ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 12

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด”

จงจี่ซ้ายครุ่นคิด จากนั้นค่อยๆ หยิบยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเรียกองครักษ์ลับคนสนิทหมายเลขหนึ่งของตนมาถามคำถามจำนวนหนึ่งอย่างอ้อมค้อม แล้วถึงค่อยโบกมือไหวๆ ให้องครักษ์ลับผู้สับสนงงงวยจากไป

ความคิดนี้น่าตกใจเกินไปอยู่บ้าง เขานั่งบนยอดหออยู่คนเดียวเสียเนิ่นนาน กลับไปตรวจสอบความถูกต้องในม้วนคัมภีร์หยกซ้ำอีกครั้ง และสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชากับปากอีกครา สุดท้ายก็กวาดตาอ่านข่าวใหม่ล่าสุดของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ ถึงค่อยยอมรับความจริงอันหนักอึ้งนี้อย่างจำใจ

ภายใต้เนื้อเรื่องที่ดำเนินไปถึงตอนจบของ ‘อิสระ’ ในยามนี้ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ พลันพุ่งเข้ามาสร้างสถานการณ์อยู่ตรงหน้า และหลอมรวมเข้าด้วยกันกับโลก ‘อิสระ’ แล้ว

สองโลกนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับว่าทุกผู้คนในนิยายทั้งสองเรื่องล้วนถูกบิดเบือนความทรงจำอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีคนสังเกตเห็นปัญหาเลย

ทั้งแผ่นดินใหญ่ล้วนไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องนอกจากฉัน.jpg

ที่สำคัญคือเนื้อเรื่องของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ เพิ่งจะดำเนินมาถึงแค่ครึ่งหนึ่ง แม้แต่บอสคนสำคัญที่สุดก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา

พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือนิยายอภิมหายาวล้านตัวอักษรของจงจี่เพิ่งจะเขียนไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง เนื้อเรื่องเพิ่งจะแผ่ขยายออกเขาก็ถูกบังคับให้ทะลุมิติไปไกลลิบแล้ว

เวลาผ่านมานานมากเกินไป จงจี่จำได้แค่วันที่ทะลุมิติ วันนั้นเขาคล้ายกับว่าจะเผยแพร่ต้นฉบับเนื้อเรื่องตอนที่จิงเจ๋อออกจากการกักตนไป

แล้วหลังจากนั้น พอหลับตาและลืมตา คนก็ไม่ได้อยู่ที่โลกนั้นแล้ว

ทว่าเวลานี้โลกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม้กลายเป็นเรือแล้ว* จงจี่เองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือพลิกแพลงกอบกู้สถานการณ์อะไรอีก เขาทำได้เพียงนั่งมองตาปริบๆ อยู่บนหอไจซิงเท่านั้น ภายในกู่ก้องร้องคำรามว่าเอ็มเอ็มพี* ไปหมื่นประโยค

ในตอนนี้ทำได้เพียงยืนยันให้แน่ชัดว่าเนื้อเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ดำเนินไปถึงตอนที่จอมกระบี่วางแผนจะไปชำระแค้นพรรควั่นหมัวด้วยตัวของเขาเอง และยังห่างจากเส้นเรื่องตอนอวสานอีกไกล

เนื้อเรื่องหลังจากนั้นจงจี่เองก็ไม่แน่ใจ เวลาเว้นระยะห่างมานานถึงเพียงนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ เขายังจำได้ชัดเจน แต่ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นกลับเลือนรางไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายังไม่ได้เขียนออกมาเลยว่าเนื้อเรื่องต่อไปจะดำเนินไปทางใด เพราะเขาเขียนไว้เพียงโครงเรื่องคร่าวๆ เท่านั้น

จงจี่ : อมิตาภพุทธ ฟังฟ้าตามชะตากรรม

ด้วยเพราะภูมิหลังโลกที่นิยายสองเรื่องนี้ใช้นั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากชื่อของสำนักพรรคที่มีจุดเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างอื่นล้วนเหมือนกันแม้กระทั่งแนวทางของเรื่องราว

ตัวอย่างเช่นสำนักเทียนจีใน ‘อิสระ’ และสำนักเสวียนใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ที่จริงแล้วแค่เปลี่ยนชื่อก็เท่านั้น เปลี่ยนน้ำแกงไม่เปลี่ยนยา* ผลคือตอนนี้เปลี่ยนเป็นสำนักพรรคอิสระสองสำนัก แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากโลกหลอมรวมอนุชนเทียนจีจะต้องฉีกกระชากลากถูกันกับอนุชนสำนักเสวียนจนสะบักสะบอมเกือบตาย

แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือพลังยุทธ์ที่ห่างชั้นกันมากของสองโลก

เจ้าตำหนักลับนั่งอยู่ที่ด้านหลังกองเอกสารซึ่งกองซ้อนกันเป็นชั้นๆ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทั้งใบหน้าก็ปรากฏเป็นความท้อแท้สิ้นหวัง

จงจี่นับนิ้วไปเรื่อยเปื่อยเล็กน้อย…

บุคคลสำคัญผู้มีความสามารถสูงกว่าเขาใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ สองมือล้วนนับได้ไม่หมด

ในเส้นเรื่องนี้จะดำเนินไปถึงจุดที่ว่าจิงเจ๋อต่างหากถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่แท้จริง ผลคือเวลานี้ไม่รู้ว่าทำเนียบเสวียนจีสูบลมอะไรเข้าไป ถึงให้ขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาวตัวน้อยๆ อย่างจงจี่เหนือกว่าบุคคลสำคัญอันเป็นจุดสูงสุดเจ็ดดาว นั่งอย่างมั่นคงอยู่บนที่นั่งอันดับหนึ่งในใต้หล้าอันล้ำค่าบนทำเนียบ ขอเพียงหยิบม้วนคัมภีร์หยกมาเปิดออกชื่อของเขาก็วาบประกายระยิบระยับอยู่ด้านบนสุด ราวกับบ้านตะปู* ดื้อรั้นหลังหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะฉุดดึงความพยาบาทเกลียดชังมาได้มากเท่าไร

มารดามันเถอะ เพราะอะไรกัน

ไม่ง่ายอย่างยิ่งที่จะบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งอกตั้งใจ นี่เพิ่งจะเปลี่ยนจากไก่ผัก* ตัวน้อยเป็นพี่ใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังไม่ทันได้ออกไปโอ้อวดศักดา ผลคือโลกพลันหลอมรวมกัน เพียงหันมาก็หวนกลับไปยังช่วงก่อนปลดแอก

จงจี่ยิ่งคิดยิ่งใจเหน็บหนาว ถือโอกาสหยัดกายลุกขึ้น ใต้เท้ากะพริบวาบติดต่อกันแล้วหายไปดั่งเงาพราย พลังวิญญาณพลันเคลื่อนขยับย่อพิภพเป็นชุ่น แล้วปรากฏตัวขึ้นตรงทิศทางที่มีกลิ่นหอมฟุ้งอบอวล มีเสียงพิณกังวานอยู่ภายในห้องในฉับพลัน

เขาเข้าไปยกเก้าอี้ไม้มานั่ง หยิบป้านชาดินม่วงบนโต๊ะขึ้นมาอย่างค่อนข้างจะคุ้นเคย แล้วรินชาร้อนอันหอมหวนระอุไอให้กับตนเองจนเต็มจอกอย่างสำราญใจ

“…”

นักเล่นพิณผู้กำลังก้มหน้าดีดพิณพลันหนังตากระตุกเล็กน้อยคล้ายว่ารู้อยู่แล้ว มือยังคงไม่หยุด ทั้งยังเปลี่ยนจากพลิ้วลิ่วพลิกผันเป็นเร่งรุกรวดเร็ว

