everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 36 – 37 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 36
อาจเป็นเพราะเฉินจิ่งเซินมีตาชั้นเดียว และก็อาจเป็นเพราะรูปตาที่เรียวยาว แววตาของเขาจึงมักสื่อความหมายว่าคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้
หากใช้คำพูดของอวี้ฝานมาพูดก็คือกวนโอ๊ย กวนโอ๊ยมากๆ
แต่เวลาเฉินจิ่งเซินก้มลงมาตั้งใจมองจุดใดจุดหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง ความระแวดระวังและความเย็นชาที่เก๊กไว้อยู่ตลอดเหล่านั้นก็จะหายไป นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายมากเช่นกัน
ถ้านายใช้สายตามีมารยาทแบบนี้มองฉันแต่แรก ฉันก็คงไม่หาเรื่องนายหรอก
อวี้ฝานคิดอย่างสับสนวุ่นวาย
กระทั่งเสียงฝีเท้ากระเจิดกระเจิงดังมาจากทางด้านหลัง ในที่สุดอวี้ฝานถึงได้สติกลับมาโดยสมบูรณ์ จึงเก็บมือของตนเอง
ไม่กี่วินาทีต่อมา พอเขาคิดถึงอะไรบางอย่างอีกครั้งก็ยื่นมือไปคลึงหูของตัวเอง
เสียงจั่วควนดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “นี่ ฉันว่านะ นายวิ่งเร็วขนาดนี้ทำไมเนี่ย หูผางไม่ได้ตามจับนายอยู่ข้างหลังสักหน่อย…อีกอย่างนายลากเด็กท็อปมาทำไม เราจะไปต่อยตีกัน เด็กท็อปจะตามไปด้วยได้ไง”
เฉินจิ่งเซินยืนตัวตรง เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันไปด้วย”
ทุกคนเงียบไปโดยปริยายอยู่หลายวินาที “…”
จั่วควนพูดอย่างเสแสร้ง “นี่ไม่ดีหรอกมั้ง ถ้าโดนแตะโดนชนพวกฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
หลักๆ คือรู้สึกว่านายจะเป็นตัวถ่วงน่ะ
“ไม่เป็นไร พวกฉันคนเยอะแล้ว เด็กท็อป นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก จะต้องเอาคืนพวกมันให้นายได้แน่นอน ไปกันอวี้ฝาน ฉวยโอกาสตอนพักเที่ยง…” จั่วควนจ้องแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้าแล้วขมวดคิ้ว “นายเอาแต่ขยี้หูทำไมเนี่ย แดงหมดแล้ว”
“ยุงกัดน่ะ” อวี้ฝานกล่าวอย่างเย็นชา
จั่วควน “งั้นนายหันหลังให้ฉันทำไม”
“ไม่อยากเห็นหน้านาย”
“…”
นายนี่มันไม่มีมารยาทเลยสักนิดจริงๆ
จั่วควน “งั้นคุณจะเดินไปข้างหน้ากี่ก้าวล่ะครับ ไปโรงเรียนข้างๆ เพื่อแก้แค้นให้นายน่ะ”
จั่วควนเป็นนักเรียนหัวขบถตัวอย่าง ชอบอ่าน ‘กู่ฮั่วไจ่’* ตั้งแต่เด็ก
เขายึดติดกับเรื่องนี้ หนึ่งเพราะอยากช่วยอวี้ฝานระบายอารมณ์ สองเพราะอยากเสวยสุขกับศักดิ์ศรีและ ‘ชื่อเสียง’ ที่ได้มาจากการต่อยตี บอกไม่ได้ว่าสัดส่วนของสาเหตุไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ตอนอวี้ฝานอยู่ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งเคยเล่นกับเขาพักหนึ่ง เห็นเขาชอบนัดต่อยกับคนอื่นทุกวันก็ค่อยๆ ไม่ไปวุ่นวายกับเขาอีก
“วันนี้ไม่ไป” อวี้ฝานว่า “ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
จั่วควน “…?”
