everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
จันทร์เย็นฉ่ำดั่งสายน้ำ ธารดาราหลับใหลไปนิรันดร์
แม้จะบอกว่าล่วงเข้าวสันตกาลแล้ว ทว่าเมื่อถึงยามราตรีสายลมยามค่ำคืนบนที่สูงก็ยังคงหนาวเย็นเกินไปสักหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระเบื้องหยกอันเกลี้ยงเกลาและเย็นเยียบบนหอไจซิง
แต่สำหรับจงจี่แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา
หลังจากบำเพ็ญมาถึงระดับสูง คุณสมบัติของร่างกายและความแข็งแกร่งของฌานวิเศษล้วนยกระดับขึ้นสูงอย่างยิ่ง ทั้งไม่หวั่นหนาวร้อน และน้ำไฟไม่กล้ำกราย
ดังนั้นจงจี่ในเวลานี้จึงผ่อนคลายอย่างมาก เขายกไหสุราแหงนคอตั้งบ่าดื่มสุราอึกใหญ่ กิริยาท่าทางผ่าเผย สอดแทรกไว้ด้วยความผึ่งผาย ต่างจากท่าทีเย็นชายามจัดการบริหารงานต่อหน้าคนในยามปกติโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย หลังจากจัดการขุมอำนาจของตนให้สอดคล้องกับโครงเรื่องที่เขียนขึ้นมาแล้วก็ยังลอบถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคอยจับตาดูสิ่งของหรือตำราโบราณทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับห้วงมิติ แล้วนำมาไว้ในมือให้ได้โดยไม่คำนึงว่าราคาเป็นอย่างไร
แม้นี่จะเป็นโลกที่ตนสรรค์สร้างขึ้นมากับมือ แต่ไม่ว่าอย่างไรจงจี่ก็ยังคงรู้สึกคล้ายกับแบกบ่อน้ำจากบ้านเกิด* เหมือนกับผู้ที่ระหกระเหินมายังต่างโลก ย่อมคิดถึงสถานที่ที่ตนเกิด คิดถึงดาวแม่อันงดงามสีฟ้าครามดวงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ว่าตายแล้วถึงทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แต่เป็นหลังจากนอนหลับไปในวันหนึ่งก็พลันกลายเป็นทารกน้อยวัยฝึกพูดอ้อๆ แอ้ๆ ใน ‘อิสระ’ แล้ว
หลังจงจี่เพิ่งจะสืบพบวิธีการใช้ฌานวิเศษก็เริ่มมีความสงสัยในตนเองอยู่บ้างแล้ว ค่อยๆ เก็บความทรงจำก่อนทะลุมิติเข้ามาในนิยายเอาไว้ในส่วนลึกของห้วงสมุทรแห่งจิตอย่างระมัดระวัง
แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาก็ยังหยิบความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ออกมาได้ทุกเวลา ตั้งแต่ตอนที่ตนนั่งพิมพ์แต่ละตัวอักษรหน้าคอมพิวเตอร์ตอนแรกสุด ดึงความทรงจำเกี่ยวกับโลกนี้ออกมาทบทวน ย้ำเตือนถึงที่มาแรกสุดของตนเองทุกเวลา
จงจี่ไม่ได้เดินตามโครงเรื่องที่ตนวางเอาไว้ในโลกของ ‘อิสระ’ อย่างเข้มงวดจริงจังนัก เขาเหมือนปีกผีเสื้อที่ขยับกระพือทางอเมริกาใต้ก็ทำให้คลื่นความหนาวเย็นจากไซบีเรียปั่นป่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาก่อตั้งองค์กรสันติภาพอย่างตำหนักลับขึ้นมา และสยบสงครามที่ควรจะเกิดขึ้นตามต้นฉบับเดิมไปไม่รู้มากน้อยเท่าไร
แน่นอนผลกระทบนี้เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย เขาส่งผลกระทบต่อแผ่นดินเสวียนซวี โลกใบนี้เองก็กำลังส่งผลกระทบต่อจงจี่อยู่เช่นกัน
อาจารย์ผู้มีรูปลักษณ์ใจดีมีเมตตายังต้องหลีกหนีจากโลกอยู่บ้างในบางครั้ง ศิษย์น้องเล็กภายนอกดูสุขุมเอาจริงเอาจังแต่ความจริงแล้วมีใจขบถ เหล่าผู้อาวุโสทั้งพรรคไท่ซวีผู้ทรงมรรคศักดิ์เซียนมองเขาเหมือนเป็นลูกหลาน ยังมีผู้ฝึกกระบี่ร่วมสำนักที่ภายนอกดูแล้วไร้อารมณ์ความรู้สึกแต่ความจริงแล้วโง่งมและน่าเอ็นดู…
มนุษย์เราล้วนมีจิตใจและสายใยที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ไหนเลยที่บอกว่าจะตัดแล้วก็ขาดได้ง่ายดายเพียงนั้น
จงจี่ยื่นมือที่มองเห็นข้อต่อชัดเจนออกไป ปลายนิ้วเรืองแสงอ่อนจาง เช็ดหยาดสุราเย็นเยียบตรงมุมปากออกไปทีละน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็ยกไหสุราแล้วเงยหน้าอีกครา ปล่อยให้หยาดสุราไหลผ่านลำคอของเขา กลิ้งตามคางลงไปถึงสาบเสื้อ แล้วถูกพลังวิญญาณอบระเหยกลายเป็นไอสุราอบอุ่นเป็นระลอก
แสงจันทร์สีเงินยวงฉายส่อง ตกกระทบตัดกับชายแขนเสื้อ ทิ้งไว้เพียงเงามืดสลัวที่ทอดยาว ธารดาราเปลี่ยนเป็นห้วงมายา ดาวเคลื่อนดาราคล้อย แสงประหลาดลอบกะพริบวาบอย่างต่อเนื่อง
ท้องฟ้าในวันนี้แปลกพิกลอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะอากาศเปลี่ยน หรือบางทีอาจเป็นเพราะมีคนทะลวงขั้น แต่จงจี่ก็ไม่มีอารมณ์จะไปพิจารณา
หากเป็นในช่วงก่อนหน้านี้ที่ยังหาเค้าลางซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำลายห้วงมิติไม่พบ จงจี่อาจจะคิดใคร่ครวญสักหลายครา ไม่ไปคิดถึงปัญหานี้ชั่วคราว
แต่ว่า…
ตอนนี้หาวิธีที่จะกลับไปพบแล้ว
ในเนื้อเรื่องเดิมของจงจี่ ‘อิสระ’ มีสำนักที่ลึกลับที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง นามว่าสำนักเทียนจี
สำนักเทียนจีแต่ละรุ่นจะมีแค่ศิษย์สายตรงไม่เกินสามคน เรียกว่าอนุชนเทียนจี
เงื่อนไขของสำนักเทียนจีที่มีต่อศิษย์สายตรงนั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง มีข้อกำหนดให้ศิษย์ผู้นั้นไม่เคลื่อนไหวเพื่อสรรพชีวิต เทียบกันแล้วภิกษุผู้ตั้งจิตมั่นในพุทธะยังรู้ซึ้งเรื่องทางโลกมากกว่า ทั้งยังจำเป็นต้องใช้วิชาลับของสำนักตัดขาดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา* ของศิษย์ด้วย
ม้วนคัมภีร์หยกบนแผ่นดินเสวียนซวีมีสำนักเทียนจีเป็นคนควบคุมดูแล ผู้โดดเด่นในหมู่พวกเขานี้กระทั่งนับได้ว่าเป็นคำพ้องความหมายกับมรรคาสวรรค์บนแผ่นดินเสวียนซวีเลยทีเดียว ด้วยมีความสามารถในการมองชะตาชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
กระดาษแผ่นนั้นก็เป็นจงจี่ที่ถ่ายทอดคำสั่งให้ไปค้นหาเอาจากอนุชนเทียนจี และได้คำตอบมาจากมือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทียนจีคนปัจจุบัน
แม่กุญแจสี่ทิศ แม่กุญแจสี่ทิศ
จงจี่นึกย้อนในห้วงความทรงจำของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ชัดเจนว่ามีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่อย่างแจ่มแจ้ง แต่กลับยังคงไม่ได้สิ่งใดเลย ทำได้เพียงเหินทะยานมาบนยอดหอไจซิงแล้วดื่มสุราเพียงลำพังด้วยอารมณ์ซับซ้อน
