everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ณ ตรอกเล็กๆ อันคับแคบ
กำแพงทั้งสองด้านเป็นรอยกระดำกระด่าง มีโฆษณาอุ้มบุญที่ถูกฉีกไปครึ่งหนึ่งแปะอยู่ ภายในตรอกมีเสียงความเคลื่อนไหวดังเป็นระลอก ตามมาด้วยเสียงหมัดกระทบเนื้อ ถ้อยคำผรุสวาทรุนแรงหลายประโยคถูกพ่นออกมาเป็นครั้งคราว
เมื่อหวังลู่อันมาถึงเสียงร้องครวญครางปานจะขาดใจอันน่าเวทนาก็ดังมาจากด้านในพอดิบพอดี เขาใจสั่น ชูไม้เบสบอลที่เพิ่งขโมยออกมาจากบ้าน แล้วพุ่งเข้ามาในตรอกพลางร้องตะโกน “ไอ้สารเลวหมาลอบกัด มาแตะต้องเพื่อนฉัน! วันนี้พวกแกอย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว! อวี้ฝาน นายทนไว้ ฉันมา…”
แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตรอกชัดเจนแล้ว ฝีเท้าของหวังลู่อันก็หยุดลงในทันที กลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบลงท้องไป
เขาเห็นคนหลายคนนอนตัวบิดเบี้ยวอยู่บนพื้น ทั้งหมดล้วนกุมบริเวณที่เจ็บพลางหอบหายใจ ชายหัวเกรียนที่สะบักสะบอมที่สุดในนั้นยังคงส่งเสียงลมหายใจอันเจ็บปวดออกมารางๆ
ข้างๆ ชายหัวเกรียนมีคนคนหนึ่งยืนอยู่
นักเรียนชายรูปร่างผอมเพรียว พับแขนเสื้อถึงข้อศอก เผยให้เห็นแขนที่ทั้งขาวทั้งบาง
อวี้ฝานเช็ดมุมปาก ปัดฝุ่นที่เปื้อนอยู่บนตัวและนั่งยองๆ ลงอย่างเนิบช้า หลุบตามองคนบนพื้น
ในมือเขาถือมีดพับที่อยู่ในลักษณะปิดพับไว้เล่มหนึ่ง ก่อนตบหน้าชายหัวเกรียนแล้วถามกลับเสียงเบา “ต่อไปเจอฉันครั้งหนึ่งก็จะตีครั้งหนึ่ง?”
ชายหัวเกรียนที่เมื่อกี้นี้ยังอวดดีหลับตาทั้งสองข้างแน่น นอนอย่างสงบนิ่ง “ไม่ใช่…ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอย่างนี้…”
อวี้ฝานกล่าว “ครั้งหน้าพาคนมาเยอะๆ หน่อย”
“…”
ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้หวังลู่อันโทรหาอวี้ฝานอยากนัดเขาไปเล่นอินเตอร์เน็ต ใครจะรู้ว่าเพิ่งคุยโทรศัพท์ไปได้สองประโยคก็เกิดเรื่องแล้ว…อวี้ฝานถูกคนดักตี ฟังจากเสียงเคลื่อนไหวแล้ว อีกฝ่ายยังพาคนอื่นมาด้วย
อวี้ฝานทิ้งท้ายประโยคหนึ่งไว้อย่างเร่งรีบ ‘ค่อยคุยกัน’ แล้วก็วางสายไป ทำให้หวังลู่อันร้อนใจเหลือเกิน ยังดีที่ก่อนเกิดเรื่องเขาถามตำแหน่งของอวี้ฝานไว้แล้วจึงเรียกรถมาอย่างฉุกละหุกได้ทันที
หวังลู่อันวางไม้เบสบอลลงอย่างกระอักกระอ่วน นับๆ ดูแล้วคนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นมีห้าคน แถมยังเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กันหมด
อวี้ฝานยืดตัวขึ้นแล้วเก็บมีดพับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงลวกๆ ขณะที่เดินผ่านเขาก็ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “ไปกัน”
กระทั่งอวี้ฝานเดินออกไปได้ระยะหนึ่ง หวังลู่อันถึงได้สติกลับคืนมา แล้วหิ้วไม้เบสบอลหันหลังตามไป
เดินออกมาจากตรอกไม่กี่ร้อยเมตรก็เป็นถนนอันคุ้นเคย เมื่อเลี้ยวขวาไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะเป็นประตูใหญ่โรงเรียนของพวกเขา
เพราะว่ายังไม่เปิดภาคเรียน รอบๆ โรงเรียนจึงเงียบเหงา
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านชานมไข่มุกที่มักไปเป็นประจำ
หวังลู่อันทักทายเถ้าแก่เนี้ย ก่อนจะมองดูร้านที่คุ้นเคยและคนสัญจรที่เดินขวักไขว่ไปมา ในที่สุดก็พรูลมหายใจเฮือกนั้นออกมา “เชี่ย แม่งตกใจแทบตาย! ทำไมนายไม่รอให้ฉันไปสมทบ”
อวี้ฝานซื้อกระดาษทิชชูมาห่อหนึ่ง เลือกหาม้านั่งที่จัดวางไว้นอกร้านแล้วนั่งลงตามใจ “รอนาย? ความเร็วของนายเนี่ยมาถึงก็ทันแค่คลุมผ้าขาวให้ฉันสิไม่ว่า”
“ถุยๆๆ!” หวังลู่อันกล่าว “ไม่ได้ให้นายยืนรอสักหน่อย นายวิ่งไม่ได้หรือไง พวกมันคนเยอะขนาดนี้ ถ้านายสู้ไม่ได้ล่ะ”
“เหนื่อย ไม่อยากวิ่ง”
หวังลู่อันพยักหน้า นั่นมันเหนื่อยกว่าสู้หนึ่งต่อห้านิดหน่อยจริงๆ
บนใบหน้าของอวี้ฝานมีรอยช้ำอยู่สองที่ มุมปากเปรอะเลือดนิดหน่อย เสื้อผ้าก็เปื้อนสกปรกไปหมด คนสัญจรไปมาไม่กี่คนที่เดินผ่านข้างกายเป็นครั้งคราวต่างก็อดที่จะเหลียวมองไม่ได้
เขาหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดอย่างลวกๆ สองที “เมื่อกี้นายว่าจะไปเล่นเน็ตที่ไหนนะ”
“นายสภาพอย่างนี้แล้วยังจะไปอีกเรอะ ช่างมันเถอะ” หวังลู่อันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนกดปุ่มข้อความเสียง “โอ๊ย พวกนายไม่ต้องมาแล้ว อวี้ฝานคนเดียวคว่ำพวกมันไปแล้ว ไม่ต้องมาแล้วๆ”
“นายเรียกคนมาด้วย?”
“แน่นอน ไม่งั้นพวกเราสองต่อห้าก็เสียเปรียบมากน่ะสิ! เฮ้อ แถมฉันยังจิ๊กไม้เบสบอลของพ่อออกมาด้วย…” ทันใดนั้นหวังลู่อันก็นึกถึงอะไรสักอย่าง แล้วมองที่กระเป๋ากางเกงของเขาโดยจิตใต้สำนึก “ใช่แล้ว ทำไมนายออกจากบ้านยังพกมีดด้วยล่ะ”
“ไม่ใช่ของฉัน ของคนพวกนั้นต่างหาก”
“พวกมันดักนายคนเดียวยังพกมีดด้วย?!” หวังลู่อันสูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง มองสำรวจอีกฝ่ายจากบนจรดล่างทันที “เมื่อก่อนฉันก็เคยได้ยินมาว่าคนของโรงเรียนข้างๆ ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจะหมาขนาดนี้!”
อวี้ฝานไม่พูดไม่จา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ยังดีที่ไม่พัง
บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงแจ้งเตือนข้อความจากวีแชต* ยี่สิบกว่าข้อความ ให้เดาก็คงเป็นข้อความจากกลุ่มแชตที่หวังลู่อันลากเข้าไป ซึ่งเขาขี้เกียจอ่าน
แต่หวังลู่อันที่อยู่ข้างๆ คุยอย่างฮึกเหิม เขากดข้อความเสียง ก่อนแค่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ยังจะเป็นใครได้อีก คนของโรงเรียนข้างๆ พวกนั้นไง คราวก่อนทางนั้นมีสองคนมารีดไถใกล้ๆ โรงเรียนของพวกเราไม่ใช่หรือไง มาไถเงินถึงถิ่นเราแล้ว ตอนนั้นก็เลยสู้กับพวกมันยกหนึ่ง ผลคือพวกมันเป็นลูกกะจ๊อกของลูกพี่หัวเกรียนคนนั้นที่อยู่โรงเรียนข้างๆ พอคนหัวเกรียนรู้เรื่องนี้เข้าก็ฝากคำพูดไว้ บอกว่าวันหลังเจอพวกเราครั้งหนึ่งก็จะตีครั้งหนึ่ง เฮ้อ พวกนายไม่เห็นท่าทางหัวหดของมันเมื่อกี้นี้ ถูกอวี้ฝานซัดจนไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ”
หวังลู่อันวางมือถือลง พอหันไปก็เห็นอวี้ฝานกำลังถือกระดาษทิชชูจิ้มแผลตรงมุมปากของตัวเอง
เขานิ่วหน้า “ซี้ด…จิ๊…”
อวี้ฝานหยุดการกระทำ “ไปเจ็บบนหน้านายหรือไง”
“ฉันดูแล้วเจ็บ” หวังลู่อันคิดครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น “หรือไม่พวกเราไปโรง’บาลกัน”
“โอเค นายรีบไปเรียกรถสิ” อวี้ฝานเชิดคาง “ช้ากว่านี้อีกสองนาทีแผลก็สมานแล้ว”
“…” หวังลู่อันกลับลงไปนั่งอีกครั้ง “ต่อยตรงไหนไม่ต่อย ต่อยบนหน้าซะได้ พรุ่งนี้ก็จะเปิดเทอมแล้ว ฝ่างฉินเห็นหน้านายเข้า ไม่ด่านายสิแปลก”
ฝ่างฉินคือครูประจำชั้นของพวกเขา แซ่จวง คนในห้องเรียนล้วนชอบเรียกชื่อของเธอกันเป็นการส่วนตัว
พูดถึงเรื่องเปิดภาคเรียน อวี้ฝานก็เหลือบมองไปทางโรงเรียนแวบหนึ่งโดยอัตโนมัติ
“ทำไมประตูโรงเรียนเปิดอยู่” อวี้ฝานเลิกคิ้ว
“มัธยมปลายปีสามเรียนอยู่ พวกเขาเปิดเทอมล่วงหน้าครึ่งเดือน” หวังลู่อันดูดชานม “ชั้นปีของพวกเราเองก็มีเปิดเทอมล่วงหน้า ดูเหมือนจะเป็นนักเรียนหัวกะทิหลายสิบคนที่โรงเรียนคัดมา รวมกลุ่มคลาสฤดูหนาวอะไรทำนองนั้น เป็นนักเรียนหัวกะทินี่ซวยชะมัด”
อวี้ฝานดึงสายตากลับมา ร้องอ้ออย่างเรียบเฉย
ถึงเวลาเลิกเรียน ร้านบาร์บีคิวที่ถนนฝั่งตรงข้ามเริ่มเปิดทำการ กลิ่นเนื้อย่างที่ห่อหุ้มด้วยผงยี่หร่าก็โชยข้ามมาโดยมีถนนสายหนึ่งกั้น
หวังลู่อันรีบร้อนออกจากบ้านเกินไปจึงไม่ทันได้กินอาหารเย็น เขาขยับจมูก นั่งไม่ติดแล้ว “นายต่อยตีมาครึ่งค่อนวันแล้วจะต้องเหนื่อยแน่เลย ไปกัน พวกเราไปกินอะไรเสริมกำลังกันหน่อย”
“ฉันไม่กิน นายไปเถอะ” อวี้ฝานโบกมือให้เขา
“โอเค นายคอยฉัน ฉันจะไปซื้อกลับมา”
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังติ๊งๆ อยู่ตลอด ฟังแล้วน่ารำคาญ อวี้ฝานเปิดกลุ่มแชตมากวาดตามองแวบหนึ่ง หวังลู่อันแค่ซื้อบาร์บีคิวก็สามารถอวดคนในกลุ่มได้จนถึง 99+ ข้อความเชียว
เขาเปิดโหมดห้ามรบกวน ขณะที่ยัดมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก็สัมผัสเข้ากับวัตถุโลหะที่อยู่ข้างใน
อวี้ฝานชะงักไปสองวินาทีก่อนจะหยิบมีดพับทหารสีดำเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน นักเรียนที่สวมเครื่องแบบของโรงเรียนต่างก็ทยอยออกมาจากประตูโรงเรียน
นักเรียนหญิงสองคนจูงมือกันออกมาบ้างพูดคุยบ้างหัวเราะ
“ป็อปควิซครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง”
“อย่าพูดถึงเลย ยากจะตายอยู่แล้ว หัวข้อใหญ่อันสุดท้ายฉันมั่วหมดเลย เธอล่ะ”
“ฉัน? คงบ๊วยอีกตามเคย เฮ้อ แล้วฉันหลงเข้าไปอยู่ในห้องกิฟต์ตอนปิดเทอมฤดูหนาวได้ยังไงเนี่ย ฉันอยู่คนละโลกกับพวกอัจฉริยะอย่างพวกเธอเลย!” คนคนนั้นพูดจบก็ยืดเอวหนาๆ เพื่อบิดขี้เกียจ “ช่างเถอะ ถึงยังไงรอพรุ่งนี้ที่เปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ฉันก็จะกลับไปเป็นปลาเค็ม* ที่ห้องเรียนทั่วไปต่อแล้ว ฉันอยากไปซื้อชานมร้อนๆ สักแก้ว ไปด้วยกันไหม”
นักเรียนหญิงอีกคนพยักหน้าตอบรับ แต่เพิ่งหมุนตัวเดินไปทางร้านชานมได้สองก้าว จู่ๆ คนที่อยู่ข้างๆ ก็ออกแรงจับชายเสื้อของเธอไว้แล้วดึงเธอกลับไปทันที
“เป็นอะไรไป” นักเรียนหญิงงงงัน
“ช่างเถอะ พวกเราอย่าไปเลย…” เพื่อนที่มาด้วยกันมองไปยังทิศทางของร้านชานมอย่างไม่ละสายตา แล้วเอ่ยเสียงเบา “เธอดูสิว่าใครนั่งอยู่ตรงนั้น!”
เธอหันไปมองทางร้านชานมไข่มุกตามสัญญาณของเพื่อน
ร้านชานมร้านนี้เปิดอยู่ข้างโรงเรียนมาหลายปีแล้ว รสชาติดีแถมราคาย่อมเยา ปกติทุกครั้งที่ถึงเวลาเลิกเรียนโต๊ะและเก้าอี้ของร้านล้วนถูกคนจับจองกันจนเต็มไปหมด
แต่ในขณะนี้เอง แม้ว่าร้านชานมจะมีลูกค้ากำลังสั่งชาอยู่ แต่ทุกคนล้วนหยิบเอาแล้วจากไป นอกร้านมีแค่คนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่
คนคนนั้นนั่งอย่างสบายๆ ขายาวๆ สองข้างกางออกตามอำเภอใจ ผมหน้าม้ายาวจนแทบจะติดขนตาของเขา เพราะผิวขาวเกินไป ทำให้รอยแผลสีม่วงช้ำบนใบหน้าเขาโดดเด่นเตะตาเป็นพิเศษ มุมปากก็มีเลือดซึมเล็กน้อย
ผู้คนรอบๆ ต่างสวมเครื่องแบบฤดูหนาวที่ถูกระเบียบ มีเพียงเขาที่สวมเสื้อฮู้ดสีขาวซึ่งเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว
เขากำลังก้มหน้าเล่นมีดพับทหาร ปลายคมมีดถูกเขาดึงออกมา ก่อนกดลงบนหลังมืออีกข้างของตนเองแล้วกรีดอย่างไม่แยแส คล้ายกับกำลังพิสูจน์ว่ามีดเล่มนี้คมแค่ไหน
แม้ว่านักเรียนหญิงจะไม่รู้จัก แต่ก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ “เขาคือ…”
“อวี้ฝาน!” เพื่อนที่มาด้วยกันกล่าว “นักเรียนห้องเจ็ดคนนั้น!”
“บนหน้าเขาดูเหมือนจะมีแผลด้วย?”
“ปกติน่ะ ต้องเพิ่งต่อยตีกับคนอื่นเสร็จมาแน่ๆ” เพื่อนที่มาด้วยกันไม่อยากจะเชื่อ “เธอไม่เคยได้ยินชื่ออวี้ฝาน?”
“ไม่เคย” นักเรียนหญิงส่ายหน้า คิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ดูเหมือนเคยได้ยินคำประกาศความผิดของเขาหลายครั้งตอนเคารพธงชาติ”
เพื่อนที่มาด้วยกันแสร้งทำเป็นเลือกของในร้านโชห่วย แต่สายตายังคงแอบมองไปทางนั้น “ฉันมีเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับเขา ได้ยินว่าเขา…ตอนเพิ่งเข้ามาเรียนชั้น ม.ปลายปีหนึ่ง ก็ตีกับ ม.ปลายปีสาม แล้ว แถมยังตีจน ม.ปลายปีสาม ร้องไห้ ปกติถ้าไม่นอนก็โดดเรียนโต้งๆ เลย แถมนิสัยยังแย่มากด้วย! แค่มีคนมองเขาที่โรงอาหารนานไปหน่อย เขาก็เอาอาหารทั้งถาดราดใส่ตัวคนคนนั้น อ้อ ดูเหมือนจะเคยตีครูด้วย…สรุปว่าเกเรมาก!”
น่ากลัวขนาดนี้เชียว
นักเรียนหญิงฟังจบอย่างนิ่งงัน กำลังจะพูดว่างั้นพวกเราไม่ดื่มชานมแล้วดีกว่า ทันใดนั้นนักเรียนชายที่อยู่ไกลๆ ก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว
อาจเป็นเพราะไม่ได้ควบคุมวิถีมีดให้ดี คมมีดจึงแทงเข้าที่หลังมือของเขา ที่หลังมือของเขาก็มีแผลเล็กๆ และเลือดซึมเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง
นักเรียนหญิงสูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง! เธอยังไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกไปก็เห็นอวี้ฝานโยนมีดไปด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแล้วใช้ทิชชูกดลงบนแผล จากนั้นก็เหลือบตาขึ้น…มองมาทางพวกเธอ
เมื่ออวี้ฝานเงยหน้า ในที่สุดนักเรียนหญิงถึงได้มองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน…อันที่จริงก็เคยเห็นตอนเคารพธงชาติอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นชัดเท่ากับตอนนี้
อวี้ฝานตาเรียวยาว หางตาขวามีไฝเล็กๆ จุดหนึ่ง ถัดลงมาบนแก้มยังมีอีกจุด หนังตาของเขาแคบมาก บนใบหน้ายังมีแผลอีกด้วย พอมองอย่างนี้แล้วนักเรียนหญิงก็รู้สึกเย็นวาบในใจ…
จบเห่แล้ว
เขาจะสาดชานมใส่ตัวฉันแล้ว
แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ถูกต้อง
อวี้ฝานดูเหมือน…ไม่ได้กำลังมองพวกเธอ?
นักเรียนหญิงนิ่งงันไปสองวินาที เมื่อหันหน้าไปถึงได้พบว่าตอนนี้ข้างหลังพวกเธอยังมีนักเรียนชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
นักเรียนชายรูปร่างสูงมาก ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนราวกับต้นสนที่ตรงแหน็ว เขาสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ข้างเดียว เครื่องแบบที่อยู่บนร่างสะอาดสะอ้าน ถึงขั้นมีรอยยับแค่ไม่กี่จุด
เธอยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่อีกด้วย
เวลานี้สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ทางร้านชานมเหมือนกับพวกเธอเมื่อกี้นี้
นักเรียนหญิงเบิกตากว้างเล็กน้อย…เธอไม่รู้จักอวี้ฝาน แต่คนคนนี้เธอกลับประทับใจลึกซึ้ง
ในการสอบใหญ่แต่ละครั้งจะเรียงที่นั่งตามผลการเรียน คนคนนี้มักนั่งเป็นคนแรกในแถวแรกของสายชั้นอยู่เสมอ
อวี้ฝานจับได้แต่แรกแล้วว่าที่ด้านข้างมีคนกำลังจ้องตัวเองอยู่
เพียงแต่ไม่คิดว่าเมื่อเขาหันไปมอง อีกฝ่ายก็ยังคงสบตากับเขาอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น อาจเพราะเห็นแผลบนใบหน้าเขา นักเรียนชายจึงขมวดคิ้วครู่หนึ่งอย่างนึกสงสัยและรังเกียจ
คราวนี้ทำให้อวี้ฝานบันดาลโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ชั่วขณะนั้นเองเมื่อแน่ใจแล้วว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองสำรวจตนอย่างโจ่งแจ้ง อวี้ฝานก็เก็บมีดเล่มเล็กๆ เอาไว้ ก่อนพยักพเยิดไปตรงที่นั่งข้างๆ ตนแล้วพูดกับคนคนนั้นว่า “ชอบมองขนาดนี้ นายไม่มานั่งใกล้ๆ เลยล่ะ”
* วีแชต เป็นแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน นิยมใช้ในการส่งข้อความ
* ปลาเค็ม เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยว่าเป็นคนขี้แพ้