อวี้ฝานคลึงหูพอแล้วก็ซุกมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินไปทางประตูหลังของโรงเรียนโดยไม่หันกลับมา แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หยุดลงอีกครั้ง
เขาหันหน้าไป มองเฉินจิ่งเซินตาขวางแวบหนึ่ง “แล้วก็นายน่ะ…ไสหัวกลับบ้านไปซะ”
หลังจากอวี้ฝานกลับถึงบ้านก็ล้างหน้า
เขามองผมที่เปียกชุ่มตรงบริเวณหน้าผาก คิดในใจว่าควรตัดผมแล้วหรือเปล่า ตรงนี้พอยาวแล้วเวลาชกต่อยกันจะถูกคว้าผมได้ง่ายๆ เดี๋ยวจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนอ่างล้างมือสั่นครืดทีหนึ่ง อวี้ฝานเช็ดมือกับผ้าขนหนูก่อนจะหยิบขึ้นมาดู
s ฉันถึงบ้านแล้ว
วินาทีต่อมารูปถ่ายของฝานฝานรูปหนึ่งก็ถูกส่งมา
เฉินจิ่งเซินจับปลอกคอหนังที่อยู่บนคอสุนัข เส้นเลือดตามข้อมือปูดขึ้นมาเล็กน้อย ปลุกสุนัขน่าสงสารที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างกึ่งบังคับ
น่ารำคาญชะมัด ใครอยากดูหมาของนายกัน
อวี้ฝานจ้องสุนัขสักพัก แล้วเลื่อนสายตาลงไปมองมือที่ดึงสุนัขไว้ จนกระทั่งมีใครสักคนส่งข้อความมาเขาถึงได้ล็อกหน้าจอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขายืนเงียบๆ อยู่หน้ากระจก จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดก๊อกน้ำและล้างหน้าอีกครั้ง
วันจันทร์ ตอนเช้าเวลาเจ็ดโมงครึ่งดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขึ้นมาแล้ว
ตอนอวี้ฝานมาถึงโรงเรียน ประตูโรงเรียนก็ปิดแล้ว ด้านในกำลังบรรเลงเพลงอยู่ เขาเดินอ้อมไปปีนกำแพงที่ประตูหลัง โดดแถวแล้วกลับไปที่ห้องเรียนทันที
ในห้องเรียนว่างเปล่าไม่มีคน
สองมือของอวี้ฝานซุกกระเป๋ากางเกง หาวพร้อมเดินไปตรงที่นั่งของตัวเอง เดินไปได้สองก้าวจู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
เขาหยุดอยู่หน้าบอร์ดข่าวและเงยหน้ามอง
เทปที่ติดเกียรติบัตรใบหนึ่งที่ห้องพวกเขาได้รับในวันงานกีฬาหลุด มีมุมหนึ่งลุ่ยลงมาบังชื่อของผู้รับรางวัล
ทว่าอวี้ฝานไม่ต้องดูก็รู้ว่าเกียรติบัตรใบนี้เป็นของใคร
อวี้ฝานหันหน้ากลับไปยังที่นั่ง แล้วเปิดหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างตน ให้อากาศสดชื่นโกรกเข้ามาในห้องเรียนที่ไม่ได้เปิดมาสองวัน จากนั้นก็ฟุบศีรษะลงบนโต๊ะเรียนเตรียมหลับ
เขาฟุบอยู่หลายนาทีคล้ายกับปลาตาย เอียงศีรษะไปทางหน้าต่างและลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
วินาทีต่อมาอวี้ฝานก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปหยิบเทปกาวออกมาจากลิ้นชักของโพเดียม จากนั้นก็หิ้วเก้าอี้ของตนไปทางด้านหลังและวางไว้หน้าบอร์ดข่าวดัง ‘ปึง’
เขาเหยียบเก้าอี้ ยื่นมือไปคลี่มุมของเกียรติบัตรที่หลุดออกมา เผยให้เห็นตัวอักษรทั้งห้าตัว ‘นักเรียนเฉินจิ่งเซิน’
ที่หนึ่งของสายชั้น แม้แต่เกียรติบัตรใบเดียวก็ติดไม่ดี ไร้ประโยชน์จริงๆ
