everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 36 – 37 #นิยายวาย
บทที่ 37
ระหว่างโต๊ะทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอันแปลกประหลาด พวกเขาล้วนถูกของขวัญชิ้นนี้ทำเอาสั่นสะเทือนกันไปหมด
อวี้ฝานฝึกเขียนชื่อตัวเขาเองฉันยังเข้าใจได้
แต่จะฝึกชื่อนายไปทำไมเนี่ย
อีกอย่างของขวัญนี้น่ะ คนอื่นชอบหรือเปล่าเขาไม่รู้ แต่อวี้ฝานจะต้องไม่ชอบแน่นอน
หวังลู่อันมึนงงนิดๆ รู้สึกสนใจใคร่รู้หน่อยๆ ว่าด้านล่างของแบบคัดลายมือแผ่นนี้เป็นตัวอักษรอะไร ดังนั้นเขาจึงพลิกต่อไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…
ปึง
อวี้ฝานใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนแบบคัดลายมือ
หวังลู่อันคิดในใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้…
เพียงเห็นอวี้ฝานคว้าถุงสีขาวขึ้นมา ขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจพลางยัดแบบคัดลายมือเข้าไปในลิ้นชักของตน จากนั้นก็หันไปถาม “เฉินจิ่งเซิน นายวอนโดนตีสินะ?”
หวังลู่อัน “…?”
เพื่อนยาก นายยัดผิดที่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าควรยัดกลับไปในลิ้นชักของเด็กท็อปหรอกเหรอ
เจ้าตัวที่ให้ของขวัญมีสีหน้าสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งวางบนโต๊ะสบายๆ นิ้วหนีบปากกาอย่างไม่ค่อยมีแรง
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยพริ้นต์แบบคัดลายมือ ก็เลยใช้ชื่อตัวเองลองดูสักหน่อย” เฉินจิ่งเซินว่า “ถ้าไม่อยากเขียนของพวกนั้นจะโยนทิ้งก็ได้”
“…ต้องให้นายสอน? ก่อนโยนทิ้งฉันยังจะฉีกเป็นเศษเล็กเศษน้อยด้วย”
เฉินจิ่งเซิน “อืม”
จางเสียนจิ้งหรี่ตา สายตาวนเวียนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูก
กริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ครูชีววิทยาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกตรงระเบียงทางเดิน
หวังลู่อันกำลังจะกลับไปที่นั่ง จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรสักอย่าง ก่อนจะแบมือไปทางอวี้ฝาน “ทำไมนายขี้เกียจขนาดนี้เนี่ย ถังขยะก็อยู่ข้างหลัง ฉันช่วยทิ้งให้นายเลยดีกว่า”
เฉินจิ่งเซินที่กำลังดึงหนังสือเรียนออกมาพลันหยุดชะงัก ยกหนังตากวาดมองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง
หวังลู่อัน “…?”
มือของเขาถูกดันออกไป
“ฉันจะทิ้งเอง” อวี้ฝานเอามือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง กล่าวอ้อมแอ้มอย่างรวดเร็ว “กลับไปที่นั่งนายซะ”
หวังลู่อัน “…”
เดิมทีอวี้ฝานวางแผนไว้ว่าพอสอบกลางภาคเสร็จก็จะเผาแบบฝึกหัด ‘ห้าสาม’* ‘นกโง่’ อะไรพวกนั้นที่อยู่ในลิ้นชักทิ้งให้หมด จากนั้นก็หลับบนโต๊ะเรียนไปเลยสามวันสามคืน
แต่แผนการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง สภาพของอวี้ฝานสองสามวันมานี้เหมือนกับสองสัปดาห์ก่อน ทุกคาบล้วนเท้าคางฟังด้วยความเกียจคร้าน
ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างลำบากลำบนมาสองสัปดาห์ ทำเอานาฬิกาชีวิตของเขารวนไปหมด ตอนกลางวันไม่หลับ ตอนกลางคืนเที่ยงคืนดูคลิปวิดีโออธิบายโจทย์ที่เฉินจิ่งเซินส่งมาจบก็ง่วงแล้ว
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมักจะวิดีโอคอลล์กับเฉินจิ่งเซินจนถึงตีสองแท้ๆ…
วันศุกร์ระหว่างพักคาบ จั่วควนชะโงกตัวออกมาจากหน้าต่าง “อวี้ฝาน ไปกัน ไปสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำ!”
“ไม่สูบ” อวี้ฝานปฏิเสธ “สูบแล้วจะไม่หลับในคาบ”
“ไม่สูบนายก็ไม่หลับเหมือนกัน ฉันดูออกน่า นายคิดจะเอาชนะฉันไปจนจบ ม.ปลาย ล่ะสิ” หวังลู่อันยักไหล่แล้วเดินออกไปข้างนอก ง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว “ไป จั่วควน ฉันจะไปสูบเป็นเพื่อนนายเอง”
“อวี้ฝาน! เฉินจิ่งเซิน!” เกาสือยืนตะโกนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน “ครูเรียกให้พวกนายไปที่ออฟฟิศหัวหน้าครูหู!”
หูผางมีออฟฟิศสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ที่อาคารสำนักงานครู อีกห้องหนึ่งอยู่ที่ชั้นล่างอาคารครูห้องเจ็ดเพื่อสะดวกในการตรวจตราห้องเรียน หูผางจะอยู่ที่ห้องเรียนของอาคารหลังนี้สัปดาห์ละสี่วัน
ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงด้านนอกออฟฟิศ อวี้ฝานมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง
ตรงข้ามโต๊ะทำงานของหูผางมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ติงเซียวก็ยืนอยู่ด้านหลังเธอ สองมือประสานกันอยู่หน้าลำตัว
เฉินจิ่งเซินกำลังจะเคาะประตู แขนเสื้อก็ถูกคนดึงเอาไว้
“เข้าไปแล้วไม่ต้องพูด” อวี้ฝานทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตู แล้วตะโกนอย่างเฉื่อยชา “รายงานตัวครับ”
อวี้ฝานกวาดตามองติงเซียวปราดหนึ่ง อีกฝ่ายเห็นเขาก็กดศีรษะลงต่ำกว่าเดิมทันที แม้แต่ไหล่ก็ยังยกขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้แม่ของติงเซียวเคยเจออวี้ฝานมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เห็นเขาอารมณ์ก็ยิ่งคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม
“หัวหน้าครู คุณดูสิ!” หญิงวัยกลางคนชี้อวี้ฝาน ใบหน้าของเธอซูบตอบ น้ำเสียงเดือดดาล “คุณดูลูกชายของฉันสิ พอเห็นเขาก็กลัวแล้ว! แสดงว่าลูกชายฉันจะต้องถูกเขารังแกบ่อยๆ แน่นอน!!”
หูผางโบกมือ “โอ๊ย ผู้ปกครองอย่าเพิ่งโมโห พวกเราคุยดีๆ กันเถอะครับ”
รอผู้หญิงคนนั้นสงบสติลงเล็กน้อยแล้ว หูผางถึงได้มองไปทางคนทั้งสองที่เพิ่งเข้ามา “อวี้ฝาน เธอพูดเองซิ หลังจากที่โรงอาหารตอน ม.ปลายปีหนึ่ง ครั้งนั้นแล้วเธอยังรังแกติงเซียวอีกไหม”
อวี้ฝานเอ่ย “ไม่มีครับ”
“งั้นทำไมเขาถึงกลัวเธอขนาดนี้ล่ะ!” แม่ของติงเซียวถาม
“ไม่รู้ครับ อาจเป็นเพราะลูกชายคุณกระจอกล่ะมั้ง”
ผู้หญิงคนนั้นระเบิดอารมณ์ในชั่วพริบตา เธอตบโต๊ะทีหนึ่ง “เด็กอย่างเธอเป็นอะไรกันไปหมด พูดอะไรน่ะ ผู้ปกครองของเธอล่ะ ครั้งก่อนผู้ปกครองของเธอก็ไม่มา! ไม่ได้ ฉันจะต้องพบผู้ปกครองของเธอ ให้พวกเขาสั่งสอนเธอให้ดี…”
อวี้ฝานทำตัวสบายๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ดูแลลูกชายของคุณให้ดีก็พอ คุณดูเขาสิ เสแสร้งจนกลายเป็นยังไงไปแล้ว”
หูผางขมวดคิ้ว กำลังจะบอกให้เขาพูดดีๆ ทว่ากลับเห็นผู้หญิงตรงหน้าจู่ๆ ก็บันดาลโทสะ คว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วฟาดไปที่หน้าของนักเรียน!
