ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 38 – 39 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 38 – 39 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 39

 

เฉินจิ่งเซินมองความมืดในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วหยุดหายใจอย่างว่าง่าย

ไม่กี่วินาทีต่อมาจมูกก็ถูกปล่อย

“นายโง่หรือไง ปิดจมูกแล้วใช้ปากไม่เป็นหรือไง” นิ้วของอวี้ฝานคลำไปที่คางของเขา แล้วตบเบาๆ สองที “หายใจสิ!”

กระทั่งคนใต้ร่างมีแรงกระเพื่อมอีกครั้ง อวี้ฝานถึงได้เก็บสายตากลับมา

คนข้างนอกเคาะเกี้ยวอยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามา ความอดทนของอวี้ฝานถูกบดบี้หมดแล้ว มือที่กดดวงตาของเฉินจิ่งเซินคลายออกเล็กน้อย กำลังจะออกไปดูสักหน่อยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

ชั่วขณะต่อมาม่านเกี้ยวก็ถูกมือขาวซีดคู่หนึ่งเลิกขึ้นดัง ‘พรึบ’ แสงไฟสีแดงจากด้านนอกส่องเข้ามาภายในเกี้ยว…

สองมือของตัวละครค้ำไว้ทั้งสองด้าน ใบหน้าผีที่น่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าอวี้ฝานด้วยความคมชัดระดับสูง

เธออ้าปากสีเลือดและพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงหวีดร้องแสบหู

ต่อให้อวี้ฝานใจกล้าแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดตายอย่างนี้ก็ยังคงทนไม่ไหวอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครตัวนี้แค่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามาแก้แค้น เสียงหวีดร้องดังกว่าก่อนหน้านี้สิบเท่า

บ้าเอ๊ย

มือของอวี้ฝานที่เพิ่งถอนออกมาได้เล็กน้อยถูกดึงกลับไปทันที เขาปิดตาของเฉินจิ่งเซินไว้อีกครั้ง

วินาทีต่อมาจู่ๆ แขนของเฉินจิ่งเซินที่ประคองอยู่ด้านหลังเขาก็งอขึ้นมาและปิดตาเขาไว้ด้วยเช่นกัน

ตัวละครผีผู้หญิงหวีดร้องเสียงแหลมอยู่นานมาก หลังจากนั้นถึงได้หยุดลง

เธอเลิก ‘ผม’ ด้านหน้าขึ้น จ้องพวกเขาหลายวินาที ถึงได้ถอยหลังช้าๆ โดยที่ยังค้างอยู่ในอารมณ์ เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ‘หึ่ม’ พลางถอยออกไปจากที่นี่

เบื้องหน้าของอวี้ฝานมืดสนิท รู้สึกว่าเปลือกตาร้อนลวกเล็กน้อย ชั่วพริบตาสั้นๆ ในหัวของเขาก็ได้รับแต่ความอบอุ่นและกลิ่นจากฝ่ามือของเฉินจิ่งเซิน

ชั่วขณะที่ดนตรีระทึกขวัญหยุดลง เฉินจิ่งเซินก็ปล่อยมือออก

พอเปลือกตารู้สึกเย็นๆ อวี้ฝานก็พลันได้สติกลับมา เขาปล่อยมือเกือบจะในทันที จากนั้นงอตัวลุกขึ้น ใช้กำปั้นซัดม่านเกี้ยวแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว…

ก็เจอกับสามคนที่เหลือซึ่งออกมาตามหาพวกเขาพอดี

“ชิท ไฟนี่ก็เหมือนนรกเกินไปหน่อยไหม…” หวังลู่อันกลัวแต่ก็อดมองซ้ายมองขวาไม่ได้ เขาถูกไฟสีแดงบนพื้นทำเอาตาพร่า

อวี้ฝานยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ผิวพรรณและรองเท้าสีขาวล้วนถูกอาบย้อมด้วยสีแดงที่ไม่เป็นธรรมชาติไว้ชั้นหนึ่ง

จางเสียนจิ้งเห็นเขาก็ถามว่า “พวกนายไปไหนมา ฉันทำภารกิจแทนพวกนายหมดจนกลับมาแล้ว”

“…ถูกไล่ตาม” อวี้ฝานตอบอย่างรวบรัด

จางเสียนจิ้งร้องอ้อทีหนึ่ง “เด็กท็อปล่ะ”

อวี้ฝานไม่ตอบเธอ เพียงแค่ดึงหน้าแล้วหมุนตัวไป เลิกม่านในเกี้ยวขึ้นอย่างหยาบคาย “ออกมา ไม่มีผีแล้ว”

เฉินจิ่งเซินค้อมตัว ออกมาจากเกี้ยวมงคลอย่างเนิบช้า

จางเสียนจิ้ง “…?”

