everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 71 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 71
ในร้านกาแฟมีพนักงานเพียงคนเดียว ห้องครัวด้านหลังออกแบบเป็นกระจกใส แม้เธอจะไม่ได้ยินที่คนด้านนอกคุยกัน แต่ก็เห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน
วันนี้ร้านถูกเหมา พนักงานคนอื่นๆ ล้วนไม่ต้องมา เธอนั่งอยู่เป็นเพื่อนเด็กหนุ่มด้านนอกมาครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หยิบผ้าขนหนูร้อนเดินออกไป
“สวัสดีจ้ะ ต้องการ…”
จู่ๆ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืน หญิงสาวสะดุ้งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ
บนใบหน้าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีใดๆ กาแฟบนเสื้อผ้าเองก็แห้งแล้ว เขาหมุนตัวหมายจะไป แต่หลังจากนึกอะไรขึ้นมาได้ก็หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง “เท่าไหร่ครับ”
หญิงสาวตะลึงงัน รีบพูด “ไม่ต้องจ้ะ คุณผู้หญิงท่านนั้นจ่ายหมดแล้ว…”
อวี้ฝานเงยหน้าดูเมนูของร้านนี้แวบหนึ่ง หยิบเงินสดสามสิบหยวนที่เขาพกมาซื้อข้าววันนี้ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวออกไปจากร้านกาแฟ
เดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่อากาศสบายที่สุดของเมืองหนาน อวี้ฝานเดินไปบนถนน กลับเหมือนฝังร่างอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง ท่าทางการเดินนั้นแข็งทื่อไปหมด
เขาได้กลิ่นกาแฟบนตัว ในหัวไม่ได้คิดอะไรเลย เพียงแต่เมื่อได้สติกลับมาเขาก็ยืนอยู่ในโซนเครื่องครัวของซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว
สายตาของเขากวาดผ่านข้าวของหลายอย่างไปทีละชิ้นๆ หลังจากเลือกเสร็จก็หยิบมาคิดเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ขณะพิมพ์รหัสผ่านจ่ายเงินก็พิมพ์ผิดไปสองรอบเพราะนิ้วแข็งเกินไป เกือบถูกล็อกบัญชี
เถ้าแก่ซูเปอร์มาร์เก็ตเตรียมหยิบถุงมาใส่ของ ทว่าอีกฝ่ายกลับหิ้วของขึ้นมาด้วยมือเดียวโดยตรง ก่อนจะหมุนตัวผลักประตูร้านออกไป
กลับมาถึงเขตที่พักเก่าๆ อันคุ้นเคย เพื่อนบ้านที่เดินสวนพอเห็นคราบบนตัวเขาและเห็นของในมือเขาก็รีบหลบไปไกลๆ มีเพียงคนเดียวที่ยังคงคุยกับเขาอย่างซื่อบื้อ
“พี่ชาย พี่ก็เลิกเรียนแล้วเหรอ” เด็กหญิงตัวน้อยนั่งบนขั้นบันได “วันนี้โรงเรียนพวกเราไปเที่ยวดูใบไม้ร่วงด้วยแหละ พวกพี่ก็ไปแล้วใช่ไหม”
อวี้ฝานที่กำลังเปิดประตูหยุดชะงัก หันหน้าไปมองเธอเงียบๆ
“แต่ยังอีกนานเลยกว่าพ่อแม่หนูจะกลับมา” เด็กหญิงตัวน้อยสองมือเท้าคาง มองของที่อยู่ในมือเขา “พี่ชาย วันนี้พี่จะทำกับข้าวไหม”
“ไม่ทำ” อวี้ฝานเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
เธอพูดอ๋อ…แบบลากเสียงยาวๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงลุกขึ้นปัดกระโปรงและเดินลงมา “งั้นพี่ชาย พี่พาหนูไปกินอะไรหน่อยได้ไหม หนูจ่ายเงินได้ หนูเที่ยวดูใบไม้ร่วงยังเหลือ…” เธอเอ่ยอย่างละล้าละลัง “เจ็ดหยวน”
อวี้ฝานมองกางเกงของตนที่ถูกเธอดึงไว้ ยื่นมือเข้าไปล้วงในกระเป๋ากางเกงครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าเงินสดทั้งหมดจ่ายให้ร้านกาแฟไปแล้ว
“ไม่ไป” เขาว่า
เด็กหญิงตัวน้อยปล่อยมืออย่างน้อยใจ “อ่า…ช่างเถอะ พี่ชาย เสื้อผ้าพี่สกปรกหมดแล้ว”
อวี้ฝานไม่พูดไม่จา เขาปลดล็อกเข้าไปในบ้าน ก่อนจะปิดประตู ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่างแล้วเปิดประตูอีกครั้ง
“ถ้าวันนี้ได้ยินเสียงอะไรก็อย่าลงมา ไม่งั้นจะตัดผมเปียของเธอทิ้ง”
เด็กหญิงตัวน้อยตกใจจนกุมหางเปียทั้งสองข้างของตนทันที เบิกตากลมโตพลางเอ่ยเสียงอ้อแอ้ “ทำไมต้องตัด…”
ประตูปิดลงแล้ว
ในบ้านไม่มีคน อวี้ฝานโยนข้าวของไว้ที่โต๊ะ แล้วหมุนตัวเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ
แก้ม คอ และหูของเขาทั้งหมดล้วนเหนียวเหนอะหนะ บนผิวเปื้อนสีของกาแฟ เขาเงยหน้ามองกระจก เชิดหน้าขึ้นแล้วถูตรงบริเวณสีน้ำตาลเข้มไม่กี่จุดนั้น ถูสองสามทีก็ถูไม่ออก เขาจึงเปลี่ยนเป็นเกา
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็เห็นคราบเลือดที่ซึมออกมาเป็นทางจากคอของตนเอง เขาจึงปล่อยมือลู่ลงอย่างเงียบเชียบ
เขานึกว่ารอให้ตัวเองอายุสิบแปด รอเขาเรียนจบแล้วออกไปจากที่นี่ เขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากอวี้ข่ายหมิงได้อย่างสิ้นเชิง
แต่เขาลืมไปว่ามีคนเคยหนีไปแล้ว แต่หนีไปหลายปีขนาดนี้ก็ยังคงถูกอวี้ข่ายหมิงทรมาทรกรรมอยู่ดี
อวี้ข่ายหมิงหน้าหนาไร้ยางอาย มักใช้วิธีเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่ายไปข่มขู่คนอื่น เลือกลงมีดตรงจุดที่อ่อนที่สุดของคนอื่นโดยเฉพาะ จริงอย่างที่อวี้ข่ายหมิงพูด คนเท้าเปล่าอย่างเขาไม่กลัวคนที่สวมรองเท้า ตีเขายกเดียวเขาก็หายดีได้ ส่งเขาเข้าคุกเขาก็ยังออกมาได้ คนบนโลกนี้ล้วนมีเรื่องพะวงมากเกินไป อวี้ข่ายหมิงก็มักทำจนได้ผลประโยชน์
เขาเหมือนกับทำให้ตัวเองกลายเป็นระเบิดเนื้อมนุษย์ลูกหนึ่ง ทำให้ทุกคนล้วนถือเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้
แต่อวี้ฝานไม่เหมือนกัน คนอื่นถือมีดแทงซี่โครงเขา เขาก็จะดึงมีดออกมาจากร่างของตนแล้วค่อยแทงกลับไปที่ร่างของคนคนนั้น
เขาทุ่มสุดตัวมากกว่าคนอื่น
เมื่ออวี้ฝานล้างหน้าเสร็จก็ออกมา เสื้อผ้าและผมล้วนเปียกชุ่ม เขาหยิบบุหรี่ครึ่งซองที่ยังไม่ได้สูบที่เหลือออกมานั่งบนระเบียง สูบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาพิงบนตาข่ายกันขโมยอย่างผ่อนคลาย แหงนหน้ามองฟ้า จู่ๆ ในหัวก็ปรากฏโจทย์บางข้อที่เฉินจิ่งเซินอธิบายให้เขาฟังเมื่อตอนเที่ยง
แก้ยังไง…ทำไมจู่ๆ ก็จำไม่ได้แล้วนะ
เขาจ้องดวงอาทิตย์ ดวงตาแทบจะบอดแล้ว กระทั่งมือถือสั่นครืดทีหนึ่งเขาถึงกะพริบตาทันที
หวังลู่อัน นายตกส้วมไปแล้วเหรอ!
หวังลู่อัน ทำไมยังไม่กลับมาที่ห้องอีก
หวังลู่อัน ฝ่างฉินมาตรวจห้อง ฉันโกหกเธอว่านายไปห้องพยาบาล เธอไม่ได้สงสัยเลย ฮ่าๆๆ!
หวังลู่อัน นายอยู่ไหนน่ะ
อวี้ฝานจ้องหน้าจออยู่สักพักกว่าจะยกนิ้วพิมพ์ข้อความ
– ในลิ้นชักฉันยังมีลูกอมอยู่
หวังลู่อัน ฮะ?
– เอาไปกินซะ
เขาดูเวลาแวบหนึ่ง ช่วงนี้อวี้ข่ายหมิงมีกิจวัตรสม่ำเสมอ ก่อนสี่ทุ่มจะต้องกลับมาดูฟุตบอลที่บ้าน ยังเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงสุดท้าย
อวี้ฝานลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ประตูและหน้าต่างต้องล็อกให้สนิท อวี้ข่ายหมิงเสียงดังขนาดนั้นต้องหาของอุดปากไว้ อีกอย่าง…
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกระโดดลงจากระเบียงแล้วกลับไปในห้อง
เขาค้นลูกกุญแจออกมาจากในกระเป๋าเป้ เปิดแม่กุญแจด้านล่างโต๊ะหนังสือ ดึงของที่อยู่ในลิ้นชักออกมาเทบนพื้นทั้งหมด ข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยทับซ้อนอยู่ด้วยกัน ซองจดหมายสีชมพูที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้นเด่นชัดที่สุด
อวี้ฝานเพียงเหลือบมองแวบเดียวแล้วก็ไม่มองอีก เขาดึงถุงสีดำออกมาส่งๆ แล้วยัดของทั้งหมดที่เกี่ยวกับเฉินจิ่งเซินเข้าไป
จดหมายรัก กระดาษทดตอนสอบ แบบคัดลายมืออันแน่นขนัดที่ใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว ตุ๊กตาสุนัขพันธุ์โดเบอร์แมน…
ของพวกนี้ไม่ควรปรากฏอยู่ในห้องนี้ ของที่เกี่ยวกับเฉินจิ่งเซิน ไม่มีสักอย่างที่ควรอยู่ตรงนี้
อวี้ฝานคล้ายจะทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุอะไรสักอย่าง เขาเก็บข้าวของที่ยังไม่วางใจทั้งหมดที่ตนเองจำได้ ค้นทุกซอกทุกมุมรอบหนึ่งโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ กลัวว่าตนจะตกหล่นอะไรไป สุดท้ายเขาถึงขั้นเลิกผ้าปูที่นอน ค้นตู้เสื้อผ้า เกียรติบัตรบนผนังทั้งหมดถูกเขาฉีกลงมา เช็กผนังที่อยู่ด้านหลังเกียรติบัตรเหมือนคนบ้า
เมื่อเขาค้นเสร็จหมดแล้ว ห้องก็เละเทะเกลื่อนกลาด
อวี้ฝานกางสองขาอย่างสบายๆ นั่งลงบนพื้นพร้อมกับถุงสีดำใบนั้น จู่ๆ เขาก็นึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาอีก แต่บุหรี่ครึ่งซองสุดท้ายถูกเขาสูบไปหมดแล้วเมื่อกี้นี้
เขาทึ้งผม ค้นของที่เกลื่อนพื้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก่อนหน้านี้อวี้ฝานไม่รู้เลยว่าในห้องของตนจะมีของเยอะแยะขนาดนี้ กิ๊บติดผมที่เมื่อก่อนแม่ของเขาเคยใช้ ชุดนักเรียนสมัยประถมของเขา ยางลบที่ไม่รู้อยู่มาตั้งแต่สมัยไหน…ยังมีอัลบั้มรูปที่ฝุ่นเกาะเล่มนี้อีกด้วย
ตอนค้นของเขาทำแรงเกินไป อัลบั้มรูปจึงนอนกางอยู่บนพื้น
เขาเดินผ่านข้างอัลบั้มรูป ยื่นมือไปคิดจะปิดมันซะ สายตาก็กวาดไปเห็นรูปแรกที่โผล่อยู่ด้านบนสุด
เด็กน้อยสิบกว่าคนยืนเรียงแถวกัน ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘รูปรวมค่ายฤดูร้อน’ เพราะแบ็กกราวนด์เป็นกำแพงสีแดงของวัดเฉิงอันที่เพิ่งเคยไปมาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ อวี้ฝานจึงมองรูปนานขึ้นอีก
รูปภาพเป็นรูปที่เขาถ่ายหลังจากชกต่อยกับพวกผู้ชายตัวเล็กๆ ไม่กี่คนนั้น ตอนนั้นเขาถูกเด็กคนอื่นกับครูของค่ายฤดูร้อนแยกออกไป ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ทางซ้ายสุดของกลุ่ม ห่างจากคนอื่นๆ ไกลมาก
คนที่ถูกแยกอีกคนก็ยืนอยู่บนขั้นบันไดข้างบนเขา
ตอนนั้นอวี้ฝานเพิ่งต่อยชนะ ท่าทางองอาจผึ่งผาย เชิดหน้ายืดอกมองกล้อง ยิ่งขับให้เด็กขี้แยที่ยังคงบุ้ยปากน้ำตาไหลข้างหลังคนนั้นดูซื่อบื้อมากขึ้น
เขากวาดตามองแวบเดียวก็ปิดอัลบั้มรูป ก่อนโยนมันใส่เข้าไปในลิ้นชักสักชั้นหนึ่ง แล้วก้มหน้าค้นบนพื้นต่อ
ผ่านไปไม่กี่วินาที จู่ๆ อวี้ฝานก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ
สักพักเขาก็หันกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จ้องมองอัลบั้มรูปอัลบั้มนั้นครู่หนึ่ง ถึงได้ยื่นมือไปหยิบมันมา
ตอนพลิกเปิดอัลบั้มรูปนิ้วของอวี้ฝานแข็งทื่อ เขาเหมือนกับมีมือเป็นวันแรก เปิดหาไปทีละหน้าๆ เขาเห็นปู่ของเขา เห็นอวี้ข่ายหมิง เห็นแม่ของเขาในอัลบั้มรูป ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วกว่าจะหารูปนั้นเจออีกครั้ง
ค่ายฤดูร้อนในความทรงจำราวกับถูกคลุมด้วยผ้าโปร่งชั้นหนึ่ง เขาจำได้แค่ว่าดวงตาของเด็กขี้แยเล็กมาก ตัวผอมมาก ร้องไห้ขึ้นมาก็มองไม่เห็นตาแล้ว
เขาสบตากับคนที่ร้องไห้อยู่ในรูปเนิ่นนานถึงได้ยื่นมือไปหยิบรูปนั้นออกมา อัลบั้มรูปเก่ามากแล้ว พลาสติกที่ใส่รูปติดสนิทกับภาพถ่าย อวี้ฝานยื่นมือไปแงะมัน ยิ่งแงะยิ่งใจร้อน ยิ่งใจร้อนก็ยิ่งเอาไม่ออก ลมฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นสบายลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง อวี้ฝานนั่งอยู่ในห้อง เหงื่อออกเต็มศีรษะ
ภาพถ่ายถูกดึงออกมา อวี้ฝานจ้องมองใบหน้าอันคุ้นเคยของเด็กขี้แยคนนั้นนานแสนนาน จากนั้นก็พลิกไปด้านหลังรูปด้วยมือที่สั่นระริก
ด้านหลังเขียนชื่อของทุกคนเอาไว้ เขาดูคำว่า ‘อวี้ฝาน’ เป็นอันดับแรกแวบหนึ่ง ก่อนจะช้อนตามองด้านบนอย่างเหนื่อยล้า
‘เฉินจิ่งเซิน’
น้ำตาหลายหยดกระทบบนภาพถ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ชั่วขณะนั้นสมองของอวี้ฝานราวกับโล่งกลวงกะทันหัน ความเหนอะหนะบนผิว อาการเจ็บแสบที่คอ ความรู้สึกที่หายใจไม่ออกคล้ายมีมวลขนาดมหึมาตรงอกแล่นปราดไปทั่วทั้งร่างกายเขา เจ็บปวดจนเขาส่งเสียงไม่ออกเลยสักนิด
ในที่สุดเขาก็สูญเสียการควบคุม นิ้วมือสั่นอย่างรุนแรง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสายอย่างกระเซอะกระเซิง ชื่อของเฉินจิ่งเซินเลือนรางมาโดยตลอด เขายื่นมือไปเช็ดคราบน้ำบนภาพถ่าย แต่เช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่หมด
อาการคลื่นไส้รุนแรงพุ่งขึ้นมาถึงลำคอ อวี้ฝานวางรูปภาพลงแล้วพุ่งออกไปนอกห้อง
เขานั่งคุกเข่าอยู่ในห้องน้ำ อาเจียนอย่างห้ามไม่ได้ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้กินอะไรเลย แต่ละครั้งที่อาเจียนก็รู้สึกเหมือนจะอาเจียนเอากระเพาะอาหารของตนออกมาหมด เขาอาเจียนจนน้ำตาเต็มหน้า ประสาทสัมผัสทั้งหมดเหลือแค่ความขม
ทำไมกันล่ะ เขาคิด
อันที่จริงอวี้ฝานคิดเรื่องพวกนี้น้อยมาก แต่ตอนนี้เวลานี้เขากลับคิดไม่หยุดว่าทำไมกันล่ะ บนโลกมีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเขาตลอด ทำไมต้องคลอดเขาออกมาด้วย ทำไมไม่พาเขาไปด้วย ทำไมชีวิตเขาถึงดูเหมือนไม่เคยราบรื่นเลย
เกรงว่าจี้เหลียนอีก็คงคิดอย่างนี้เหมือนกัน ทำไมกันล่ะ ทำไมลูกชายของเธอต้องเจอคนอย่างเขาด้วย
ทำไมเฉินจิ่งเซินต้องเจอเขาด้วย
ตอนอวี้ข่ายหมิงกลับมาในบ้านมืดสลัว เขาบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง “ทำไมไม่เปิดไฟเนี่ย” แล้วหมุนตัวเข้าไปในห้องของตน หยิบเสื้อผ้ามาสองตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป
เมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำเอาตกใจ
ประตูบ้านถูกล็อก ตู้รองเท้าถูกย้ายไปขวางไว้หน้าประตู อวี้ฝานยืนอยู่หน้าตู้รองเท้าโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ มองเขาอย่างซีดเซียวและเย็นชา
“อวี้ข่ายหมิง” อวี้ฝานเอ่ย “แกจะไปกับฉันหรือว่าจะตายกับฉัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป…