everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 67 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 67
ทันทีที่อู๋ซือส่งข้อความนี้มา กลุ่มแชตก็เงียบไปทันใด ผ่านไปนานมากกว่าจะมีคนตอบ
หวังลู่อัน วันนี้ไม่ใช่เอพริลฟูลเดย์นะ อย่าพูดไปเรื่อยสิเพื่อน ไม่ใช่ว่ากรมการศึกษาให้โรงเรียนหยุดทำห้องกิฟต์ไปแล้วเหรอ โรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดบังอาจถึงขนาดนี้เชียว? เพิ่งผ่านไปแค่เทอมเดียวก็แอบเปิดอีกรอบ?
อู๋ซือ ไม่ได้พูดไปเรื่อยสักหน่อย ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน…
อู๋ซือ ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกผู้ปกครองลงนามร่วมกัน ทางนั้นเพิ่งปล่อยข่าว
เฉินจิ่งเซินพิงหลังกับพนักเก้าอี้ นิ้วหยุดอยู่บนหน้าจอ ยังไม่ทันได้พูดอะไรประตูห้องก็ถูกเปิดออก
จี้เหลียนอีถือแก้วเข้ามา “แม่อุ่นนมให้ลูกแก้วหนึ่ง งานชุมนุมของ ม.ปลายปีสาม พรุ่งนี้ต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีไม่ใช่เหรอ ดื่มแล้วก็นอนเถอะ”
บรรดาผู้บริหารของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดเห็นพ้องต้องกันว่าไม่เพียงต้องเร่งรัดการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามเท่านั้น แต่ยิ่งต้องกระตุ้นและให้กำลังใจพวกเขาอยู่ตลอด ปกติโรงเรียนอื่นจะแค่จัดงานชุมนุมปลุกใจครั้งเดียวก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยหนึ่งร้อยวัน แต่ทางโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ดต้องการบังคับฉีดเลือดไก่* ก่อนตั้งแต่วันแรกในการเปิดภาคเรียนของชั้นมัธยมปลายปีสาม
ไม่กี่วันก่อนหูผางติดต่อกับเฉินจิ่งเซิน ให้เขาเป็นตัวแทนนักเรียนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีในวันเปิดภาคเรียนนั้น
นมอุ่นๆ ถูกวางไว้ตรงหน้า จี้เหลียนอีกวาดตามองโทรศัพท์เขาแวบหนึ่ง “ดึกขนาดนี้แล้วยังเล่นมือถืออยู่อีก? ทำไมแม่ถึงรู้สึกว่าช่วงนี้ลูกติดมือถือไปหน่อย”
เฉินจิ่งเซินวางปากกาในมืออีกข้างลง โทรศัพท์ยังคงถืออยู่ในมือ เขากดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วมองนมอุ่นแก้วนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าถาม “แม่รู้เรื่องย้ายห้องแต่แรกแล้ว?”
จี้เหลียนอีถูกถามก็ชะงักไป สายตาของเธอตกอยู่บนใบหน้าเฉินจิ่งเซิน “ใช่ ทางโรงเรียนแจ้งพวกลูกแล้วเหรอ”
เดิมทีเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอคิดจะจัดการเรื่องย้ายห้อง แต่ทางโรงเรียนติดต่อเธอมา แจ้งว่าการย้ายนักเรียนของห้องกิฟต์ไปที่ห้องทั่วไปในเวลานี้ไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเขา เพราะหลักสูตรของห้องกิฟต์เร็วกว่าห้องทั่วไปมาก ให้พวกนักเรียนกลับไปกลางคันมีแต่ต้องเรียนเนื้อหาซ้ำ แบบนั้นจะต้องเกิดผลกระทบต่อผลการเรียนของพวกเขาแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงล่าลายเซ็นของผู้ปกครองและยื่นคำร้องแก่กรมการศึกษา
ทางนั้นคิดๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย พวกเขารุ่นนี้จึงกลายเป็นห้องกิฟต์รุ่นสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด
“นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีใช่ไหม” จี้เหลียนอีตบบ่าเขา “ดื่มเสร็จก็เก็บข้าวของที่ต้องใช้ไปเรียนพรุ่งนี้แล้วนอนเถอะ”
เมื่อจี้เหลียนอีออกไป เฉินจิ่งเซินก็กดเปิดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง ในนั้นมีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเพิ่มขึ้นมาข้อความหนึ่ง
– พรุ่งนี้ฉันจะช่วยนายขนหนังสือขึ้นตึกเอง
เพราะปิดเทอมแค่ยี่สิบวัน พวกเขาจึงยังคงเก็บหนังสือไว้ในห้องเรียนและไม่ได้เอากลับบ้านเยอะมาก
ข้อความนี้ไม่ได้รั้งไว้และก็ไม่ได้เศร้าเช่นกัน เหมือนกับว่าสำหรับพวกเขาแล้วการที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็เป็นแค่เรื่องที่ธรรมดาและเล็กน้อยมาก
ทันใดนั้นเฉินจิ่งเซินก็รู้สึกผ่อนคลายลงตามไปด้วย
เขาคิดถึงคำพูดที่จี้เหลียนอีเคยบอกว่าจะไปส่งตนรายงานตัว หลังจากกดรูปโพรไฟล์ของอวี้ฝานซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งอยู่ใต้โคมไฟตั้งโต๊ะ ถึงได้ตอบกลับอย่างรู้สึกเสียดายนิดหน่อยว่า ‘ไม่ต้องหรอก’
วันต่อมาจี้เหลียนอีไม่ได้เรียกคนขับรถมา แต่ขับรถไปส่งเฉินจิ่งเซินที่โรงเรียนด้วยตัวเอง
ระหว่างทางจี้เหลียนอีกำชับเรื่องต่างๆ มากมายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลายวันมานี้เธอทำแบบนี้ตลอดราวกับอยากจะชดเชยการจู้จี้จุกจิกที่ขาดหายไปครึ่งปี
เฉินจิ่งเซินฟังโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ คำพูดที่ว่า ‘ย้ายกลับไปที่ห้องเดิมได้ไหม’ ประโยคนั้นวนเวียนอยู่ริมปาก แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงไม่ได้เอ่ยออกมาอยู่ดี
จี้เหลียนอีไม่มีทางเห็นด้วยกับความต้องการนี้ของเขา และเขาเองก็ไม่อยากเอาอวี้ฝานเข้าไปอยู่ในสายตาของจี้เหลียนอีเร็วเกินไป
ช่างเถอะ ก็แค่สองเทอมเท่านั้น
หลังจากมาถึงโรงเรียน แม้เฉินจิ่งเซินจะบอกว่าไม่จำเป็น แต่จี้เหลียนอีก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะวุ่นวาย
เธอไปคุยกับครูที่ออฟฟิศครู่หนึ่งเป็นอันดับแรก แล้วค่อยเรียกเฉินจิ่งเซินให้ไปหยิบบัตรอาหารของโรงอาหารมาเติมเงิน สุดท้ายก็ไปที่ห้องเรียนของเฉินจิ่งเซินและช่วยเขาจัดระเบียบหนังสือ
“นั่งตรงนี้เห็นกระดานดำไหม” จี้เหลียนอีถาม
“ครับ”
“ด้านหลังที่นั่งของลูกเป็นแอร์ ไม่ดี แม่ไปหาครูเพื่อเปลี่ยนที่นั่งให้ลูกดีกว่า”
“ไม่ต้องครับ”
