everY
ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 17-18 #นิยายวาย
บทที่ 18
“จงจี่!!!”
ในเสียงคำรามนี้แฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ในความโกรธเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน ในความซับซ้อนแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ อธิบายถึงความรู้สึกในเวลานี้ของมู่เหยี่ยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จงจี่ยอมรับว่าแม้ตนเองจะชื่นชอบการเสแสร้งโอ้อวด แต่หลังจากทะลุมิติเข้ามาในนิยายแล้วเขาก็ยังไม่เคยได้พบกับช่วงเวลาที่ต้องอับอายเพราะการเสแสร้งโอ้อวดเลย
ในเหลาสุราเวลานี้สายตาของทุกคนล้วนกวาดผ่านมาอย่างพร้อมเพรียง ในนั้นมีสายตาแหลมคมดุจกระบี่สายหนึ่ง แทบจะตอกจงจี่ติดเข้ากับผนัง
จงจี่ในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในด้านระดับขั้นยังเป็นห้วงฝันมายาหลากสีสันที่ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนชื่นชอบที่สุด เพียงวิ่งก็มาถึงการข้ามขั้นเลื่อนระดับ เพียงทะยานก็ทะลวงฟ้า เวลานี้เท้าก็ย่ำจอมกระบี่ หมัดซัดมู่เหยี่ย ขึ้นไปนั่งอันดับต้นบนที่นั่งอันล้ำค่าอย่างมีเกียรติ เลื่องลือไปทั่วหล้า
ลักษณะตัวละครของเขานั้น ในวันปกติยามสมาคมต่อหน้าคนจะตรงไปตรงมาอย่างมาก ทั้งมวลล้วนเป็นภาพศิษย์เอกพรรคไท่ซวีผู้เฉยชาทะนงตน ไม่เคยกระทำเรื่องราวเสียภาพลักษณ์ใดๆ มาก่อน
ประกอบกับเม็ดหมากสีดำขาวศัสตราวุธหายากที่จงจี่ใช้ตอนกำราบมู่เหยี่ยครั้งนั้น ขณะยกแขนเสื้อขึ้นหมากก็เรียกได้ว่าหล่อเหลาสง่างาม ดึงดูดให้กวีนับไม่ถ้วนมากอบหมัดทักทาย
สัตบุรุษดั่งพระพาย สัตบุรุษดั่งสายลม พิณหมากภาพอักษร วายุบุปผาเหมันต์จันทรา เหล่านี้เป็นช่องเพิ่มคะแนนทั้งหมด ปัญญาชนคนชั้นสูงแต่ละแคว้นล้วนชื่นชมในตัวอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้ออกท่องหล้าปรากฏสู่โลกเป็นอย่างมาก คำวิจารณ์ก็ล้ำเลิศยิ่ง
อ้อ ใช่แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือยังถูกโวว่าวิชากระบี่ของจงจี่นั้นเป็นอัศจรรย์ในอัศจรรย์
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน หรือผู้ที่เคยเห็นล้วนตายหมด โบกเคล็ดกระบี่ล่องเมฆา ปราณกระบี่ผุดขวางสารทฤดูอะไรนั่น พูดกันราวกับว่าครู่ถัดมาจงจี่สามารถถือกระบี่ไหล่ชนไหล่กับดวงตะวันได้ แต่ก็ยังมีคนส่วนใหญ่เชื่อ
สายตาที่จิงเจ๋อมองมา ความร้อนแรงหนึ่งร้อยในร้อยส่วนนั้นล้วนเป็นเพราะสาเหตุนี้!!!
