื่องเล็กน้อยนี้ย่อมง่ายดายไม่เปลืองแรง

แต่มีอุปสรรคอยู่บ้างก็เท่านั้น

สีขาวนอกหน้าต่างเข้มขึ้นเรื่อยๆ ตะวันรอนคล้อยลงต่ำฝั่งประจิม ไข่มุกวิญญาณกระจ่างที่ลอยอยู่กลางอากาศในเมืองเซิ่งหยางเริ่มทอแสงสลัวอ่อนจางออกมา มอบความสุกสว่างให้กับเหล่าผู้สัญจร

บนหอไจซิงแขวนโคมสีเหลืองอ่อนห้อยอยู่ใต้ชายหลังคาสูงชะลูดของแต่ละชั้น มอบรัศมีสีอบอุ่นอาบไล้ไปบนขื่อคานสีน้ำตาลแดง ดั่งห้วงฝันดุจมายา สูงศักดิ์สมบูรณ์

ในตอนที่จงจี่กำลังจัดการงาน เหล่าองครักษ์ลับก็จุดโคมนภจรดวงหนึ่งให้อย่างรู้งาน รอจนเขาอ่านม้วนคัมภีร์หยกไปเกือบจะหมดแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมานวดขมับ แสงจันทร์ก็ส่องสว่างอยู่นอกหน้าต่างท่ามกลางสีรัตติกาลครึ้มเข้ม

“เจ้าตำหนัก ข้อมูลที่ท่านต้องการ”

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำเลื่อนไถลจากหัวไหล่เขาคล้ายไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ดวงตาหงส์เรียวยาวฉายแววดุดัน นัยน์ตาสีทองใสกระจ่าง งดงามไร้ตำหนิ

องครักษ์ลับคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ยกสิ่งของบนมือไว้เหนือศีรษะอย่างนอบน้อม

นั่นคือกระดาษสีเหลืองซีดแผ่นหนึ่ง ดูเก่าคร่ำคร่าจนคล้ายกับว่าชั่วขณะต่อไปจะแหลกสลายเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ

จงจี่พลันเข้าใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย สองมือเรียวเสลาพลันสะบัด ดึงกระดาษแผ่นนั้นมาวางบนแท่นไม้โดยมิได้แตะต้อง

กระดาษแผ่นไม่ใหญ่ บนหน้ากระดาษเองก็เพียงแค่ใช้ชาดสีมัวหมองตวัดเขียนเป็นตัวอักษรสามคำอย่างลวกๆ เท่านั้น

ทว่าตัวอักษรเพียงสามคำนี้กลับทำให้จิตใจของจงจี่สั่นสะท้าน

‘แม่กุญแจสี่ทิศ’

เป็นตัวอักษรที่น่าคุ้นเคยเกินไปอย่างแท้จริง แต่รอจนเขาสงบอารมณ์ลงได้แล้วสืบค้นสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากในตอนแรกสุดไปรอบหนึ่ง ในความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ของเขา เหตุใดถึงไม่เคยมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ปรากฏอยู่เลยสักนิด

แต่ความรู้สึกคุ้นเคยหลอกคนไม่ได้

จงจี่เก็บกระดาษแผ่นนี้เข้าไปในถุงเฉียนคุน คิดอยากเปิดม้วนคัมภีร์หยกอ่านอีกครา แต่ไม่มีอารมณ์เหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

“ช่างเถอะ”

เขาถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก่อนผลักแท่นไม้ออกไป ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปยังดาดฟ้าของชั้นเจ็ด

ทิวทัศน์บนดาดฟ้างามเลิศ ที่นี่คือจุดที่สูงที่สุดของเซิ่งหยาง สิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดข้างๆ ก็ยังสูงน้อยกว่าหอไจซิงครึ่งศีรษะ

หลังล่วงเข้ายามราตรีเซิ่งหยางก็ยิ่งครึกครื้น

บนถนนแต่ละสายยังมีผู้คนเนืองแน่น ในมือพวกเขาแต่ละคนต่างถือโคมดวงหนึ่ง ส่องสะท้อนให้ทั่วทั้งเมืองเป็นดั่งทิวากาล

โรงเตี๊ยมโรงน้ำชาในที่ห่างไกลยิ่งคึกคัก ลูกค้าเต็มร้านหัวเราะร่าเจี๊ยวจ๊าว เล่านิทานฟังดนตรี ดื่มด่ำอากาศเย็นยามเที่ยงคืน สุขสำราญอย่างยิ่ง เหล่าพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่การค้าเสรี ปูผ้ากางร้านกันตามแต่ใจแล้วเริ่มนั่งลงกับพื้นตั้งราคา

สายลมยามค่ำคืนในเดือนต้นกกทางใต้ของจงโจวนั้นช่างสดชื่น พัดจากสถานที่เยียบเย็นสุดขีดของภูเขาหิมะทางเหนือมาจนถึงที่นี่ จากเหน็บหนาวเสียดกระดูกกลายเป็นอบอุ่นละมุนรอบปลายนิ้ว

จงจี่ยืนอยู่บนชั้นเจ็ดของหอไจซิง ดาวบนฟ้าระยิบระยับ จันทร์กระจ่างลมสดชื่นปะทะเข้ากลางอก พาให้แขนเสื้อขอบทองที่เขาม้วนเอาไว้กระพือราวกับเริงระบำไปกับสายลม

“เอาสุราชิวลู่ไป๋มาสักสองสามไห”

อารมณ์เขาในตอนนี้ซับซ้อนมากเกินไป ต้องการสิ่งคลายเครียดที่สามารถบรรเทาอารมณ์ชนิดนี้สักหน่อยพอดี

หลังจากรอจนผู้ใต้บังคับบัญชานำไหสุราขึ้นโต๊ะ จงจี่พลันวาบวับทีหนึ่งพร้อมหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งไห ก่อนย่ำสุญทะยานฟ้าเหาะเหินไปยังยอดหอไจซิง นั่งอิงลงบนกระเบื้องหยกสีเขียวเกลี้ยงเกลา แกะผนึกที่ปากไหออกแล้วยกไหสุราขึ้นกรอกปากอย่างไม่ลังเล

อิงเอนกายเดียวดายบนหอสูง ร่ำเมรัยต่อดวงแขแต่ลำพัง

บุรุษชุดดำท่วงท่างดงามสูงส่ง ย่างย่ำสายลมยามค่ำคืนอย่างสง่างาม ราวกับนรเซียนผู้ต้องการทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าโอบดาราเด็ดดวงเดือน ขณะสะบัดแขนเสื้อก็โน้มนำแสงจันทร์กระจ่างหมื่นจั้ง ประดุจดั่งอยู่ในไหสุรา ครู่ต่อมาหยดสุราสีใสเสมือนหยกก็ไหลรินจากปากไหเข้าไปในปากเขา

ทว่าที่ใต้เท้าของจงจี่ แสงสว่างหรุบหรู่ คลื่นมนุษย์พลุกพล่าน ห้วงเหวลึกหมื่นจั้ง

คนชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอย่างประจวบเหมาะ มือกระบี่ผู้ถือกระบี่ยาวเงยหน้า ภาพฉากนั้นพุ่งปะทะเข้าไปในดวงตาและใบหน้าอันเย็นชาของเขาเช่นนี้

 

* ไล่อักษรตามประโยค เป็นสำนวน หมายถึงเป็นลำดับทีละตัวอักษร ทีละประโยค

** แบ่งน้ำแกงสักชาม เป็นสำนวน หมายถึงการแบ่งปันผลประโยชน์

* กุศลกรรมบถ คือธรรมส่วนสุจริต 10 ประการตามหลักศาสนาพุทธ อันได้แก่ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม 4. ไม่พูดเท็จ 5. ไม่พูดส่อเสียด 6. ไม่พูดคำหยาบ 7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ 8. ไม่โลภอยากได้ของเขา 9. ไม่พยาบาทปองร้าย 10. เห็นชอบตามคลองธรรม

** นิสัยปัสสาวะ ใช้บรรยายคนที่มีนิสัยชัดเจนและมีนิสัยเจ้าอารมณ์ บางครั้งก็ใช้ในความหมายของคำว่าร้ายกาจ มักใช้หยอกล้อในเชิงลบ

*** เห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก เป็นสำนวน เปรียบเปรยว่าพอเวลาตื่นตกใจก็จะหวาดระแวงไปหมด

**** แห่แหนมาอย่างเป็ด เป็นสำนวน เปรียบเปรยว่ามีคนจำนวนมากมายแย่งชิงกันเข้ามา

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com