everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 70 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 70
วันเวลาของชั้นมัธยมปลายปีสามผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อการสอบรายเดือนครั้งที่สองสิ้นสุดลง เมืองหนานก็ย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศค่อยๆ เย็นลง พัดลมตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อกลับบ้านมาไม่นานถูกอวี้ฝานโยนไปไว้ตรงมุมห้องจนฝุ่นเขรอะ
เครื่องแบบสีน้ำเงินผ่านพ้นฤดูกาลแล้ว อวี้ฝานล้วงเอาเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบที่ปกติไม่ค่อยได้ใส่กับกางเกงสีดำจากในตู้เสื้อผ้าออกมาทั้งหมด เขาปลดกระดุมไว้เม็ดหนึ่งตามความเคยชิน หลังจากสะพายกระเป๋าเป้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กลัดกระดุมเม็ดบนสุดเข้าไปด้วย
การกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตทั้งหมดก็ไม่ได้ดูทึ่มมากนัก หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี้ฝานเช็กกับหน้ากระจกอยู่หลายรอบ ถึงได้หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาแล้วออกจากบ้าน
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ อวี้ข่ายหมิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารก็ส่งเสียงออกมา
การเคลื่อนไหวของอวี้ฝานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านหลังอย่างเฉยชา
“ฉันต้มบะหมี่ไว้แล้ว กินมื้อเช้าแล้วค่อยไปเรียนสิ” อวี้ข่ายหมิงกินจนปากมัน ใช้ตะเกียบชี้ไปที่หม้อบนโต๊ะอาหาร
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ภายในห้องก็เงียบลง
เดิมทีอวี้ข่ายหมิงแสร้งทำเป็นกระชับความสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่พูดอยู่นานสองนานก็ไม่ได้ยินการตอบรับ เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “มองฉันทำไม บอกให้แกมากินมื้อเช้า อ้อ ฉันยังซื้อซาลาเปาไส้ผักมาหลายลูกด้วย แม่งต่อแถวตั้งนานกว่าจะได้ซื้อ แกเอาไปโรงเรียน…และก็แบ่งให้เพื่อนที่สนิทกันกินด้วยรู้หรือเปล่า มา วางกระเป๋าแกลง…”
ขวดเหล้าเปล่าขวดหนึ่งลอยมา มันเฉียดผ่านหน้าอวี้ข่ายหมิงไปแล้วกระแทกกับผนังส่งเสียงดังเพล้ง
อวี้ข่ายหมิงตกใจจนตัวสั่น ถือตะเกียบพลางเบิกตากว้างอยู่นานสองนานกว่าจะได้สติกลับมา หันหน้าไปคิดจะด่า “แก…”
“ขืนพูดคำนั้นอีกฉันจะฉีกปากแก อีกอย่าง…” อวี้ฝานว่า “อย่ามาพูดกับฉัน”
อวี้ฝานออกจากบ้านท่ามกลางสายตาโมโหแต่ไม่กล้าพูดของอวี้ข่ายหมิง เขาถือกระเป๋าเป้ เตรียมจะลงจากอาคาร ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นศีรษะเล็กๆ และหางเปียเล็กๆ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างบันได
เด็กหญิงที่อยู่ชั้นบนสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กสีชมพู หลบอยู่หลังราวบันได เห็นได้ชัดว่ากำลังรอพ่อแม่ไปส่งที่โรงเรียน เธอกะพริบตาพลางเรียก “พี่ชาย”
อวี้ฝานเงยหน้ามองเธอ “ว่ามาสิ”
“พี่จะไปเรียนหรือเปล่า”
อวี้ฝานตอบเธออย่างเกียจคร้าน ยกเท้ากำลังจะลงไปข้างล่าง
“พี่ชาย!” เธอเรียกเขาไว้อีกครั้งแล้วรีบถาม “ทำไมพี่ชายตัวโตอีกคนไม่มาหาพี่แล้วล่ะ”
อวี้ฝานชะงักฝีเท้า “พี่ชายอะไร”
“ก็คนนั้นไง ที่ตัวสูงๆ แล้วก็หล่อๆ…”
“เธอเห็นเขาตอนไหน” อวี้ฝานขมวดคิ้วแล้วเงียบไปหลายวินาทีก่อนถามเธอ
“ก็ตรงนี้แหละ เขาบอกว่ารอพี่ตื่น” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปตรงที่ว่างหน้าประตูบ้านอวี้ฝานและถาม “ครั้งหน้าเขาจะมาเมื่อไหร่”
“ไม่มาแล้ว” อวี้ฝานบอกเธออย่างไร้เยื่อใย
เด็กหญิงตัวน้อยท่าทางห่อเหี่ยวลงทันใด เดินไปข้างหน้าสองก้าว “เอ๊ะ? งั้นพี่…งั้นพี่เรียกเขามาได้ไหม”
“เธอมีอะไรล่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยจับชายกระโปรงสีขาวตัวเล็กของเธอ เมื่อยิ้มออกมาก็เผยให้เห็นฟันหลอ “หนูอยากเป็นแฟนพี่ชายคนนั้น!”