ก้นบึ้งดวงตาของอวี้ฝานเย็นยะเยือก กำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นบ่าก็ถูกคนคว้าไว้แล้วดึงไปข้างหลัง…
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ตรงหน้าเขา พอยกมือขึ้นกระเป๋าถือของผู้หญิงคนนั้นก็ถูกเขาปัดออกไปและหล่นลงบนพื้น
ประตูออฟฟิศถูกเปิดออก จวงฝ่างฉินมาถึงทันเวลา เธอเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ตรงหน้าต่าง ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นคะหัวหน้าครู วันนี้ติงเซียวจะขอโทษนักเรียนในห้องของฉันไม่ใช่เหรอคะ ผู้ปกครองท่านนี้กำลังทำอะไร”
ทางโรงเรียนใช้เวลาหลายวันในการตรวจสอบเรื่องที่นักเรียนโดดสอบ
พวกเขาเช็กกล้องวงจรปิดที่ประตูหลังเป็นอันดับแรก พบว่าสามารถถ่ายปากตรอกของตรอกเล็กๆ ใกล้ๆ กับสนุกเกอร์คลับไว้ได้พอดี สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอวี้ฝานถูกคนของโรงเรียนข้างๆ พาเข้าไปจริงๆ และเฉินจิ่งเซินก็เป็นคนเข้าไปพาเขาออกมาจริงๆ
หลังจากนั้นพวกเขาได้ติดต่อกับผู้ดูแลของโรงเรียนข้างๆ ผู้ดูแลอาศัยลักษณะเด่นของรูปลักษณ์ภายนอกตามหานักเรียนกลุ่มนั้นเจออย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับติงเซียวอยู่แล้ว อยากลากตัวต้นเรื่องออกมารับผิดชอบใจจะขาด จึงเล่าทุกอย่างโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ในโทรศัพท์มือถือของนักเรียนหัวเกรียนยังมีประวัติการสนทนากับติงเซียว ความจริงกระจ่างอย่างรวดเร็ว ติงเซียวรู้ว่าอวี้ฝานกับคนของโรงเรียนข้างๆ มีความแค้นกัน จึงร่วมมือกับฝ่ายนั้นทำเรื่องนี้ออกมา
คนของโรงเรียนข้างๆ อยากจะต่อยอวี้ฝานเพื่อระบายโทสะ ติงเซียวอยากจะรายงานว่าเขามีเรื่องชกต่อยเพื่อให้เขาลาออกจากโรงเรียน
แต่พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าอวี้ฝานที่เมื่อก่อนถูกพวกมัธยมปลายปีสองและปีสามผลัดกันนัดต่อย ต่อยจนจมูกช้ำหน้าบวมก็ไม่ร้องสักแอะ คราวนี้ถึงกับเอาเรื่องชกต่อยไปฟ้องครูเพื่อขอสอบซ่อม
“ติงเซียวบอกว่าเขาถูกอวี้ฝานรังแกที่โรงเรียนมานาน ถึงได้ทำเรื่องประเภทนี้ขึ้นมา” หูผางปวดหัว เคาะโต๊ะพลางกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ผู้ปกครองท่านนี้ การกระทำเมื่อครู่ของคุณเองก็เป็นการใช้ความรุนแรง ถ้าคุณอยากจัดการเรื่องนี้ให้ดีจริงๆ ล่ะก็นั่งลงครับ ไม่งั้นคงได้แต่ต้องเชิญคุณออกไปตอนนี้ พวกเราค่อยคุยกันอีกทีคราวหน้า”
ผู้หญิงคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายทีถึงได้ฝืนสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ถลึงตาใส่อวี้ฝานด้วยความเดือดดาลทีหนึ่ง
น่าเสียดายที่นักเรียนชายอีกคนบังตรงหน้าเขาไว้ตลอด นักเรียนชายคนนั้นสูงมาก สายตานี้ของเธอจึงไม่สามารถส่งไปถึงได้
กระทั่งเฉินจิ่งเซินคลายบ่าของเขา อวี้ฝานถึงได้สติกลับมา
จวงฝ่างฉินปิดประตู ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน “ผู้ปกครองท่านนี้ คุณบอกว่านักเรียนห้องฉันรังแกลูกของคุณ ไม่ทราบว่ามีหลักฐานไหมคะ”
