everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 69 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 69
รถพุ่งทะยานไปบนถนนด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคันอื่นๆ โดยรอบ
มือถือได้รับการตอบกลับมาเร็วมาก เฉินจิ่งเซินก้มหน้ามองคำว่า ‘อ้อ’ บนหน้าจอแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนมือถือเข้าไปในกระเป๋าเป้ แล้วหันหน้าไปมองผู้หญิงที่อยู่บนเบาะตำแหน่งคนขับ
จี้เหลียนอีจ้องไปข้างหน้า มวยผมยุ่งเหยิง มีปอยผมหลุดลุ่ยอยู่หลังหู ปากของเธอทาลิปสติกเพื่อขับเน้นสีหน้า แต่ยังคงดูท่าทางเหนื่อยล้าอยู่ดี
ระยะนี้จี้เหลียนอีอยู่ในสภาพนี้ตลอด ถึงขั้นนับวันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เฉินจิ่งเซินเคยถามหลายครั้ง อีกฝ่ายมักมองเขาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
วันนี้เขายังไม่เลิกเรียนก็ได้รับข้อความจากจี้เหลียนอี บอกว่าเลิกเรียนแล้วจะมารับเขาที่โรงเรียน
รถยังไม่ได้ขึ้นทางยกระดับก็ติดแหง็กแล้ว เฉินจิ่งเซินมองไฟรถคันข้างหน้าแล้วถาม “เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ”
“เปล่า” คำตอบเหมือนเดิม
“แม่ดูท่าทางเหนื่อยมาก”
“…คงเป็นเพราะเรื่องที่จัดการช่วงก่อนหน้านี้เยอะเกินไป พอว่างขึ้นมากลับไม่สบายใจ” มือของจี้เหลียนอีที่กำพวงมาลัยกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอหันหน้าไปมองเฉินจิ่งเซิน “หลังจากนี้แม่จะมารับส่งลูกที่โรงเรียนทุกวัน”
เฉินจิ่งเซินขยับนิ้ว “ไม่ต้องหรอกครับ”
“ตอนเช้ากินมื้อเช้าด้วยกันแล้วค่อยออกจากบ้าน ตอนบ่ายเลิกเรียนก็ออกมาตรงเวลา แม่จะรอลูกอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน” จี้เหลียนอีเมินเฉยคำปฏิเสธของเขา “เหมือนกับวันนี้”
เดิมทีเฉินจิ่งเซินคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เขาหันหน้าไปสบตากับจี้เหลียนอี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้หลับสนิทมาหลายคืนแล้ว ดวงตาเรียวอันงดงามหม่นแสงลง
เมื่อรถคันหลังกดแตรเร่ง เฉินจิ่งเซินก็เก็บสายตากลับมา
“รู้แล้วครับ” เขาเอ่ย “รถเยอะ ขับช้าๆ หน่อยครับ”
เฉินจิ่งเซินกลับถึงบ้าน พออาบน้ำเสร็จก็นั่งที่โต๊ะหนังสือและเปิดโคมไฟ เพิ่งหยิบสมุดคัดโจทย์ผิด จู่ๆ ก็มีเสียงของแตกดังหนักๆ ติดกันหลายครั้ง
ห้องรับแขกไม่ได้เปิดไฟจึงมืดสนิท เฉินจิ่งเซินเร่งฝีเท้าเดินไปยังหน้าประตูห้องของจี้เหลียนอี หลังจากเคาะประตูสองทีแล้วไม่มีการตอบกลับ จึงผลักประตูเข้าไป
จี้เหลียนอีค้อมตัวลงนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ข้อศอกเท้าโต๊ะ นิ้วมือสอดอยู่ในเรือนผม เส้นผมยาวๆ ถูกเธอทึ้งจนยุ่งเหยิง แก้วแตกเกลื่อนพื้น รวมทั้งโทรศัพท์ของเธอ
ลมหายใจของจี้เหลียนอีหนักหน่วง หลังจากได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง เนิ่นนานกว่าจะอ้าปากพูด “…เข้ามาทำไม”