“…”
เด็กหญิงตัวน้อยย่อตัวลง สองมือเกาะราวบันไดพร้อมวางหน้าไว้ด้านบนมองเขา “ได้ไหมพี่ชาย ได้ไหมๆ…”
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยหน้ามุ่ย กำลังคิดจะท้วง…
“เขาเป็นแฟนหนุ่มของคนอื่นแล้ว” อวี้ฝานยื่นมือไปตีหน้าผากเธอเบาๆ และเอ่ย “เธอหมดหวังแล้วเด็กน้อย”
ช่วงนี้จวงฝ่างฉินอารมณ์แปรปรวนมาก ทุกวันขอแค่เห็นอวี้ฝานก็กลุ้มใจ แต่หลังจากเห็นผลการเรียนที่ค่อยๆ ดีขึ้นของห้องก็ยินดี ผ่านไปสักระยะก็รู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นไบโพลาร์แล้ว
สอบรายเดือนครั้งนี้คะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นนิดหน่อย ขณะจวงฝ่างฉินแจกข้อสอบก็ถือโอกาสแจกอมยิ้มให้นักเรียนแต่ละคนด้วย
ดังนั้นเมื่อเลิกเรียนตอนกลางวัน นักเรียนที่อยู่ทบทวนด้วยตัวเองในห้องเรียนจึงต่างคาบอมยิ้มไว้ในปาก
“ไม่เรียนแล้วๆ! ขยันเรียนมานานขนาดนี้ สอบรายเดือนวิชาคณิตครั้งนี้ยังน้อยกว่าครั้งที่แล้วตั้งเจ็ดคะแนน!” จางเสียนจิ้งโยนปากกาทิ้งด้วยความหงุดหงิด
หวังลู่อันปลอบเธอ “โอ๊ย สอบรายเดือนครั้งนี้ยากจะตายไป เธอไม่เห็นเหรอว่าอันดับในสายชั้นของเธอขึ้นไปแล้วน่ะ ทุกคนแย่เหมือนกันหมด”
“…”
พอหวังลู่อันหันหน้าไปก็เห็นเพื่อนยากอีกคนของเขากำลังจ้องข้อสอบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ทำไมน่ะอวี้ฝาน สอบได้สุดยอดขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจอีก?” หวังลู่อันว่า “ครั้งนี้เกือบจะเข้าท็อปสี่ร้อยของสายชั้นแล้ว”
ท็อปสี่ร้อยของสายชั้นมีประโยชน์อะไร ดูแค่คะแนนอย่างเดียวยังห่างไกลจากมหาวิทยาลัยพวกนั้นตั้งสิบหมื่นแปดพันลี้
จุดเริ่มต้นของเขาต่ำเกินไป ตอนเพิ่งเริ่มเรียนอันดับในชั้นปีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างกับบิน แต่ยิ่งเรียนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งปีนขึ้นช้า การเพิ่มคะแนนก็เริ่มยากขึ้น อวี้ฝานมองข้อสอบที่คะแนนไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ ไม่พูดไม่จา ขยี้ใบหน้าด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
เก้าอี้ข้างๆ ถูกลากออก อวี้ฝานนึกว่าเป็นหวังลู่อัน กำลังคิดจะให้เขากลับไปนั่งที่ของตัวเอง แต่พอเงยหน้าก็เห็นข้อสอบแข่งขันสีขาวว่างเปล่าแผ่นหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะเรียน ทั้งยังมีใบหน้าเรียบนิ่งอันเฉยชาดวงนั้นอีกด้วย
อวี้ฝานยัดอมยิ้มไว้ตรงมุมปาก มองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน ยังไม่ทันพูดหวังลู่อันก็เอ่ยปากก่อนแล้ว “เด็กท็อป? นายมาได้ยังไง เที่ยงวันนี้นายไม่กลับบ้านเหรอ”
“อืม คนที่บ้านมีธุระ ไม่ได้กลับ”
เฉินจิ่งเซินตอบพลางยื่นมือไปดึงกระดาษข้อสอบที่อวี้ฝานถืออยู่
อวี้ฝานค้างอยู่ในท่าถือข้อสอบสองวินาที ก่อนจะยื่นเท้าไปถีบเก้าอี้ตัวข้างๆ “ทำไมต้องดูข้อสอบคนอื่นด้วย”
เฉินจิ่งเซินกวาดตามองคะแนนของเขา “ใช้ได้ ฝ่างฉินอธิบายข้อสอบหรือยัง ฟังเข้าใจหรือเปล่า”
“ไม่ได้อธิบาย ใช้ได้กับผีน่ะสิ คะแนนรวมยังขาดอีกตั้งแปดสิบกว่า”
บรรยากาศของห้องเจ็ดไม่ได้ตึงเครียดเท่าห้องหนึ่ง ในห้องตอนนี้บางคนก็กำลังหลับ บางคนก็กำลังทบทวนด้วยตัวเอง บางคนก็กำลังอธิบายโจทย์ หรือไม่ก็กำลังคุยกันจุกจิก
หวังลู่อันมาถึงที่นั่งข้างหน้าก่อนจะถามกรรมการนักเรียนว่าคาบที่สามทำไมต้องจดชื่อเขาไปด้วย ทุกคนต่างหันหน้าไปที่กระดานดำ ไม่มีใครสนใจแถวสุดท้ายของห้องเรียนเลย
เฉินจิ่งเซินยกมือยีผมแฟนของเขาที่กำลังฟุบอยู่ “ฉันจะอธิบายให้นายเอง”
หวังลู่อันเถียงกับกรรมการนักเรียนหลายร้อยรอบ หนึ่งชั่วโมงให้หลังถึงจะชนะ ขณะกลับไปก็เห็นเพื่อนยากของเขาคล้ายจะเอนตัวพิงผนังฟังโจทย์ ในปากคาบอมยิ้มคล้ายคาบบุหรี่
หวังลู่อันนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็มีหลายข้อที่ไม่เข้าใจ แล้วเด็กท็อปก็อยู่นี่พอดี ดังนั้นเขาจึงรีบก้มลงค้นลิ้นชักที่รกรุงรังของตนอยู่นานสองนานกว่าจะดึงข้อสอบออกมาแล้วหันหน้าไป “เด็กท็อป…”
เฉินจิ่งเซินเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกขึ้น “อะไรเหรอ”
หวังลู่อันตะลึงงัน “นายจะไปแล้ว?”
“อืม” เฉินจิ่งเซินตอบ “อีกสิบนาทีจะเข้าเรียนแล้ว”
“…”
หวังลู่อันถือข้อสอบที่ทำผิดเป็นตั้งของตนอย่างว้าเหว่ มองส่งเฉินจิ่งเซินที่หยิบข้อสอบและปากกาขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องพวกเขาไปพร้อมกับอมอมยิ้มเอาไว้
เขาถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่เดิม คิดในใจว่าเลิกเรียนค่อยไปถามจวงฝ่างฉินก็แล้วกัน…หืม?
จู่ๆ หวังลู่อันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลันนั่งตัวตรง มองตรงไปยังโต๊ะข้างๆ ตัวเอง!
อวี้ฝานถูกความเคลื่อนไหวของเขาทำให้หนวกหูก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “อะไรของนาย”
“อมยิ้มในปากเด็กท็อปเป็นก้านสีชมพู รสสตรอเบอรี่”
“…?”
“ทั้งห้องก็มีแค่นายที่ได้รสสตรอเบอรี่อันเดียว?” หวังลู่อันถาม “แต่เมื่อกี้อมยิ้มอันนั้นมันอยู่ในปากนายไม่ใช่เหรอ”
“…”
“…”
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นหวังลู่อันก็พบว่าแขนเสื้อที่เหมือนอึสุนัขเมื่อเช้าของอวี้ฝาน ตอนนี้ถูกพับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน และประณีต เหมือนกับเป็นฝีมือของเฉินจิ่งเซินในเวลาปกติไม่มีผิด
อวี้ฝานมองบนแขนของตนตามสายตาของหวังลู่อัน หลังจากนั้นสักพักก็ลุกขึ้น “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
“เฮ้ย ไปด้วย ตกลงว่าเกิดอะ…”
“ไม่ต้องตามมา รำคาญ”
“…”
อวี้ฝานหลบอยู่ตรงหน้าหน้าต่างข้างห้องน้ำ คิดจะรอให้เข้าเรียนแล้วค่อยกลับไป
มือสองข้างของเขาซุกกระเป๋ากางเกงพลางมองไปรอบๆ อย่างเหนื่อยหน่าย มองไปมองมาสายตาก็ตกอยู่ที่ชั้นหก
ล้วนเป็นเพราะเฉินจิ่งเซินนั่นแหละ แม่งจะกินอมยิ้มให้ได้ แถมยังมายุ่งกับแขนเสื้อเขาอีก…
อีกสองนาทีจะเข้าเรียน อวี้ฝานหยิบมือถือออกมา เปิดหน้าต่างแชตของเฉินจิ่งเซิน เพิ่งพิมพ์ไปได้สองคำมือถือก็สั่นทันใด ข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาด้านบนสุด
เบอร์ที่ไม่รู้จัก สวัสดี อวี้ฝาน รบกวนเธอลงมาที่ร้านกาแฟเลขที่สิบเอ็ดถนนหนานหยางตอนนี้ด้วย
อวี้ฝานชะงัก ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
ถนนหนานหยาง? หลังโรงเรียนพวกเขา?
อวี้ฝานส่งข้อความกับคนอื่นน้อยมาก ข้อความล่าสุดยังคงเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่คนของโรงเรียนข้างๆ นัดต่อยกับเขา แต่น้ำเสียงภาษาของคนคนนี้ดูท่าทางไม่เหมือนนัดต่อย
เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น อวี้ฝานเลื่อนนิ้วไปพร้อมเมินเฉยข้อความนี้เตรียมจะไปเข้าเรียน วินาทีต่อมามือถือก็มีเสียงความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เบอร์ที่ไม่รู้จัก ฉันคือแม่ของเฉินจิ่งเซิน อยากคุยกับเธอดีๆ สักหน่อยเกี่ยวเรื่องของเฉินจิ่งเซิน
เมื่ออวี้ฝานลงจากอาคารมาก็เจอกับหูผาง หูผางถามเขาว่าจะไปไหน
อวี้ฝานบอกว่าจะไปช่วยครูขนของ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหูผางคงคว้าคอเสื้อเขาหิ้วตัวกลับไปแล้ว แต่ช่วงนี้อวี้ฝานทำตัวดีมาก หูผางจึงเชื่อทั้งยังโบกมือให้เขารีบไป
หลังจากร่างของหูผางหายไปในอาคารเรียนแล้ว อวี้ฝานก็ปีนกำแพงหลังโรงเรียนออกไปอย่างช่ำชอง
ระหว่างทางไปร้านกาแฟอวี้ฝานจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอด
แม่ของเฉินจิ่งเซินมาหาเขาทำไม เฉินจิ่งเซินไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเขา และพวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อนร่วมโต๊ะกันแล้ว เธอเรียกหาเขาทำไม
อวี้ฝานคิดไปในแง่ร้ายด้วยความเคยชิน อีกฝ่ายอาจจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับเฉินจิ่งเซินแล้วก็ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไร กล้องวงจรปิด มือถือ หรือตอนวันเกิดเฉินจิ่งเซินวันนั้นเธอเห็นจากห้องรับแขกแล้ว…
แล้วตอนนั้นเขาสมองกลับไปแล้วหรืออย่างไร ทำไมต้องนั่งตากยุงรออีกฝ่ายด้วย ซ่อนของไว้เรียบร้อยแล้วก็ไปไม่ดีกว่าหรือไง
อวี้ฝานถูกข้อความนี้จู่โจมจนรับมือไม่ทัน กำลังคิดว่าถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ แม่เฉินจิ่งเซินจะพูดอะไรกับเขา เขาไม่ถนัดอธิบายเหตุผลหรือเถียงกับคนอื่น เขาชอบลงมือตรงๆ มากกว่า ดังนั้นเขาจึงก้มหน้ามองก้อนอิฐตลอดทาง ซ้อมอยู่ในหัวอย่างเงียบๆ
‘ฉันเห็นหมดแล้ว เธอกับลูกชายฉันกำลังคบกันอยู่ใช่ไหม’
‘ครับ’
‘เธอรีบเลิกกับลูกฉันซะ!’
‘ให้ลูกชายคุณมาพูดกับผมสิ’
‘บอกมาสิ เธอต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน’
‘ผมต้องคิดดูก่อน’
คิดถึงตรงนี้อวี้ฝานก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งตลกแล้วก็ขมขื่นนิดหน่อย
เฉินจิ่งเซินรู้ไหมว่าจี้เหลียนอีนัดเขามา แต่ดูจากเที่ยงวันนี้แล้วน่าจะไม่รู้…ไม่รู้ก็ดี
อวี้ฝานไม่เคยกลัวอะไร ตั้งแต่เขาจำความได้เขาก็กล้าต่อต้านอวี้ข่ายหมิงที่ตัวโตกว่าเขาหลายเท่า เวลาชกต่อยประจันหน้ากับคนอื่นหลายคนเขาก็กล้าบุกเข้าไป แต่เมื่อเขามาถึงหน้าประตูร้านกาแฟฝีเท้ากลับหยุดลง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเสยปอยผมตรงหน้าผากไปข้างหลัง แล้วยื่นมือไปผลักประตูร้านกาแฟ
หลังจากจี้เหลียนอีมาส่งลูกชายเข้าเรียนเมื่อเช้าก็นั่งอยู่ในร้านกาแฟมาโดยตลอด
ร้านกาแฟถูกเธอเหมาไว้หมดแล้ว รอบๆ ไม่มีเสียงเอะอะ เธอจึงสามารถครุ่นคิดได้อย่างสงบว่าจะเจรจากับอวี้ฝานอย่างไร
จี้เหลียนอีเดินเกมบนโต๊ะเจรจาในสนามธุรกิจมาสิบกว่าปี วันนี้เผชิญหน้ากับนักเรียนมัธยมปลายอายุสิบเจ็ดคนหนึ่ง เธอกลับกระสับกระส่ายขึ้นมา
เมื่อประตูถูกเปิด พนักงานที่ได้รับการกำชับจากเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ถูกเธอยื่นมือเรียกไว้ อีกฝ่ายเข้าใจในทันที หลังจากเติมกาแฟให้เธอแก้วหนึ่งก็หมุนตัวกลับไปที่ห้องครัวด้านหลัง
พอจี้เหลียนอีเงยหน้าก็เห็นเส้นผมที่คล้ายกับป่ารกชัฏนั้น ภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏขึ้นมาในหัว ความรู้สึกขยะแขยงพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก นิ้วของเธอสั่นระริกเล็กน้อย ร่างกายเอนไปข้างหลังอย่างแนบเนียน พยายามควบคุมน้ำเสียงของตน “นั่งสิ”
เก้าอี้ถูกลากอย่างหยาบคาย นักเรียนชายนั่งลงตรงข้ามเธอ
ทั้งสองนั่งประจันหน้ากันโดยไร้สุ้มเสียง ไม่ว่าใครต่างก็ไม่เอ่ยปากราวกับหยั่งเชิงอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
เนิ่นนานจี้เหลียนอีพยายามฝืนแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเขา คอเสื้อยับย่น ใบหน้าซูบตอบ ท่านั่งเอ้อระเหย สองมือวางบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายอย่างกับพวกอันธพาล
จี้เหลียนอีข่มกลั้นความไม่สบายใจเอาไว้ แล้วชิงเอ่ยปากก่อน “เธอน่าจะรู้สินะว่าฉันเรียกหาเธอด้วยเรื่องอะไร”
“ไม่รู้ครับ” อวี้ฝานตอบ
“เธอกับจิ่งเซิน” จี้เหลียนอีกล่าว “ฉันเห็นหมดแล้ว”
จี้เหลียนอีเห็นนิ้วของอีกฝ่ายกระตุกทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเฉยชา “อ้อ”
จี้เหลียนอีกล่าว “เธอรีบเลิกกับเขาซะ”
“คุณให้เขามาพูดกับผมเองสิ”
จี้เหลียนอีมองท่าทางไม่ยี่หระของอีกฝ่าย ความวิตกและว้าวุ่นใจอันคุ้นเคยจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง เธอพยายามควบคุมตัวเอง ปลายนิ้วเรียวสวยกำแน่นแล้วก็คลายออก หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเธอก็เอ่ยอย่างนิ่งขรึม “เธอบอกมาตามตรงเถอะ ต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน”
พอสิ้นเสียงจี้เหลียนอีคล้ายกับได้ยินคนที่อยู่ตรงข้ามหัวเราะเบาๆ เด็กหนุ่มหลุบตาลงก่อนเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ผมต้องคิดดูก่อน”
เสียงหัวเราะนี้ทำให้เธอหวนนึกถึงการพบกันกับคนอีกคนหนึ่งเมื่อหลายครั้งก่อนหน้านี้อย่างน่าประหลาด เส้นประสาทของเธอยิ่งตึงเครียดมากขึ้น สูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง กล่าวเสริม “ได้ แต่ฉันจำเป็นต้องพูดกับเธอให้ชัด เอาเงินก้อนนี้ไปแล้ว ต่อไปเธอกับพ่อของเธออย่าโผล่หน้ามาให้ฉันกับจิ่งเซินเห็นอีก”
ชั่วพริบตาที่คำบางคำปรากฏออกมา อวี้ฝานก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
อารมณ์ทั้งหมดบนใบหน้าเขาหายไปและมองเธออย่างนิ่งเงียบ แม้แต่แรงกระเพื่อมขึ้นลงจากการหายใจก็แทบจะไม่มี
บนใบหน้าของจี้เหลียนอีไร้อารมณ์เช่นเดียวกัน “ฉันรู้ว่าพวกเธอมีแผน แต่ฉันขอบอกพวกเธอไว้ เงินทุกก้อนที่ฉันโอนให้พวกเธอ ประวัติการสนทนาทุกข้อความ และบันทึกสายโทรศัพท์ฉันเก็บไว้หมดแล้ว และก็ติดต่อทนายไว้แล้วด้วย ฉันสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าจำนวนเงินในตอนนี้พอที่จะให้พวกเธอสองคนเข้าไปอยู่ในคุกได้หลายปีแล้ว”
อวี้ฝานเพียงมองเธอ ไม่ได้พูดจา
“แน่นอนว่าถ้าฉันอยากฟ้องเธอจริงๆ วันนี้ก็คงไม่เรียกเธอออกมา ฉันขอพูดความต้องการของฉันตรงๆ แล้วกัน ฉันยอมจ่ายเงินฟาดเคราะห์ สุดท้ายจะให้เงินพวกเธอก้อนหนึ่ง เธอบอกให้พ่อของเธอลบรูปทั้งหมดซะ จากนั้นค่อยเซ็นรับรอง…”
“รูปอะไร” คนที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยปากอย่างแข็งทื่อราวกับตอไม้
จี้เหลียนอีลมหายใจขาดห้วง นึกถึงภาพเหล่านั้นขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ เธอหลับตาถาม “เธอว่าไงล่ะ”
“รูปอะไรครับ”
“…ที่หอสมุด สวนสาธารณะพวกนั้น” จี้เหลียนอีชะงัก “หรือว่าพวกเธอยังมีรูปอื่นอีก?”
หอสมุด
สมองของอวี้ฝานราวกับถูกกระบองไม้ท่อนหนึ่งกระทุ้งอย่างแรง นึกย้อนกลับไปจนปวดหัว ผ่านไปนานมากเขาถึงนึกขึ้นมาได้ ไม่กี่วันนั้นหลังจากที่อวี้ข่ายหมิงกลับมา เขากับเฉินจิ่งเซินไปหอสมุดแค่ครั้งเดียว พวกเขาทำโจทย์และอ่านหนังสือเหมือนอย่างเคย ตอนจากกันก็จูบกันตรงมุมหนึ่งของสวนสาธารณะที่คิดว่าไม่มีคน
วันนั้นเขากลับถึงบ้านได้ไม่นาน อวี้ข่ายหมิงเองก็กลับมาเหมือนกัน หลังจากนั้นมีวันหนึ่งที่จู่ๆ อวี้ข่ายหมิงก็ถามเขาว่าทำไมไม่ออกไปข้างนอกแล้ว
“ไม่มีแล้ว” เขาได้ยินเสียงที่ตัวเองพูดออกไป
จี้เหลียนอีไม่เชื่อเขา แต่ก็คร้านจะพัวพันอยู่กับเรื่องนี้ “สรุปว่าหลังจากเจรจาเรื่องราวในวันนี้เสร็จแล้ว เธอต้องลบของพวกนั้นทั้งหมดต่อหน้าฉัน จากนั้นก็เลิกกับลูกชายฉันซะ ต่อไปขืนเธอกับพ่อของเธอแบล็กเมล์ฉันอีกล่ะก็ ฉันจะใช้วิธีทางกฎหมายแน่นอน บอกมาสิว่าพวกเธอต้องการเงินเท่าไหร่”
“เขาหาคุณเจอได้ยังไง” อวี้ฝานถาม
คำพูดประโยคเดียวลากฝันร้ายที่ผ่านมาในระยะนี้ของจี้เหลียนอีขึ้นมา
เธอจำวันนั้นได้ตลอดมา เธอนั่งอยู่บนรถ ถูกผู้ชายคนหนึ่งเคาะหน้าต่าง เมื่อเธอลดหน้าต่างรถลง ผู้ชายคนนั้นก็ยิงฟันเหลืองๆ ตะโกนใส่เธอว่า ‘แม่ยาย’
ความทุกข์ทรมานเริ่มจากชั่วพริบตานั้น เธอได้รับรูปที่ลูกชายของเธอจูบกับผู้ชายคนหนึ่ง ได้รับข้อความและโทรศัพท์แบล็กเมล์จากอีกฝ่าย เธอแทบนอนไม่หลับ ตอนกลางคืนพอหลับตาในหัวก็ล้วนเป็น…
‘คุณแจ้งความสิ ก่อนผมเข้าคุกจะแปะรูปที่ลูกชายคุณเป็นเกย์ไปทั่วเมืองหนานก่อน!’
‘เรื่องนี้คุณอย่าให้พวกเด็กๆ รู้ล่ะ ผมว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกันดีออก’
‘คุณคิดว่าลูกชายผมรุกลูกชายคุณหรือว่าลูกชายคุณรุกลูกชายผมล่ะ’
จี้เหลียนอีไม่เข้าใจว่าทำไมอวี้ฝานถึงถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว เธอบังคับให้ตนเองดึงความคิดออกไป ย้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น “พวกเธอต้องการเงินเท่าไหร่”
เธอพูด ทันใดนั้นสายตาก็กวาดมองที่แขนของอวี้ฝาน
อวี้ฝานดึงมือกลับมาแล้ววางไว้ใต้โต๊ะอย่างลวกๆ บังแขนเสื้อที่เฉินจิ่งเซินช่วยพับขึ้นไปให้เขาเมื่อตอนเที่ยง จากนั้นถามอย่างราบเรียบ “ก่อนหน้านี้เขาเรียกจากคุณเท่าไหร่”
“แปดแสน”
อวี้ฝาน “อ้อ ผมจะกลับไปปรึกษากันสักหน่อย”
นั่นหมายความว่าตกลงแล้ว
จี้เหลียนอีดันเอกสารตรงหน้าไปหาอวี้ฝาน “นี่คือเงื่อนไขทางกฎหมายที่ฉันให้คนเรียบเรียงออกมา ในนั้นเขียนระบุระยะเวลาในการได้รับโทษหากการกระทำฉ้อฉลประเภทนี้ของพวกเธอถูกฟ้องร้องขึ้นมา”
อันที่จริงจี้เหลียนอีไม่ได้มีความคิดที่จะฟ้องร้อง เธอทนไม่ได้ถ้าบนโลกนี้จะมีคนอื่นรู้เรื่องนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นอวี้ฝานรับเอกสารฉบับนี้ไป เธอจึงพรูลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งอยู่ลึกๆ
“พวกเธอปรึกษาจำนวนเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้พ่อเธอส่งข้อความหาฉันโดยตรง อีกอย่างในช่วงที่ฉันจัดการย้ายโรงเรียนให้จิ่งเซิน ฉันหวังว่าเธอจะไม่ไปโรงเรียนก่อนชั่วคราวและก็อย่าติดต่อกับเขา ฉันกลัวว่าเขาจะได้รับผลกระทบ” จี้เหลียนอีถาม “สำหรับเธอคงไม่ยากใช่ไหม”
“อืม”
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จี้เหลียนอีก็พยักหน้า ไม่อยากอยู่นานกว่านี้
เธอหยิบกระเป๋าถือของตนขึ้นมา ลุกขึ้นผละจากไปอย่างเย่อหยิ่ง ทว่าเธอเพิ่งเดินไปสองก้าว จู่ๆ ก็หยุดอีกครั้ง แล้วหมุนตัววกกลับมาที่ข้างโต๊ะ
เธอกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งกว่าจะถามเสียงเบา “เรื่องสุดท้ายเธอกับจิ่งเซิน…เธอคุกคามเขาใช่ไหม”
เสียงของเธออ่อนแรงราวกับคนจมน้ำที่กระเสือกกระสนดิ้นรน
อวี้ฝานก้มหน้า กวาดตามองแขนเสื้อตนแวบหนึ่งแล้วตอบว่าใช่
จี้เหลียนอีหอบหายใจขึ้นมา เธอหยิบกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มบนโต๊ะขึ้นมา แล้วสาดใส่หน้าเด็กหนุ่ม ของเหลวสีน้ำตาลไหลจากเส้นผมของเขาลงมาถึงปลายคาง แล้วซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบสีขาวทีละนิดๆ
อวี้ฝานหลับตาโดยอัตโนมัติ เมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็ได้ยินจี้เหลียนอีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ลูกชายฉันถูกเธอทำลายย่อยยับแล้ว เธอมันน่ารังเกียจเหมือนพ่อของเธอ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…