ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 13-14 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 14

 

หลังจากจงจี่ถูกนักเล่นพิณขับไล่ออกมาก็ทำได้เพียงวิ่งกลับไปยังชั้นบนสุดอย่างเซื่องซึม ก่อนก้มหน้าลงท่ามกลางม้วนคัมภีร์หยกกองพะเนินต่อ เขากวาดตาอ่านทีละหน้า และค่อยๆ เรียงร้อยสถานการณ์หลังจากโลกหลอมรวมกันของแผ่นดินเสวียนซวีในเวลานี้ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารอันมหาศาลดั่งทะเลหมอก

แสงสว่างวาบไหวอย่างแช่มช้า ปกคลุมให้ห้องหนังสือแห่งนี้อยู่ในบรรยากาศอบอุ่น เคียงคู่กันกับสีรัตติกาลอันครึ้มเข้มนอกหน้าต่าง มีเค้าลางของเหล่านักเรียนสมัยโบราณถือโคมอ่านตำรายามดึกอยู่บ้าง

หอไจซิงจะปิดอย่างตรงเวลาเมื่อถึงยามสามของทุกวัน ยามเที่ยงคืนจงจี่วิ่งไปยังชั้นหนึ่งของหอไจซิงรอบหนึ่ง มองเห็นกระดานหมากที่ถูกจัดเรียงไว้ตามเดิมแล้วที่ตำหนักหลัก

เรื่องที่หมากร้อยกระเรียนถูกจอมกระบี่แก้หมากได้ในวันนี้ขึ้นไปอยู่บนม้วนคัมภีร์หยกเรียบร้อยแล้ว พอดีกับหลังจากขึ้นพาดหัวข่าว ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนกำลังคาดเดากันว่าจอมกระบี่จะมีเงื่อนไขอะไรกับตำหนักลับ

ถึงอย่างไรขอบเขตอำนาจของตำหนักลับในยามนี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน เจ้าตำหนักลับยังเคยลั่นวาจาเอาไว้อย่างร้ายกาจอีกว่าสามารถตกลงทำตามคำร้องขอของผู้แก้หมากโดยไม่มีเงื่อนไขหนึ่งอย่าง นี่ทำให้ผู้คนไม่น้อยอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก

“เจ้าตำหนัก”

เขาพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับองครักษ์ลับ แต่เท้ายังก้าวต่อไม่หยุด เดินมาตรงหน้ากระดานหมากนั้นแล้วค้อมตัวลงมอง

กระดานหมากใหญ่มาก บนนั้นประทับภาพนกกระเรียนขาวในท่ากำลังจะกางปีกบินสูงจำนวนหนึ่งร้อยตัวพอดิบพอดี เพราะฝีมืออันลึกล้ำของจิตรกร หลังจากถ่ายเทปราณวิญญาณเข้าไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พวกมันดูคล้ายว่าจะหลุดออกมาจากกระดานหมากได้ในทันทีเมื่อร้องเรียก ปราดเปรียวดั่งมีชีวิตจริงๆ

จงจี่ยังจำ ‘หอสมบัติพันชั้น’ ของประเทศจีนยุคโบราณที่ตนอ้างอิงถึงก่อนหน้านี้ได้ เขายืมใช้กลวิธีนี้สร้างหมากกระดานที่แปลกประหลาดและปรวนแปรออกมาหนึ่งกระดาน

ตำแหน่งที่เม็ดหมากสีดำขาวนั้นวางอยู่บนกระดานหมากนี้ประณีตอย่างที่สุด หากมองไม่ละเอียดคงคิดว่าวางส่งเดช แต่หากหยิบหัวใจแห่งการแก้หมากขึ้นมาแล้วพิจารณาอย่างถ้วนถี่จะพบกับจิตสังหารชั้นแล้วชั้นเล่าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กระดานหมากนี้จนจำใจต้องล่าถอย สุดท้ายเมื่อถอยแล้วก็จะต้องถอยอีกจนไร้หมากจะวาง

