everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 17-18 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1
ผู้เขียน : วั่งยา
แปลโดย : คุณต่ง
ผลงานเรื่อง : 表面天下第一
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 17
จิงเจ๋อปรากฏตัวที่นี่ย่อมมีเหตุผล
ด้วยนิสัยประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ข้าม* ของจอมกระบี่แล้ว สามารถออกจากดินแดนหิมะของภูเขาเทียนซานพรรคไท่ซูได้เช่นนี้ คิดดูแล้วคงเพราะมีเรื่องสำคัญอย่างที่สุด
เขาจะไปชำระแค้น ไปชำระแค้นที่พรรควั่นหมัวของแคว้นเป่ย
เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว
หากต้องการไปอาณาเขตของเผ่ามารแคว้นเป่ยก็ต้องผ่านเมืองไป๋จิง
จิงเจ๋อย่ำเมฆมาเยือน กำลังวางแผนไปเด็ดชีวิตสุนัขของศัตรูที่พรรควั่นหมัว เวลานี้แค่ผ่านทางมาดื่มชาจอกหนึ่งก็จะจากไปประเภทนั้น
ในตอนที่จงจี่เขียน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ในทีแรก ใช้แค่คำว่าเวทนาเพียงคำเดียวมาบรรยายพระเอกผู้นี้เพื่อที่จะสร้างจุดไคลแมกซ์ให้กับนิยาย
มารดาของจิงเจ๋อเป็นเผ่าปีศาจ ทั้งยังเป็นสายเลือดของเทพเผ่าปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในปีนั้นอีกด้วย นางตั้งครรภ์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเผ่าปีศาจเลยทีเดียว
ในตอนที่จิงเจ๋ออายุเจ็ดขวบ ฐานะของมารดาเขาเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อประสบกับโจรโลภ ตระกูลใหญ่โลหิตไหลเป็นธารยาวในหนึ่งราตรี จากคุณชายตระกูลใหญ่จิงเจ๋อต้องระเห็จไปเป็นขอทานข้างถนน รากวิญญาณถูกทำลาย บุตรที่รักแห่งสวรรค์ร่วงตกหุบเหว ได้รับความระทมแห่งโลกิยะถึงที่สุด
เพื่อการชำระแค้นจิงเจ๋ออาศัยความอุตสาหะอันน่าตื่นตะลึงกราบเข้าพรรคไท่ซูสำนักพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า กระโดดเข้าไปก่อรากวิญญาณเย็นยะเยือกขึ้นมาใหม่ ได้รับความทุกข์ยากแล้วถึงค่อยฟื้นคืนร่างแห่งการบำเพ็ญเพียรได้
ถึงอย่างไรก็เป็นมาตรฐานของพระเอก นิ้วทองคำในด้านพรสวรรค์แข็งแกร่งมาก หลังแก้ไขปัญหาเรื่องรากวิญญาณ ความสามารถเองก็พอกพูนสูงขึ้น
เมื่อพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ถูกมารกระบี่พรรคไท่ซูพบเข้า มารกระบี่จึงคิดจะรับจิงเจ๋อเข้ามาในสำนัก
ในพรรคมารกระบี่มีศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น อาจารย์เข้มงวด ศิษย์พี่อ่อนโยน ทำให้จิงเจ๋อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปเนิ่นนาน
เดิมทีก็คิดว่าความทุกข์ระทมสิ้นสุดแล้ว แต่ผลคือโชคชะตากลับตีแสกหน้าเขาอีกคราหนึ่ง
มารกระบี่อี้เจวี๋ยก็เป็นเพียงเกราะชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกฐานะหนึ่งของอาจารย์ของจิงเจ๋อแท้จริงแล้วเป็นประมุขพรรควั่นหมัว นั่นก็คือจอมมารราตรีมืดมิดผู้ทำให้คนแว่วเสียงลมก็เสียขวัญในทุกวันนี้ และยังเป็นตัวการผู้ก่อการสังหารหมู่ฆ่าล้างตระกูลของจิงเจ๋อ