วันนี้ในหอไจซิงจัดงานประมูลขึ้นงานหนึ่ง หน้าหอมีผู้คนแน่นขนัด ขวักไขว่คับคั่ง แม้ว่าตำหนักลับจะไม่เข้าสู่แวดวงการค้าขาย แต่ก็ยังรักษาความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าซึ่งมีไมตรีกับสมาคมการค้ารายใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก มีชั้นสำหรับให้สมาคมการค้ารายใหญ่มายืมเช่าเปิดประมูลโดยเฉพาะ
จงจี่นั่งอยู่บนหลังคาสูงเช่นนั้น ปล่อยให้สายลมเย็นพัดผมสีดำพลิ้วสยายท่ามกลางแสงดาวทั่วฟ้า ท่าเท้าแพรดำเลี่ยมทองย่ำอยู่เหนือควันไฟนับหมื่นพัน เลื่อนลอยไปไพศาล คล้ายกับว่าครู่ต่อมาจะร่อนลงที่ตรงนี้
สุราชิวลู่ไป๋ค่อนข้างเป็นสุราล้ำค่า และเป็นสุราของจักรพรรดิที่พระราชวังแคว้นตง (บูรพา) เก็บเป็นความลับ จะนำออกมาให้เชื้อพระวงศ์แคว้นตงดื่มแค่ในงานเลี้ยงแว่นแคว้นเท่านั้น ทุกปีปรากฏทั่วทุกที่ไม่เกินยี่สิบไห
นักดื่มจงจี่ ครั้งหนึ่งหลังจากดื่มไปหนึ่งจอกแล้วก็หลงใหลไม่ลืม จึงบุ่มบ่ามเข้าไปในพระราชวังที่มียอดฝีมือคอยอารักขาชั้นแล้วชั้นเล่า อาศัยความสามารถในการจดจำของตนหมักสุราตามสูตรออกมาหนึ่งชุด จากนั้นกลับมาคัดลอกหนึ่งฉบับแล้วโยนให้องครักษ์ลับไปหมักสุราอย่างเปรมปรีดิ์
องครักษ์ลับอเนกประสงค์ “…”
โชคดีที่ตำหนักลับมีความเปิดกว้างอย่างยิ่ง อัจฉริยะก็มากมาย ทั้งพิณหมากภาพอักษร อาหารหยูกยาและสุราล้วนมีความเข้าใจ จนทำสุราจักรพรรดิที่พวกเขาเฝ้าถนอมรักษาออกมาได้
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เนื่องจากวัตถุดิบเดิมอย่าง ‘น้ำค้างยามรุ่งอรุณฤดูสารทที่ใช้จานหยกรองรับ พร้อมกับหิมะแรกที่โปรยปรายลงมาในยามสาม* ฤดูเหมันต์ ผสมด้วยดอกเงินโบราณที่งดงามแบบราบเรียบแล้วปิดผนึกไว้ในไห’ นั้นเหมือนกับขนเต่า* เป็นพิเศษ ในหอไจซิงเองก็มีไม่มาก จึงจำเป็นต้องคาดการณ์ล่วงหน้า หนึ่งไหราคาพันทอง มีราคาไร้ตลาด*
ไม่รู้ว่าเย็นนี้จงจี่ดื่มไปกี่พันทองแล้ว
เขาที่ยามปกติดื่มพันจอกไม่เมาวันนี้คล้ายกับว่าจะมึนเมาอยู่บ้าง แต่เขายังคงไม่แม้แต่จะมอง สนใจเพียงแกะดินผนึกออกแล้วยกดื่ม เชิญจันทร์กระจ่างร่วมเมามาย ยืมลมสดชื่นชำระธุลี
“เจ้าตำหนัก มีแขกแก้หมากร้อยกระเรียนของชั้นหนึ่งได้”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ถึงอย่างไรเมืองเซิ่งหยางก็ไม่เคยมืดค่ำ และแสงสว่างใต้เท้าไม่เคยมอดดับตลอดกาล
องครักษ์ลับผู้สวมชุดที่ดูคล้ายกับว่าต้องการจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงรัตติกาลเดินเข้ามาหาเสียงเบา ด้วยเกรงว่าจะรบกวนบุคคลใต้แสงจันทร์
“หมากร้อยกระเรียนหรือ”
จงจี่ได้ยินพลันอึ้งงัน ความคิดที่เฉื่อยชาเล็กน้อยเพราะน้ำจัณฑ์พลันทำให้ไร้ท่าทีตอบสนองไปชั่วครู่
ในตอนที่ก่อตั้งหอไจซิงคราแรก เพื่อที่จะรักษาความลึกลับ (โกหก) จงจี่จึงตั้งใจวางหมากกระดานหนึ่งเอาไว้เป็นพิเศษที่ชั้นหนึ่ง ทั้งยังลั่นวาจาร้ายกาจออกไปด้วยว่าหากแก้หมากกระดานนี้ได้ ตำหนักลับจะตกลงทำตามคำร้องขอของผู้แก้หมากโดยไม่มีเงื่อนไขหนึ่งอย่าง
วาจาสะท้านสี่ทิศ ประโยคนี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนบนแผ่นดินเสวียนซวี
ตำหนักลับเดิมทีก็เป็นคณะบุคคลที่ประกอบการด้านข่าวสารอยู่แล้ว ทว่าข่าวสารลับสุดยอดจำนวนมากภายในกลับไม่ยอมรับวิธีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินตรา แต่จะใช้ได้เพียงสิ่งของหรือไม่ก็ใช้ความลับอื่นมาแลกเปลี่ยนเท่านั้น
โดยเฉพาะข่าวสารของระดับขั้นสวรรค์
เล่าลือกันว่าขอเพียงข่าวเหล่านี้หลุดออกไปสู่โลกแม้เพียงหนึ่งอย่างก็สามารถโหมกระพือลมคาวเลือดฝนโลหิตบนแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาได้ระลอกหนึ่ง
ที่จงจี่เลือกก่อตั้งองค์กรด้านข่าวสารขึ้นมาในตอนแรกนั้นก็เป็นเพราะเขาคือผู้รังสรรค์ ไม่มีใครจะเข้าใจโครงสร้างของโลกใบนี้ดีไปกว่าเขาแล้ว ตำหนักลับขั้นสวรรค์ของม้วนคัมภีร์หยกล้วนเป็นโครงเรื่องที่เขาเขียนบันทึกเอาไว้ในตอนแรก ยังมีแม้กระทั่ง…เหตุการณ์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
ดังนั้นในตอนที่หอไจซิงเพิ่งเริ่มดำเนินการ ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายแทบแห่แหนย่ำเข้าธรณีประตูของมัน ปรมาจารย์หมากล้อมแต่ละแคว้นต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แย่งชิงกันแก้หมาก แต่กลับยังคงไม่ได้สิ่งใด
หมากร้อยกระเรียนนั้น เป็นเพราะทั้งสี่มุมบนกระดานหมากประทับไว้ด้วยนกกระเรียนขาวกางปีกโผบินพันหมื่นตัวถึงได้ชื่อนี้มา
จงจี่อ้างอิงมาตามกลหมาก ‘หอสมบัติพันชั้น’ ของยุคโบราณ อนุมานเลียนแบบแล้ววางเอาไว้ตรงนั้นส่งๆ เพียงเพื่อให้เป็นลูกเล่นใช้ดึงดูดผู้สัญจร ต่อมาบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เขาเองก็ลืมวาจาร้ายกาจที่เคยลั่นเอาไว้ในตอนแรกไปเสียสิ้น
ทว่าวันนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีคนบอกว่าแก้กลหมากนี้ได้แล้ว
“ผู้แก้หมากคือผู้ใด”
“เป็น…จอมกระบี่พรรคไท่ซู”
…
จอมกระบี่พรรคไท่ซูอย่างนั้นหรือ
เพียงชั่วพริบตานั้นจงจี่เลิกคิ้วสูง รอยยิ้มพลันเลือนหายไป
เดิมทีเขาคิดว่าตนเองนั้นคอแข็งเป็นอย่างมาก แต่เวลานี้ดูท่าจะเมาแล้วจริงๆ
อีกทั้งยังเมาไม่เบาด้วย
‘อิสระ’ มีพรรคไท่ซูอะไรนั่นที่ใดกัน
พรรคไท่ซูเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ชัดๆ
* แบกบ่อน้ำจากบ้านเกิด เป็นสำนวนตรงกับสำนวนไทยที่ว่า พลัดที่นาคาที่อยู่ หมายถึงพลัดพรากจากถิ่นฐานเดิม
* เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา คืออารมณ์และความต้องการของมนุษย์ เจ็ดอารมณ์ได้แก่ ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียด และความเบิกบาน หกปรารถนาได้แก่ ความปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
* ยามสาม คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* ขนเต่า เป็นคำพูดติดปากของวัยรุ่นชาวไต้หวัน หมายถึงละเอียดมากเกินไป
* มีราคาไร้ตลาด เป็นสำนวน หมายถึงสินค้ากำหนดราคาสูงมาก แต่คนที่ต้องการมีน้อยทำให้ขายยาก