ปรมาจารย์หมากล้อมผู้มีชื่อเสียงแทบทุกคนใน ‘อิสระ’ ล้วนมีผังและคำอธิบายการวางหมากของหมากร้อยกระเรียนคนละฉบับ แต่กลับไม่มีผู้ใดวางหมากได้แม้เพียงครึ่งหนึ่ง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิงเจ๋อแก้หมากได้อย่างไรกัน

จงจี่จำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ตนออกแบบตัวละครในตอนแรกนั้นเหมือนจะไม่ได้ใส่นิ้วทองคำด้านการวางหมากให้กับจิงเจ๋อ

แต่กระดานหมากตรงหน้ากลับวางหมากได้เบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง หลังจากหยุดชีวิตตนเองก็โค่นล้มหมากตายดั้งเดิมได้ในฉับพลัน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะปรบมือร้องว่าดี

“ไม่จำเป็นต้องวางเรียงแบบเดิมแล้ว ปล่อยมันไว้เช่นนี้เถิด”

“…”

“ไปเตรียมตัวสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกเดินทางไปแคว้นตง”

“ขอรับ”

ในเนื้อเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ หลังจิงเจ๋อออกจากการกักตนก็มาหาอนุชนสำนักเสวียนท่านหนึ่งที่เมืองเซิ่งหยาง ถึงค่อยได้รับข้อมูลสั้นๆ เกี่ยวกับพรรควั่นหมัว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นเรื่องดี จอมกระบี่จับพลัดจับผลูมาเจอตำหนักลับของจงจี่ และตัวนักเขียนเองก็เป็นคนเอาสูตรโกงให้เขาโดยการเผยภูมิหลังของพรรควั่นหมัวออกไปจนหมด

…จงจี่เน้นย้ำแม้กระทั่งตำแหน่งห้องลับของพรรควั่นหมัวที่มีเพียงประมุขพรรคแต่ละรุ่นเท่านั้นที่รู้ให้กับลูกชายของตนด้วย

นี่ก็บังเอิญเกินไปแล้ว เพราะก่อนจะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย มีเพียงเนื้อเรื่องของพรรควั่นหมัวเท่านั้นที่ในตอนแรกจงจี่วางแผนเอาไว้ว่าจะเขียนภาคแยกออกมาสักภาคหนึ่งใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสยกพู่กันวาดแผนที่ภูมิศาสตร์ของพรรควั่นหมัวออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการวางโครงเรื่องและการขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง

จงจี่นึกถึงจอมกระบี่ชุดขาวที่มองเห็นผ่านดวงตาพร่ามัวด้วยความเมามายในคืนนั้น ภายในใจก็สับสน

คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นผลประโยชน์ให้กับจิงเจ๋อ

แสงนภาเจิดจ้านอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีราตรีอีกคราหนึ่ง สุดท้ายความมืดครึ้มก็ถูกแสงอาทิตย์ทางบูรพาฉีกทะลวงอีกครั้ง บนถนนหนทางที่ค่อนข้างเงียบสงัดฟุ้งตลบไปด้วยควันมนุษย์อีกครา พ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเริ่มวางสิ่งของของตนเองลงบนพื้นให้เรียบร้อย ก่อนกางร่มบังแดดที่วาดยันต์ลดอุณหภูมิคันหนึ่ง หมายมั่นว่าจะต้อนรับวันที่ดีงามวันใหม่

“ดูเร็ว นั่นอะไรน่ะ!”

“อะไร อะไร!”

“เหมือนว่ามีคนก่อเรื่องที่เมืองเซิ่งหยาง! ผู้ใดหาญกล้าถึงเพียงนี้!”