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าจี้เหลียนอีที่เป็นแบบนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
ตอนที่เธอรู้ว่าสามีมีลูกที่โตกว่าลูกชายของตนหนึ่งปีอยู่ข้างนอก เธอเองก็อยู่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลานานมาก
“ได้ยินเสียงครับ” เฉินจิ่งเซินเดินเข้าไป คุกเข่าลงเก็บเศษแก้ว
“อย่า” จี้เหลียนอีพลันลุกขึ้นยืน เธอเสยผมไปข้างหลัง “ระวังบาดมือ แม่จัดการเอง…”
เฉินจิ่งเซินโยนของที่เก็บลงไปในถังขยะอย่างคล่องแคล่ว เขาเก็บมือถือที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะยื่นไป จู่ๆ หน้าจอก็สว่างวาบขึ้นมา
วินาทีต่อมาในมือเขาพลันว่างเปล่า จี้เหลียนอีหยิบมือถือไปแล้ว
“ไม่ระวังก็เลยชนแก้วน้ำล้ม” จี้เหลียนอีคว่ำโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ “ทำให้ลูกตกใจเหรอ”
“เปล่าครับ” เฉินจิ่งเซินคิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม “ไม่สบายหรือเปล่า”
จี้เหลียนอีชะงักแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ จะป่วยได้ยังไงกัน กลับห้องไปเถอะ ทำการบ้านเสร็จแล้วก็นอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้ามากินมื้อเช้าอีก”
เฉินจิ่งเซินขมวดคิ้ว ยังอยากจะถามอะไรอีก แต่มือของจี้เหลียนอีกลับวางลงบนแผ่นหลังเขา “เอาล่ะ แม่มีงานต้องทำ…”
“บอกว่าช่วงนี้ไม่มีงานไม่ใช่เหรอครับ”
“เก็บงานจบโปรเจ็กต์น่ะ” จี้เหลียนอีเงยหน้ามองลูกชายสุดที่รักของเธอแล้วยิ้ม “ผ่านไปสักระยะก็โอเคแล้ว ไม่มีอะไร ไม่เป็นไร”
เฉินจิ่งเซินกลับถึงห้อง ยังคงนึกถึงปฏิกิริยาของจี้เหลียนอีเมื่อกี้นี้
คนบ้านนั้นยังติดต่อกับเธออยู่? หรือว่าคดีฟ้องหย่ายังจัดการไม่เรียบร้อย?
เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเงียบๆ ควงปากกาไปมา ยากจะดึงสมาธิเอาไว้ได้ จนกระทั่งมือถือบนโต๊ะดังขึ้นมา
เขาดูข้อความ ‘ยุ่งอยู่เหรอ’ ที่แฟนหนุ่มส่งมาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบกลับ กระทั่งวางปากกาลงแล้วจึงกดวิดีโอคอลล์กลับไป
อวี้ฝานกำลังนั่งตากลมอยู่ที่ระเบียง เมื่อเห็นวิดีโอคอลล์ก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ช่วงนี้ทุกวันตอนบ่ายเขากับเฉินจิ่งเซินจะทำการบ้านที่ห้องเรียนจนเสร็จแล้วค่อยกลับ บวกกับแม่ของเฉินจิ่งเซินมักเข้ามาในห้อง หลังจากเปิดเทอมพวกเขาก็ไม่เคยวิดีโอคอลล์กันเลย
อวี้ฝานรีบรับสายทันที ลมพัดจนผมยุ่งๆ ปรกใบหน้า เขาเสยผมไปข้างหลังอย่างหงุดหงิด เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวสะอาด “ถึงบ้านแล้ว?”
เฉินจิ่งเซิน “อืม แม่ฉันมารับฉัน เลิกเรียนก็กลับเลย”
อวี้ฝานขานรับทีหนึ่ง ก่อนจะพิงกลับไปบนตาข่ายกันขโมยอย่างผ่อนคลาย “ฉันนึกว่านายมีธุระอะไร…”
“ช่วงนี้เธอจะมาตลอด”
อวี้ฝานชะงักไปครู่หนึ่ง
จะมาตลอด?หมายความว่าหลังจากนี้เลิกเรียนเฉินจิ่งเซินก็จะกลับเลย ไม่มีเวลาไปทำข้อสอบที่ห้องไหนอีกแล้ว?