จางเสียนจิ้งกำลังรู้สึกว่าภาพฉากนี้แปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ทันใดนั้นบ่าก็ถูกคนตบเบาๆ

หวังลู่อัน “พี่จิ้ง ไปกันเถอะ ทำภารกิจสุดท้ายเสร็จก็ออกไปได้แล้ว”

หลังออกจาก Escape Room แล้วเถ้าแก่ก็เสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง พร้อมกับนำคิวอาร์โค้ดสแกนจ่ายเงินและแบบฟอร์มประเมินมาให้ บอกว่ากรอกแล้วจะลดราคาให้พวกเขายี่สิบเปอร์เซ็นต์

ขณะกรอกแบบฟอร์ม เถ้าแก่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปทางชายหนุ่มที่ตัวสูงที่สุด

นิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายกำปากกา กวาดตามองตัวเลือกบางข้อบนกระดาษด้วยสีหน้าเฉยเมย

 

คุณคิดว่าระดับความน่ากลัวของ ‘ผีออกเรือน’ คือ?

 

อีกฝ่ายยกนิ้ว ก่อนติ๊กถูกในช่อง ‘น่ากลัวสุดๆ! ฉันตกใจแทบตาย!’ ซึ่งอยู่เป็นข้อสุดท้าย

ด้านล่างยังมีแถบโล่งๆ ที่ใช้เขียนฟีดแบ็กโดยเฉพาะ เฉินจิ่งเซินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเขียนลงไปในนั้นแบบหวัดๆ ว่า

 

‘พึงพอใจ

 

เถ้าแก่เก็บแบบสำรวจเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะส่งลูกค้ากลุ่มนี้ออกไปด้วยสีหน้าเบิกบาน อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด

ออกมาจากร้านฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขาปรึกษากันครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไปกินหม้อไฟ

หวังลู่อันความคิดเป็นใหญ่ พอนั่งลงก็หยิบเมนูอาหารขึ้นมาสั่งอย่างคล่องแคล่ว จางเสียนจิ้งชะโงกศีรษะไปเสนอความเห็นเป็นครั้งคราว

อวี้ฝานลุกขึ้นไปตักน้ำจิ้ม ตอนกลับมาก็เหลือแค่ที่นั่งข้างๆ เฉินจิ่งเซิน

“พี่จิ้ง หรือไม่เธอก็นั่งข้างเด็กท็อปเถอะ” หวังลู่อันมองจางเสียนจิ้งที่ลากเก้าอี้มานั่งตรงทางเดิน “พนักงานเสิร์ฟอาหารเดินไปเดินมา เดี๋ยวจะทำกระโปรงเธอสกปรกเอา”

“ไม่ล่ะ นั่งเองสบายกว่า” จางเสียนจิ้งถาม “อวี้ฝาน อยากกินเนื้ออะไร บอกให้หวังลู่อันสั่งให้นายสิ”

“แล้วแต่” อวี้ฝานนั่งลงตรงที่ว่างและวางน้ำจิ้มไว้บนโต๊ะ

พอสั่งอาหารเสร็จหวังลู่อันก็พิงหลังบนพนักโซฟา ก่อนพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่งแล้วประกาศว่า “ชาตินี้ฉันจะไม่มาเล่น Escape Room อีกแล้ว”

อวี้ฝานเอ่ย “บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันจะไม่มีวันไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนนายกับจั่วควนอีก พวกนายสองคนดูแลกันเองเถอะ”

“นี่ อวี้ฝาน นายเองก็กลัวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” จั่วควนอดไม่ได้ที่จะพูด

อวี้ฝาน “ฉัน? งั้นเหรอ”

“อย่าคิดปฏิเสธเลยน่า เราได้ยินกันหมดแล้ว ตอนทำภารกิจคู่อย่างสุดท้ายนั่นน่ะ เราได้ยินนายร้องตะโกนแต่ไกล” จั่วควนเลียนแบบเสียงของเขาแล้วร้องเรียก…“เฉินจิ่งเซิน! เฉินจิ่งเซิน!”

อวี้ฝาน “…”

จั่วควนเลียนแบบเสร็จ ยังไปยืนยันกับคนที่อยู่ตรงข้าม “ใช่ไหมเด็กท็อป”

อวี้ฝานฟาดตะเกียบลงบนชาม ชามเกิดเสียงดังกังวานทีหนึ่ง

เฉินจิ่งเซินจึงบอก “ฉันไม่เห็นได้ยิน”

จั่วควน “…”

อวี้ฝานคิดๆ ดูแล้วก็ยังคงไม่พอใจ เขาเพิ่งประเมินให้ Escape Room นั่นไปสองดาว ยังถือว่าสูง น่าจะให้สักครึ่งดาวก็พอ

หวังลู่อันกับจั่วควนคุยกันไปคุยกันมาก็เริ่มเถียงกันว่าใครขี้ขลาดที่สุดใน Escape Room เมื่อกี้นี้ อวี้ฝานข่มกลั้นความคิดที่อยากจะเพิ่มเฉินจิ่งเซินเข้าไปในตัวเลือก จึงหยิบแก้วน้ำขึ้นมากรอกน้ำเย็นๆ ใส่ปาก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนข้างๆ เหลือบมองมาทางเขา

“เครื่องปรุงของนายหยิบผิดหรือเปล่า”

อวี้ฝานชะงักแล้วก้มหน้าดู “ผิดตรงไหน”

เฉินจิ่งเซินนิ่งเงียบราวกับนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง “นายกินผักชีได้?”

ร้านหม้อไฟเสียงดังโหวกเหวก

อวี้ฝานยกแก้วค้างกลางอากาศ ถูกถามจนงงงัน จึงหันไปถาม “ทำไมจะไม่ได้”

เฉินจิ่งเซินสบตากับเขาหลายวินาที เนิ่นนานถึงได้เอ่ย “เปล่า คนรอบตัวน้อยมากที่จะชอบกินสิ่งนี้ แถมยังมีคนเคยแพ้สิ่งนี้ด้วย”

อวี้ฝานร้องอ้อทีหนึ่ง “ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยแพ้เหมือนกัน แต่หลังจากขึ้น ม.ต้น จู่ๆ ก็ดีขึ้นแล้ว”

เฉินจิ่งเซินหยิบผ้าขนหนูร้อนๆ ขึ้นมาเช็ดมือ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แบบนี้นี่เอง”

ร้านหม้อไฟตอนนี้คึกคักมาก นั่งรอสิบกว่านาทีอาหารถึงได้มาเสิร์ฟอย่างเอื่อยเฉื่อย

กินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ หวังลู่อันก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “เด็กท็อป ครั้งนี้ขอบคุณนายมากที่ช่วยฉัน พอผลสอบออกพ่อฉันตื่นเต้นจนโอนเงินมาให้ฉันทันที…กลัวว่านายจะดื่มไม่ได้ วันนี้ฉันไม่มีเหล้า มา ฉันจะดื่มชาแทนเหล้าคารวะนายสักถ้วย ขอบคุณการอุทิศตนโดยไม่หวังผลตอบแทนของนาย!”

“ไม่เป็นไร” เฉินจิ่งเซินหยิบถ้วยชาและยกมือไปชนกับเขาทีหนึ่ง ตอนเก็บกลับมาก็เหลือบมองคนข้างๆ แวบหนึ่ง

อวี้ฝานถือตะเกียบตั้งใจจุ่มเนื้อโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า

หวังลู่อันดื่มชารวดเดียวหมด จากนั้นก็มือบอนไปแตะคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆ “จั่วควน เพื่อนยากคนนี้บอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราอยู่ ม.ปลายปีสอง กันแล้ว นายไม่คิดจะมุมานะด้วยกันกับพวกฉันบ้างจริงๆ เหรอ ถึงตอนนั้นเกิดฉันกับอวี้ฝานจูงมือกันเข้ามหา’ลัยขึ้นมา นายก็ไปอาชีวะที่อยู่ข้างๆ เองนะ”

จั่วควนสะบัดมือเขาออก “ไสหัวไปซะ นายจะเข้ามหา’ลัยได้กับผีน่ะสิ”

“ฉันจริงจังนะ นายลองตั้งใจเรียนดูสิ ฉันขยันมาสองอาทิตย์ก็รู้สึกว่าการเรียนก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นจริงๆ”

“พอได้แล้ว นายขยันไปเองเถอะ” ในที่สุดจั่วควนก็วางมือถือลง หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเรียกทีหนึ่ง “อวี้ฝาน”

อวี้ฝาน “ว่ามา”

“ห้องของพวกฉันมีนักเรียนหญิงขอวีแชตนายกับฉัน” จั่วควนว่า “ฉันแชร์คอนแทกต์นายให้เธอไปแล้ว”

การกินของอวี้ฝานหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดที่ครูประจำชั้นห้องข้างๆ พูดในออฟฟิศ

มาจริงๆ ด้วย

จิตใต้สำนึกของเขาคิดจะมองคนข้างๆ แต่เพิ่งเอียงหน้าไปเล็กน้อยก็รู้สึกตัวขึ้นมา

ฉันจะมองเขาไปทำไมกัน

อวี้ฝานขยับมุมใบหน้าให้มาอยู่ตรงๆ โดยไม่เผยร่องรอยแล้วขมวดคิ้ว “ฉันอนุญาตให้นายแชร์?”

“ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่เอานายแลกเปลี่ยน ต่อไปฉันก็จะไม่มีการบ้านให้ลอกแล้ว” จั่วควนกล่าวอย่างยินดี “ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ถ้าเธอแอดไปจริงๆ นายก็ปฏิเสธซะสิ ไม่ได้จะให้นายแอดให้ได้สักหน่อย”

อวี้ฝานคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาจึงก้มหน้าจุ่มหม้อไฟต่อ

กินดื่มกันจนอิ่ม หลังจากหวังลู่อันจ่ายเงินก็ถามเอาใบเสร็จจากพนักงาน เสร็จแล้วก็ถามว่ามีใครจะไปสูบบุหรี่ไหม

อวี้ฝาน “พวกนายไปสิ ฉันจะรอใบเสร็จอยู่ที่นี่”

ทั้งสามคนเพิ่งออกไป จู่ๆ โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าก็โห่ร้องกันขึ้นมาอย่างครื้นเครง

สายตาของเฉินจิ่งเซินมองไปข้างหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ดูเหมือนว่าโต๊ะข้างๆ จะมีคนสารภาพรักกัน และก็เหมือนจะสำเร็จแล้วด้วย หนึ่งชายหนึ่งหญิงกอดกันอย่างเขินอาย

มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ เฉินจิ่งเซินเก็บสายตากลับมา หยิบออกมากวาดตามอง สีหน้าเรียบเฉย แล้วล็อกหน้าจอทันที

พนักงานส่งใบเสร็จให้ คนข้างๆ กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ดันเก้าอี้ออกและลุกขึ้น

เฉินจิ่งเซินลุกตาม รออยู่สองวินาทีถึงได้พบว่าคนตรงหน้ายืนนิ่งไม่ขยับ

อวี้ฝานละล้าละลังอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากเรียกเขา “เฉินจิ่งเซิน”

“อืม”

อวี้ฝานหยิบถ้วยชาขึ้นมา ชูไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างงุ่มง่าม

เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้วทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบถ้วยตาม

อวี้ฝานกำลังจะชนแก้วกับเขาก็เห็นว่าเขาหดมือกลับไปเล็กน้อยอย่างกะทันหัน จากนั้นก็หันหน้าไปมองโต๊ะข้างๆ แวบหนึ่ง

อวี้ฝานขมวดคิ้ว มองตามไปอย่างนึกสงสัย…

หนึ่งชายหนึ่งหญิงคล้องแขนกัน ดื่มเหล้าแลกแก้วท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนอื่นๆ

อวี้ฝาน “…”

อวี้ฝานยื่นมือไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วชนถ้วยกับเขาแรงๆ ชนจนชาในถ้วยของเฉินจิ่งเซินกระฉอกออกมา “นายอยากตายก็มองต่อสิ”

 

หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันตรงที่เดิม

เมื่อมองส่งคนอื่นๆ ขึ้นรถแล้ว อวี้ฝานถึงได้หันหน้ากลับแล้วเดินไปข้างหลัง

ถนนสายนี้ห่างจากบ้านเขาไม่ไกล เดินสักสิบนาทีกว่าๆ ก็ถึงแล้ว

เขาหยิบมือถือออกมา โอนครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายของพวกเขาในวันนี้ให้หวังลู่อัน

 

หวังลู่อัน ? โอนเงินให้ฉันทำไม

บอกว่าจะเป็นเจ้าภาพด้วยกันไม่ใช่หรือไง ฉันกับนาย แชร์ครึ่งๆ

หวังลู่อัน ฉันก็พูดไปงั้น ไม่เป็นไร พ่อโอนเงินให้ฉันเยอะมาก วันนี้ฉันเลี้ยงเอง!

 

แม้หวังลู่อันจะรู้จักอวี้ฝานมาไม่นานแต่ก็สนิทกับเขา และพอจะรู้สถานะทางครอบครัวของเขามานิดหน่อย

 

รับไว้ ไม่ต้องพูดมาก

 

สุดท้ายหวังลู่อันคิดไปคิดมาก็รับไว้ดีกว่า

 

หวังลู่อัน งั้นครั้งหน้าตอนฉันบอกว่าจะเลี้ยงนายก็ไม่ต้องแชร์แล้วนะ

 

ถนนเล็กๆ ที่อวี้ฝานเดินสายนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมาเท่าไรนัก เขาควักบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง กำลังจะจุด จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นทีหนึ่ง

ทำไมหวังลู่อันถึงได้ยึกยักขนาดนี้เนี่ย…

 

s [รูปภาพ]

 

โอเค มีคนที่ยึกยักกว่าอีก

อวี้ฝานคาบบุหรี่ที่ยังไม่ทันได้จุด กดเปิดรูปดูแวบหนึ่ง เป็นห้องโดยสารในรถที่มืดสลัวราวกับว่าถ่ายไปส่งๆ

 

?

s ในรถมืดมาก ฉันกลัวนิดหน่อย

??

กลัวอะไร ข้างหน้ามีโชเฟอร์นั่งอยู่ไม่ใช่หรือไง

s มองแวบหนึ่ง โชเฟอร์หน้าตาเหมือนตัวละครตัวเมื่อกี้นี้เลย

s วิดีโอคอลล์ได้ไหม

ไม่ได้

s โอเค

 

อวี้ฝานกำลังจะโยนมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง

 

s ไม่เป็นไร

s วันนี้ฉันแค่ถูกผีแตะ ตกใจนิดหน่อย ผ่านไปสักสองสามเดือนน่าจะดีขึ้น

s รบกวนนายแล้ว

 

“…”

อวี้ฝานคาบบุหรี่ จ้องถ้อยคำไม่กี่ประโยคนี้อยู่พักหนึ่ง

มือถือถูกเขาหยิบขึ้นมาแล้ววางลง วางลงแล้วก็หยิบขึ้นมาอีกที หลังจากยึกยักอยู่หลายครั้งเขาก็ใส่หูฟังด้วยสีหน้าหงุดหงิด กัดฟันกดวิดีโอคอลล์ไป

อีกฝ่ายรับในไม่กี่วินาที

เพราะเดินบนถนน อวี้ฝานจึงถือโทรศัพท์ไว้ต่ำมาก มุมไม่ค่อยดีนัก

เขาก้มหน้าชำเลืองมองเฉินจิ่งเซินแวบหนึ่ง ท่าทางหงุดหงิด “ขี้ขลาดขนาดนี้ หลับตอนกลางคืนยังต้องให้พ่อแม่นายมาเฝ้าอยู่ข้างๆ ด้วยหรือเปล่า”

เฉินจิ่งเซิน “ในบ้านฉันไม่มีคน”

อวี้ฝานหลุดปากออกไปโดยไม่คิด “ฉันไม่มีทางวิดีโอคอลล์เป็นเพื่อนนายจนหลับหรอก”

ในหูฟังเงียบไปหลายวินาที

อวี้ฝาน “…”

ฉันกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย

“ไม่ต้องหรอก” สักพักเสียงของเฉินจิ่งเซินถึงดังออกมา อาจเป็นเพราะนั่งบนรถแท็กซี่นานแล้ว เสียงของเขาจึงล้านิดหน่อย “กลับบ้านไปมีฝานฝานอยู่เป็นเพื่อนฉัน”

อวี้ฝาน “หมาบ้านนายนี่เปลี่ยนชื่อได้ไหม”

“ยากหน่อยนะ เรียกมาหลายปีแล้ว”

อวี้ฝานซุกมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางเดินบนถนน ได้เจอคนที่พาสุนัขออกมาเดินเล่นสองสามคนเป็นครั้งคราว เขาบังเอิญมองแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าสุนัขเลี้ยงพวกนี้ไม่ได้ดูดีเท่าตัวที่บ้านเฉินจิ่งเซินตัวนั้น

พวกเขาคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างนั้นยังเกิดความเงียบครึ่งนาทีเป็นพักๆ เมื่อในหูฟังไม่มีเสียงอวี้ฝานจะก้มหน้าดูแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นก็จะสบตากับเฉินจิ่งเซินผ่านมือถือ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีอวี้ฝานก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยอย่างเย็นเยียบ “…ไม่ต้องมองฉันตลอดเวลา”

“อืม” เฉินจิ่งเซินละสายตาอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาถาม “นักเรียนหญิงคนนั้นแอดนายมาแล้วเหรอ”

“อะไร”

“นักเรียนหญิงห้องแปดคนนั้น”

“เปล่านี่”

เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นายจะคบกับเธอเหรอ”

อวี้ฝานตะลึงงัน

อะไรกับใครนะ

เขาขมวดคิ้ว “ไม่หรอก ฉันไม่ได้รู้จักเธอสักหน่อย”

เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง เสียงเบาลงนิดหน่อย “งั้นนายชอบผู้หญิงแบบไหน”

“…ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” อวี้ฝานก้มหน้ามองเขาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็พูดอีกครั้ง “ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีคนที่ชอบ”

“ในอนาคตก็คงมี”

“…”

“มีแฟนแล้ว งั้นก็วิดีโอคอลล์กับนายไม่ได้แล้วสินะ” เฉินจิ่งเซินเอ่ย “และก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้วด้วย”

อวี้ฝาน “ใครจะถือสาเรื่องนั้น…”

“อืม แต่ฉันไม่อยากเห็นนายนั่งกับคนอื่น”

“ฉันจะขอให้ครูเปลี่ยนที่นั่ง” รถแท็กซี่แล่นไปบนถนนสายเล็กๆ ไฟถนนสลัวๆ วูบวาบบนใบหน้าของเฉินจิ่งเซินสลับไปมา เขาหลุบตาลงและเสียงอ่อนลง

อวี้ฝาน “ฉัน…”

เฉินจิ่งเซิน “จดหมายที่ฉันเขียนให้นายก่อนหน้านี้…นายทิ้งไปเลยก็ได้ ฉันเขียนไม่นานมาก แล้วก็แก้แค่ไม่กี่ครั้ง”

อวี้ฝาน “…”

“ยังมีเกียรติบัตรที่อยู่บนบอร์ดข่าว…”

“ฉันแม่งบอกแล้วไงว่าไม่ได้จะมีแฟน!” อวี้ฝานสุดจะทน ยกโทรศัพท์มือถือมาไว้ที่ข้างปากแล้วพูดตัดบทเขา “แล้วก็ไม่ได้มีผู้หญิงที่ชอบด้วย! นายแม่งอยากวิดีโอคอลล์ก็กดมาหาฉันสิ! อยากนั่งข้างฉันนายก็นั่งไป! เกียรติบัตรอยากติดตรงไหนก็ติดไปสิ! พูดพล่ามร่ำไรอะไรอยู่ได้!”

อวี้ฝานตะโกนจนจบในรวดเดียวแล้วก็หอบหายใจหนักๆ หลายที พอเงยหน้าดูคนและสุนัขที่เดินผ่านไปมาต่างกำลังมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ

…ขืนฉันวิดีโอคอลล์กับเฉินจิ่งเซินบนถนนฉันก็เป็นหมาน่ะสิ

ในหูฟังไม่มีเสียงแล้ว

อวี้ฝานวกกลับเข้าไปในสวนสาธารณะข้างๆ อย่างรักษาหน้าตา หยิบมือถือขึ้นมาดูแวบหนึ่ง หน้าจอมืดสนิท เฉินจิ่งเซินบังกล้องเอาไว้

อวี้ฝานขมวดคิ้วแล้วร้องเรียกทีหนึ่ง “เฉินจิ่งเซิน?”

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น อีกฝ่ายถึงได้ตอบคำหนึ่งอย่างหนักอึ้ง “อืม”

อวี้ฝาน “ที่ฉันพูดเมื่อกี้นายได้ยินหรือเปล่า”

“ได้ยินแล้ว” เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันรู้แล้ว”

จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ อวี้ฝานจ้องมือถืออย่างระแวง “เฉินจิ่งเซิน โผล่หน้านายออกมา”

“…”

วินาทีต่อมานิ้วที่ปิดอยู่หน้ากล้องก็ถูกเคลื่อนออกไป

เฉินจิ่งเซินวางโทรศัพท์มือถือเอียงลงนิดหน่อย จึงโผล่ออกมาเพียงใบหน้าครึ่งล่างของเขา

เฉินจิ่งเซินกดมุมปาก ประจันหน้ากับอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นในที่สุดก็ยกมือขึ้นปิดปากอย่างเกร็งไว้ไม่ไหว ลูกกระเดือกกลิ้งเบาๆ หนึ่งที

สองที

สามที

อวี้ฝาน “…”

ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้นี้ตนเองตะโกนว่าอะไรบ้างถึงสามารถทำให้เฉินจิ่งเซินหัวเราะแบบนี้ได้

“เฉินจิ่งเซิน ขืนหัวเราะอีกนายตายแน่” เขาเอ่ยอย่างน่าสะพรึงกลัว “ถือโทรศัพท์ให้มันดีๆ ซิ”

“อืม ไม่ได้ตั้งใจ”

เฉินจิ่งเซินยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนสบตากับอีกฝ่ายสองวินาที

เฉินจิ่งเซินหันหน้ามองไปนอกหน้าต่างแล้วก็มองกลับมาอย่างรวดเร็ว

เขาดูเหมือนกลั้นไว้ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเก็บไว้ไม่อยู่ จึงหลุบตาลง เสียงแหบพร่าเพราะกลั้นหัวเราะ “อวี้ฝาน ฉันชะ…”

จู่ๆ คำพูดข้างหลังก็ไม่มีเสียงแล้ว

อวี้ฝานยืนอยู่ในสวนสาธารณะอย่างทึ่มทื่อ ยกมือถือรอเขาอยู่สักพัก หลังจากนั้นจู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา รีบกดปุ่มวางสายทันทีก่อนที่เฉินจิ่งเซินจะพูดคำต่อไปออกมา!

ตู๊ด วางสายวิดีโอคอลล์แล้ว

สวนสาธารณะในตอนค่ำมีลม

หัวใจของอวี้ฝานเต้นอย่างหนักหน่วงราวกับแนบอยู่ที่แก้วหู ทั้งศีรษะกำลังไหม้

เขาสงบสติอยู่ที่เดิมสักพัก ขยี้หน้าทีหนึ่ง จากนั้นหยิบบุหรี่ที่คาบไว้ในปากเมื่อกี้นี้ออกมา จุดไฟให้ตัวเองอย่างสั่นระริก แล้วเริ่มเดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ

จะว่าไปก็แปลกมากจริงๆ

ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เฉินจิ่งเซินไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่อวี้ฝานกลับรู้สึกว่าตนเองได้ยินเข้าให้แล้ว

เขาได้ยินเฉินจิ่งเซินที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ รับลมริมหน้าต่าง ด้านหน้ายังมีสายตาแปลกๆ จากคนขับรถอีกด้วย

เฉินจิ่งเซินนั่งพูดอยู่ท่ามกลางไฟถนนที่สว่างวูบวาบ

อวี้ฝาน ฉันชะ…

ชอบนายมากจริงๆ นะ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com