ริมแม่น้ำเหวยสุ่ยทางเหนือพลันมีเสียงจอแจเอิกเกริกระลอกหนึ่งลอยมา บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่ก้มหน้าเดินถนนหรือไม่ก็กำลังทำการค้าขายต่างหยุดเท้าแล้วเงยหน้าชูคอขึ้นดูความคึกคัก

ยามปกติเมืองเซิ่งหยางถูกหลายสำนักพรรคใหญ่ปกครองร่วมกัน ไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสานในที่แห่งนี้

วันนี้ไม่รู้ผู้ใดขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าก่อเรื่องที่เมืองเซิ่งหยางเลยหรือ

หรือคนผู้นั้นไม่รู้ว่าที่นี่มีพรรคไท่ซวีเป็นผู้รับผิดชอบดูแล คิดอยากขอคำชี้แนะความเก่งกาจของผู้บังคับกฎพรรคไท่ซวีสักหน่อยใช่หรือไม่

ในตอนที่กลุ่มผู้กินแตงนับไม่ถ้วนล้วนเปิดม้วนคัมภีร์หยกเตรียมชมละครกันแล้วนั้น เหตุการณ์กลับพลันพลิกผันเกินความคาดหมาย

“ประเดี๋ยวก่อน คนผู้นั้น…ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ทรงพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์!!!”

“เจ้าว่าอะไรนะ ผู้ทรงพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ!”

แม้โลกจะหลอมรวมกันแล้วอย่างแท้จริง แต่ผู้ที่สามารถทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ในนิยายทั้งสองเรื่องนั้น พูดอย่างไรก็ได้เพียงแค่สามสี่สิบคน บนแผ่นดินเสวียนซวีที่มีอัจฉริยะมากมายพูดได้เลยว่าแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือ

ผู้ที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่ตะลึงงันไปแล้ว โดยมีพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยผู้หนึ่งเห็นกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งเข้าพอดี

บุรุษผู้สวมชุดสีดำกระโดดลงมาจากบนหออันดับหนึ่งในใต้หล้า ผมสีดำทั้งศีรษะพลิ้วสยายกลางอากาศตามอำเภอใจ แขนเสื้อที่ปักดิ้นทองแพรวพราวโบกสะบัดรุนแรง กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับดวงอาทิตย์แรกแย้มริมขอบฟ้าซึ่งยังไม่ทันเผยออกมาเต็มดวง

ท่วงท่าก้าวกระโดดของเขานั้นสง่างามอย่างที่สุด ในตอนที่พ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเช็ดเหงื่อเย็นเพราะเขา คนผู้นั้นกลับมุ่นคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ปลายเท้าแตะลงคราหนึ่งคล้ายย่ำไปตามแต่ใจ มองดูแล้วเป็นเพียงก้าวสั้นๆ แต่กลับยืมอากาศย่ำเหยียบลงบนความว่างเปล่าอย่างมั่นคง

ขั้นศักดิ์สิทธิ์!

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ชมละครอยู่สูดลมหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง สายตาที่มองไปยังกลางอากาศยิ่งทวีความเร่าร้อน

แผ่นดินเสวียนซวีเดิมทีก็ถือวรยุทธ์เป็นใหญ่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนใช้ความสามารถมาพูดคุย สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้ว ภายในใจของทุกผู้คนล้วนเคารพเลื่อมใส ขั้นศักดิ์สิทธิ์มีฐานะเป็นระดับขั้นสูงสุดที่ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถไปถึงได้ในเวลานี้ เป็นตัวตนที่มีคุณสมบัติจะยืนอยู่บนปลายยอดพีระมิดหรือเหนือศีรษะของผู้คนนับหมื่นพัน

นั่นเป็นพี่ใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งกว่าแพนด้ายักษ์เสียอีก

“ผู้ทรงพลังท่านใดมาเยือนเมืองเซิ่งหยางกัน”

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไถ่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย และคนที่มารวมตัวกันตรงนี้ในเวลานี้ยิ่งมายิ่งเยอะ ผู้บังคับกฎเองก็เริ่มทำตามระเบียบการป้องกันแล้ว

แต่ว่าผู้อยู่บนฟ้าท่านนั้น…หากพูดกันอย่างจริงจังแล้วก็ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบใด เพราะเขาย่ำลงบนอากาศ ไม่ได้เหยียบลงบนกระเบื้องหยกจนทำลายระเบียบสาธารณะ

“ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์”

สายลมเย็นพัดผ่าน ใบหน้าของบุรุษผมดำผู้นั้นไม่เปลี่ยนสี ย่างก้าวอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง เพียงสองสามก้าวในชั่วลมหายใจก็ย่ำข้ามเหนือศีรษะผู้คนบนถนนอันรุ่งเรืองที่สุดของเมืองเซิ่งหยางไปแล้ว

เนื่องด้วยระยะอันห่างไกล คนจำนวนมากนั้นมองไม่เห็นโฉมหน้าของเขา แต่ในตอนที่สายลมเย็นพัดผ่าน กระบี่ยาวสีดำทองซึ่งซุกซ่อนอยู่ข้างเอวเขาเล่มนั้นพลันเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาครึ่งหนึ่ง พร้อมด้วยพลังปราณวิญญาณอันสะท้านสะเทือนของผู้เป็นเจ้าของ แม้จะเป็นผู้ที่อยู่ไกลออกไปก็ล้วนสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่อันเข้มงวดที่มาพร้อมกับตัวกระบี่

ผู้บำเพ็ญเพียรที่สวมชุดสีดำทองมีมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่ตามกระแส

ผู้บำเพ็ญเพียรที่สวมชุดสีดำทองและพกกระบี่ยาวสีดำทองเองก็มากมาย เหตุผลเหมือนกันกับด้านบน

แต่ผู้ที่สวมทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกันเป็นเสมือนดั่งทิวทัศน์จันทร์หลังฝน ทั้งยังมีการบำเพ็ญเพียรลึกล้ำไม่อาจหยั่งเช่นนี้ มีเพียงจอมท่านผู้เป็นที่กล่าวขวัญเพียงผู้เดียวแล้ว

“ยามนี้ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวในเมืองเซิ่งหยางแล้ว!”

ผู้สัญจรบนถนนต่างวิ่งโร่ร้องเร่ สีหน้าแปลกใจระคนดีใจ และข่าวนี้ก็ดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนเข้ามามุงดูภายในเวลาไม่นาน

หลังทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนจะมีสมญานามเป็นของตนเอง ผู้ที่ใช้กระบี่ก็เป็นจอมกระบี่ เซียนกระบี่ ภูตกระบี่ มารกระบี่อะไรเหล่านั้น ผู้ใช้ดาบก็จะเป็นมารดาบ ภูตดาบ เทพดาบอะไรเหล่านั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน หากกล่าวโดยทั่วไปแล้วก็ล้วนใช้อาวุธมามอบสมญานาม

แน่นอน ข้อยกเว้นก็มี ตัวอย่างเช่นมหาเทพจอมมารประเภทนี้คือการใช้ตัวตนมากำหนดสมญานาม

แต่จงจี่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กลับแตกต่างอย่างหาได้ยาก ทว่าฟังดูแล้วก็เป็นประเภทที่เจ๋งสุดยอด

เขาออกแบบให้ตัวละครของตนเองครอบคลุมไว้ด้วยรัศมีของผู้สูงส่งเฉื่อยชาที่มักเอาสองมือไพล่หลัง หลังปรายตามองฝูงชนเบื้องล่างแล้วเห็นว่าต่างก็สะดุ้งตกใจกันได้ประมาณหนึ่งแล้วถึงค่อยหยิบของวิเศษชิ้นหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นโยนขึ้นไปกลางอากาศ มันหมุนคว้างและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นวัตถุขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งแผ่ในกลางอากาศ ฉายแสงสีอ่อนจางเรืองรอง

ของวิเศษชิ้นนี้คือแผนที่นครภูผาธาราที่เหมาะแก่การสร้างภาพอย่างที่สุด อย่ามองเพียงว่าชื่อของมันค่อนข้างไพเราะเป็นพิเศษ ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงของวิเศษในการสื่อสารที่ดูดีชิ้นหนึ่งเท่านั้น

จงจี่จงใจสร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเขาพึงพอใจผลลัพธ์ในยามนี้มาก

เวลานี้เขาต้องไปให้การสนับสนุนแก่องค์ชายผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานแห่งแคว้นตงผู้นั้นตามคำสัญญา ย่อมต้องคืนฐานะกลับไปเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พรรคไท่ซวี

ความยากของเรื่องนี้เดิมทีนั้นเป็นระดับ D แต่เพราะว่าโลกหลอมรวมเข้าด้วยกันจนมีมหาเทพตงเหยี่ยนเพิ่มเข้ามา ระดับความยากเลยเปลี่ยนเป็นระดับ S แล้ว

เพราะไม่มีทางเลือก จงจี่ถึงได้ใช้กลยุทธ์นี้

เขาทอดถอนใจอยู่ภายในใจเฮือกหนึ่ง แขนเสื้อยาวโบกสะบัด ยังคงมีท่วงท่ากำเริบเสิบสานไม่เหลียวแลสรรพสิ่ง

ความตระการตาของแผนที่นครภูผาธารานั้นตระการตาจริง แต่จงจี่ยังไม่ค่อยพอใจนัก

เพราะนี่ไม่ใช่การสร้างภาพขั้นสูงสุดของเขา

บุรุษชุดดำรูปร่างระหง ยืนอยู่เหนือเมฆฟ้า มองดูแล้วหล่อเหลาสง่างาม แต่ความจริงในใจกำลังคิดวางแผนอยู่ว่าจะวิ่งไปเมืองฮ่วนไห่ฮวา (ดอกไม้ทะเลมายา) แล้วจับกระเรียนเซียนสักตัวกลับมาทำเป็นสัตว์พาหนะก่อนดีหรือไม่

จากนั้นจงจี่ก็พบว่ายิ่งคิดยิ่งเป็นไปได้

กระเรียนเซียน ของเล่นชนิดนี้เดิมทีก็ได้รับการยกย่องจากผู้บำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว ด้วยคิดว่ามันสูงศักดิ์บริสุทธิ์ เหมาะสมตามครรลอง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเซียน

รอจัดการเรื่องของแคว้นตงให้เสร็จ วิ่งไปซากแห่งหยวนกู่สักรอบ ก่อนจะเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของนิกายมาร จากนั้นค่อยลองไปจับกระเรียนเซียนมาเล่นสักตัวหนึ่งก็ไม่เสียหาย

เขาคิดคำนวณเสร็จสรรพด้วยความพอใจแล้วก็เหยียบแผนที่นครภูผาธารามาเริ่มเร่งปราณวิญญาณ ทันใดนั้นเส้นขนละเอียดทั่วร่างพลันตั้งชัน พร้อมกับสัมผัสได้ว่าถูกปราณกระบี่เข้มงวดสายหนึ่งกำหนดเป้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับคนผู้หนึ่ง

มือกระบี่ชุดขาวเหมือนกระบี่ที่ออกจากฝักกำลังยืนอยู่บนกำแพงครามกระเบื้องหยก แม้สีหน้าจะเฉยเมยเสียจนเข้าใกล้คำว่าไม่มี แต่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความต้องการต่อสู้ ดวงตาสีดำที่ทอดมองมานั้นนิ่งขรึม

จงจี่เห็นความหมายของประโยค ‘แค่ขอต่อสู้ด้วยสักรอบหนึ่ง’ มากมายนับไม่ถ้วนในจากดวงตาสีดำคู่นั้น

จงจี่ “…”

แผนที่พรรควั่นหมัวเขาก็ให้ไปแล้ว เหตุใดไอ้เด็กนี่ถึงยังไม่ไปตามหาค่ายที่มั่นใหญ่ของพวกเขาเล่า

พูดอีกก็คืออย่าคิดว่าเจ้าเป็นจอมกระบี่แล้วจะยืนอยู่บนกระเบื้องหยกของเมืองเซิ่งหยางพวกข้าได้โดยไม่เป็นอะไรนะ นี่คือการทำลายระเบียบสาธารณะเข้าใจหรือไม่

ควรจะเรียกผู้บังคับกฎพรรคไท่ซวีมาที่นี่เพื่อออกใบสั่งสักใบแล้ว (ยิ้มกริ่ม)

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com