อวี้ฝานฉีกเทปกาวแปะลงไปหลายชั้น จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเพิ่มความมั่นคงให้กับมุมอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดไปอีกสองชั้น
ขณะจัดการกับมุมสุดท้าย เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมาจากนอกประตู
ขณะนี้ฝ่ามือข้างหนึ่งของอวี้ฝานยังแนบอยู่บนผนัง พยายามกดเกียรติบัตรใบนั้นให้แน่นๆ
เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยา วินาทีถัดมาประตูหลังของห้องเรียนก็ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง
อวี้ฝานหันหน้าไปตามปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ ก่อนสบตากับเจ้าของเกียรติบัตรโดยไม่ทันตั้งตัว
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ที่ประตูหลัง สองมือลู่ลงข้างลำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ บางทีสาเหตุอาจเป็นเพราะเพิ่งฟังผู้บริหารโรงเรียนพูดเสร็จมาหมาดๆ สีหน้าจึงล้านิดหน่อย
ทั้งสองสบตากันอยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็ละสายตา มองไปยังจุดที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายกดทับไว้
อวี้ฝาน “…”
ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานอยากจะกลืนเทปกาวที่อยู่ในมือลงไปซะ
สีหน้าของอวี้ฝานจากง่วงนอนกลายมาเป็นตะลึงงัน จากนั้นก็งุนงง ท้ายที่สุดก็เจือด้วยความเย็นยะเยือกที่อยากจะฆ่าปิดปากคน
หากเป็นคนที่เอาตัวรอดเก่งสักหน่อย ล้วนรู้ว่าตอนนี้ควรปิดปากแสร้งตาบอด
เฉินจิ่งเซินถาม “ทำอะไรอยู่”
“ฉีกเกียรติบัตร” อวี้ฝานว่า
เฉินจิ่งเซินวางข้อมือลงบนพนักเก้าอี้โดยไร้สุ้มเสียง กึ่งประคองเก้าอี้และเอ่ยถาม “ทำไมต้องฉีกด้วย”
อวี้ฝาน “ฉันไม่พอใจที่จะติดไว้กับที่สอง”
เฉินจิ่งเซินมองเทปกาวหลายชั้นที่แปะอย่างสะเปะสะปะ
อวี้ฝานหันหน้าเข้าผนังอยู่สักพัก ในใจคิดว่า ฉันแม่งกำลังต่อปากต่อคำอะไรอยู่เนี่ย…หรือไม่ก็ฆ่าปิดปากซะเลยดีกว่า แล้วก็รู้สึกได้ว่ากางเกงนักเรียนถูกคนจับไว้เบาๆ
“ครั้งหน้าฉันจะพยายาม” เฉินจิ่งเซินถามไปตามคำพูดของเขา “ครั้งนี้อนุโลมหน่อยได้ไหม”
อวี้ฝานยืนอยู่บนเก้าอี้ หลุบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเหยียบเก้าอี้ลงมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
วันนี้พิธีเคารพธงชาติเสร็จเร็วกว่าที่ผ่านๆ มา ตอนเลิกแถวเลยยังมีเวลาเหลือก่อนคาบแรกสิบกว่านาที
บรรดานักเรียนต่างทยอยกลับมาแล้ว พอเข้ามาในห้องเรียนก็เห็นร่างคนสองคนที่อยู่กลุ่มท้ายห้อง
พออวี้ฝานกลับไปประจำที่ก็ฟุบลงทันที
อันที่จริงเขาไม่ได้กำลังหลับ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าเฉินจิ่งเซินเท่าไรนัก
ความจริงอวี้ฝานเสแสร้งแกล้งทำได้ค่อนข้างดี ไหล่ของเขากระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ไปตามลมหายใจ คนส่วนใหญ่ต่างนึกว่าเขากำลังหลับอยู่