จอมมารราตรีมืดมิดรับจิงเจ๋อเป็นศิษย์ย่อมวางแผนมุ่งร้าย
จิงเจ๋อมีกระดูกกระบี่โดยกำเนิด แค่เกิดมาก็ย่ำเข้ามรรคาไร้อารมณ์ไปครึ่งก้าวแล้ว คุณสมบัติเช่นนี้ไม่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนไม่ได้
หลายสิบปีก่อนจอมมารราตรีมืดมิดถูกปรมาจารย์ไป๋อวี่แห่งวัดจื่อกวง (แสงม่วง) ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ทิ้งบาดแผลบอบช้ำภายในให้เขาไปชั่วชีวิต เวลานี้เกิดความคิดจะแย่งชิงร่างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในภายหลังอี้เจวี๋ยยังพบว่าจิงเจ๋อคือเด็กกำพร้าที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวจากพิบัติฆ่าล้างตระกูลครั้งนั้น
ทว่าการฆ่าล้างตระกูลในคราแรกแม้จะฆ่าล้างจนสิ้นแล้ว แต่สิ่งที่อี้เจวี๋ยต้องการนั้นกลับหาไม่เจอ ภายใต้การคาดเดา ของสิ่งนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอยู่ในมือจิงเจ๋อ ดังนั้นภายนอกเขาจึงเป็นอาจารย์ที่ดี แต่ในที่ลับกลับเป็นดั่งอสรพิษจำศีลอย่างไรอย่างนั้น เพียงรอให้การบำเพ็ญเพียรของจิงเจ๋อสูงขึ้นอีกสักหน่อยถึงค่อยใช้มหายุทธ์แย่งชิงร่าง
อาจารย์เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ผู้ภายนอกอ่อนโยนย่อมไม่ใช่สิ่งดีอะไร
ศิษย์พี่อี้โม่นั้นเป็นประมุขน้อยพรรควั่นหมัว และเป็นบุตรคนโตของอี้เจวี๋ย มองจากภายนอกแล้วอ่อนโยนยิ้มละไมอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วก็มีน้ำเสียเต็มท้อง* ภายนอกดูแล้วเอาใจใส่กวดขันจิงเจ๋อ แต่ความจริงแล้วริษยาพรสวรรค์ของจิงเจ๋ออย่างที่สุด เอาแต่ยุให้รำตำให้รั่ว หาความลำบากมาให้กับจิงเจ๋อโดยไม่ทิ้งร่องรอย
จิงเจ๋อได้พบกับตัวรับกระสุนผู้วิ่งมาขอให้ตบหน้ามากมายถึงเพียงนั้นที่พรรคไท่ซู ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นฝีมือของศิษย์พี่คนดีผู้นี้
กล่าวโดยสรุปก็คือจิงเจ๋อนั้นล่วงเข้ารังโจร ได้รู้จักอาจารย์จอมปลอม ตอนที่อี้เจวี๋ยต้องการจะใช้วิชาชิงร่างในตอนสุดท้ายนั้นจิงเจ๋อก็ได้พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างชาญฉลาด จากนั้นจึงเป็นฝ่ายดูดซับพลังบำเพ็ญเพียรครึ่งหนึ่งบนร่างของอี้เจวี๋ย แล้วเปิดโปงฐานะจอมมารของเขาต่อหน้าผู้คนพรรคไท่ซู
แต่ของดูต่างหน้าที่มารดาจิงเจ๋อทิ้งเอาไว้ให้ สมบัติลับในตำนานชิ้นนั้นยังคงถูกจอมมารแย่งชิงแล้วเร่งร้อนหนีไป
ดังนั้นเรื่องที่เหตุใดจิงเจ๋อถึงฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างบ้าคลั่งก็ไม่ยากเกินความเข้าใจ เวลานี้หลังออกจากการกักตนอย่างพึงพอใจก็อยากจะถือกระบี่เข้าไปชำระแค้นพรรควั่นหมัวเต็มแก่
ผู้ชายน่าเวทนามากคนหนึ่ง.jpg
ส่วนสาเหตุที่มู่เหยี่ยปรากฏตัวที่นี่นั้น…
ในฐานะศิษย์เอกพรรคอู๋จี๋ มู่เหยี่ยในเวลานี้ใช้วิธีการอันน่าสังเวชใจเช่นนี้ส่งจงจี่ขึ้นตำแหน่ง และก็เป็นวิธีการเดียวกันนี้ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่
เวลานี้ห่างจากยามที่เขาถูกจงจี่กำราบต่อหน้าผู้คนทั้งใต้หล้าเพียงไม่กี่วัน มู่เหยี่ยย่อมไม่มีหน้ากลับพรรคไปรับคำเยาะเย้ยถากถางจากทุกคนโดยมีอาจารย์เป็นผู้นำได้ชั่วคราว
ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากพรรค
ด้วยเหตุผลอันทรงเกียรติผ่าเผยอย่างยิ่ง
สำรวจพบธรณีประตูของขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไปครู่เดียวก็กลับ ไม่ต้องคิดถึง
ด้วยเหตุนี้มู่เหยี่ยจึงปฏิเสธทุกวิธีการติดต่อสื่อสาร หนึ่งคนหนึ่งดาบ ชุดเทาม้าแกร่ง ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งผู้พเนจรสุดขอบฟ้า
หลังจากนั้นก็บังเอิญเช่นนี้แล คนสามคนพบกันที่เหลาสุรา
เหลาสุราแห่งนี้มีชื่ออย่างยิ่ง เป็นร้านเก่าแก่พันปีของเมืองไป๋จิง ฝีมือในการหมักสุราผ่านการฝึกฝนทำซ้ำตกตะกอนมาแล้ว ถึงได้มีความกลมกล่อมอย่างทุกวันนี้ เป็นจุดเช็กอินที่โด่งดังบนโลกออนไลน์ของเมืองไป๋จิง
แม้มู่เหยี่ยจะสวมหมวกสาน แต่จงจี่ก็ยังจำคนคุ้นเคยเก่าผู้นี้ได้ในปราดเดียว
ไร้สาระ ท่าทางตอนเดินจองหองถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีน้ำเสียงดื้อด้านดึงดันตอนควักศิลาวิญญาณออกมา นอกจากมู่เหยี่ยแล้วจะมีผู้ใดอีก
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีลักษณะกวนประสาทโดดเด่นเช่นนี้มาแต่กำเนิด
ตอนแรกจงจี่มองเห็นจิงเจ๋อก็ก้นขมิบคราหนึ่งแล้ว เวลานี้ยังมีมู่เหยี่ยมาอีกคนหนึ่ง ยิ่งปวดไข่เข้าไปอีก กล้าเพียงยื่นมือไปกดขอบหมวกสานให้ต่ำลงแล้วต่ำลงอีก ปิดกั้นฝังตนเองอยู่ในมุมหนึ่งและก้มศีรษะลงดื่มสุราอยู่เงียบๆ
วาจาล้วนไม่กล้าเอ่ย
ถึงอย่างไรเสียงก็เป็นเครื่องระบุตัวตนด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หากมู่เหยี่ยเจอตัวแล้วต้องยกดาบพุ่งเข้ามาเป็นอันดับแรกแน่
“ลูกค้า ร้านเราคนเต็มแล้ว ท่านลองดูก่อนว่าสามารถนั่งร่วมกับโต๊ะอื่นได้หรือไม่”
ในชั่วพริบตาที่มู่เหยี่ยย่ำเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ร้านพลันเข้าไปต้อนรับ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเสียใจเต็มเปี่ยม
“เอาตามสะดวกเถิด”
เสียงนักดาบทุ้มต่ำ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีความกำเริบเสิบสานเอาแต่ใจอย่างในความทรงจำยามปกติของจงจี่
ดูแล้วการประลองครั้งนั้นกระทบเขาไม่น้อยเลยจริงๆ
จงจี่ถอนใจแผ่วเบาแล้วละเลียดสุราต่ออึกหนึ่ง คิดจะหันศีรษะไปลอบมองการเคลื่อนไหวทางนั้นสักเล็กน้อย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างกระตือรือร้นของเสี่ยวเอ้อร์ “ได้เลย โต๊ะทางนั้นมีแขกอยู่เพียงท่านเดียว…”
ทางนั้น? ทางใด
จงจี่พลันสะดุ้ง เมื่อกวาดตามองปราดหนึ่งก็เห็นว่าโต๊ะเก้าอี้ใกล้เคียงไม่มีที่นั่งว่างเลย
เวร
ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกมั้ง
“…ลูกค้าสะดวกจะนั่งร่วมโต๊ะกับพี่ชายน้อยท่านนี้หรือไม่”
“ลูกค้า? ลูกค้า?”
ขณะกำลังคิดเสี่ยวเอ้อร์ก็เดินมาถึงตรงหน้าเขา จากนั้นใช้เสียงไม่ดังไม่เบาสอบถามเขาติดต่อกันอยู่หลายครั้ง แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ถูกตัดบทสนทนา แล้วหันมามองทางนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
จงจี่ “…”
มารดาเถอะ ฉันต้องตอบหรือไม่ตอบดีล่ะ
ถ้าตอบไปแล้วมู่เหยี่ยมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา จะต้องจำจงจี่ได้แน่นอน ถ้าไม่ตอบก็จะหมายความว่าตนเองไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเปิดปากทีหนึ่งเขาก็จะตกม้าอยู่ดี
คล้ายกับว่านี่จะเป็นวังวนแห่งความตาย
จงจี่จำต้องส่ายหมวกสานเล็กน้อย ทนไม่ไหวชนิดอยากจะย่อพิภพเป็นชุ่นเสียเดี๋ยวนี้ หายไปจากที่ตรงนี้ทันที
“หากว่าลูกค้าท่านนี้ไม่ยินยอม เช่นนั้นรบกวนพี่ชายน้อยรออีกสักครู่เถิด”
เสี่ยวเอ้อร์เองก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับคำปฏิเสธ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้เข้ามาก็สั่งสุราหลีฮวาไป๋สิบปีไหหนึ่ง ดูท่าทางแล้วก็เป็นนายท่านไม่ขาดเงินผู้หนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ไม่อาจตัดสินถูกผิด ทำได้เพียงยิ้มสู้ ก่อนหันศีรษะไปเผชิญหน้ากับนักดาบชุดเทาผู้มองดูแล้วยิ่งไม่อาจยั่วยุให้โมโหท่านนั้น
“ลูกค้า ท่านดู…”
“ช้าก่อน”
นักดาบผู้เดิมทีกำลังลูบไล้ด้ามดาบในมือพลันหยุดยืนนิ่งงัน
มู่เหยี่ยเดิมทีเพียงคิดอยากจะมาชิมสุราหลีฮวาไป๋อันเลื่องชื่อของร้านนี้สักหน่อยเท่านั้น ผลคือคิดไม่ถึงว่าเมื่อกวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย โทสะพลันแล่นสู่หัวใจ
“จงจี่!”
นักดาบชุดเทาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกซี่
จงจี่ เจ้าหนุ่มผู้นี้ ต่อให้กลายเป็นฝุ่นเขาก็จำได้! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสวมเพียงหมวกสานใบหนึ่งอย่างในตอนนี้เลย ยังคิดว่าไม่พูดแล้วจะสามารถนั่งตรงนี้แล้วปลอมตัวเป็นหลานชายได้หรือ
เสียงคำรามเสียงนี้สามารถบอกได้เลยว่าแม้แต่คนหูหนวกก็ยังได้ยิน จากที่มีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นมุมนี้เมื่อครู่ เวลานี้ทุกคนกลับนำสายตามารวมศูนย์ไว้ที่จุดเดียวกันแล้ว
รวมถึงจอมกระบี่ชุดขาวที่นั่งอยู่อีกฝั่ง มือถือถ้วยชา ท่วงท่าเย็นชาสง่างามผู้นั้นด้วย
ชื่อนี้โด่งดังมากเกินไปแล้วจริงๆ
จงจี่ “…”
เขาพลันหยิบพัดกระดูกสีดำทองที่ข้างเอวขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก เสียงกางพัดดัง ‘พึ่บ…’ คราหนึ่ง นำพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไปของมู่เหยี่ย
จะโทษการป้องกันนี้ของจงจี่ก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรระหว่างเขาสองคนพบกันสิบครั้ง เก้าครั้งในนั้นมู่เหยี่ยเป็นผู้ถือดาบพุ่งเข้าหา ตะลุยฟันระลอกหนึ่ง ตีแล้วค่อยพูด ไม่มีความรู้สึกว่าต้องการสมาคมกันเลยสักนิดเดียว
ที่เกินความคาดหมายก็คือครานี้มู่เหยี่ยกลับไม่พุ่งเข้ามา นักดาบเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าไม่น่ามองอยู่บ้างเล็กน้อย
เวลานี้จงจี่ถึงได้รู้สึกตัวภายหลัง
เขาพลันค่อยๆ เหลือบตาลงไปก็ถูกอักษรตัวใหญ่ที่ตนเองเขียนเอาไว้ในคราแรกทำให้หน้ามืดไปวูบหนึ่ง
อักษรบนพัดดั่งมังกรร่อนหงส์ระบำ แข็งแกร่งทรงพลัง หมึกที่ผสมผงทองวาบประกายเรืองรองอยู่บนหน้าพัด
อันดับหนึ่ง-ใน-ใต้หล้า
นี่ก็คือเรื่องในตอนที่เขาลงมาจากผาฉางเซิง เพื่อที่จะแสดงออกถึงอารมณ์อันปีติยินดีมากมายหลังจากกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า จึงตั้งใจเขียนคำนี้บนหน้าพัดเป็นพิเศษ
จงจี่ “…”
ค่าความเกลียดชังนี้มั่นคงแล้ว
* ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ข้าม หมายถึงไม่เตร็ดเตร่นอกบ้านและไม่เปิดรับแขกเข้ามาถึงเรือน เป็นธรรมเนียมของหญิงสาวในสมัยโบราณ
* มีน้ำเสียเต็มท้อง หมายถึงคนจิตใจไม่ดี