everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 40 – 41 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 40
ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็ส่งข้อความมาถามว่าเขาวางสายทำไม
วางสายทำไมน่ะเหรอ นายว่าไงล่ะ
สายตาที่นายมองฉันนั่นบริสุทธิ์ใจหรือเปล่าล่ะ
แต่อวี้ฝานไม่สามารถพูดคำพูดหน้าไม่อายพรรค์นั้นที่ว่าฉันคิดว่านายจะสารภาพรักกับฉันออกไปได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่ตอบกลับไปเลยเสียดีกว่า
เฉินจิ่งเซินเองก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแต่หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีก็ส่งรูปสุนัขมาสองสามรูป
อวี้ฝานนั่งลงสูบบุหรี่ไปพลางตากลมยามค่ำไปพลางอยู่ใต้ต้นไม้ ตากจนตนเองใจเย็นลงแล้วถึงได้เปิดดูทีละรูปจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นดับบุหรี่แล้วกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านอวี้ฝานเห็นหน้าต่างบานใหญ่ยังคงเปิดไฟสว่างอยู่ เสียงโทรทัศน์ด้านในดังจนได้ยินกันทั้งอาคาร
อวี้ข่ายหมิงกำลังนั่งคุยกับเพื่อนนักพนันผ่านข้อความเสียงพลางดูการแข่งขันฟุตบอลอยู่บนโซฟา พอเห็นอวี้ฝานเข้ามา เขาก็ปิดสปีกเกอร์โฟนของตนทันที เท้าที่พาดไขว้กันบนโต๊ะชาก็ยกวางลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดกระดูกยืด รูปร่างสูงกว่าเขาแล้ว
ปกติเวลาเมาหรือข้างตัวมีคนอยู่ด้วย อวี้ข่ายหมิงจะไม่ค่อยกลัวเขา แต่เมื่อตนเองอยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ อวี้ข่ายหมิงจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อน
อย่างไรเสียประสบการณ์สองปีที่ผ่านมานี้ได้บอกเขาว่าความเป็นไปได้ที่จะชนะในการสู้ตัวต่อตัวมีไม่มากจริงๆ
หลังจากเข้ามาในบ้านอวี้ฝานก็กวาดตามองโทรทัศน์แวบหนึ่ง ก่อนโยนกุญแจไว้บนตู้รองเท้าแล้วเดินเข้ามาโดยไม่ส่งเสียง
อวี้ข่ายหมิงรีบวางเท้าลงทันที “ฉันขอเตือนแกนะว่าอย่าท้า…”
อวี้ฝานหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นมา ลดระดับเสียงจาก 68 ลงไปถึง 18 จากนั้นก็โยนรีโมตคอนโทรลกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างนี้ไม่มองอีกฝ่ายเลยสักแวบเดียว
ประตูด้านหลังปิดลง อวี้ข่ายหมิงหันกลับไปมองปราดหนึ่งอย่างอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาคุยกับเพื่อนนักพนันต่อ
“ฉันยังอยู่ ไม่ได้หลับ เมื่อกี้ลูกชายฉันเพิ่งกลับมา…ไม่ได้ทะเลาะ ไม่รู้ว่าคืนนี้ไอ้เด็กเวรนั่นไปทำอะไรมา หน้าตาถึงได้ดูแจ่มใส”
วันต่อมาเวลาสามทุ่มอวี้ฝานนั่งแกว่งปากกาอยู่หน้าโต๊ะรอเฉินจิ่งเซินส่งคลิปวิดีโออธิบายโจทย์มา ผลคือไม่ได้รับคลิปวิดีโอ เพราะอีกฝ่ายส่งคำเชิญวิดีโอคอลล์มาหาเขาโดยตรงเลย
อวี้ฝานมึนงงครู่หนึ่ง กระทั่งคำเชิญกำลังจะตัดสายไปโดยอัตโนมัติถึงได้กดรับ
เฉินจิ่งเซินพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า หลุบตาลงพลิกกระดาษข้อสอบในมือ
แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะฉายผ่านบนแก้มเขา ฉาบสีโทนเย็นชั้นหนึ่ง
เขาถามเหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองคนฟิตเพื่อสอบกลางภาค “โจทย์ปรนัยไม่กี่ข้อในข้อสอบของวันหยุดนี้ไม่เลวเลย ทำสักหน่อยไหม”
อวี้ฝานกำปากกาแน่น สักพักถึงได้ตั้งโทรศัพท์มือถือไว้ด้านข้าง แล้วดึงม้วนข้อสอบออกมาอย่างเงียบๆ “นายน่ารำคาญชะมัด…ช่างเถอะ ถึงยังไงก็น่าเบื่อ สุ่มๆ ทำสักสองสามข้อก็แล้วกัน”
เวลาเฉินจิ่งเซินอธิบายโจทย์จะเปิดกล้องหลัง
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็อธิบายมาถึงโจทย์ข้อใหญ่สองสามข้อสุดท้ายของข้อสอบ
โจทย์ข้อใหญ่สองสามข้อนี้ค่อนข้างยาก อวี้ฝานเจอจุดที่ไม่เข้าใจก็อดเหม่อไม่ได้
เสียงทุ้มต่ำของเฉินจิ่งเซินดังอยู่ในหูฟัง อวี้ฝานควงปากกาฟังอย่างใจลอย จู่ๆ ก็นึกถึงเค้าโครงรอยยิ้มบางๆ ของอีกฝ่ายตอนนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถเมื่อคืนขึ้นมา
“เข้าใจหรือยัง” เฉินจิ่งเซินถาม แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงช้อนตาขึ้นมา “อวี้ฝาน?”
อวี้ฝานใจกระตุกทีหนึ่ง เท้าคางแล้วพลันเงยหน้าขึ้นมา “อ้อ ไม่ได้ฟัง…”
ปลายสายมีเสียงลั่นเอี๊ยดที่ทั้งสั้นและยาวดังขึ้นมาขัดจังหวะคำพูดเขา
ตอนแรกอวี้ฝานนึกว่าตนเองหูฝาด จนกระทั่งเขาเห็นว่าเฉินจิ่งเซินก็หันหน้ามองไปทางหนึ่งอย่างกะทันหัน ก่อนจะตามมาด้วยแสงไฟวาบผ่านบนใบหน้าเขา เหมือนจะเป็นไฟรถ
“ไปโรงเรียนค่อยคุยนะ” สักพักเฉินจิ่งเซินก็มองกลับมาอีกครั้งแล้ววางปากกาลง “ฉันมีเรื่องนิดหน่อย ต้องวางแล้ว”
อวี้ฝานตอบอืมทีหนึ่งโดยอัตโนมัติ วินาทีต่อมาวิดีโอคอลล์ก็ถูกอีกฝ่ายกดวางสายไปแล้ว
อวี้ฝานพิงหลังบนพนักเก้าอี้ ขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าต่างแชตของเฉินจิ่งเซินครู่หนึ่ง
เขารู้สึกไปเองหรือเปล่านะ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าก่อนวางสายเฉินจิ่งเซินดูท่าทางไม่พอใจนิดหน่อย
ทั้งๆ ที่ยังคงทำหน้าตายอยู่แท้ๆ
ทำโจทย์มาครึ่งค่อนวันแล้ว อวี้ฝานหยิบมือถือกับบุหรี่แล้วลุกไปตากลมที่ระเบียง
เขตที่พักเก่าในตอนกลางดึกยังนับว่าเงียบสงบ
อวี้ฝานนั่งสูบบุหรี่พลางเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียง ระหว่างที่วิดีโอคอลล์นั้นก็ได้รับข้อความจากวีแชตหลายข้อความ ล้วนเป็นข้อความที่หวังลู่อันส่งมาถามว่าทำไมถึงคอลล์หาเขาไม่ติด
อวี้ฝานตอบไปว่าเมื่อกี้กำลังยุ่ง หวังลู่อันไม่ได้ตอบกลับมา คาดว่าคงไปเล่นเกมแล้ว เขาจึงกดเปิดกลุ่มแชตที่แท็กชื่อเขามาไม่หยุดก่อนหน้านี้แล้วเลื่อนแชตขึ้นไป
หวังลู่อัน คอลล์ไปหาอวี้ฝานไม่ติด ถามนักกีฬาของห้องพวกนายคนนั้นหน่อยซิ
จั่วควน คอลล์ไม่ติดเหมือนกัน แม่ง คนกลุ่มนี้เป็นอะไรกันไปหมด อยากเล่นเกมก็ไม่ครบตี้สักที @- ฉันลองดูอีกที
จูซวี่ ฉันมาแล้ว หวังลู่อันแม่งฉันไม่มีชื่อแซ่หรือไง คำก็นักกีฬาสองคำก็นักกีฬา…ฉันเพิ่งวิดีโอคอลล์กับเพื่อนร่วมโต๊ะมาน่ะ
จั่วควน แฟนก็บอกว่าแฟนสิ ยังจะเพื่อนร่วมโต๊ะอีก? เพื่อนร่วมโต๊ะบ้านไหนวิดีโอคอลล์ทุกคืนตอนสองทุ่มเวลาเดิมเป็นชั่วโมงเหมือนกับพวกนายบ้าง
นิ้วของอวี้ฝานหยุดชะงัก “…”
วิดีโอคอลล์แล้วทำไม ไม่วิดีโอคอลล์แล้วจะอธิบายโจทย์ยังไง
เขากวาดตามองรูปโพรไฟล์ตัวละครในเกมของจั่วควนแวบหนึ่ง คิดในใจว่า ช่างเถอะ คนที่ไม่ตั้งใจเรียนอย่างนายไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ
หวังลู่อัน พวกนายเจอหน้ากันที่โรงเรียนทุกวันยังไม่พออีก? หนึ่งชั่วโมงทุกๆ คืน…ไม่รู้สึกว่าเปลืองเวลาหรือไง
จูซวี่ ก็โอเคนะ ยังไงซะฉันกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ ถ้าจะให้พูดจริงๆ ความจริงเรื่องนี้น่ะนะ ค่อนข้างเปลืองบุหรี่มากกว่า
หวังลู่อัน ?
จูซวี่ คุยสนุกแล้วก็อยากสูบบุหรี่ คุยจนเคลิ้มแล้วก็อยากสูบบุหรี่ เธอไม่มีเรื่องคุยแล้วก็ยังอยากสูบอยู่ดี…เฮ้อ มีความรักนี่มันน่ารำคาญจริงๆ
จั่วควน ไสหัวไปซะนายน่ะ ใครอยากฟัง? ล็อกอินสิ
นิ้วที่กำลังคีบบุหรี่ของอวี้ฝานสั่นระริกน้อยๆ
สักพักเขาก็ปิดมือถือแล้วโยนไปด้านข้าง คิดในใจว่า ฉันก็แค่อยากสูบบุหรี่เฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเฉินจิ่งเซินเลยสักนิด
สูบเสร็จไปมวนหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่พอ เขายังอยากจะต่ออีกสักมวน แต่เมื่อยื่นมือเข้าไปหยิบซองบุหรี่ถึงได้พบว่ามันว่างเปล่าแล้ว
อวี้ฝานนึกขึ้นได้อย่างรู้ตัวช้า เมื่อคืนตนเองเดินวนรอบต้นไม้ต้นนั้นแล้วสูบบุหรี่อยู่นานสองนาน
อวี้ฝาน “…”
เขาขยำกล่องบุหรี่ในมือเป็นก้อนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนออกแรงขว้างไปข้างหน้า โยนเข้าไปในถังขยะที่อยู่ข้างประตู
เปิดเรียนวันจันทร์เรื่องที่ติงเซียวถูกลงโทษแพร่กระจายไปทุกห้องของชั้นมัธยมปลายปีสอง
เจ้าตัวไม่ได้มาโรงเรียน คนที่รู้จักกับเขาบอกว่าครอบครัวเขากำลังจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนให้เขา
แต่อวี้ฝานไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ปล่อยให้หวังลู่อันกับจั่วควนพูดพล่ามอยู่ข้างหูเขา ไม่ได้ฟังอย่างละเอียดเลยสักคำ
เขาเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ฉวยโอกาสตอนที่หวังลู่อันกับจั่วควนเถียงกันไปมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับคำถามเดิมๆ ที่ว่าใครขี้ขลาดที่สุด สายตาก็ชำเลืองมองไปทางคนที่ขี้ขลาดที่สุดตัวจริงคนนั้น
เฉินจิ่งเซินนั่งตัวตรงเหมือนอย่างเคย หลุบตาลงพลางเขียนคำนวณบนกระดาษทดอย่างเงียบๆ
ดูท่าทางไม่ได้คิดจะอธิบายเหตุผลที่วางสายวิดีโอคอลล์เมื่อคืนนี้ และก็ไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายโจทย์ข้อใหญ่ข้อสุดท้ายในข้อสอบให้เขา
ลืมไปแล้ว?
ช่างเถอะ ไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน
อวี้ฝานเก็บสายตากลับมา หงุดหงิดเล็กน้อยโดยไม่มีสาเหตุ
กระทั่งครูฟิสิกส์เข้ามาในห้องเรียน ในที่สุดเพื่อนยากที่เอะอะเสียงดังทั้งสองก็จากไป
อวี้ฝานพิงเก้าอี้แล้วก้มตัวลงกึ่งหนึ่ง ยื่นมือเข้าไปในลิ้นชักอยากจะคลำหาหนังสือเรียน…จากนั้นก็เห็นหนังสือเล่มใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเล่มหนึ่ง
หนังสือ ‘นกโง่บินก่อน’ ฉบับแอดวานซ์ สีดำ
พลิกเปิดหน้าแรก บนนั้นมีชื่อของเขา เป็นลายมือเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา
“ฉันไฮไลต์โจทย์ข้อที่สำคัญในนั้นไว้แล้ว” เฉินจิ่งเซินที่พิงพนักเก้าอี้เหมือนกับเขาเหลียวมามองเขา “ข้อสอบเมื่อวาน คืนนี้ฉันจะอธิบายให้นายฟังต่อนะ?”
อวี้ฝานหันไปสบตากับอีกฝ่ายแวบหนึ่ง อารมณ์ก็เบาลงอย่างบอกไม่ถูก
เขาหลุบตาลง กลับมาอยู่ในสภาพเฉื่อยชาเหมือนปกติก่อนเอ่ย “…อ้อ”
เลิกคาบแรก ครูฟิสิกส์เพิ่งเดินออกไป จวงฝ่างฉินก็เข้ามาติดๆ
เธอถือโอกาสตอนที่นักเรียนในห้องต่างยังนั่งอยู่ประจำที่ประกาศว่าวันพฤหัสบดีนี้ตอนบ่ายจะจัดประชุมผู้ปกครอง
“ทุกคนจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ถ้าผู้ปกครองของใครมีธุระมาไม่ได้ก็ให้ผู้ปกครองโทรแจ้งครูก่อน” จวงฝ่างฉินกล่าวจบก็กวาดตามองไปแถวหลังของห้องแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “โอเค แค่นี้แหละ เลิกคาบแล้วก็พักผ่อนเถอะ…อวี้ฝาน เธอตามครูมาที่ออฟฟิศด้วย”
อวี้ฝานเดินตามหลังจวงฝ่างฉินไปยังออฟฟิศอย่างว่าง่าย
จวงฝ่างฉินหันหลังมามองเขาแวบหนึ่ง “ประชุมผู้ปกครองครั้งนี้…”
“ไม่มีใครมาหรอก” อวี้ฝานพูดตรงๆ
“…”
อยู่ในความคาดหมาย ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด
อันที่จริงเมื่อก่อนจวงฝ่างฉินเองก็เคยพยายามมาแล้ว
เธอเคยคุยกับอวี้ฝาน แต่เขาเป็นคนดื้อด้านทิฐิสูง ต่อมาเธอข้ามหน้าอวี้ฝาน โทรหาผู้ปกครองของเขาโดยตรง โทรไปสองวันล้วนไม่มีคนรับ กระทั่งครั้งสุดท้ายที่โทรติด อีกฝ่ายก็กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า…‘คุณก็รู้ว่าสภาพของบ้านเราเป็นยังไง ผมไม่ไปหรอก เรื่องของโรงเรียนไม่เกี่ยวกับผม’
ดังนั้นจวงฝ่างฉินจึงไม่รั้นอีกต่อไป
“งั้นก็ช่างเถอะ ในเมื่อครั้งนี้ผู้ปกครองเธอไม่มาร่วม เธอเองก็ไม่ต้องไปรับคนที่หน้าประตู ถึงตอนนั้นมาช่วยครูดูแลต้อนรับผู้ปกครองก็แล้วกัน”
“…”
อวี้ฝานนึกว่าตนเองฟังผิดไป “ผม? ไม่เหมาะหรอก ถึงตอนนั้นพอประชุมผู้ปกครองเสร็จ คนในห้องก็จะถูกผู้ปกครองย้ายไปครึ่งหนึ่งสิไม่ว่า”
“จริงจังหน่อย” จวงฝ่างฉินหยิบแผนการสอนมาตีเขา “เธอไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ถือตารางลงทะเบียนยืนอยู่หน้าห้องเรียน แล้วให้ผู้ปกครองเซ็นชื่อก็พอ”
จวงฝ่างฉินพูดถึงเรื่องนี้สี่วันติด อวี้ฝานก็ต่อต้านตลอดสี่วันเช่นกัน
แล้วก็จนปัญญาเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัส เพิ่งเลิกคาบแรกจวงฝ่างฉินยังคงเอาตารางลงทะเบียนยัดใส่อกเขาเป็นการบังคับ ให้เขาจัดการให้เรียบร้อยแล้วไปรับแขกที่หน้าประตู
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าการประชุมผู้ปกครองจะเริ่ม
นักเรียนหลายคนในห้องกำลังจัดเตรียมห้องเรียน อวี้ฝานถือตารางลงทะเบียนแผ่นนั้น ยืนพิงราวระเบียงอย่าซังกะตาย มองบรรยากาศครึกครื้นด้านล่างอาคาร
อาคารเรียนของพวกเขาทำเลดีมาก พอยืนตรงระเบียงก็จะสามารถมองเห็นประตูใหญ่ของโรงเรียนรวมถึงถนนที่อยู่ข้างนอกได้ ตอนนี้ถนนด้านนอกโรงเรียนนั้นติดจนแออัด ล้วนเป็นรถของผู้ปกครอง
เฉินจิ่งเซินหิ้วกระเป๋าเป้วางไว้บนโต๊ะอเนกประสงค์ ช้อนตามองแล้วพูดกับเขา “ฉันจะลงไปแล้ว”
อวี้ฝานนึกว่าอีกฝ่ายจะลงไปรับผู้ปกครองที่ชั้นล่าง จึงหันกลับไปตอบรับแบบส่งๆ
ใครจะคิดว่าสิบนาทีต่อมาเขาจะเห็นว่าบนแขนของเพื่อนร่วมโต๊ะของเขามีปลอกแขนสีแดงติดอยู่ บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ตัวแทนนักเรียนดีเด่น’ เดินไปยังประตูใหญ่ของโรงเรียนและยืนอยู่กับหูผาง
อวี้ฝาน “…เขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
จางเสียนจิ้งชำเลืองมองไปข้างล่างตามสายตาของเขา “เฉินจิ่งเซิน? ไปยืนเฝ้ายามน่ะสิ ม.ปลายปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม คัดไปยืนที่ประตูใหญ่ชั้นละคน หูผางก็เลยเลือกเด็กท็อป…เขาไม่ได้บอกนายเหรอ”
อวี้ฝานกำลังจะพูดว่าไม่ จู่ๆ ก็นึกถึงตอนวิดีโอคอลล์เมื่อคืน เขาพูดเรื่องที่ตนเองต้องไปเฝ้าประตูแล้วรอบหนึ่ง
ตอนนั้นเฉินจิ่งเซินแกว่งปากกาในมือ บอกว่าถ้าอย่างนั้นเฝ้าด้วยกันสิ
…เขายังนึกว่าเฉินจิ่งเซินหมายถึงจะยืนฟังการประชุมผู้ปกครองด้วยกันตรงทางเดินซะอีก
“อ้อ…ดูเหมือนจะเคยพูด” อวี้ฝานมองคนสองคนที่อยู่ข้างๆ “ทำไมพวกนายไม่ลงไปรับคนล่ะ”
จางเสียนจิ้งเล่นมือถือพลางพูด “ไม่รีบ แม่ฉันยังติดอยู่ตรงทางเข้าบ้านอยู่เลย”
หวังลู่อัน “พ่อฉันยังไม่ออกจากบ้านเลย”
จางเสียนจิ้ง “ทำไม เขาจะมาช่วยเก็บกวาดห้องเรียนหรือไง”
“เธอจะไปเข้าใจอะไร! พ่อฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษคันนั้น โคตรเร็วเลย ทะลุผ่านกระแสการจราจร ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงแล้ว” หวังลู่อันมองลงไปอย่างได้ใจ “เธอดูสถานการณ์ข้างล่างสิ ต้องติดไปถึงเมื่อ…เชี่ย!!!”
อวี้ฝานถูกเขาตะโกนใส่จนต้องขมวดคิ้ว
เขาเสียงดังเกินไป จั่วควนที่กวาดทางเดินอยู่ห้องข้างๆ ยังเงยหน้าขึ้นมาด่าเขาประโยคหนึ่ง “นายร้องทำบ้าอะไรเนี่ย”
หวังลู่อัน “เชี่ย! พวกนายดูรถคันนั้น! นั่นแม่งเบนต์ลี่ย์ไม่ใช่หรือไง”
ตุ้บ! จั่วควนโยนไม้กวาดทิ้งลงบนพื้นแล้ววิ่งมาทันที
“เชี่ย จริงด้วย…”
จางเสียนจิ้งไม่สนใจ “รถประเภทนี้ราคาเท่าไหร่”
“ไม่มาก” หวังลู่อันที่ชอบรถมาตั้งแต่เด็กเลียริมฝีปากอย่างบ้าคลั่ง “คันนี้ดูจากทรงรถ…คงไม่กี่สิบล้านมั้ง”
จูซวี่ที่ตามมาก็หอบลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง “เชี่ย โรงเรียนเรา…เสือซุ่มมังกรซ่อน*…เฮ้ย รถจอดแล้ว เร็วเข้า ดูหน่อยซิว่าบ้านใครกันรวยขนาดนี้!”
อวี้ฝานไม่ค่อยสนใจของพวกนี้เท่าไรนัก เขาจ้องแผ่นหลังของคนที่สูงกว่าคนอื่นๆ ช่วงหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างคนนั้น คิดในใจว่าทำไมเฉินจิ่งเซินถึงยืนได้ทึ่มทื่อขนาดนั้นนะ
ผู้ปกครองที่เดินผ่านแทบจะมองไปทางเฉินจิ่งเซินกันทุกคน โดยใช้สายตาที่มองลูกรักในฝันประเภทนั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ในที่สุดคนที่ยืนอยู่โยงก็ขยับ
เห็นเพียงเฉินจิ่งเซินหันหน้าไปพูดอะไรสักอย่างกับหูผาง หูผางพยักหน้า โบกมือเป็นนัยว่าให้เขาไป
อวี้ฝานมองเฉินจิ่งเซินเดินออกจากประตูโรงเรียน ทะลุผ่านฝูงคนที่กรูเข้าประตูโรงเรียนมา เดินไปถึงด้านข้าง…รถหรูคันหนึ่ง
ผู้หญิงที่มีบุคลิกทะมัดทะแมงและใจกว้างคนหนึ่งลงมาจากที่นั่งด้านหลังของรถหรู มองเห็นหน้าไม่ชัด เมื่อเธอเห็นเฉินจิ่งเซินก็ยกมือขึ้นจัดระเบียบปลอกแขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
จั่วควน “เชี่ย! เด็กท็อป!”
จูซวี่ “เชี่ย สุดยอด”
“เชี่ย เศรษฐีอยู่ข้างๆ ฉันมาตลอดเหรอเนี่ย” หวังลู่อันสะกิดไหล่คนข้างๆ พูดอย่างตกตะลึง “…เฮ้ย ถ้าเธอเป็นแฟนกับเด็กท็อปได้ล่ะก็ งั้นก็จะได้แต่งเข้าบ้านเศรษฐีเลยนะ!!”
“ไสหัวไปซะ” อวี้ฝานพูดโดยแทบจะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ “นายอยากแต่งงานก็ไปแต่งเองสิ ฉันไม่แต่งด้วยหรอก”
อวี้ฝานที่กำลังหอบตารางลงทะเบียนแผ่นนั้นพูดจบ ตรงระเบียงทางเดินก็พลันเงียบลงทันที
กระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยิน
อวี้ฝานรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พลันหนังตากระตุกสองที หันหน้าไปด้วยความสงสัย…
เห็นเพียงหวังลู่อันแตะไหล่ของจางเสียนจิ้ง ปากยังคงอ้าค้างอยู่
คนในเหตุการณ์ต่างยืนนิ่ง จ้องเขาไม่วางตาด้วยความงุนงงและตื่นตกใจ
* เสือซุ่มมังกรซ่อน หมายถึงผู้มีความสามารถซุกซ่อนอยู่แต่ยังไม่ถูกค้นพบ หรือผู้ที่เก็บงำความสามารถเอาไว้ไม่เปิดเผย