เสียงพิณแผ่วโผยสูงเพรียกขึ้นเสียงหนึ่งต่อเสียงหนึ่ง สั่นสะท้านอึงอล จากป่าไผ่ธารน้อยลอยไปถึงยุคสมัยพันทัพหมื่นทหารม้าในชั่วพริบตา ปรับเปลี่ยนท่วงทำนองอย่างแคล่วคล่อง ไร้สิ่งใดกีดขวาง

จงจี่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่ดึงดันดื้อรั้นอย่างมาก ผืนฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ ดีดพิณนั้นไซร้ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไม่ดีดให้จบสักหนึ่งบทเพลงก็จะไม่หยุดเล่นเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อตรง

พูดแล้วก็แปลก ชัดแจ้งว่าเสียงพิณเร่าร้อนดุเดือดเช่นนี้ พอหลังจากจบลงหนึ่งบทเพลงแล้วอารมณ์ที่เดิมทีกลัดกลุ้มรุ่มร้อนอยู่บ้างของจงจี่กลับสงบลงในฉับพลัน เหมือนดั่งได้เชื่อมวิญญาณกับสายลม สงัดเงียบไร้เสียง จรรโลงสรรพสัตว์

“ไม่เจอกันห้าปี ศิลปะการดีดพิณของเป่ยชิงก้าวหน้ายิ่งขึ้นแล้ว”

ท่านั่งของจงจี่ดูค่อนข้างตามแต่ใจตน เขาเกือบจะนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ไม่ได้ใส่ใจในภาพลักษณ์แต่อย่างใด

นักเล่นพิณเงยหน้าทอดมองภาพฉากนี้แล้วพลันมุ่นหัวคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงวาดมือสร้างเสียงประสานขึ้นระลอกหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเปิดปากขึ้นอย่างไม่กระชับไม่เชื่องช้า

“เจ้าตำหนักชมเกินไปแล้ว”

คุณชายเป่ยชิง นักเล่นพิณผู้ทรงเกียรติที่สุดของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ และยังเป็นสหายสนิทควบตำแหน่งปีกซ้ายไหล่ขวา* ของจงจี่อีกด้วย

ใน ‘อิสระ’ ก็เป็นน้องเล็กคนแรกที่พระเอกกำราบ เรื่องความซื่อสัตย์นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย

ในช่วงหลายปีที่จงจี่กักตนก็มีเขาเป็นตัวแทนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ของตำหนักลับ บัญชาการม้วนคัมภีร์หยก จำแนกประเภทข้อมูลข่าวสาร กำกับดูแลภาพรวมของหอไจซิง

อีกประการหนึ่ง เป่ยชิงเองก็เป็นบุคคลสำคัญของหอไจซิงเช่นกัน

ใช่ นักเล่นพิณคนสำคัญ

ไม่พูดถึงเรื่องรูปโฉมหล่อเหลา รัศมีทั่วร่างก็ดูสุขุมละโลกีย์ หนึ่งฝ่ามือดีดพิณโบราณนั่นก็ดีดเสียจนสะท้านฟ้าดินสะเทือนเทพผี แม้กำลังรบจะด้อยเล็กน้อย แต่หากพึ่งพิงทักษะศิลป์ก็สามารถท่องห้านครล้วนไม่กลัว ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ‘ชิง’ นามนี้

ชนชั้นสูงผู้รักดนตรีนับไม่ถ้วนต่างขว้างปาทองนับพันมายังเมืองเซิ่งหยางเพียงเพื่อขอพบนักเล่นพิณท่านนี้สักคราหนึ่ง แต่ก็ห้ามความใจดำของจงจี่ไม่ได้ เขารีบใช้การตลาดแบบหิวโซ* ให้นักเล่นพิณในตำนานท่านนี้เผยโฉมหน้าเพียงสองครั้งในแต่ละเดือน อีกทั้งตั๋วผ่านประตูก็ไม่อาจซื้อได้โดยตรง ทำได้เพียงใช้วิธีการชำระเงินผ่านบัตรสมาชิกซึ่งจัดการโดยหอไจซิงเท่านั้นจึงจะได้มา