นิสัยปัสสาวะของจิงเจ๋อนั่น เขายังไม่กระจ่างแจ้งได้หรือ! เจ้าตัวมีเขี้ยวนี่เป็นคนบ้าการต่อสู้อย่างไม่ลดไม่หักผู้หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ใช้กระบี่ หากจับได้คนหนึ่งแล้วก็จะไม่ปล่อยเด็ดขาด ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เรื่องที่พรรควั่นหมัวกำลังเร่งด่วน จงจี่กล้ารับรองเลยว่าจิงเจ๋อต้องเข้ามาเชิญเขาต่อสู้แน่
หากจิงเจ๋อเอ่ยคำเชิญต่อสู้ต่อหน้าธารกำนัล เพื่อศักดิ์ศรีแล้วจงจี่ไม่อาจปฏิเสธโดยเด็ดขาด
หากไม่ปฏิเสธก็ต้องสู้จนตัวตายกับจุดสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ตื่นเต้นหรือไม่ ประหลาดใจหรือไม่ รอคอยหรือไม่
พระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนจุดสูงสุดขั้นศักดิ์สิทธิ์ประชันสะท้านโลกากับพระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาว ผู้ใดผ่านมาเห็นย่อมต้องห้ามพลาด
นี่ก็คือสาเหตุที่จงจี่ไม่กล้าขานตอบชื่อที่มู่เหยี่ยคำรามเรียกเขาอย่างดุร้ายเช่นนี้
เพราะบนหอไจซิงในคืนนั้นจงจี่คิดว่าตนเองเมามายแล้ว แม้ร่างจะสวมชุดของเจ้าตำหนักลับเอาไว้ แต่กลับลืมปลอมเสียงของตนเอง
เวลานี้ขอเพียงเอ่ยปาก จะตกม้าเมื่อใดก็ย่อมได้
พูดอีกอย่างก็คือจิงเจ๋อเกลียดนิกายมารที่สุดมาชั่วชีวิต โศกนาฏกรรมที่เขาพบพานในชีวิตนี้ทั้งหมดล้วนมีพรรควั่นหมัวเป็นผู้ก่อ จึงชิงชังนิกายมารเข้ากระดูก
ตอนที่กำลังกักตนคราแรกจิงเจ๋อยังยืนตรงไต่ถามฟ้าอยู่บนยอดของยอดเขาหลักพรรคไท่ซู ลั่นคำสาบานว่าจะใช้กระบี่ในมือตัดสังหารคนของนิกายมารให้สิ้น ใช้ฆาตพิสูจน์มรรค
เจ้านิกายนิกายมาร จงจี่ “…”
คิดมาถึงตรงนี้จงจี่ก็ทำได้เพียงรวบพัดเบาๆ ใบหน้าไม่เปลี่ยนสีขณะยกอีกมือขึ้นมาตรงหน้า หมายจะเอามาปิดบัง
“เจ้า…!!!”
ชัดแจ้งมากว่าจงจี่ได้ลืมอะไรไปอีกแล้ว
ตัวอย่างเช่นหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อยที่เขาถือมาตลอดทาง กำลังงกเงิ่นอยู่บนไม้ ปากยื่นสูง จมูกหมูใหญ่โตเผชิญหน้าอยู่กับสีหน้าไม่น่ามองของมู่เหยี่ยเข้าพอดี
จงจี่ “…”
จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นลำดับต่อไป ใช้นิ้วหัวแม่เท้าตรองดูยังคิดออก ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ของมู่เหยี่ยจะทนเรื่องนี้ได้ที่ใดกัน สุดท้ายก็ยังออกดาบอย่างเหลืออด
ในช่วงเวลาพันจุนหนึ่งเส้น* จงจี่ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อย เขาไม่กล้าใช้ปราณกระบี่เพราะกลัวว่าจิงเจ๋อจะจำได้ หลังจากอาศัยหมูน้ำตาลปั้นตัวน้อยขวางหนึ่งดาบประจันหน้าของมู่เหยี่ยแล้วก็กระโดดหนีโหยงๆ
นี่คือภัยขวางทะยานมา* จริงๆ
โชคดีที่ตอนกระโดดหน้าต่าง ท่วงท่าของจงจี่นั้นสง่างามตามแต่ใจ ไม่ตกกรอบจารีต เขากรีดกรายจากไปและกู้คืนความประทับใจให้กับตนเองได้เล็กน้อย
ภาพที่ตกกระทบในตาผู้อื่นกลับเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าคร้านจะพัวพันกับผู้ที่เคยพ่ายแพ้ใต้มือให้มากมาย จึงสะบัดแขนเสื้อจากไป ในเหลาสุราพลันเอนศีรษะชื่นชม
“หมูน้ำตาลปั้นนั่นเปราะบางเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะสกัดหนึ่งดาบของขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สมแล้วที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์!”