“เอาเถอะ ครั้งนี้แม่จะกลับแล้ว ต่อไปเอาข้อสอบมาให้แม่ดูทุกครั้งด้วย อีกอย่างสมุดคัดโจทย์ผิดของลูกแม่ก็เคยเปิดดูแล้ว จำได้ว่าเละเทะนิดหน่อย ต่อให้เป็นกระดาษทด ก็จำไว้ว่าต้องรักษาความเป็นระเบียบด้วย”
“ครับ”
อู๋ซือที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเด็กท็อปนั่งอ้าปากตาค้างอยู่ด้านข้าง ฟังอย่างเงียบๆ อยู่นานมาก กระทั่งผู้หญิงคนนั้นมองมาทางเขาแวบหนึ่ง
“สวัสดีจ้ะ” จี้เหลียนอียิ้ม “ฉันคือผู้ปกครองของเฉินจิ่งเซิน”
อู๋ซือ “…สวัสดีครับคุณป้า”
“อันที่จริงจิ่งเซินค่อนข้างเสียสมาธิง่าย ถ้าเป็นไปได้ขอให้เธอพยายามอย่ารบกวนในคาบ…”
“แม่” เฉินจิ่งเซินช้อนตาขึ้นตัดบทเธออย่างเรียบเฉย “งานชุมนุมใกล้จะเริ่มแล้ว แม่กลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อจี้เหลียนอีกลับมาถึงรถ ในโรงเรียนก็มีเสียงดนตรีรวมพลดังขึ้น
จริงๆ แล้วจี้เหลียนอีอยากอยู่ฟังสุนทรพจน์ของลูกชายมาก เธออยากชื่นชมท่วงท่าที่เปล่งประกายท่ามกลางผู้คนของเฉินจิ่งเซิน หลังจากผ่านประสบการณ์การแต่งงานที่ล้มเหลว น่าขัน และขายหน้าอย่างยิ่งยวด ลูกชายจึงกลายเป็นความภาคภูมิใจของเธอ เป็นเสาหลักแห่งจิตใจที่ใหญ่ที่สุดของเธอ
น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะสามารถดูแลลูกชายได้อย่างเต็มที่ ภาระหน้าที่ด้านการงานที่เพิ่งโยกย้ายมาภายในประเทศมีหลายเรื่องที่ยังไม่นิ่ง เธอยังต้องจัดการสักระยะหนึ่ง
จี้เหลียนอีรัดเข็มขัดนิรภัย ตอบอีเมลที่ยังไม่ทันได้อ่านอย่างเรียบง่าย สวมแว่นตาดำกำลังเตรียมจะขับรถออกไป
‘ก๊อกๆ’ หน้าต่างรถของเธอถูกคนเคาะสองที
จี้เหลียนอีหันหน้าไป แล้วสบตากับคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างรถและก้มลงมามองในรถเธอ เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
คนคนนั้นส่งยิ้มยิงฟันให้เธอ แล้วเคาะหนักๆ อีกสองที ‘ก๊อกๆ’ จี้เหลียนอีกำพวงมาลัย ข่มความไม่สบายใจที่อธิบายไม่ถูกไว้ในใจ เลื่อนหน้าต่างรถลงเล็กน้อย
“มีธุระเหรอคะ” เธอถาม
ห้องหนึ่งที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้งแล้ว เมื่อรวมตัวชุมนุมกันที่สนามกีฬา ห้องอื่นๆ ต่างขยับไปทางขวาอีกนิดเพื่อเว้นที่ให้ห้องหนึ่งเข้าแถว
ในแถวของชั้นมัธยมปลายปีสามห้องเจ็ด หวังลู่อันมีท่าทางซึมเซา ยังไม่ยอมรับความจริงที่ว่าถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว…
“ทำไมต้องเรียนหนังสืออีกแล้วเนี่ย ฉันเพิ่งปิดเทอมเมื่อวานไม่ใช่หรือไง หยุดยี่สิบวันแล้วมีสิทธิ์อะไรมาเรียกว่าปิดเทอมฤดูร้อน? ฉันแม่งกลับมาจากปิดเทอมฤดูร้อน ทำไมเพื่อนร่วมโต๊ะก็หายไปแล้ว”
“โวยวายบ้าอะไรของนาย” จั่วควนที่อยู่แถวข้างๆ แกล้งทำท่าแคะหู “นั่งคนเดียวสบายกว่าไม่ใช่หรือไง”
“สบายกับผีน่ะสิ เหงาจะตายชัก! แม้แต่คนพูดด้วยก็ไม่มี…หืม?”
จู่ๆ หวังลู่อันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปมองคนที่ไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนในห้อง “อวี้ฝาน เราสองคนขยับไปนั่งโต๊ะด้วยกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
จั่วควน “ฝันไปเถอะนายน่ะ นายคิดว่าครูประจำชั้นของพวกนายจะให้พวกนายสองคนนั่งด้วยกันหรือไง”
“เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่” หวังลู่อันส่งนิ้วโป้งไปข้างหลัง “เพื่อนยากของฉัน ตอนนี้เป็นท็อปห้าร้อยของสายชั้น ผลการเรียนของฉันเองก็ก้าวหน้าเหมือนกัน พวกฉันสองคนไปพูดกับฝ่างฉินด้วยกัน ไม่แน่ว่าอาจจะได้จริงๆ…”
“ไม่เอา” คนข้างหลังตัดบทเขาอย่างเย็นชา
“ทำไมล่ะ”
อวี้ฝานสองมือซุกกระเป๋ากางเกง หลุบเปลือกตาลงกึ่งหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย “หนวกหูเกินไป กระทบกับการเรียนฉัน”
หวังลู่อัน “…”
จั่วควน “…”
จะว่าอย่างไรดี แม้ระยะนี้อวี้ฝานจะกำลังตั้งใจเรียนอยู่จริงๆ แต่บางทีก็ตามอารมณ์ไม่ทัน พอพูดประโยคนี้ออกมาจากปากยังคงรู้สึกหลอนอยู่บ้าง
หวังลู่อันกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยร่างหนึ่ง เขาหลุดปากเอ่ย “เฮ้ย ถึงตาเด็กท็อปกล่าวสุนทรพจน์แล้ว”
ศีรษะที่เดิมทีกำลังสัปหงกก็เงยขึ้นมาทันใด
ชุดเครื่องแบบของเฉินจิ่งเซินเจิดจ้าเกินไป ยิ่งขับให้เสื้อเชิ้ตสีขาวบนร่างหูผางซึ่งอยู่ข้างๆ ดูเหลืองขึ้นไปอีก บ่าที่ทั้งกว้างและตรงค้ำยันชุดเครื่องแบบไว้ นิ้วมือหนีบสคริปต์สุนทรพจน์อย่างโจ่งแจ้ง
“สวัสดีครับทุกคน ผมคือเฉินจิ่งเซิน ชั้นมัธยมปลายปีสามห้องหนึ่ง” เสียงอันเย็นชาของเด็กหนุ่มดังขึ้นทั่วสนามกีฬา
เฉินจิ่งเซินไม่ได้ใส่ใจกับการกล่าวสุนทรพจน์อย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้เตรียมตัวเท่าไรนัก ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมองสคริปต์ในมือ อวี้ฝานเองก็เชิดคางมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินจิ่งเซินอ่านสคริปต์จนจบด้วยความนิ่งเฉย ก่อนจะลงจากเวทีพร้อมทั้งกำกระดาษแผ่นนั้น ขณะใกล้จะเดินมาถึงแถวของห้องพวกเขา อวี้ฝานก็ยืนตัวตรงตามความเคยชิน รอเมื่อเฉินจิ่งเซินเข้ามาจะได้เตรียมเบี่ยงตัวหลบให้เขาไป
เฉินจิ่งเซินเดินผ่านแถวของห้องเจ็ดแล้วตรงไปข้างหน้าต่อ
อวี้ฝานชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่อย่างสบายๆ
หลายคนในห้องล้วนหันศีรษะไปตามเงาร่างของเฉินจิ่งเซินเหมือนกับเขา
หวังลู่อันหันศีรษะไปจ้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไกลๆ พักหนึ่ง แล้วพึมพำเสียงเบา “จิ๊ ทำไมฉันถึงรู้สึกหลอนๆ นิดหน่อย เด็กท็อปเคยมาอยู่ห้องห่วยๆ ของพวกเราจริงๆ เหรอ”
อวี้ฝานไม่ส่งเสียง เขาหันไปจ้องยังทิศทางของห้องหนึ่ง หาคนที่เรียบร้อยที่สุดในหมู่ศีรษะเป็นกองจนเจอ สีหน้ายิ่งบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ชุดเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้านและถูกต้องตามระเบียบของเฉินจิ่งเซิน เมื่ออยู่ห้องเจ็ดมักโดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ เมื่อกลับมาอยู่ห้องหนึ่งก็ดีขึ้นมาก เด็กเรียนหลายคนทั้งข้างหน้าข้างหลังล้วนเหมือนกับเขา ติดกระดุมอย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่ได้ดูดีเท่าที่เขาใส่
เมื่อคืนตอนอวี้ฝานได้ยินว่าจะย้ายห้อง อันที่จริงก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดิมทีเฉินจิ่งเซินกับห้องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในระดับความก้าวหน้าเดียวกันอยู่แล้ว สามารถกลับไปอยู่ห้องกิฟต์ได้ย่อมดีที่สุด
เพราะอย่างไรก็ยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน พวกเขายังเจอหน้ากันได้ทุกเมื่อ
แต่พอแบ่งห้องจริงๆ ก็รู้สึกเหมือนห่างกันมากขึ้นเสียอย่างนั้น ห้องเรียนห่างกันโดยมีสี่ชั้นกั้น คาบพละแบ่งกันคนละวัน แม้แต่เข้าแถวในสนามกีฬาก็ห่างกันตั้งหกห้อง
อีกอย่าง…
ตั้งแต่ขึ้นเวทีจนลงมา เฉินจิ่งเซินแม่งไม่มองเขาเลยสักแวบเดียว
จิ๊
และในขณะที่อวี้ฝานกำลังจะเก็บสายตากลับมา จู่ๆ ศีรษะที่ตั้งตรงนั้นก็หลุบลง แขนโค้งงอเล็กน้อย
วินาทีต่อมาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของอวี้ฝานก็สั่นทีหนึ่ง
s เลิกเรียนแล้วเจอกัน
“…”
อวี้ฝานจ้องตัวหนังสือไม่กี่คำนี้สักพัก แล้วตอบกลับไปอย่างเฉยชามากว่า ‘อืม’ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกลับมาอยู่ในท่าทางเกียจคร้านเหมือนก่อนหน้านี้
คาบสุดท้ายของช่วงบ่ายเฉินจิ่งเซินกำลังทำโจทย์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบกันดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
“ทำไมเขามาอยู่ที่นี่”
“ไม่รู้ น่ากลัวชะมัด ดูเหมือนจะมาหาเรื่อง…”
“จะต้องมาต่อยคนแน่นอน เดี๋ยวพวกเรากลับด้วยกันเถอะ”
เฉินจิ่งเซินนั่งอยู่ตรงกลุ่มเล็กๆ ด้านในสุดของห้องเรียน เขาหยุดปากกาแล้วเงยหน้าขึ้น มองตามสายตาของคนอื่นๆ ไปยังประตูหน้าของห้องเรียน
เห็นแฟนหนุ่มของเขาแล้ว
อวี้ฝานพิงหลังบนผนังเตี้ยๆ นอกระเบียงทางเดินของห้องหนึ่ง ชุดนักเรียนหลวมโพรกแนบติดบนร่างอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ในปากเคี้ยวหมากฝรั่งพลางมองสำรวจคนในห้องหนึ่งอย่างเอ้อระเหย
ทั้งสองสบตากัน อวี้ฝานเป่าหมากฝรั่งแตกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ใช้สายตาเร่งเขา ‘เร็วหน่อย’
เฉินจิ่งเซินเลิกคิ้วตอบ ‘ฉันช่วยไม่ได้’
ธรรมชาติของอวี้ฝานไม่ได้มีความอดทนเท่าไรนัก ห้านาทีให้หลังเขาก็พลิกตัว ก้มหน้าเสาะหาเพื่อนที่ถูกเขาเทนัดแข่งบาสเกตบอลไม่กี่คนนั้นในจุดสีดำเล็กๆ บนสนามบาสเกตบอลของโรงเรียน
สิบนาทีต่อมาอวี้ฝานพิงกับผนังข้างหน้าต่างบานหนึ่งของห้องหนึ่ง จ้องกระดานดำอย่างถมึงทึง
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย ทำไมไม่เห็นเข้าใจเลยสักข้อ
เพื่อนที่อยู่ข้างหน้าต่างตัวสั่นระริก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
สิบห้านาทีหลังจากนั้นอวี้ฝานก็ย้ายไปที่ประตูด้านหน้าห้องเรียน เอนตัวพิงข้างประตู บนใบหน้าเขียนคำว่าหงุดหงิดเต็มไปหมด
ครูสบตากับเขา “…”
อวี้ฝาน “…?”
เฉินจิ่งเซินก้มหน้าหมุนปากกา เบือนหน้าไปทางนอกหน้าต่างอย่างสุดทน หลบสายตาแฟนหนุ่มของเขาแล้วแอบหัวเราะออกมา
เฉินจิ่งเซินออกจากห้องเรียนเป็นคนแรกหลังเลิกเรียน
เมื่ออีกฝ่ายมายืนตรงหน้าตน อวี้ฝานก็ถามด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “ทำไมครูนายปล่อยเลตขนาดนี้เนี่ย”
ครูที่เดินผ่านมาจากทางด้านหลังเขา “…”
“นานๆ ทีน่ะ” เฉินจิ่งเซินถาม “ทำไมขึ้นมาล่ะ”
อวี้ฝาน “ก็บอกให้ฉันรอเจอนายไม่ใช่หรือไง”
“บอกให้นายรอเจอฉันที่ห้อง”
นักเรียนห้องหนึ่งหลายคนหลังเลิกเรียนล้วนอยู่ทบทวนด้วยตัวเองที่ห้อง พวกเขาจึงอยู่ติวกันไม่ได้ เฉินจิ่งเซินหิ้วสายสะพายกระเป๋าเป้ นิ้วมือแตะหลังมืออวี้ฝานอย่างแผ่วเบา “ไปกัน กลับห้องเจ็ด”
จวงฝ่างฉินถือข้อสอบปิดเทอมฤดูร้อนที่ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วพลางลุกขึ้น กำลังจะออกจากออฟฟิศก็พบกับครูคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งที่เพิ่งเลิกคาบมา
“ครูจวง จะกลับแล้ว?” อีกฝ่ายถาม
“ยังค่ะ” จวงฝ่างฉินยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าฉันมีธุระ ไม่ได้มาโรงเรียน เลยจะเอาข้อสอบไปไว้ที่โพเดียมในห้องเรียนก่อน จะได้ให้พวกเขาแจกพรุ่งนี้เช้า”
“อ้อ” อีกฝ่ายลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ครูจวง ฉันเพิ่งเห็นนักเรียนชายที่มีไฝสองจุดบนใบหน้าคนนั้นของห้องพวกคุณ เขาเพิ่งมาหาเฉินจิ่งเซินถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง…”
จวงฝ่างฉินมองออกถึงความหมายในท่าทีของอีกฝ่าย จึงรีบพยักหน้าและกล่าว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันในห้องฉัน ค่อนข้างสนิทกัน”
อีกฝ่ายพรูลมหายใจ “แบบนี้นี่เอง งั้นก็ดีแล้ว ฉันขอตัวก่อนล่ะ คุณรีบไปเถอะ”
เมื่อบอกลาอีกฝ่ายแล้ว จวงฝ่างฉินก็มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของตน
เลิกเรียนนานแล้ว บวกกับวันนี้เพิ่งเปิดเทอม บรรดานักเรียนต่างกลับกันเร็วมาก ห้องเรียนชั้นสามเงียบสงบราวกับไม่มีคน
จวงฝ่างฉินขบคิดเรื่องปรับเปลี่ยนที่นั่งอยู่ในใจก็เดินมาถึงประตูหลังของห้องเจ็ดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ภายในห้องเรียนยังมีคนอยู่
ครูมักมีนิสัยแปลกๆ อย่างการชอบจู่โจมกะทันหัน จวงฝ่างฉินได้ยินเสียงก็ผ่อนฝีเท้าช้าลงโดยไม่รู้ตัว ชะโงกศีรษะออกไปดูตรงประตูหลัง จากนั้นก็ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม
โต๊ะตัวสุดท้ายของกลุ่มสุดท้าย นักเรียนชายในชุดเครื่องแบบสีขาวสองคนกำลังนั่งไหล่ชนกันเหมือนกับเมื่อก่อน
ปากกาที่ถือไว้ในมือด้ามหนึ่งกำลังขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษทด อธิบายโจทย์ด้วยน้ำเสียงเย็นชาและทุ้มต่ำ ส่วนอีกคนไม่ได้นั่งดีๆ งอแขนเท้าศีรษะอยู่บนโต๊ะเรียน ดูไม่ออกว่ากำลังตั้งใจฟังอยู่หรือเปล่า
ขณะที่จวงฝ่างฉินกำลังจะเข้าไปในห้อง คนที่อธิบายโจทย์ พอเสร็จโจทย์ข้อหนึ่งก็วางปากกาลง ยกแขนขึ้นทัดผมของนักเรียนชายที่อยู่ข้างๆ ไปด้านหลัง จากนั้นก็เอียงศีรษะไปพิง
ดวงอาทิตย์ตกดิน แสงสายัณห์ถูกหน้าต่างตัดเป็นเส้นๆ
พวกเขานั่งอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองทองอันร้อนระอุ เมื่อทั่วทั้งโรงเรียนเงียบลงก็จูบอย่างแนบสนิทและเงียบเชียบ
ทันใดนั้นเท้าของจวงฝ่างฉินที่ยกขึ้นมาก็แข็งค้าง ในใจตะลึงพรึงเพริด
* ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อที่ว่าหลังจากฉีดแล้วจะทำให้เลือดสูบฉีด จึงเป็นสำนวนที่หมายถึงอาการคึก ตื่นเต้น หรือเป็นการเพิ่มกำลังใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…