แน่นอนว่าบัตรสมาชิกนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่จำกัดเพียงแค่หอไจซิงเท่านั้น ขอแค่เป็นกิจการที่อยู่ภายใต้นามของตำหนักลับ หรือสมาคมการค้าที่มีสัมพันธ์ทางหุ้นส่วนอันดีกับตำหนักลับ เพียงแสดงบัตรสมาชิกก็ล้วนได้รับการบริการและปรนนิบัติอย่างดีที่สุด หลังจากใช้กลยุทธ์นี้ไปหลายเดือนก็กลายเป็นสัญลักษณ์ฐานะที่สมควรจะได้รับบนแผ่นดินเสวียนซวี

เพราะกิจการบัตรสมาชิกนี้ ทำให้บัญชีของตำหนักลับมีเงินทองกองเข้ามาทุกวัน ในช่วงเวลานั้นบนใบหน้าจงจี่ล้วนมีรอยยิ้มจนหน้าย่นขณะพลิกบัญชี

ชาวเมืองแผ่นดินใหญ่ “…”

เจ้าตำหนักลับผู้นี้เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งนี่หนอ

“ม้วนคัมภีร์หยกช่วงห้าปีมานี้ข้าล้วนพลิกอ่านหมดแล้ว พรุ่งนี้ข้าก็จะเริ่มออกเดินทางไปแคว้นตงสักรอบหนึ่ง”

ในม้วนคัมภีร์หยกที่กองพะเนินเหล่านั้นมีเพียงกิจการของแคว้นตงเท่านั้นที่ค่อนข้างเร่งด่วนในช่วงนี้ ตำหนักลับมีสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งที่นั่น ในตอนแรกจงจี่ก็อาศัยเส้นสายนี้ทำข้อมูลลับของแคว้นตงไว้ไม่น้อย ถึงขนาดที่ในบรรดาตำหนักย่อยของทั้งสี่นครที่เหลือ อำนาจตำหนักย่อยของตงโจวนั้นทรงพลังที่สุด

ทว่านี่ไม่ใช่การทำงานเปล่า ในตอนแรกรับเอาผลประโยชน์ของคนเขาไว้แล้ว ตอนนี้จำต้องไปแล้วค่อยกลับมา จงจี่เดิมทีก็ประมาณเอาไว้ว่าเมื่อตนเองออกจากการกักตนครั้งนี้แล้วเนื้อเรื่องก็จะดำเนินไปถึงตอนอวสาน เช่นนี้ไม่สู้ไปเป็นคนว่างงานผู้หนึ่ง ท่องเมฆสี่ทะเล ออกพเนจรไปทั่วชนิดที่บอกว่าจะไปก็ไปเลยสักรอบหนึ่ง

ผลคือคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เกิดเรื่องที่ใหญ่โตยิ่งกว่าขึ้นแล้ว ถึงขนาดที่จงจี่ยังต้องคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าอีกครู่หนึ่งจะต้องวิ่งกลับไปยังพรรคไท่ซวี ปิดด่านบำเพ็ญเพียรอีกสักสองปีแล้วค่อยลงเขาหรือไม่

“ขอรับ หอไจซิงฝั่งนี้มีข้าอยู่”

แม้เป่ยชิงจะดูไปแล้วเป็นคนเฉยเมยเย็นชา แต่เขาก็เป็นคนที่พึ่งพิงได้อย่างยิ่ง มอบตำหนักลับจงโจวให้เขาดูแล จงจี่วางใจอย่างมาก

“ใช่แล้ว”

นักเล่นพิณพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาโบกมือคราหนึ่ง หยิบเทียบเชิญสีดำทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วส่งออกไป

“นี่คือสิ่งใด”

จงจี่ยื่นมือรับพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย

“เป็นของที่เป่ยโจวส่งมา”

เป่ยชิงถอดปลอกนิ้วในมือออก เขาหยัดกายขึ้น จุดกำยานสีดำด้านข้างที่มอดไปแล้วขึ้นใหม่อีกครั้ง ทิ้งให้จงจี่มองตาปริบๆ กับเทียบเชิญในมืออยู่เพียงคนเดียว

บนหนังสือเทียบเชิญ ‘จดหมายเชิญ’

เนื้อหาคือ

 

‘เจ้าตำหนักลับที่เคารพ คารวะ!

พวกเราขอเชิญท่านอย่างจริงใจให้เข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเจ้านิกายนิกายมารครั้งที่หนึ่งซึ่งจะจัดขึ้นที่เป่ยโจวในสัปดาห์หน้า เป่ยโจวอันงดงามรอคอยการมาเยือนของท่าน

 

ลงท้าย ‘บรรดาเผ่ามารที่รักของท่าน’

จงจี่ “…”

เรื่องบัดซบเยอะมาก ไม่รู้ว่าควรจะสบถถึงเผ่ามารที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสุภาพสักหน่อยก่อนดีหรือเจ้าของจดหมายเชิญนี้ก่อนดี

เผ่ามารยามเรียกระดมจัดงานชุมนุมไม่ใช่ว่าควรจะพุ่งเข้ามาแล้วเอาดาบพาดคอ ก่อนจะถามว่าน้องชายเจ้าจะมางานชุมนุมหรือไม่หรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าจะใช้คำสุภาพนี้ได้อย่าง…ลื่นไหลมาก หากจะกลับมาพูดถึงอีกก็คือคนจากเผ่ามารกลุ่มหนึ่งเรียกระดมการชุมนุมในหัวข้อเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนอย่างนั้นหรือ พูดออกไปใครจะเชื่อกัน

จงจี่นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อห้าปีก่อนคณะลาหัวโล้น* กลุ่มนั้นของวัดหานอิ่น (ซ่อนเหมันต์) ได้เรียกระดมจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะของแผ่นดินเสวียนซวีแต่ละคนไปปราบปรามนิกายมารด้วยกันที่เป่ยโจว เดิมทีเขาก็ล้วนเตรียมข้าวโพดคั่วสุราชิวลู่ไป๋เอาไว้เรียบร้อย คิดจะนำติดตัวไปชมละครให้ดีๆ สักหน่อย หากไม่ใช่เพราะกักตนอย่างกะทันหันล่ะก็ จงจี่ก็คงจะเป็นผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์* ไปก่อนแล้ว

หรือว่า…ลาหัวโล้นกลุ่มนั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ จุดประกายให้ทั้งเผ่ามารผู้ป่าเถื่อนได้รู้แจ้งแล้วอย่างนั้นหรือ

 

* ไม้กลายเป็นเรือแล้ว เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องราวที่ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงได้

* เอ็มเอ็มพี เป็นคำสบถ แปลตรงตัวได้ว่าแม่ขายตูด น้ำหนักของคำเทียบเท่ากับคำว่า Fuck ในภาษาอังกฤษ

* เปลี่ยนน้ำแกงไม่เปลี่ยนยา เป็นสำนวน หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะภายนอก แต่เนื้อหาภายในยังคงเดิม

* บ้านตะปู หมายถึงบ้านที่ยืดหยัดต้านการรื้อถอนของเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องการนำที่ดินไปทำโครงการพัฒนาต่างๆ

* ไก่ผัก เป็นคำสแลง หมายถึงอ่อน ห่วย ไร้ประสบการณ์

* ปีกซ้ายไหล่ขวา เป็นสำนวน หมายถึงผู้ช่วยผู้มากความสามารถ

* ชื่อภาษาอังกฤษคือ Hunger Marketing เป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับกิเลสของคน เป็นวิธีสร้างความเร้าใจให้เกิดความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างที่สุดจนถึงขั้นแย่งกันซื้อ

* ลาหัวโล้น เป็นคำด่าหรือล้อเลียนพระภิกษุ

* ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์ มาจากสำนวนที่ว่า ‘หอยกาบกับนกปากซ่อมยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์’ หมายถึงกลับกลายเป็นบุคคลที่สามที่ได้ประโยชน์จากการทะเลาะกันของบุคคลทั้งสอง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com