“นั่นสิๆ นี่ก็คือความสามารถของขั้นศักดิ์สิทธิ์…ไม่รู้จริงๆ ว่าหากผู้ศักดิ์สิทธิ์ชักกระบี่ สภาพการณ์นี้จะเป็นเช่นไร”
“ความสามารถปานนี้พวกข้าทำได้เพียงแหงนมองแล้ว! หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรยาวไกลอย่างที่คิด”
จนกระทั่งหลังจากส้นเท้าของจงจี่เจิมน้ำมันลื่นไถลมหามงคลแล้ว ภายในเหลาสุราก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอันดับหนึ่งในใต้หล้า สีหน้าของแต่ละคนล้วนตื่นเต้น คิดดูแล้วการได้พบผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้สามารถทำให้พวกเขานำไปคุยโวได้สักช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
จอมกระบี่ชุดขาวผู้นั่งดื่มชาอย่างนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดดวงตาวาวโรจน์คราหนึ่งในตอนที่จงจี่ใช้หมูน้ำตาลปั้นนั่นลงมือ ก่อนจะจดจำอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้ถูกขนานนามว่า ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ ผู้นี้เอาไว้เงียบๆ
แม้ไร้ปราณกระบี่ แต่มีท่วงท่ากระบี่
ในฐานะที่เป็นมือกระบี่อันดับต้นๆ ผู้หนึ่ง จิงเจ๋อสัมผัสเจตจำนงแห่งกระบี่อันเย็นเยียบบนร่างอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นี้ได้
คิดดูแล้วก็เป็นมือกระบี่ผู้โดดเด่นมากท่านหนึ่ง
จงจี่ในวันปกติมักยื่นศีรษะเผยหน้าอยู่เป็นประจำ บนม้วนคัมภีร์หยกก็มักมีภาพข่าวเกี่ยวกับเขาอยู่บ่อยครั้ง นานวันเข้าใบหน้าของเขาก็ถูกแผ่นดินเสวียนซวีรับทราบคุ้นเคย มีแฟนคลับตัวน้อยอยู่ทั่วโลก
เทียบกันแล้วจอมกระบี่จิงเจ๋อนั้นเป็นที่นิยมน้อยกว่ามาก
โดยทั่วไปแล้วจิงเจ๋อมักหลบซ่อนตัวอยู่ในพรรคไท่ซูจงโจว ตระหนักรู้มรรคากระบี่ไร้เมตตาอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะโพลนขาวพันหมื่นลูก
เขาไม่เคยใช้พลังวิญญาณใด ปล่อยให้หิมะใหญ่ดั่งขนห่านซึ่งโปรยปรายลงมาจากสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตกกระทบลงบนผมยาวสีดำขาวของตน แช่แข็งเกี้ยวครอบผมสีเงินนั่น บนขนตาล้วนปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งเหมันต์หนา ทำให้ชุดสีขาวของเขาไม่อาจแบ่งแยกกันและกันกับหิมะโปรยทั่วฟ้า
วันแล้ววันเล่า ชีวิตก็ผ่านไปอย่างเหน็บหนาวเดียวดายเช่นนี้
ดังนั้นชาวโลกจึงได้ยินเพียงนามของจอมกระบี่ นอกจากจะรู้ว่าจอมกระบี่จิงเจ๋อสวมชุดสีขาว มือถือกระบี่เงินยาว ศีรษะสวมเกี้ยวครอบผมสีเงิน เส้นผมสีดำสลับขาวแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ของจอมกระบี่นั้นเป็นเช่นไร
พูดอีกอย่างก็คือผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อมใสในผู้แข็งแกร่ง บนถนนมีผู้สวมชุดสีดำทองพร้อมถือพัดแต่งกายเลียนแบบเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งร่างไม่หยุดหย่อน และยังมีผู้อาศัยข้อมูลอันน้อยนิดแต่งกายเลียนแบบเป็นจอมกระบี่ไม่น้อยเช่นกัน
จิงเจ๋อชื่นชอบความเงียบสงบ ที่เขาเดินอยู่เดิมทีก็เป็นมรรคากระบี่ไร้อารมณ์ ไม่ชอบความวุ่นวาย สัตย์อยู่ที่ใจ สัตย์อยู่ที่มรรค สัตย์อยู่ที่กระบี่ก็พอแล้ว
ทว่าตอนนี้จิงเจ๋อไม่มีเวลามากมายที่จะไปเชิญ ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ มาสู้รบ
เขาต้องกระทำเรื่องราวตามลำดับความสำคัญ
จอมกระบี่ชุดขาวมองแผ่นหลังที่จากไปของคนผู้นั้นปราดหนึ่งอย่างลึกล้ำ หลังทิ้งศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งเอาไว้ก็พลันหายไปจากที่เดิม เรียกเสียงฮือฮาภายในเหลาสุราขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
จิงเจ๋อต้องข้ามสมุทรแห่งซวีวั่ง มุ่งไปทางทะเลทรายซึ่งเป็นตัวแทนของความตายของเป่ยโจว ย่ำผ่านกองกระดูกขาว เข้าไปในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ในตำนานแห่งนั้น
…พรรควั่นหมัว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากจิงเจ๋อกระโดดหน้าต่างและมั่นใจว่าสลัดมู่เหยี่ยพ้นก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นบนถนนอีก หลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเจ้าตำหนักลับแล้วก็วิ่งกลับไปยังตำหนักย่อย ได้พบกับองครักษ์ลับที่กลับมามอบข่าวสารล่าสุดของเมืองไป๋จิงให้กับเขาพอดี
“เจ้าตำหนัก เมื่อครู่อันดับหนึ่งในใต้หล้า จอมกระบี่ และขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์มู่เหยี่ยเพิ่งจะปรากฏตัวที่เมืองไป๋จิง”
จงจี่ “…”
“เรื่องของน้องจงไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”
เขาพลันนึกถึงบัณฑิตผู้นั้นที่พบเจอในตลาดเมื่อครู่ขึ้นมา จึงโพล่งถาม “ในตำหนักย่อยของเมืองไป๋จิงมีคนหนุ่มที่ชื่อซือหมิงอยู่ผู้หนึ่งใช่หรือไม่”
“ซือหมิงหรือ”
ท่าทีที่อั้นอู่แสดงออกมาดูแล้วมีความสงสัยอยู่บ้าง
เขาคือหนึ่งในองครักษ์ลับสิบสามหมายเลขที่ประจำการอยู่แคว้นตง และก็เป็นผู้รับผิดชอบหลักของตำหนักย่อยนี้ พูดได้ว่าขอเพียงเป็นสมาชิกตำหนักลับที่สังกัดในแคว้นตง อั้นอู่ล้วนรู้แจ้งทั้งหมด
โดยเฉพาะสกุลที่หาได้ยากอย่าง ‘ซือ’ ด้วยแล้ว
“ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสมาชิกผู้นี้อยู่ แต่นามนี้คล้ายว่าจะเป็นนามเดียวกับจ้วงหยวนที่มหาเทพตงเหยี่ยนทรงเลือกด้วยพระองค์เอง…”
จงจี่ได้ยินถึงตรงนี้ก็รู้สึกมีอะไรไม่เข้าใจอยู่บ้าง สีหน้าเขาพลันดำทะมึน
อั้นอู่จดจำซือหมิงได้ แต่กลับไม่รู้ว่าซือหมิงเป็นสมาชิกตำหนักลับ นี่อธิบายปัญหาได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
ซือหมิงไม่ใช่คนของตำหนักลับ
“ไปตรวจสอบ”
ตอนแรกคิดว่าได้พบกับคนจากตำหนักลับทรงคุณธรรมผู้ร้องคำรามเมื่อเห็นความอยุติธรรมบนท้องถนน จงจี่ยังค่อนข้างภูมิใจ
ผลคือคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มจอมแฉผู้สวมนามของตำหนักลับปลอมเป็นเสือผู้หนึ่ง น่าโมโหจริงๆ
แต่ไรมามีเพียงจงจี่ที่หลอกลวงผู้อื่น ผลคือเวลานี้ถูกผู้อื่นหลอกลวงเสียแล้ว นี่เรียกว่าลมน้ำไหลเวียนเปลี่ยนผัน*
วันนี้เรียกได้ว่าคลื่นยักษ์ถาโถม ทำเอาจงจี่ไม่อยากอยู่ในเมืองไป๋จิงต่อไปแม้แต่น้อย คิดเพียงว่าพรุ่งนี้จะไปเผยหน้าที่งานเลี้ยง จากนั้นก็จะวิ่งตรงไปยังเป่ยโจวเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเพื่อการพัฒนาสันติภาพอย่างยั่งยืนของเจ้านิกายนิกายมาร
เมื่อคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ถ้านิกายมารคิดจะก่อเรื่อง วันเวลาของแคว้นเป่ยนี้ก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
* พันจุนหนึ่งเส้น หมายถึงสถานการณ์เร่งด่วนรีบร้อน ราวกับของที่หนักพันจุนแขวนอยู่บนเส้นผมหนึ่งเส้น
* ภัยขวางทะยานมา หมายถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
* ลมน้ำไหลเวียนเปลี่ยนผัน หมายถึงเรื่องดีๆ จะไม่อยู่กับตนเองไปตลอด
โปรดติดตามตอนต่อไป…