ขณะเดินมาอู๋ซือเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นเมื่อเขายืนอยู่ข้างโต๊ะเฉินจิ่งเซินจึงไม่ได้พะวงอะไร มองท้ายทอยของอวี้ฝานแวบหนึ่งเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เรียกเสียงเบาทีหนึ่ง “เด็กท็อป”
เฉินจิ่งเซินช้อนตามองเขา
“เดี๋ยวในห้องก็จะปรับเปลี่ยนที่นั่งไม่ใช่เหรอ…ฉันเคยถามครูประจำชั้นแล้ว เธอบอกว่าขอแค่นายโอเคก็จะย้ายพวกเราสองคนไปนั่งด้วยกันได้ เอ่อคือ…ฉันรู้ว่าวิชาอื่นๆ ช่วยนายไม่ได้แน่นอน แต่เรียงความวิชาภาษาจีนแต่ละครั้งฉันได้สี่สิบแปดคะแนนอัพตลอด คะแนนเต็มก็ใช่ว่าไม่เคยได้ ฉันคิดว่าฉันอาจจะให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ กับนายในด้านนี้ได้”
อู๋ซืออยากนั่งกับเด็กท็อปจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามขายตัวเอง “ก่อนหน้านี้เราเคยนั่งด้วยกัน นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยหลับหรือคุยในคาบเลย ไม่รบกวนนายเด็ดขาด เพราะงั้น…”
เสียงพูดของอู๋ซือหยุดชะงักทันที
เพราะศีรษะของคนที่ฟุบอยู่ด้านข้างขยับ
อวี้ฝานเงยหน้าขึ้นมาจากวงแขน มองไปทางอู๋ซือโดยไม่มีท่าทีใดๆ แผลที่เขาได้มาเมื่อสัปดาห์ก่อนยังไม่หายดี มุมปากจึงยังคงติดพลาสเตอร์ไว้แผ่นหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างน่าหวั่นเกรง
อู๋ซือตกใจ เม้มปากอย่างกระอักกระอ่วน “นักเรียนอวี้ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ…ถ้านายไม่อยากเปลี่ยนที่นั่งก็ช่างเถอะ…”
ใครบอกว่าฉันไม่อยาก อวี้ฝานเกือบหลุดปากพูดออกไป
วินาทีต่อมา อวี้ฝานลุกขึ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยออกไปประโยคหนึ่งอย่างแข็งกระด้าง “อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่เป็นไร”
งั้นทำไมนายทำท่าทางดุขนาดนี้เล่า…
อู๋ซือไม่กล้าเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา
ในห้องเรียกเสียงดังโหวกเหวก อวี้ฝานหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย อยากจะสูบบุหรี่
อู๋ซือ “งั้นเด็กท็อป…”
“ไม่เปลี่ยน นายไปถามคนอื่นเถอะ”
อวี้ฝานได้ยินคนข้างๆ ตอบอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นโทสะที่จู่ๆ ก็พลุ่งพล่านขึ้นมากลับหายวับไป
อารมณ์ที่มาๆ ไปๆ นี้ทำให้เขารู้สึกอธิบายไม่ถูกนิดหน่อย จู่ๆ โต๊ะก็ถูกคนตบทีหนึ่ง ตามมาด้วยขนมปังที่ถูกวางไว้บนโต๊ะของเขา
หวังลู่อันกัดขนมปังที่อยู่ในมือตัวเองคำหนึ่ง “อวี้ฝาน นายไม่ทันได้กินข้าวเช้าสินะ? ฉันเลยถือโอกาสไปซื้อที่โรงอาหารมาให้นายชุดหนึ่ง”
“ขอบใจ”
“อ้อ ใช่แล้ว ฉันจะบอกนายว่าผลสอบกลางภาคออกมาแล้วนะ” หวังลู่อันยิ้มอย่างได้ใจ “ฝ่างฉินเพิ่งบอกฉันว่าฉันสอบได้ไม่เลวเลย นายคอยดูเถอะ รอคะแนนออกมาฉันจะไปคุยเรื่องเปลี่ยนที่นั่งกับฝ่างฉินทันที!”
เขาได้ใจเสร็จก็ยังไม่ลืมที่จะประจบสอพลอ “เด็กท็อป ครั้งนี้ขอบคุณนายมาก วันหลังจะต้องเลี้ยงข้าวนายแน่!”
เฉินจิ่งเซิน “ไม่ต้อง”
“โรงเรียนตรวจข้อสอบเร็วขนาดนี้?” จางเสียนจิ้งสงสัย “แต่นายสอบได้ดีหรือไม่ดีพวกนายสองคนก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งอยู่ดีไม่ใช่หรือไง”
หวังลู่อัน “นั่นไม่เหมือนกันสักหน่อย เปลี่ยนที่นั่งได้แต่ต้องให้ฉันเป็นคนออกปาก! ไม่งั้นฉันจะเสียหน้าแค่ไหน!”
“ก็จริง” จู่ๆ อวี้ฝานก็พูดขึ้นมา
พอหวังลู่อันพูดอย่างนี้ อวี้ฝานก็เข้าใจทันทีว่าเมื่อกี้ทำไมตัวเองถึงโมโห
ความรู้สึกที่เขามีต่อเฉินจิ่งเซินก็เหมือนกับที่หวังลู่อันมีต่อกรรมการนักเรียน
ได้นั่งด้วยกันหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เฉินจิ่งเซินไม่สามารถไปขอให้ครูย้ายได้เอง…และก็ไม่สามารถถูกคนอื่นแย่งไปได้ด้วยเช่นกัน
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดไม่จา
จวงฝ่างฉินเดินเข้ามาในห้องเรียนราวกับสายลม
“รีบนั่งให้เรียบร้อย อีกสิบนาทีจะเข้าเรียน ครูจะพูดเรื่องสอบกลางภาคกับพวกเธออย่างง่ายๆ สักเดี๋ยว…หวังลู่อัน เธอรีบกินซะ” เธอขมวดคิ้ว “อีกอย่างทำไมนักเรียนบางคนถึงไม่ไปเคารพธงชาติ”
นักเรียนบางคนนั่งเอ้อระเหย “มาสายครับ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้อวี้ฝานคงจะไปยืนอยู่ที่หน้าบอร์ดข่าวแล้ว
แต่วันนี้ดูเหมือนจวงฝ่างฉินจะคุยง่ายเป็นพิเศษ
“ต่อไปถึงมาสายก็ต้องมาที่สนามกีฬา…ไม่สิ ต่อไปไม่อนุญาตให้มาสายแล้ว!” จวงฝ่างฉินกระแอม “เอาล่ะ กลับไปที่ประเด็นหลัก การสอบกลางภาคครั้งนี้ ห้องเราก้าวหน้าขึ้น…มากๆ”
พูดถึงคำสุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รอยย่นตรงหางตาทับกันเป็นชั้นๆ ทว่าไม่ได้ดูน่าเกลียด
“คะแนนของนักเรียนทุกคนล้วนมีความก้าวหน้าขึ้นไม่มากก็น้อย คะแนนเฉลี่ยของห้องเราอยู่ที่อันดับแปดของสายชั้น” เธอพูดพลางเปิดคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ตารางคะแนนปรากฏขึ้นมาบนหน้าจออย่างรวดเร็ว “อันดับหนึ่งของสายชั้นยังคงเป็นนักเรียนเฉินจิ่งเซินของเรา วิชาอื่นๆ ล้วนสอบได้ดีทีเดียว มีก็แต่วิชาภาษาจีนที่…เรียงความยังคงโดนหักคะแนนเยอะทีเดียว รอเดี๋ยวนะ ครูภาษาจีนเตรียมคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวแล้ว”
เห็นผลสอบแต่ละวิชาของเฉินจิ่งเซินแล้ว คนในห้องล้วนอดไม่ได้ที่จะหันมองไปข้างหลัง
เหมือนกับตอนประกาศผลสอบปลายภาคของเทอมที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน เจ้าตัวถือปากกาและก้มหน้าก้มตา ไม่สนใจคะแนนของตนเลยสักนิด
นี่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่สินะ ทุกคนทอดถอนใจอยู่ลึกๆ
เธอเลื่อนลงไป “มีเวลาไม่มาก ครูขอเน้นการชื่นชมนักเรียนไม่กี่คนที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดสักหน่อยก็แล้วกัน หวังลู่อัน หูอวี้เคอ เฉินเสี่ยวเสี่ยว…อวี้ฝาน”
อวี้ฝานกำลังคิดว่าทำไมเฉินจิ่งเซินถึงได้อวดดีอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินชื่อของตน จึงเงยหน้าโดยอัตโนมัติ
“คะแนนรวมขึ้นมาแปดสิบกว่าคะแนน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ จากเก้าคะแนนขึ้นมาเป็นสี่สิบเก้าคะแนน” จวงฝ่างฉินมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ “เธอเรียนได้แล้วไม่ใช่หรือไง”
เลิกคาบแรก ครูแต่ละวิชาทยอยเข้ามา ให้ตัวแทนของแต่ละวิชาแจกกระดาษข้อสอบ
“เชี่ย! เชี่ย!” หวังลู่อันว่า “เชี่ย!”
อวี้ฝานอารมณ์เสีย “…ป่วยก็ไปรักษาซะ”
หวังลู่อันคว้ากระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของอวี้ฝานมาดูให้ละเอียด “ไม่ถึงสองอาทิตย์นายแม่งดึงคณิตขึ้นมาได้สี่สิบคะแนนเลย? ข้อสอบคณิตที่นายสอบซ่อมยากมากไม่ใช่หรือไง”
อวี้ฝานกดมุมปากลง แสร้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่เรียน…”
“เด็กท็อป นายเองก็เจ๋งสุดยอดไปเลย!” สีหน้าของจางเสียนจิ้งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “แค่สองอาทิตย์ก็เอาโคลนสองก้อนฉาบกำแพงได้*!”
“…”
ใครเป็นโคลนนะ
อวี้ฝานพิงหลังกับพนักเก้าอี้ อดไม่ได้ที่จะมองไปด้านข้างแวบหนึ่ง
แปลกมาก
ทั้งๆ ที่เฉินจิ่งเซินไม่มีอารมณ์ใดๆ เหมือนกับตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งของสายชั้นเมื่อกี้นี้แท้ๆ แต่อวี้ฝานกลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายมีความสุขนิดหน่อย
เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่เพราะฉันทั้งหมดหรอก พวกเขามีพรสวรรค์”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้วเด็กท็อป” หวังลู่อันว่า “คะแนนครั้งนี้ พอพ่อฉันเห็นก็ถึงขั้นเอาเงินยัดใส่มือฉันอย่างกับจะเป็นบ้า…วันหยุดนี้ฉันกับอวี้ฝานเป็นเจ้าภาพเอง จะชวนนายไปเที่ยวที่ถนนไป่เล่อทั้งวันเลย!”
อวี้ฝาน “…?”
ใครจะไปเที่ยวกับเขากัน
พาหนอนหนังสือประเภทนี้ออกไปด้วยมีอะไรน่าสนุก
จางเสียนจิ้งกำลังจะบอกว่าเด็กท็อปไม่มีวันหยุดหรอก ก็เห็นเฉินจิ่งเซินหันหน้าไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา “จริงเหรอ”
อวี้ฝาน “…”
สองมือของอวี้ฝานซุกกระเป๋ากางเกง เปล่งเสียงอืมออกมาจากลำคออย่างฝืนๆ
หวังลู่อัน “งั้นก็ตกลงตามนี้! ฉันคิดไว้เรียบร้อยแล้ว เราไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนสักมื้อ ตอนบ่ายก็หาอะไรทำสักหน่อย ร้องเพลง ดูหนัง เล่น Escape Room ได้หมด…”
อวี้ฝานรู้สึกว่าเขาหนวกหู กำลังคิดจะไล่คนไป
ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็หยิบกระดาษที่ถูกใส่ไว้ในถุงสีขาวปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้และวางไว้บนโต๊ะของอวี้ฝาน
อวี้ฝานตะลึงงัน แล้วถามอย่างระแวดระวัง “อะไร”
“ของขวัญที่การสอบก้าวหน้า”
“ฮะ? ไม่หรอกมั้งเด็กท็อป มีของเขาแต่ไม่มีของฉัน?” หวังลู่อันพลันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
เห็นอวี้ฝานไม่แตะต้อง เขาก็ใช้นิ้วเปิดถุงพลาสติกใบนั้นอย่างนึกอิจฉาจนเผยให้เห็นของที่อยู่ข้างใน ดูไปพลางพูดไปพลาง “เด็กท็อป นายนี่ไม่ไหวเลยนะ ทำไมลำเอียงล่ะเนี่ย ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ฉัน…”
ถุงพลาสติกแนบบนหน้ากระดาษ ตารางคัดอักษรที่อยู่ด้านบนโผล่ออกมาวับๆ แวมๆ
“แบบคัดลายมือ” เฉินจิ่งเซินถาม “นายเองก็อยากได้?”
หวังลู่อัน “ขอบใจ ไม่ต้องแล้ว ฉันคิดๆ ดูแล้วนายกับอวี้ฝานสนิทกันมากกว่าฉันนิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ จะลำเอียงก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่น้อยใจหรอก”
อวี้ฝาน “…”
เขาหันไปถาม “นายหมายความว่าไง ด่าฉันว่าตัวหนังสือขี้เหร่?”
หวังลู่อันคิดอย่างแตกตื่นว่าคำพูดนี้นายเองก็ถามออกมาได้ด้วย?
เฉินจิ่งเซินอธิบาย “ภาษาจีนของนายโดนหักคะแนนสอบห้าคะแนน”
“ห้าคะแนนแล้วมันทำไม ฉันมีตั้งหกสิบเอ็ดคะแนนให้เขาหัก”
“ข้อสอบหักมากที่สุดได้แค่ห้าคะแนน”
“…”
หวังลู่อันมือบอน พลิกเปิดแบบคัดลายมือพวกนั้นครู่หนึ่ง “เฮ้ย อวี้ฝาน แบบคัดลายมือแผ่นแรกเป็นคำว่า ‘ฝาน’ ในชื่อนายด้วย”
“ฉันพริ้นต์เอง” เฉินจิ่งเซินกล่าว “ฝึกจากชื่อก่อนก็แล้วกัน”
เคอถิงที่ฟังอยู่นานมากอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าเขียนชื่อมาตั้งหลายปีแล้วเหรอ ยังต้องฝึกอีก?”
จางเสียนจิ้งฉวยโอกาสดึงม้วนข้อสอบที่อยู่บนโต๊ะของอวี้ฝานออกมาแล้วตั้งขึ้นให้เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอดูชื่อที่อวี้ฝานเขียน “เธอดูสิ”
เคอถิง “…ดูเหมือนว่า…ฝึกสักหน่อยก็ได้”
อวี้ฝาน “…”
อวี้ฝานกัดฟัน เตรียมจะยัดแบบคัดลายมือใส่เข้าไปในปากเฉินจิ่งเซิน
“ไอ้นี่พริ้นต์เองได้ด้วยเหรอ…จริงด้วย แบบคัดลายมือแผ่นถัดไปเป็นตัวอักษรฝาน” หวังลู่อันพลิกไปอีกหน้า “งั้นแผ่นต่อไป…เอ๊ะ? เฉิน?”
เขาพลิกอีกครั้ง “จิ่ง”
เขาชะงัก ก่อนจะพลิกอีก “…เซิน?”
จางเสียนจิ้งและเคอถิง “…”
อวี้ฝาน “…”
* กู่ฮั่วไจ่ (Teddy Boy) คือการ์ตูนที่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มซึ่งเติบโตมากับกลุ่มเพื่อนข้างถนน และใช้ชีวิตอย่างเลวร้ายท่ามกลางยุคสมัยที่เศรษฐกิจตกต่ำ มีการฆ่าล้างแค้นกันเกิดขึ้น
* เอาโคลนฉาบกำแพงได้ มาจากสำนวน ‘โคลนฉาบกำแพงไม่ได้’ หมายถึงมีความสามารถอ่อนด้อยหรือมาตรฐานต่ำ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง