ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 40 – 41 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 2 บทที่ 40 – 41 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 41

 

เป็นการสบตากันเนิ่นนานและเงียบเชียบ

ไม่รู้ว่าเวลาหยุดนิ่งไปนานแค่ไหน กระทั่งเกิดเสียง ‘ตุบ’ ไม้กวาดที่อยู่ในมือจูซวี่หล่นลงพื้น เสียงเอะอะโวยวายรอบๆ ถึงได้เข้าหูอีกครั้ง ในที่สุดหวังลู่อันก็ได้สติกลับคืนมา

ปากที่อ้าอยู่นานของเขาในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมา “อา นี่…ฉันไม่ได้พูดกับนายสักหน่อย ฉันกำลังพูดกับพี่จิ้ง…”

อวี้ฝาน “…”

อวี้ฝานกวาดตามองพวกเขาที่อยู่รอบๆ ตื่นตกใจกันจนไม่มีปฏิกิริยา แล้วหลุบตาลงมองมือของหวังลู่อันที่วางอยู่บนไหล่ของจางเสียนจิ้ง

ระหว่างนั้นไม่กี่วินาทีความไม่พอใจและการต่อต้านการแต่งงานเหล่านั้นในความรู้สึกเขาก็ค่อยๆ หายไปทีละนิด หว่างคิ้วคลายออก ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงความงุนงงที่แข็งกระด้าง

ตารางลงทะเบียนอันน่าสงสารที่อยู่ในมือถูกกำไว้จนดัง ‘กรอบแกรบ’

สักพักอวี้ฝานถึงได้เปล่งคำหนึ่งออกมาจากลำคอ “นาย…เมื่อกี้ก็…แตะฉันเหมือนกัน”

“…?” หวังลู่อันมองระยะห่างระหว่างตนกับอวี้ฝานแวบหนึ่ง…ก็พอจะยัดจั่วควนมายืนได้อีกคนหนึ่งเลยมั้ง “จริงเหรอ”

“ไม่อย่างงั้นล่ะ?” อวี้ฝานจ้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ดูแลมือนายไว้ให้ดีๆ”

“…โอเค”

สมองของพวกผู้ชายคิดเรียบง่าย พูดสองประโยคก็ปล่อยผ่านแล้ว อวี้ฝานพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่เผยร่องรอย แต่พอละสายตาก็ดันสบสายตาเข้ากับจางเสียนจิ้ง

จางเสียนจิ้งกอดอกมองเขา ประเดี๋ยวเลิกคิ้ว ประเดี๋ยวขมวดคิ้ว

ต่อให้ถูกหวังลู่อันแตะเข้าจริงๆ ก็น่าจะด่าหรือไม่ก็ซัดหวังลู่อันสักยกสิ ไม่ใช่ ‘ฉันไม่แต่ง’ หรอกมั้ง

จางเสียนจิ้งอ้าปาก ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานตัวแข็งทื่อสุดๆ ราวกับมีหนามปักหลัง

ดีที่ชั่วขณะต่อมามือถือที่เธอกำลังถืออยู่ดังขึ้นมาพอดี

ความคิดถูกขัดจังหวะ จางเสียนจิ้งรับสาย “ฮัลโหล แม่…แม่ถึงแล้วเหรอ ทำไมถึงแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่ที่ทางเข้าบ้านอยู่เลยไม่ใช่หรือไง…รู้แล้ว หนูจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”

หวังลู่อันดูเวลาแวบหนึ่ง “พ่อฉันเองก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน ไปด้วยกันเถอะ”

หลังจากจางเสียนจิ้งไปแล้ว คนของห้องข้างๆ ที่มาร่วมวงสนุกสองคนนั้นก็ถูกครูประจำชั้นเรียกกลับไปกวาดทางเดินต่อ

ข้างกายสงบลง อวี้ฝานก็งอแขนวางบนราวระเบียง ก่อนจะซบหน้าผากลงไป หลุบศีรษะลงต่ำ มืออีกข้างสอดอยู่ในเรือนผมของตน ทึ้งอยู่หลายทีด้วยความอับอาย

แม่งเอ๊ย เมื่อกี้ฉันเป็นบ้าหรือไง…

เป็นเพราะเฉินจิ่งเซินนั่นแหละ

อวี้ฝานสงบสติสักพักถึงได้ยืนตรงอีกครั้ง เขาหลุบตาลง หาตัวการที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทีเย็นยะเยือก เพียงแวบเดียวก็เห็นเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งแล้ว

หน้าประตูป้อม รปภ. ของโรงเรียน หูผางกำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงที่คล้ายจะเป็นผู้ปกครองของเฉินจิ่งเซิน เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาอย่างนิ่งเงียบ

เขายังคงมีท่าทีเฉยเมยเหมือนกับตอนยืนเฝ้าเมื่อครู่ ราวกับเป็นคนนอกคนหนึ่ง และบทสนทนาของสองคนข้างๆ ไม่เกี่ยวกับเขา

ระยะห่างระหว่างพวกเขาไกลมาก อวี้ฝานมองครู่หนึ่งอย่างเบลอๆ รู้สึกว่าอารมณ์บนใบหน้าเขาดูคุ้นตาเล็กน้อย…

คืนนั้นที่เฉินจิ่งเซินบอกว่ามีธุระต้องวางสายวิดีโอคอลล์ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน เย็นชา ปิดกั้น และไม่พอใจ

หน้าตายสมกับเป็นคนหน้าตาย สีหน้าไร้อารมณ์ก็สามารถตีความออกมาได้หลากหลายอารมณ์ขนาดนี้

แต่เขากำลังไม่พอใจอะไรกัน

ขณะอวี้ฝานกำลังคิดอย่างใจลอย จู่ๆ ศีรษะสีดำที่อยู่ด้านล่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับมีสัมผัสพิเศษ อีกฝ่ายสบตากับเขาอย่างแม่นยำโดยมีผู้คนและเงาต้นไม้กั้นอยู่

ชั่วพริบตานั้นอารมณ์เย็นชาเหล่านั้นได้สลายหายไปหมดสิ้น

อวี้ฝานกับเขามองหน้ากันสักพัก จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเสียอาการเมื่อกี้นี้ขึ้นมาอีกครั้ง จึงทำหน้าตึงพลางมองเฉินจิ่งเซิน คิดจะชูนิ้วกลางให้เขา

ทว่าสุดท้ายตอนยกมือขึ้นมา นิ้วกลางก็กลายเป็นนิ้วก้อยที่ไม่ได้มีแรงโจมตีเลย

“อวี้ฝาน เธอทำอะไรอยู่ตรงทางเดินน่ะ” เสียงของจวงฝ่างฉินดังมาจากในห้องเรียน “มีผู้ปกครองขึ้นมากันแล้ว รีบมาเปิดลงทะเบียนที่หน้าประตูสิ!”

อวี้ฝานร้อง ‘อ่า’ ทีหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เก็บนิ้วก้อย ก่อนจะทำสัญลักษณ์มือว่า ‘ฉันจะเข้าไปแล้ว’ ให้เฉินจิ่งเซิน แล้วหมุนตัวกลับไปที่ห้องเรียน

หน้าประตูป้อม รปภ. ของโรงเรียน

หูผางเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “แม้การสอบกลางภาคครั้งนี้ของเฉินจิ่งเซินเกิดความยุ่งยากนิดหน่อย แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงเรียบร้อยดี ผมคุยกับเขาแล้วครับว่าต่อไประวังหน่อยก็พอ”

“รบกวนคุณแล้วค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าไปมองลูกชายของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้ยินที่หัวหน้าครูพูดหรือยัง”

เมื่อเห็นท่าทีของเฉินจิ่งเซินชัดเจน เธอก็ตะลึงงันเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก “…ลูกกำลังยิ้มอะไรน่ะ”

เฉินจิ่งเซินก้มหน้าลงอีกครั้ง อารมณ์ที่เห็นได้น้อยครั้งบนใบหน้านั้นกลับสู่ความนิ่งสงบอย่างรวดเร็ว “เปล่าครับ”

 

ไม่นานนักห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ดก็มีผู้ปกครองเข้ามานั่งหลายคนแล้ว

พวกเขาเริ่มค้นโต๊ะเรียนของลูกตนเองอย่างเป็นอันรู้กัน ทั้งยังมองไปทางนักเรียนชายที่นั่งตรงจุดลงทะเบียนคนนั้นเป็นครั้งคราว

เมื่อรับผู้ปกครองท่านหนึ่งเข้าไปในห้องเรียนแล้ว จวงฝ่างฉินก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะเรียนที่ถูกย้ายออกมาใช้เป็นจุดลงทะเบียนชั่วคราว งอนิ้วแล้วเคาะลงบนโต๊ะ “เธอเอาขาที่นั่งไขว่ห้างลงซะ…ท่าทางอะไรของเธอ ยิ้มหน่อย!”

อวี้ฝานพิงหลังกับผนังพลางเอย “ไม่เอา”

นักเรียนชายจูนิเบียว* ในช่วงวัยรุ่นที่น่าชังพวกนี้

จวงฝ่างฉิน “ยกมุมปากก็พอ จะให้ครูสอนเธอไหม”

อวี้ฝาน “ทำไมครูไม่หาคนที่ชอบยิ้มมานั่งตรงนี้ซะล่ะ”

“ใคร หวังลู่อันเหรอ เทอมที่แล้วเขาก็เคยทำตรงนี้แล้ว”

อวี้ฝานขมวดคิ้ว “งั้นก็เฉินจิ่งเซินสิ”

“…”

จวงฝ่างฉินนึกว่าตนฟังผิด เลยนิ่งงันอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยปาก “เฉินจิ่งเซินชอบยิ้ม? เขาเคยยิ้มตอนไหน”

อวี้ฝานกำลังจะพูดว่าก็ยิ้มประจำไม่ใช่หรือไง ทว่าคำพูดมาถึงริมปากแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ เวลานอกเหนือจากที่พูดคุยกับเขา…ดูเหมือนว่าเฉินจิ่งเซินจะไม่เคยยิ้มจริงๆ…

จงใจแหย่แค่เขาสินะ

อวี้ฝานควงปากกา คิดจะด่าเฉินจิ่งเซินในใจสักหลายประโยค ผลคือจนจวงฝ่างฉินเข้าไปคุยกับผู้ปกครองบางคนในห้องเรียนแล้ว เขาก็ยังคิดไม่ออกเลยสักประโยคเดียว

“ไม่ทราบว่าจำเป็นต้องลงทะเบียนแล้วค่อยเข้าห้องไหม”

อวี้ฝานส่งเสียงอืมทีหนึ่งอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แล้วส่งปากกาไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า

เขาหลุบเปลือกตามองผู้หญิงที่รับปากกาไป กดนิ้วลงบนตารางลงทะเบียนแล้วเลื่อนลงไป ในที่สุดก็หาชื่อลูกของตนเจอ เธอขยับปากกาเขียนตรงด้านหลังชื่อ ‘เฉินจิ่งเซิน’…‘จี้เหลียนอี’

อวี้ฝานตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นมาทันใด แผ่นหลังออกห่างจากผนัง นั่งตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

เฉินจิ่งเซินเหมือนแม่ของเขามาก ผู้หญิงคนนี้มีออร่าโดดเด่น เธอวางปากกาลงแล้วเข้าไปในห้องเรียน ดวงตาเรียวยาวอันงดงามคู่นั้นไม่มองเขาเลยสักแวบเดียว

ผู้ปกครองมีวินัยกว่านักเรียน ไม่ทันไรภายในห้องเรียนก็มีคนนั่งกันอยู่ครบแล้ว

ยังเหลืออีกสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาประชุม อวี้ฝานเอาตารางลงทะเบียนคืนให้จวงฝ่างฉิน ขณะหมุนตัวกำลังจะไปก็ถูกคนดึงเสื้อไว้

จวงฝ่างฉินส่งกระดาษสองปึกให้เขา ปึกหนึ่งคือ ‘จดหมายถึงผู้ปกครอง’ อีกปึกหนึ่งคือตารางแสดงความเห็นของผู้ปกครอง

“เธอเอาพวกนี้ไปแจก แต่ละชุดมีสี่สิบสองแผ่นพอดี เธอหยิบเอาของเธอไปด้วย เอากลับไปให้ผู้ปกครองเธออ่าน อีกอย่างแจกเสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งไป ยังมีเรื่องต้องให้เธอช่วยอีก”

เธอพูดจบโดยไม่ให้โอกาสอวี้ฝานได้ปฏิเสธ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปขึ้นโพเดียมในห้องเรียนเพื่อจัดแจงเนื้อหาที่อีกเดี๋ยวต้องใช้ต่อ

อวี้ฝาน “…”

เขาจิ๊ปากทีหนึ่ง หมุนตัวหมายจะเข้าไปในห้องเรียน แต่เมื่อถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง

วินาทีต่อมาเขายกมือขึ้นกลัดกระดุมเครื่องแบบนักเรียนจนหมด

ขณะแจกใกล้จะถึงที่นั่งของตนเอง เขาเห็นจี้เหลียนอีกำลังค้นโต๊ะเรียนของเฉินจิ่งเซิน

เทียบกับผู้ปกครองคนอื่นๆ แล้วเธอค้นละเอียดยิ่งกว่า…ผู้หญิงคนนั้นหยิบสมุดจดของเฉินจิ่งเซินขึ้นมา แล้วพลิกเปิดไปข้างหลังทีละหน้าๆ ขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ว่าจะมุมใดในสมุดจดล้วนไม่ปล่อยผ่านไปเลย

พรึบ กระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางไว้ตรงหน้าเธอ ปิดเนื้อหาที่อยู่บนสมุดจดเอาไว้

การกระทำของจี้เหลียนอีหยุดชะงัก “ขอบคุณ”

อวี้ฝานบอก “ไม่เป็นไรครับ” จากนั้นก็ดึงจดหมายออกมาอีกแผ่นพร้อมกับใบผลสอบกลางภาคที่เพิ่งแจกเมื่อกี้นี้ ยัดเข้าไปในลิ้นชักของตนด้วยกัน

ในที่สุดจี้เหลียนอีก็เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง หลังจากมองสำรวจอย่างเรียบง่ายแล้วเธอก็ถาม “เธอก็คืออวี้ฝาน?”

อวี้ฝาน “ครับ”

จี้เหลียนอีพยักหน้า ไม่ได้ถามอีก

จวงฝ่างฉินไม่ปล่อยคนไป อวี้ฝานรออยู่ที่ทางเดินพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ

จางเสียนจิ้งมองสำรวจผู้ปกครองในห้องเรียน “หวังลู่อัน พ่อนายยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ”

“นั่นแหละ” หวังลู่อันว่า “เธอคอยดูเถอะ พอเลิกประชุมปุ๊บ อย่างแรกที่เขาจะทำคือไปหาแม่ของเธอแล้วถามว่าเธอสอบกลางภาคได้กี่คะแนน”

“…ไสหัวไปซะ” สายตาของจางเสียนจิ้งตกอยู่ที่แถวหลัง เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แม่ของเด็กท็อปสวยมากจริงๆ”

“รถบ้านเด็กท็อปสวยกว่าอีก” หวังลู่อันพูดจบก็หันกลับไปมองด้านล่างแวบหนึ่ง “เขายังยืนอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลย เป็นเด็กท็อปนี่มันลำบากจริงๆ ทั้งต้องเรียนทั้งต้องยืนเฝ้ายาม”

“ปกติ แถมหูผางยังจัดแจงคนไว้ที่ประตูใหญ่เพื่ออัดวิดีโอโดยเฉพาะด้วยนะ คงต้องยืนอีกสักพัก…” จางเสียนจิ้งย้ายสายตาแล้วก็เลิกคิ้ว “อวี้ฝาน ทำไมนายติดกระดุมเสื้อซะหมด ทึ่มชะมัด”

อวี้ฝานก้มหน้าเล่นมือถือ ได้ยินดังนั้นก็ชะงัก “หนาว เธอไม่ต้องยุ่ง”

กำหนดการของการประชุมผู้ปกครองคือให้ครูแต่ละวิชาขึ้นบรรยายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจะเป็นการกล่าวสุนทรพจน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียน สุดท้ายครูประจำชั้นจึงจะกล่าว

เหล่าคุณครูพูดจบและต่างก็ออกจากห้องเรียนไปแล้ว จวงฝ่างฉินเองก็กลับไปที่ออฟฟิศด้วยเช่นกันเพราะขาดข้อมูลหนึ่งฉบับที่ยังไม่ได้พริ้นต์ ผู้ปกครองหลายสิบคนในห้องเรียนกำลังฟังเหล่าผู้บริหารโรงเรียนพูดจาอย่างฉะฉานอยู่ในวิดีโอประชาสัมพันธ์ ตอนนี้กำลังกล่าวถึง ‘การเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายมีความกดดันมาก ผู้ปกครองควรดูแลความสัมพันธ์ระหว่างบุตรหลานอย่างไร’

พออวี้ฝานเงยหน้าก็เห็นจี้เหลียนอีลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้องเรียนเสียงเบา และเดินไปยังทิศทางของออฟฟิศครูอย่างนวยนาด

“นักเรียน” ผู้ปกครองท่านหนึ่งที่นั่งริมหน้าต่างเรียกเขา

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เห็นอวี้ฝานคอยช่วยจวงฝ่างฉินทำงานอยู่ตลอด ผู้ปกครองท่านนั้นจึงยิ้มอย่างเกรงใจทีหนึ่ง “รบกวนเธอช่วยฉันส่งนี่ไปให้ครูประจำชั้นหน่อยได้ไหม เป็นแบบฟอร์มความคิดเห็นผู้ปกครองที่แจกให้พวกเรากรอกเมื่อกี้นี้ ก่อนหน้านี้ฉันส่งผิดน่ะ เอากระดาษอีกแผ่นส่งไปแล้ว”

หวังลู่อันกำลังจะบอกว่าเดี๋ยวครูประจำชั้นจะกลับมาอีกก็เห็นคนข้างๆ เขาโยนมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ย “ได้ครับ”

 

ประตูหลังของออฟฟิศครูประจำชั้นปิดอยู่ อวี้ฝานกำลังจะเดินอ้อมไปประตูหน้า จู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งดังมาจากด้านใน…

“ฉันหวังว่าคุณจะเปลี่ยนเพื่อนร่วมโต๊ะให้เฉินจิ่งเซินได้นะคะ”

โต๊ะทำงานของจวงฝ่างฉินอยู่เยื้องข้างหลังและติดหน้าต่าง ขอแค่ยืดชิดผนัง ด้านในพูดอะไรก็ได้ยินทั้งหมด

อวี้ฝานกะพริบตาทีหนึ่ง พิงผนังหยุดอยู่ที่เดิม

จวงฝ่างฉิน “คุณแม่จิ่งเซินคะ ตอนนี้น่าจะกำลังฉาย…”

“เทียบกับการประชาสัมพันธ์นั่น ฉันอยากคุยกับคุณมากกว่าค่ะ” จี้เหลียนอีมองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง “อีกหนึ่งชั่วโมงฉันมีประชุมทางโทรศัพท์ จำเป็นต้องออกจากโรงเรียนก่อนเวลา เกรงว่าจะรอไม่ถึงตอนสุนทรพจน์ประชาสัมพันธ์จบ ให้เวลาฉันสักหน่อยได้ไหมคะ”

จวงฝ่างฉินใคร่ครวญสองวินาที ก่อนลุกขึ้นแล้วย้ายเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างไปข้างๆ เธอ “เชิญนั่งค่ะ เหตุผลที่คุณอยากจะเปลี่ยนที่นั่งให้ลูกคือ?”

จี้เหลียนอีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเห็นผลการสอบเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาแล้ว”

“อ้อ คุณหมายถึงอวี้ฝาน อันที่จริงผลการเรียนของเขาในช่วงนี้ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย…”

“ฉันรู้ค่ะ และฉันยังรู้อีกด้วยว่าเขาก้าวหน้าด้วยความช่วยเหลือของจิ่งเซิน ฉันเห็นวิธีแก้โจทย์ของชั้น ม.ปลายปีหนึ่ง ไปจนถึง ม.ต้น จำนวนหนึ่งในกระดาษทดของเฉินจิ่งเซิน” จี้เหลียนอีหัวเราะอย่างนุ่มนวล เธอกล่าว “ครูจวง อันที่จริงฉันไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าทำไมครูอย่างพวกคุณมักชอบให้นักเรียนที่ผลการเรียนดีเด่นไปช่วยนักเรียนห่วยๆ เรื่องพวกนี้ควรเป็นงานของพวกครูหรือเปล่า”

จวงฝ่างฉิน “คุณคงยังไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วจิ่งเซินเป็นฝ่ายขอฉันเปลี่ยนที่นั่งเองค่ะ อีกอย่างฉันคิดว่านักเรียนอยู่ในโรงเรียนไม่ควรมีแค่ความรู้ด้านการเรียน แต่ต้องเรียนรู้คุณธรรมดั้งเดิมอันดีงามด้วย ยกตัวอย่างเช่นการช่วยเหลือผู้อื่น”

“ค่ะ ฉันไม่มีปัญหากับการที่เขาช่วยเหลือเพื่อนนักเรียน แต่ฉันได้ยินครูประจำชั้นคนก่อนของเขาบอกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาคนนี้ไม่เพียงผลการเรียนไม่ดีเท่านั้น แต่ยังสูบบุหรี่ ชกต่อย ถูกทำโทษบ่อยๆ ขอโทษนะคะ ฉันรับไม่ได้ที่ลูกของฉันนั่งกับนักเรียนแบบนี้”

จี้เหลียนอีชะงัก “อีกอย่างเมื่อกี้ฉันเองก็เจอนักเรียนที่ชื่ออวี้ฝานนั่นแล้ว อย่าว่าแต่แต่งตัวสกปรกมอมแมมเลย…ผมของเขายาวจนฉันมองไม่เห็นตาเขาแล้ว ไม่ทราบว่าปกติทางโรงเรียนไม่ดูแลระเบียบการแต่งกายของนักเรียนเลยเหรอ”

ดูแลยังไงถึงหละหลวมขนาดนี้

อวี้ฝานพิงผนังอย่างไม่สบอารมณ์ จู่ๆ ก็นึกอยากสูบบุหรี่นิดหน่อย

“ฉันเข้าใจความหมายของคุณแล้วค่ะ คุณแม่จิ่งเซิน เรื่องนี้ฉันจะคุยกับจิ่งเซินแล้วค่อยตัดสินใจ” จวงฝ่างฉินเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงฉันเองก็อยากหาโอกาสคุยกับคุณมาโดยตลอดเหมือนกัน ในเมื่อครั้งนี้ได้พบกันพอดีฉันจะพูดไปด้วยเลยก็แล้วกันค่ะ…เด็กอย่างจิ่งเซิน ด้านการเรียนไม่มีอะไรให้ต้องพูด ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด แต่ฉันพบว่าเขาดูเหมือนจะเก็บตัวนิดหน่อย และปกติก็ไม่ชอบคบหากับนักเรียนคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นฉันจึงไปพบครูประจำชั้นคนก่อนของเขาและเคยขอบันทึกการตรวจเยี่ยมบ้านมาจากเธอ”

จวงฝ่างฉินช้อนตา “ดูเหมือนว่าคุณจะแทรกแซงการเข้าสังคมของเขาอยู่ตลอดเลยนะคะ ตอน ม.ปลายปีหนึ่ง ก่อนจะมีการแบ่งห้อง เขาเคยเปลี่ยนมาแล้วสองห้อง เพื่อนร่วมโต๊ะเจ็ดคนล้วนเป็นคนที่คุณเรียกร้องเอง”

สองมือของจี้เหลียนอีหิ้วกระเป๋าวางไว้บนตัก มองจวงฝ่างฉินเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง

“ค่ะ ห้องแรกของเขาตอน ม.ปลายปีหนึ่ง สภาพแวดล้อมแย่นิดหน่อย ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะถ้าไม่เป็นนักเรียนหญิง ก็เป็นนักเรียนชายที่ชอบคุยในคาบ ฉันห่วงว่าเขาจะเสียสมาธิ ฉันอยากให้ลูกชายของฉันมีสภาพแวดล้อมในการเรียนที่ดี ดังนั้นถึงได้เรียกร้องให้เปลี่ยนที่นั่ง นี่คงไม่เกินไปหรอกมั้งคะ”

“แต่ตอนคุณเปลี่ยนที่นั่งให้เขา เคยถามความเห็นของเขาบ้างไหมคะ”

จี้เหลียนอี “เขารู้ว่าฉันหวังดีต่อเขา”

มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ อวี้ฝานหยิบออกมากวาดตามองแวบหนึ่ง

 

หวังลู่อัน ฉันกับจั่วควนอยู่โรงเรียนอาหารนะ พวกนายอยากกินอะไรไหม @- @จางเสียนจิ้ง

 

ตอนแรกอวี้ฝานคิดจะบอกว่าไม่ แต่เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองจำเป็นต้องดับไฟสักหน่อย

 

ถั่วเขียวปั่น

หวังลู่อัน อันนี้ไม่ทันแล้ว นายเปลี่ยนไหม วันนี้โรงอาหารคนเยอะ ถั่วเขียวปั่นดูท่าทางต้องต่อแถวสิบกว่านาทีเลย…ฉันมาช่วยซื้อเครื่องดื่มให้พ่อฉันน่ะ เขาจะเลี้ยงผู้ปกครองในห้อง ต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียน

งั้นก็ช่างเถอะ

 

อวี้ฝานโยนโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วฟังต่อ

จวงฝ่างฉินทยอยถามอีกหลายคำถาม คำตอบของจี้เหลียนอีล้วนเป็น ‘ฉันหวังดีต่อเขา’

จวงฝ่างฉินถอนหายใจไปแล้วหลายรอบ เธอดูเวลาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ฉันอ่านในบันทึกการตรวจเยี่ยมบ้าน มีเขียนไว้ว่าที่บ้านคุณติดกล้องวงจรปิดไว้เยอะมาก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ในห้องก็มี…ตอนนั้นครูเฉียวแนะนำคุณว่าควรถอดออกบ้าง ให้เด็กมีพื้นที่ของเขาเอง ไม่ทราบว่าคุณ…”

อวี้ฝานรู้สึกแน่นหน้าอก

เขาหยิบแบบฟอร์มความคิดเห็นแผ่นนั้นขึ้นมา แล้วดึงมุมหนึ่งให้เรียบขึ้นนิดหน่อย

“ฉันกับพ่อของจิ่งเซินงานยุ่ง ไม่อยู่บ้านตลอดทั้งปี ถ้าไม่เตรียมการป้องกันไว้บ้างจะรับรองความปลอดภัยทางร่างกายของลูกได้ยังไง”

แล้วจี้เหลียนอีก็พูดอีกครั้ง “ฉันหวังดีต่อเขา”

 

คุยกันสักพักใหญ่ๆ จี้เหลียนอีถึงได้ลุกขึ้นและกล่าวลาจวงฝ่างฉิน

ก่อนไปเธอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง “ขอความกรุณาคุณเปลี่ยนเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ให้เขาโดยเร็วที่สุดด้วยนะคะ”

จากนั้นเมื่อเธอหมุนตัวออกจากประตูก็เจอเข้ากับนักเรียนชายที่นั่งยองๆ พิงอยู่ข้างผนังพอดี

จี้เหลียนอี “…”

เมื่อเห็นเธอออกมา อีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใด เพียงลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่เปื้อนข้างหลัง เดินอ้อมเธอเข้าไปในออฟฟิศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลังจากเอาของส่งให้จวงฝ่างฉิน อวี้ฝานก็ออกจากออฟฟิศ หมุนตัวไปสูบบุหรี่ที่อาคารปฏิบัติการ

วันนี้มีประชุมผู้ปกครอง อาคารปฏิบัติการจึงไม่มีแม้แต่เงาคน

อวี้ฝานนั่งอยู่บนบันไดชั้นหนึ่งของอาคารปฏิบัติการ สูบบุหรี่อย่างโจ่งแจ้ง

สองขาของเขาอ้าออกอย่างสบายๆ ศอกทั้งสองข้างวางไว้บนเข่า ข้างหนึ่งคีบบุหรี่ อีกข้างหนึ่งเล่นมือถือ

เขาเล่นเกมงูจอมเขมือบไปหลายตาแล้ว ประคองไปได้ไม่นานก็แพ้ พอรู้สึกไม่สนุกแล้วเขาก็เลื่อนเปิดแอพพลิเคชั่นอื่น เมื่อเขาได้สติกลับมา ตรงหน้าก็เป็นสุนัขพันธ์โดเบอร์แมนที่หน้าตากวนโอ๊ยตัวนั้นแล้ว

เขาใช้ฟันกัดบุหรี่และพิมพ์ตัวหนังสือในช่องแชตอย่างช้าๆ ‘เฉินจิ่งเซิน…’

เขาจะพูดอะไรล่ะ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะพูด เขาไม่สามารถถามได้ว่าทำไมนายเชื่อฟังแม่นายไปซะหมด นายกระจอกใช่หรือเปล่า

ตัวเขาเองมีนิสัยเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องพาลูกบ้านอื่นเสียคนไปด้วยหรอกมั้ง

อวี้ฝานจ้องตัวหนังสือไม่กี่ตัวนั้นพลางคิดครู่หนึ่ง ยกนิ้วขึ้นคิดจะลบ จู่ๆ หน้าต่างแชตก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมาประโยคหนึ่ง…

 

s ยังอยู่ที่โรงเรียนเหรอ

เฉินจิ่งเซินอยู่

s ?

…พิมพ์ผิดน่ะ อยู่ ทำไม

s อยู่ไหน

ชั้นหนึ่งอาคารปฏิบัติการ

 

ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่ได้รับการตอบกลับอีก อวี้ฝานจ้องหน้าต่างแชตอยู่สักพัก พ่นควันออกมา และพิมพ์ว่า ‘ฝ่างฉินเรียกหาฉัน?’

ยังไม่ได้ส่งไป ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสีน้ำเงิน

อวี้ฝานหันหน้าไป เห็นเฉินจิ่งเซินที่กำลังเดินมาทางเขาท่ามกลางควันบุหรี่

กางเกงชุดเครื่องแบบฤดูร้อนสีน้ำเงินโง่ๆ ของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดเมื่ออยู่บนร่างเฉินจิ่งเซินราวกับช่วยทำให้ขายาวขึ้น สองมือเขาลู่ลงข้างลำตัว ข้างหนึ่งดูเหมือนจะหิ้วของอะไรไว้ด้วย

เฉินจิ่งเซินเดินมาตรงหน้าเขา กวาดตามองบุหรี่ในมือเขาแวบหนึ่ง ปากอ้าออกแล้วก็เม้ม เบือนหน้าไปไอเบาๆ ทีหนึ่ง

ลูกคุณหนูชะมัด

“…รอฉันสูบเสร็จค่อยเข้ามาไม่ได้หรือไง” อวี้ฝานบี้บุหรี่ ไม่มองอีกฝ่าย เพียงเหลือบมองรองเท้าเขาแวบหนึ่ง “ตามหาฉันทำไม”

เฉินจิ่งเซินว่า “นี่”

รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ติดกลิ่นหวานนิดๆ อย่างอธิบายไม่ถูก เมื่ออวี้ฝานก็ช้อนตาขึ้นก็เห็นถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายหิ้วอยู่บนนิ้ว ถั่วเขียวปั่นนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น

เฉินจิ่งเซินบอก “ตอนกลับมาที่โรงอาหารไม่ค่อยมีคนก็เลยซื้อติดมาด้วย ดื่มไหม”

ถั่วเขียวปั่นเป็นของที่ขายดีที่สุดช่วงฤดูร้อนในโรงอาหารของโรงเรียนพวกเขา ด้วยเหตุนี้เองโรงเรียนจึงซื้อตู้เย็นขนาดใหญ่สองตู้มาโดยเฉพาะ รับรองว่าบรรดานักเรียนจะได้ดื่มของหวานๆ เย็นสดชื่นหลังเลิกเรียนทุกวัน

อวี้ฝานกะพริบตา เขารับมาเจาะ พลันดูดอึกหนึ่ง

เฉินจิ่งเซินเดินขึ้นบันไดไปสองขั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขา อวี้ฝานรู้สึกตัวขึ้นมา หันหน้าไปหลุดปากพูด “สก…”

เฉินจิ่งเซินนั่งลงไปแล้ว

ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันเพียงไหล่กั้นเหมือนกับตอนอยู่ในห้องเรียน เฉินจิ่งเซินมองเขาแวบหนึ่ง “นายเองก็นั่งไม่ใช่เหรอ”

อวี้ฝานกลืนน้ำปั่น รู้สึกเย็นซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง ร่างกายเย็นสบายขึ้นไม่น้อย “เสื้อผ้าฉันก็ไม่ได้สะอาดเท่าไหร่อยู่แล้ว”

เฉินจิ่งเซินว่า “ฉันก็เหมือนกัน”

“…”

อวี้ฝานมองชุดเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้านเหมือนผ่านการฟอกขาวมาของอีกฝ่ายก็ไร้คำพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะถามอีกครั้ง “ทำไมนายไม่กลับไปที่ห้องเรียน”

ขณะประชุมผู้ปกครอง โดยปกติแล้วนักเรียนต่างรอกันอยู่นอกห้องเรียน ไม่เว้นแม้แต่จั่วควนกับหวังลู่อันก็

เฉินจิ่งเซินหยิบมือถือออกมา แล้วเอ่ยโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ประชุมเสร็จค่อยกลับไป”

อวี้ฝานไม่ส่งเสียง จ้องนิ้วของเขาอย่างเบื่อหน่าย มองเขาเปิดเกมเกมหนึ่งในมือถือ

กระทั่งเฉินจิ่งเซินเข้าเกมถึงได้มีปฏิกิริยา อวี้ฝานขมวดคิ้ว “ทำไมนายก็เล่นไอ้นี่ด้วย”

เฉินจิ่งเซินว่า “ดูนายเล่น รู้สึกว่าสนุกดี”

อวี้ฝานพิงไปทางเขาเล็กน้อย ดูเขาเล่นพลางพูด “เรียนรู้ไวนี่”

เฉินจิ่งเซินตอบอืมทีหนึ่ง ก่อนจะกินงูเล็กๆ ทั้งหมดรอบๆ ตนเอง

ฤดูร้อนมาเยือน วันนี้ไม่มีลม จักจั่นร้องระงม ใบไม้สีเขียวชอุ่มลู่ลงกลางอากาศหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าเวลาผ่านไปช้ามาก

อวี้ฝานมองด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จู่ๆ ก็เอ่ยปากเรียกเขา “เฉินจิ่งเซิน”

“หืม?”

“ผมฉันยาวเกินไปหรือเปล่า”

ปลายนิ้วของเฉินจิ่งเซินหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ไม่นะ”

“อ้อ แต่มันปรกตา คงทำให้คนอื่นรู้สึกว่ามอมแมมมากสินะ” อวี้ฝานเอ่ยส่งๆ “สักสองสามวันจะไปตัดแล้ว”

อันที่จริงอวี้ฝานไม่ได้ตั้งใจจะไว้ยาวขนาดนี้ ตอนเขาไปตัดผมครั้งล่าสุดแค่บอกกับช่างโทนี่ประโยคเดียวว่า ‘ตัดให้บางๆ หน่อย’ สุดท้ายก็สวมหมวกมาเรียนสองสัปดาห์ ต่อให้จวงฝ่างฉินกับหูผางด่าอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน

หากไปร้านตัดผมที่แพงๆ หน่อย อาจจะไม่กระเซอะกระเซิงขนาดนี้มั้ง

อวี้ฝานคิดอย่างไม่ใส่ใจ เห็นมือของเฉินจิ่งเซินที่กำลังเล่นเกมหยุดลงและหันมามองเขา

เขางุนงง เงยหน้าโดยจิตใต้สำนึกและถามว่า “นายทำอะไรน่ะ อยากโดนกิน?…”

เฉินจิ่งเซินยกมือ จู่ๆ ผมตรงหน้าผากเขาก็ถูกทัดไปข้างหลัง อวี้ฝานใจเต้นแรงมาก ทันใดนั้นเสียงก็หายไป

ใบหน้าทั้งดวงของอวี้ฝานเผยออกมาสู่อากาศอย่างหาได้ยาก ขาวสะอาด ท่าทางมึนงงอยู่บ้าง

อวี้ฝานเส้นผมดำมาก ทั้งหนาและน่าลูบมาก

นิ้วของเฉินจิ่งเซินสอดเข้าไปในเรือนผมเขา ไม่มีทีท่าว่าจะละออกไป

อวี้ฝานค่อยๆ ได้สติกลับมา คิดในใจ เอาอีกแล้วสินะ แม่งแตะหัวฉันอีกแล้วสินะ ถ้าวันนี้ฉันซัดหน้านาย ครั้งหน้ายังจะกล้าอยู่อีกไหม…อวี้ฝานช้อนตาขึ้นมาคิดจะด่า แต่เมื่อสบตากับเฉินจิ่งเซิน จู่ๆ ไฟโทสะก็ดับมอดไปแล้ว

เฉินจิ่งเซินตาชั้นเดียว หางตายกนิดหน่อย นัยน์ตาหลุบลงเล็กน้อยเจือด้วยการสำรวจและพินิจที่หาได้ยากในยามปกติ คล้ายกำลังจินตนาการสภาพของเขาหลังจากตัดผม

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสายตาของเขาก็เลื่อนลงไป กวาดผ่านบนไฝทั้งสองจุดข้างแก้มขวาของอวี้ฝาน จากนั้นเป็นสันจมูก ปลายจมูก แล้วเลื่อนลงไปอีก…

ลมร้อนอบอ้าวพัดผ่านระหว่างพวกเขา

อวี้ฝานเกลียดการถูกมองสำรวจมาก แต่ตอนนี้เขาตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน หัวใจเต้นเร็วอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่ลมหายใจก็สงบลงมาก

เฉินจิ่งเซินช้อนตา กวาดมองผ่านใบหูที่แดงระเรื่อของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง

คนที่ปกติมักจะแยกเขี้ยวยิงฟันและท่าทางดุร้าย พอพูดไปพูดมาก็กลายเป็นว่าง่าย

“อย่าตัดดีกว่า”

นิ้วมือมีความปรารถนาอยากควบคุมอันยากที่จะสังเกตเห็น สอดเข้าไปในเรือนผมของอวี้ฝานแล้วค่อยขยี้ เฉินจิ่งเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันชอบแบบนี้”

 

* จูนิเบียว หมายถึงเด็กที่มีพฤติกรรมการแสดงออกที่แหวกแนวแตกต่างจากคนทั่วไป มีหลายลักษณะทั้งอาการหลงผิดคิดเอาเอง ต้องการเป็นที่โดดเด่นมีความพิเศษกว่าคนปกติ หรือสร้างตัวตนตามอุดมคติตัวเองให้เป็นที่จับตามอง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com