เห็นเขาไม่พูดไม่จา เฉินจิ่งเซินจึงเอ่ย “ช่วงนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่านไปสักสองสามวัน…”
“พอดีเลย ทุกวันหลังเลิกเรียนต้องถูกกักตัวไว้ในห้องตลอด น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว” อวี้ฝานยกคิ้วอย่างไม่ยี่หระ เสริมไปอีกประโยคอย่างฝืนๆ “งั้นนายก็อยู่เป็นเพื่อนเธอเยอะๆ เถอะ”
“อืม ทำการบ้านไหม”
อวี้ฝานกำลังจะบอกว่าโอเค แต่คำพูดมาถึงริมปากแล้วก็เปลี่ยนไป “วางสายแล้วค่อยทำเถอะ เผื่อจู่ๆ แม่นายเข้ามา”
เฉินจิ่งเซินเงียบไปสองวินาทีกว่าจะเอ่ย “โอเค”
นิ้วของเฉินจิ่งเซินเพิ่งขยับ จู่ๆ คนที่อยู่ปลายสายก็ตะโกนเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน!”
เฉินจิ่งเซิน “หืม?”
วิดีโอคอลล์นี้มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะกำลังจะวางสายอวี้ฝานถึงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก เขาทึ้งผมตัวเองครู่หนึ่ง “วันศุกร์นี้เลิกเรียนนาย…ว่างหรือเปล่า”
เฉินจิ่งเซินดูปฏิทินแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก วันศุกร์ วันที่สิบเอ็ด เดือนสิงหาคม วันนี้ของทุกปีจี้เหลียนอีจะต้องส่งของขวัญมาที่บ้าน นานเข้าๆ เฉินจิ่งเซินจึงจำวันเกิดตัวเองได้
“ว่างสิ ทำไมเหรอ” เฉินจิ่งเซินถาม
“ยังจะทำไมอีก ก็จะให้นายออกมาไง” อวี้ฝานเอ่ย “เล่นเน็ตน่ะสิ”
“…”
เลิกเรียนวันศุกร์ พอกริ่งเลิกคาบดังอวี้ฝานก็ออกจากโรงเรียนทันที
เขาไปห้างสรรพสินค้าที่ปกติไม่ได้ไปบ่อย หลังจากถามพนักงานก็เดินขึ้นบันไดเลื่อน ตรงเข้าไปยังร้านปากกาลูกลื่นที่อยู่มุมซ้ายของชั้นสาม
ในร้านไม่ค่อยมีคน เจ้าของร้านที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถือเห็นเขาก็รีบยืนตรงทันที
ร้านนี้เป็นร้านที่อวี้ฝานดูคะแนนรีวิวในอินเตอร์เน็ตมาหลายวันกว่าจะเลือกออกมาได้ เขาดูปากกาลูกลื่นหลากรูปแบบในตู้กระจกจนหรี่ตาด้วยความตาลาย
“ยินดีต้อนรับครับ” เจ้าของร้านรีบเดินมาถึงตรงหน้าเขาแล้วถาม “ต้องการแบบไหนดีครับ ใช้เองหรือว่าคนอื่นใช้ ต้องการให้ผมแนะนำให้คุณสักสองสามแบบไหมครับ”
“เป็นของขวัญให้คนอื่นครับ” อวี้ฝานบอก
เจ้าของร้านรีบก้มลงค้นแบบที่เป็นที่นิยมมาหลายด้าม หยิบไปพลางถามไปพลาง “ให้เพื่อนหรือผู้ใหญ่ครับ”
สายตาของอวี้ฝานที่มองสำรวจหยุดชะงัก จากนั้นก็ตอบอย่างรวดเร็วว่า “แฟน”
เจ้าของร้านเลือกด้ามที่สีอ่อนและประณีตไม่กี่ด้ามมาวางไว้ตรงหน้าเขาทันที “งั้นคุณโชคดีจริงๆ ครับ ของพวกนี้เป็นแบบใหม่ล่าสุดทั้งหมด เมืองหนานมีแค่ร้านเราที่มี ช่วงนี้นักเรียนหญิงที่มาที่นี่ต่างก็ซื้อแบบนี้…”
“นักเรียนชายใช้ครับ”
“…ฮะ?”
“แบบนี้” อวี้ฝานชี้ปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินเข้มด้ามหนึ่งในตู้โชว์ “เท่าไหร่ครับ”
“เก้าร้อยเก้าสิบเก้า” เจ้าของร้านตอบอย่างเงอะงะ
สองมือของอวี้ฝานซุกในกระเป๋ากางเกง สบสายตากับปากกาลูกลื่นด้ามนั้นอย่างเย็นชาอยู่นานมาก ออกแรงกัดฟันทีหนึ่ง “…ห่อด้วยครับ”
อวี้ฝานถือของขวัญออกมา เดินไปพลางคำนวณค่าใช้จ่ายของตนไปพลางด้วย อันที่จริงเมื่อก่อนเขาจ่ายเงินค่อนข้างตามอำเภอใจ เขาไม่ได้วางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตมันน่าเบื่อ เมื่อใช้จ่ายก็มักมีรสชาติของความหมดอาลัยตายอยากนิดหน่อย ลำพังแค่สูบบุหรี่กับเล่นอินเตอร์เน็ตก็หมดไปไม่น้อยแล้ว
หลังจากนี้ทุกวันจะคุมให้น้อยกว่าสามสิบหยวน ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ก็น่าจะรับมือกับช่วงมัธยมปลายปีสามได้…
อวี้ฝานเดินอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ฝีเท้าจึงหยุดชะงัก แล้วก็ค่อยๆ ถอยกลับไป
เขาจ้องเค้กชิ้นเล็กๆ ที่อยู่ในตู้โชว์ คนตัวเล็กๆ สองคนห้ำหั่นกันอยู่ในใจ
‘ประหยัดเงิน’
‘ฉลองวันเกิดไม่มีเค้กไม่ดีมั้ง’
‘เฉินจิ่งเซินอายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังจะกินเค้กอยู่อีกเรอะ’
‘อายุเท่าไหนก็เป็นแฟนนาย’
‘ผู้ชายสองคนกินเค้กด้วยกันหน่อมแน้มไปหน่อยหรือเปล่า’
หลังจากนั้นสามนาทีอวี้ฝานก็ยืนอยู่ตรงหน้าพนักงานร้านเค้กด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เอาเค้กครึ่งปอนด์ครับ…”
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นทีหนึ่ง อวี้ฝานหยิบขึ้นมาดู
s ขอโทษนะ เจอกันไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนี้ที่บ้านรวมตัวกันกินอาหาร คงยุ่งไปจนถึงค่ำๆ
ขณะที่เฉินจิ่งเซินเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกจากบ้าน พอเปิดประตูห้องก็เห็นจี้เหลียนอีที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเขาเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย จี้เหลียนอีก็แปลกใจอยู่บ้าง ใส่ต่างหูพลางให้เขาไปขึ้นรถก่อน บอกว่าวันนี้จะกลับไปฉลองวันเกิดที่บ้านคุณยาย
เฉินจิ่งเซินบอกว่าตนมีนัด ชั่วขณะนั้นสีหน้าของจี้เหลียนอีก็ย่ำแย่ เธอไม่อนุญาตให้เขาไปด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก ทั้งยังให้คุณยายโทรหาเขา สองแม่ลูกประจันหน้ากันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว กระทั่งเฉินจิ่งเซินพบว่าในกระเป๋าถือที่จี้เหลียนอีไม่ได้ปิดไว้ให้ดีมียาอยู่หลายกล่อง จึงได้แต่ตอบรับอย่างจนใจ
จริงๆ แล้วเฉินจิ่งเซินกับญาติทั้งสองครอบครัวไม่ได้สนิทสนมกัน เขากับคนรุ่นเดียวกันไม่กี่คนซึ่งจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำนั่งด้วยกัน ฟังพวกเขาเล่นเกมกันอย่างเฉยชา เขาคือ ‘ลูกของบ้านอื่น’ ในสายตาคนเหล่านี้ หนึ่งในนั้นถามเขาว่าจะเล่นไหม ส่วนอีกคนบอกทันทีว่าเฉินจิ่งเซินจะเล่นเกมเป็นได้อย่างไร
ทั้งยังถูกจี้เหลียนอีดันไปข้างหน้าให้คุยกับพวกผู้ใหญ่ เขานั่งอยู่บนโซฟามานาน คุยกันเรื่องผลการเรียน คุยเรื่องแผนในอนาคต ทุกคนต่างคึกคักกันทีเดียว มีเพียงเขาเองที่พูดแค่ไม่กี่ประโยค
ระหว่างนั้นเขาก็ได้รับข้อความจากแฟนของเขา ‘ดินเนอร์อร่อยหรือเปล่า’
เฉินจิ่งเซินก็ตอบกลับว่า ‘อร่อยไม่เท่าโอเด้ง’
ทรมานไปจนถึงตอนค่ำ ในที่สุดก็นั่งรถกลับบ้านสักที สองแม่ลูกต่างก็ยังจำเรื่องก่อนออกจากบ้านได้ ไม่ว่าใครก็ไม่เอ่ยปากตลอดทาง
กระทั่งเข้าประตูบ้าน เฉินจิ่งเซินกำลังเตรียมจะกลับขึ้นไปที่ห้อง จู่ๆ จี้เหลียนอีก็เรียกเขาไว้
“วันนี้ลูกได้ฟังเรื่องมหา’ลัยนั้นที่คุณยายพูดไหม” จี้เหลียนอีเอ่ย “ที่นิวยอร์ก…”
“ผมไม่ไปต่างประเทศ” เฉินจิ่งเซินตอบเสียงเรียบ
“ลูกไปศึกษาสภาพแวดล้อมทางนั้นก่อนก็ดะ…”
“ไม่ไป” เฉินจิ่งเซินกล่าว “ไม่ต้องพูดถึงแล้วครับ”
จี้เหลียนอีสบตากับเขาหลายวินาที ก่อนจะเบือนหน้าหนีเป็นนัยว่าประเด็นนี้จบลงแล้ว
เฉินจิ่งเซินกลับถึงห้อง รู้สึกแค่ว่าเหนื่อย เขาโยนกล่องของขวัญทั้งหมดไว้บนโต๊ะ กำลังจะไปอาบน้ำ มือถือก็มีข้อความเข้า
– ถึงบ้านแล้ว?
s เพิ่งถึง
– อ้อ ตรงทางเดิน
เฉินจิ่งเซินอ่านข้อความนี้ งงงันอยู่สองวินาทีกว่าจะขยับ เขาหมุนตัวไปเปิดหน้าต่าง ยืนมองลงไปจากระเบียง…
ในเขตชุมชนไฟถนนสลัว กิ่งไม้โยกไหวไปมาตามลมยามค่ำในฤดูร้อน ใต้กิ่งไม้หนาแน่นสามารถเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินยาวๆ ได้ เขาเท้าศอกบนที่วางแขนของม้านั่งหินอย่างหงุดหงิด ขาไขว่ห้าง ที่ว่างด้านข้างยังมีของอะไรบางอย่างวางอยู่ด้วย
ตอนเฉินจิ่งเซินโทรเข้ามา อวี้ฝานเพิ่งไล่ยุงไปตัวหนึ่ง
“เฉินจิ่งเซิน” อวี้ฝานแหงนศีรษะ ระบายความโกรธทั้งหมดที่มีต่อยุงใส่คนที่ยืนอยู่ตรงระเบียง “หมู่บ้านพวกนายปลูกต้นไม้เยอะแยะขนาดนี้ไปทำไมกัน”
เฉินจิ่งเซินตึงเครียดมาตลอดทั้งวัน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมาแล้ว เขาบอก “รอฉันลงไป”
“อย่า” อวี้ฝานรีบเรียกเขาไว้ “นายยืนตรงระเบียงนั่นแหละ ม่านหน้าต่างห้องรับแขกบ้านนายปิดไม่สนิท แม่นายกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา”
พูดจบอวี้ฝานก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นโรคจิตนิดหน่อย ถึงกับถ้ำมองบ้านของคนอื่น
เฉินจิ่งเซินเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนกำลังลังเล สักพักถึงได้เอ่ยถาม “เข้ามาได้ยังไง”
“รปภ. เคยเจอฉัน ฉันบอกว่าฉันมาช่วยนายพาหมาไปเดินเล่น”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกฉัน”
“ไม่นานมาก” อวี้ฝานพูดอ้อมๆ แอ้มๆ “เฉินจิ่งเซิน นายพูดมากชะมัด”
อวี้ฝานลุกขึ้นยืน สบตากับเขาผ่านเงาสลัวของต้นไม้ “เห็นฉันชัดไหม”
เฉินจิ่งเซินบอกเห็น
จากนั้นเขาก็มองอวี้ฝานหมุนตัวไปหยิบของบนม้านั่งขึ้นมา หลังจากวุ่นวายอยู่สักพัก ก้นบึ้งดวงตาของเฉินจิ่งเซินก็วูบไหว ฉับพลันนั้นก็เปล่งประกายออกมาท่ามกลางราตรีมืดมิด
อวี้ฝานยกเค้กที่จุดเทียนแล้วพร้อมกับหมุนตัวมา มือข้างหนึ่งของเขาถือเค้ก มืออีกข้างถือโทรศัพท์ เงยหน้าเอ่ย “เฉินจิ่งเซิน สุขสันต์วันเกิดครบรอบสิบแปดปีนะ”
วันนี้เฉินจิ่งเซินถูกบังคับลากไปแสดงบทเจ้าของวันเกิดทั้งวัน บทพูดมีเพียง ‘ครับ’ ‘ไม่ใช่’ และ ‘เปล่า’
บทละครน่าเบื่อฉากนี้จากเดิมที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว พออวี้ฝานที่อยู่ห่างออกไปถือเค้กขนาดเท่าฝ่ามือและพูดกับเขาว่าสุขสันต์วันเกิดประโยคเดียว วันนี้ก็คล้ายกับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ที่ระเบียงแล้วเงียบไปนานมาก ถึงได้เอ่ยปากถาม “เอาไฟแช็กมาจากไหน เลิกบุหรี่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“…”
แฟนของเขาหน้าขรึมขึ้นทันที “ร้านเค้กแถมมา บอกว่าเลิกก็เลิกสิ ฉันจะโกหกนายได้เหรอ”
แสงไฟกลุ่มนั้นสะท้อนดวงตาของอวี้ฝานจนสว่างไสว เขาขมวดคิ้วและเร่งอย่างหงุดหงิด “รีบเป่าเทียนสิ ถือไว้มันเมื่อย”
เฉินจิ่งเซินเป่าทีหนึ่งสั้นๆ มีลมแผ่วเบาพัดผ่าน ทำให้เทียนดับไปทันใด
ทั้งสองต่างงงงัน อวี้ฝานจ้องเค้กแล้วเหม่อไปหลายวินาที จากนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้นมาใหม่แล้วบอกเขา “เอาล่ะ เค้กก้อนนี้นายกินไม่ได้ ฉันกินเองแล้วกันนะ”
“ทำแบบนี้ได้ด้วย?” เฉินจิ่งเซินถาม
“ไม่งั้นจะทำยังไงล่ะ ให้ฉันปีนกำแพงส่งขึ้นไปให้นาย?”
“ลองดูก็ได้”
อวี้ฝานข่มกลั้นความวู่วามที่จะโยนเค้กใส่หน้าเฉินจิ่งเซินเอาไว้ กลับลงไปนั่งที่ม้านั่งยาวอีกครั้ง ควักส้อมออกมาแล้วยัดเค้กใส่ปากคำหนึ่ง
“เป็นไงบ้าง” เฉินจิ่งเซินถาม
อวี้ฝานที่ไม่รู้ว่าไม่ได้กินเค้กมากี่ปีแล้วประเมินอย่างง่ายๆ “หวานจะตายชัก”
ทั้งสองคน คนหนึ่งกินคนหนึ่งดู มองกันและกันอยู่สักพักราวกับคนซื่อบื้อ
เฉินจิ่งเซิน “หรือไม่ให้ฉันกระโดดลงไปดีกว่า”
“จากนั้นฉันก็โทรเรียกกู้ภัยให้นาย?”
“…”
เฉินจิ่งเซินกลั้นหัวเราะ มองอีกฝ่ายกินเค้กหมดไปทีละนิดๆ “ทำไมจู่ๆ ก็มาหาฉันล่ะ”
เพราะอ่านข้อความที่นายส่งมา ดูเหมือนนายจะอารมณ์ไม่ค่อยดี
ทว่าอวี้ฝานกลับตอบว่า “ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เดินไปเดินมาเรื่อยเปื่อยก็เดินมาที่นี่แล้ว”
“แถมยังพกเค้กมาด้วย?”
“เก็บได้จากข้างทาง” อวี้ฝานเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เขียนชื่อนายไว้พอดีด้วย”
เขากินไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวางเค้กกลับลงไปในกล่อง เตรียมจะโยนใส่ตู้เย็นแล้วค่อยกินพรุ่งนี้ “เฉินจิ่งเซิน ฉันจะกลับแล้วนะ”
เฉินจิ่งเซินอืมทีหนึ่ง “ไม่ต้องวางสาย”
“…อ่า”
อวี้ฝานหิ้วกล่องเค้กขึ้นมา จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงล้วงเอากล่องของขวัญสีดำกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง “อ้อใช่ เฉินจิ่งเซิน ของขวัญ ฉันซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ต้นนี้ ฉันไปแล้วนายค่อยลงมาเอานะ”
“ฉันจะลงไปตอนนี้แหละ” เฉินจิ่งเซินบอก
“อย่า เดี๋ยวแม่นายเห็น” อวี้ฝานหิ้วกล่องเค้กของตนพลางเอ่ย “ฉันไปแล้ว”
อวี้ฝานเดินออกไปได้สักระยะ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เฉินจิ่งเซินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ระเบียงไม่ได้เปิดไฟ เขาเห็นเพียงเงาร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเท่านั้น
เขานึกถึงตอนที่เฉินจิ่งเซินและแม่ของอีกฝ่ายลงจากรถด้วยกันเมื่อกี้นี้ ทั้งสองไม่พูดกันเลยสักประโยค เฉินจิ่งเซินหิ้วของขวัญมากมาย ทว่าบนใบหน้ากลับไม่มีท่าทีใดๆ เลยแม้แต่เศษเสี้ยว
ทั้งๆ ที่ออกไปฉลองวันเกิดแท้ๆ แต่กลับมายังคงเหงาหงอย
เฉินจิ่งเซินมองเขาที่หยุดเดิน กำลังคิดจะเอ่ยปากถาม จู่ๆ อีกฝ่ายก็วกกลับมาอีกครั้ง แล้วเดินมาตรงหน้าม้านั่งหินตัวเมื่อกี้นี้
“เฉินจิ่งเซิน ฉันไม่เคยพูดกับนายสินะ” อวี้ฝานแหงนหน้ามองเขา
“อะไร”
“ฉันเองก็ชอบนายเหมือนกัน”
สายลมยามค่ำคืนที่เย็นเล็กน้อยพัดผ่านไประลอกหนึ่ง กิ่งไม้ดังเสียดสีกันจนเกิดเสียง เส้นผมแฟนหนุ่มของเขาถูกพัดปลิวยุ่งเหยิง ดวงตาที่มองมาทางเขาคู่นั้นเปล่งประกายน้อยๆ อยู่ในราตรีอันมืดมิด
“สุขสันต์วันเกิดนะ เฉินจิ่งเซิน” เขาพูดอีกครั้งในโทรศัพท์
โปรดติดตามตอนต่อไป…