“ยังต้องการหลักฐานอีกเหรอ” แม่ของติงเซียวว่า “ตอน ม.ปลายปีหนึ่ง เขาเอาถาดข้าวคว่ำใส่หัวลูกชายฉัน คุณก็ช่วยขอโทษแทนเขาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมยังมีหน้ามาถามคำถามประเภทนี้กับฉันอีก”
จวงฝ่างฉิน “เรื่องนั้นอวี้ฝานได้รับโทษแล้ว คุณจะอาศัยแค่เรื่องนี้มาตัดสินว่าหลังจากนั้นอวี้ฝานยังรังแกลูกของคุณไม่ได้ ดังนั้นตกลงว่าคุณมีหลักฐานหรือเปล่าคะ”
ทันใดนั้นอวี้ฝานก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนมัธยมต้นปีสาม มีนักเรียนชายมานัดต่อยกับเขาและเขาก็ต่อยจนฟันของอีกฝ่ายหลุด
หลังจากนั้นนักเรียนชายคนนั้นก็พาผู้ปกครองหลายคนมาหาถึงโรงเรียน ขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็แจ้งให้อวี้ข่ายหมิงทราบ
ตอนนั้นเขายืนอยู่ในออฟฟิศ ถูกผู้ปกครองของอีกฝ่ายหลายคนรุมด่า ทั้งยังถูกผลักอีกด้วย เขาไม่ได้ตั้งตัวจึงถูกผลักอย่างง่ายดาย
ขณะนั้นอวี้ข่ายหมิงสูบบุหรี่ เตะหลังเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขอโทษผู้ปกครองของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม บอกว่ากลับบ้านไปจะสั่งสอนให้ดีๆ
นับแต่นั้นมาหากเจอกับผู้ปกครองที่ลงไม้ลงมือเหล่านั้น อวี้ฝานก็จะตอบโต้ตลอด
แต่ตอนนี้เวลานี้
เขามองคนสองคนที่อยู่เบื้องหน้าตน จู่ๆ เรี่ยวแรงที่เพิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาก็หายไป บ่าผ่อนคลายลงอย่างอธิบายไม่ถูก
ช่างเถอะ
เขาอาศัยที่ทำเลดีนั่งลงบนที่เท้าแขนของโซฟาโดยตรง
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว หันหน้ามองไปทางลูกชายของเธอ “มา ลูกรัก เล่าเรื่องที่ลูกบอกแม่ที่บ้านอีกรอบซิ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้”
ติงเซียวที่หดตัวอยู่ตรงมุมไม่พูดไม่จามองแม่ของเขาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากเสียงเบา “เขา…ต่อยผม ทะ…ที่ห้องน้ำชั้นหนึ่งของตึกปฏิบัติการ”
ผู้หญิงคนนั้น “พวกคุณดูสิ! เขาต่อยลูกชายฉัน!”
สถานที่ที่ติงเซียวบอกเป็นมุมที่ทางโรงเรียนไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด
เวลานี้หูผางนึกเสียใจภายหลังแล้ว เสียใจมาก ตอนนั้นเขาคิดว่ามุมอับนั้นไม่ได้ใหญ่โต จึงไม่จำเป็นต้องเปลืองเงินเพิ่มจริงๆ…
เสียงเอื่อยเฉื่อยของอวี้ฝานดังมาจากทางด้านหลัง “หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กมาชนเครื่องกระเบื้อง* ถึงที่นี่เลย?”
“เธอเงียบซะ” จวงฝ่างฉินถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วมองไปทางแม่ของติงเซียวอีกครั้ง “เขาต่อยเมื่อไหร่ ตอนนั้นแถวๆ นั้นมีเพื่อนคนอื่นหรือเปล่า บนตัวติงเซียวมีแผลไหมคะ”
“โอเค คุณอยากให้บนตัวลูกชายฉันมีแผลให้ได้สินะ?” แม่ของติงเซียวขมวดคิ้ว “ฉันไม่เข้าใจเลย คำพูดของนักเรียนที่ซื่อสัตย์ ผลการเรียนดี เคยเข้าสนามสอบห้องหนึ่งมาหลายครั้งอย่างลูกชายฉันพวกคุณไม่เชื่อ พวกคุณเชื่อนักเรียนอย่างเขา…”
“เขาโกงเข้ามา” เสียงอันเย็นชาตัดบทเธอ
ออฟฟิศพลันเงียบลง
ติงเซียวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเงยหน้าขึ้นมาทันใด มองเฉินจิ่งเซินอย่างงุนงง
แม่ของติงเซียวตะลึงงัน ยังไม่ทันได้สติกลับมาชั่วขณะ “เธอพูดเหลวไหลอะ…”
“สอบกลางภาคกับปลายภาคของ ม.ปลายปีหนึ่ง เมื่อเทอมที่แล้วเขาโกงหมด ผมเห็นกับตา” เฉินจิ่งเซินกล่าวอย่างราบเรียบ “ซ่อนมือถือไว้ในรองเท้า ถ้าเปิดดูกล้องวงจรปิดตอนนี้ล่ะก็น่าจะเห็นนะครับ”
ในการสอบแต่ละครั้งโรงเรียนของพวกเขาล้วนเปิดกล้องวงจรปิด และจะมีครูคนหนึ่งคอยจับตาดูอยู่หน้ามอนิเตอร์
แต่ปกติกล้องวงจรปิดจะใช้แค่หลังจากครูจับได้ว่านักเรียนโกงเท่านั้น จึงจะตรวจสอบออกมาเพื่อยืนยัน ถึงอย่างไรครูคนเดียวก็ไม่มีทางดูแลห้องเรียนยี่สิบห้องได้ทั่วถึงอยู่แล้ว
เฉินจิ่งเซินตามอวี้ฝานมา เมื่อกี้ยังช่วยอวี้ฝานอีก ดังนั้นจิตใต้สำนึกของแม่ติงเซียวจึงถือว่าเขาเป็นนักเรียนห่วยๆ เหมือนกับอวี้ฝาน “เธอเห็นได้ยังไงกัน! สองครั้งนี้เขานั่งสอบอยู่ที่ห้องหนึ่ง…”
“เฮ้ย ทำความรู้จักหน่อยสิ” จู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เอียงศีรษะออกมาจากด้านหลัง
อวี้ฝานอดไม่ได้ที่จะยืนมือออกไป ปลายนิ้วสะกิดแขนเฉินจิ่งเซิน ชี้ไปพลางพูดไปพลาง “เขา ที่หนึ่งของสายชั้น สอบทุกครั้งนั่งอยู่ห้องหนึ่งตลอด โต๊ะแรกของห้องหนึ่งเขียนชื่อเขาติดอยู่ ทั้งนิสัยและการเรียนลากลูกชายคุณไปบนถนนแปดร้อยสายได้ด้วยซ้ำ เอาลูกชายคุณมาเทียบกับเขา ลูกชายคุณคู่ควรหรือไง”
คนอื่นๆ “…”
ผู้หญิงคนนั้นยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมหลายวินาที จากนั้นก็ก้มลงเก็บกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาแล้วพุ่งไปหาอวี้ฝานอีกครั้ง
หูผางหน้านิ่วคิ้วขมวด รีบเข้าไปดึงคนไว้ “ห้ามตีนักเรียนครับ! คุณจะตีนักเรียนของโรงเรียนเราไม่ได้! ครูจวง! คุณให้พวกเขาสองคนกลับไปก่อน!”
จวงฝ่างฉินจึงหิ้วนักเรียนทั้งสองคนของตนกลับไปที่ออฟฟิศ
เธอดื่มชาติดต่อกันเจ็ดอึกกว่าจะหายใจคล่องขึ้นมา
ครูประจำชั้นห้องแปดถือแผนการสอนกลับมาที่ออฟฟิศ เมื่อมองดูภาพฉากนี้ก็อดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ทำไม ยืนทำโทษอยู่เหรอ”
จวงฝ่างฉิน “อยากด่านะ แต่เรื่องในวันนี้พวกเขามีเหตุผล ไม่รู้จะด่าอะไรก็เลยให้พวกเขายืนสักแป๊บหนึ่ง ฉันมองก็หายโมโหเอง”
ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ “…”
“ได้ยินมาแล้ว เมื่อกี้ฉันผ่านออฟฟิศหัวหน้าครูมา บอกว่าเดี๋ยวจะไปเช็กกล้องวงจรปิดของสนามสอบน่ะ” ครูประจำชั้นห้องแปดนั่งลงและเอ่ย “เธอยังดีนะ ตรวจสอบให้ชัดเจนก็แก้ปัญหาได้…เด็กคนนั้นในห้องฉันน่ะสิที่ทำให้ฉันหงุดหงิด”
จวงฝ่างฉิน “ทำไม”
ยังจะคุยกันอีก
อวี้ฝานดูเวลาแวบหนึ่ง ก่อนสะกิดหลังมือเฉินจิ่งเซิน แล้วเอ่ยเสียงเบา “โกหกเธอหน่อย บอกว่านายปวดท้อง”
เฉินจิ่งเซินเอียงศีรษะลงมาและตอบเสียงเบา “ทำไมนายไม่โกหกเองล่ะ”
“…”
นายจะพูดก็พูดไปสิ จะขยับมาชิดทำไม
อวี้ฝานขยับไปข้างหลัง “นายโง่หรือไง คำพูดฉันเธอไม่เชื่อหรอก”
เฉินจิ่งเซิน “งั้น…”
“พูดสิ เสียงดังหน่อย” จวงฝ่างฉินว่า “ฉันกับครูกู้รอพวกเธอพูดเสร็จค่อยคุยกันอีกที”
อวี้ฝาน “…”
เมื่อทั้งสองคนเงียบกันหมดแล้ว จวงฝ่างฉินถึงได้เหลือกตาขาวใส่ “คุณพูดต่อซิครูกู้”
“คืออย่างนี้นะ ฉันไปเจอจดหมายรักที่เขียนโดยนักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้องฉันน่ะ โอ๊ย น่าขนลุกจะตาย…ฉันยังไม่กล้าอ่านจนจบเลย”
“ช่วยไม่ได้ นักเรียนสมัยนี้มีปั๊ปปี้เลิฟกันทั้งนั้น” จวงฝ่างฉินส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักหน่อย ประเด็นสำคัญคือชื่อผู้รับของจดหมายฉบับนั้นเป็นนักเรียนชายของห้องพวกคุณน่ะสิ” ครูกู้เงยหน้าขึ้น “ถือโอกาสตอนที่เขาก็อยู่ที่ออฟฟิศนี่แหละ ฉันจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันไม่อนุญาตให้นักเรียนในห้องมีแฟน ถ้าสุดท้ายนักเรียนหญิงคนนั้นยังคงส่งความรู้สึกไปถึงเธอผ่านช่องทางอื่นใดอยู่ดี เธอต้องยึดมั่นความบริสุทธิ์ใจของตัวเองเอาไว้นะ นักเรียนอวี้”
อวี้ฝาน “…”
เฉินจิ่งเซินกะพริบตาทีหนึ่งโดยไม่แสดงท่าทีอะไร
“คุณสบายใจได้” จวงฝ่างฉินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ตั้งแต่ ม.ปลายปีหนึ่ง จนถึงตอนนี้ อวี้ฝานได้รับโทษทุกอย่างเท่าที่จะรับได้แล้ว มีแค่ข้อปั๊ปปี้เลิฟนี้ข้อเดียวที่ไม่เคยแตะต้องเลย”
อวี้ฝานสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จา
นี่กำลังชมเขาใช่ไหม
ครูกู้ “ฉันรู้ค่ะ แต่ไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น* น่ะสิ สาวๆ ในห้องเราสวยกันจะตายไป”
“สบายใจได้ๆ ไม่เกิดขึ้นแน่นอน” จวงฝ่างฉินเงยหน้าถาม “อวี้ฝาน ครูรับปากครูกู้แล้ว เธออย่าทำให้ครูผิดหวังล่ะ”
อวี้ฝาน “หรือไม่ผมเขียนหนังสือรับรองให้ครูดีไหมครับ รับรองว่าจะไม่มีความรักตลอด ม.ปลาย เลย”
“ไม่ต้องขั้นนั้นหรอก” ในที่สุดจวงฝ่างฉินก็หัวเราะออกมา เธอมองไปทางคนที่อยู่ข้างๆ อวี้ฝานแล้วพูดเล่นๆ “จิ่งเซิน เธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเขา ต่อไปช่วยครูจับตาดูเขาด้วยนะ”
อวี้ฝาน “…?”
“ครับ” เฉินจิ่งเซินตอบรับอย่างเรียบเฉย “จะไม่ให้เขาคบกับคนอื่น”
* ห้าสาม คือหนังสือติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนที่รวบรวมข้อสอบจริงห้าปีและข้อสอบเสมือนจริงสามปี นอกจากนี้ยังประกอบด้วยการสรุปเนื้อหา การวิเคราะห์โจทย์ และการเก็งข้อสอบ
* ชนเครื่องกระเบื้อง เป็นพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เริ่มมาจากการจงใจทำให้คนอื่นชนสิ่งของที่แตกหักง่ายแล้วเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ปัจจุบันรวมถึงการสร้างสถานการณ์ทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อหรือผู้เสียหายทุกรูปแบบ
* ไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น หมายถึงไม่กลัวว่าเหตุการณ์ที่อยู่ในความคาดหมายจะเกิดขึ้นหมื่นครั้ง แต่กลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเพียงครั้งเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไป…