ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 2

 

คนที่ขวักไขว่ไปมารอบๆ ในเวลานี้ล้วนเป็นนักเรียน พวกเขาไม่กล้าหยุดฝีเท้าเพราะกลัวถูกลูกหลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากดูเรื่องสนุกๆ

นักเรียนที่จำโจทย์จนมึนแล้วบางคนเอาคำพูดประโยคนี้ของอวี้ฝานใส่เข้าไปในสมองแล้วทำการตีความ ซึ่งได้ความหมายประมาณว่า ‘นายลองมองอีกสิ ดูซิว่าฉันจะควักลูกตานายออกมาได้หรือเปล่า’

นักเรียนหญิงสองคนที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลางสบตากันแล้วตัดสินใจจะเผ่นหนีทันที

แต่นักเรียนชายที่อยู่ข้างหลังกลับชิงลงมือก่อนพวกเธอ

เพียงเห็นเขายกมือแล้วใช้นิ้วโป้งเกี่ยวสายสะพายของกระเป๋าเป้ จากนั้นเดินเข้าไปหาอวี้ฝานด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาของผู้คนก็ต่างตื่นตกใจและหวาดหวั่น

อวี้ฝานจ้องเขาโดยไม่ที่แสดงออกอะไร พอเห็นเขาเข้ามาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น…

“เลิกเรียนแล้วไม่กลับบ้าน มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่ทำไม!”

เสียงอันทรงพลังขัดจังหวะการปะทะครั้งนี้

หนังตาของอวี้ฝานกระตุกทีหนึ่ง เขาเอียงศีรษะแล้วกวาดตามองด้านหลังของนักเรียนชายคนนั้น ตัวคนยังไม่ทันเห็นก็ชิงเห็นหัวล้านเงามาก่อน

“…” ความตึงเครียดของเขาเมื่อครู่สลายหายไปในพริบตา ก่อนจะนั่งกลับลงไปอย่างเอื่อยเฉื่อย

และเห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นเองก็จำเสียงนี้ได้ จึงหยุดฝีเท้าลง

ชายวัยกลางคนที่รูปร่างอ้วนเตี้ยเล็กน้อย ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีกรมท่าเดินออกมาจากประตูโรงเรียน เขาเดินมาพลางถลึงตาใส่นักเรียนที่มุงดูเรื่องสนุกเหล่านั้น คนที่อยู่รอบๆ ก็หายเกลี้ยงไปในพริบตา

คนที่มาคือหัวหน้าครูของโรงเรียนพวกเขา พอเห็นคนที่ก่อความวุ่นวาย หัวคิ้วเขาก็พลันยกตั้งขึ้น “อวี้ฝาน? ทำไมเป็นเธออีกแล้ว! วันนี้ยังไม่เปิดเทอม เธอมาทำอะไรที่โรงเรียน”

อวี้ฝานหันไปมองร้านชานมแวบหนึ่งก่อนแล้วมองไปทางเขา “ร้านนี้โรงเรียนเซ้งต่อ?”

“…” หัวหน้าครูเงียบไปสองวินาที หลังจากมองใบหน้าของเขาชัดเจนแล้วก็ถลึงตา “แล้วบนหน้าเธอเป็นอะไร ทะเลาะวิวาทกับคนเขาอีกแล้วล่ะสิ”

“ล้มครับ”

“เธอโกหกฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ล้มที่ไหนจะเป็นแบบนี้ได้”

อวี้ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่ไกลครับ ผมพาครูไปดูเอาไหม”

หัวหน้าครูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ปิดเทอมมานานหลายวัน และเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาดีๆ ไป เขาเกือบลืมรสชาติที่ถูกอวี้ฝานทำให้โมโหจนเจ็บหน้าอกไปแล้ว

“เธอรอก่อน พรุ่งนี้เปิดเทอมฉันจะไปหาครูประจำชั้นของพวกเธอ”

เขาชี้อวี้ฝาน เมื่อพูดจบถึงได้หันหน้าไปมองนักเรียนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน

ชั่วพริบตานั้นอวี้ฝานนึกว่าตนเองกำลังดูงิ้วเปลี่ยนหน้าของเสฉวน

“จิ่งเซิน เตรียมตัวกลับบ้านแล้วเหรอ” หัวหน้าครูยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี

อวี้ฝานเห็นว่าเพื่อนนักเรียนที่หน้าตากวนโอ๊ยคนนั้นละสายตาจากใบหน้าเขาไปในที่สุด แล้วหลุบตาพลางตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ครับ”

หัวหน้าครูตบบ่าเขา “รอเดี๋ยวสิ ครูมีเรื่องจะคุยกับเธอพอดี เธอกลับไปที่โรงเรียนกับครูก่อน”

เมื่อพูดจบตอนที่หัวหน้าครูหันมามองอีกครั้ง หัวคิ้วก็ขมวดมุ่น “แล้วก็เธอ! ไม่มีธุระอะไรก็รีบกลับบ้านไปซะ อย่ามัวเกกมะเหรกไปทั่วอย่างกับนักเลง!”

อวี้ฝานยกมือขึ้นมาเขย่าอย่างขอไปทีสองครั้ง โบกมือกล่าวลากับหัวหน้าครู

นักเรียนที่อยู่รอบๆ “…”

ครูคิดว่าตอนนี้คนคนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีตรงไหนไม่เหมือนนักเลงบ้างล่ะ

พอมองหัวหน้าครูผละจากไป อวี้ฝานก็กำลังจะหันหน้ากลับไป ทันใดนั้นคนที่กำลังจะกลับไปที่โรงเรียนพร้อมกับหัวหน้าครูก็หันหน้ากลับมา

อวี้ฝานเลิกคิ้ว ยกมือที่เพิ่งวางลงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมชูนิ้วกลางให้อีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง

ตอนที่หวังลู่อันกลับมาก็เห็นภาพฉากนี้พอดี

หวังลู่อันวางกล่องบรรจุอาหารลงบนโต๊ะอย่างกระหืดกระหอบ เอ่ยอย่างร้อนใจ “ทำไมเสืออ้วนโผล่มาได้ คงไม่ใช่มาจับนายหรอกนะ พวกนายคุยอะไรกัน”

หัวหน้าครูชื่อว่าหูผาง หวังลู่อันแอบเรียกเขาว่าเสืออ้วน

“ทักทายกันเฉยๆ” อวี้ฝานมองเขาแวบหนึ่ง “นายวิ่งทำไม ไม่ได้จ่ายเงิน?”

หวังลู่อันพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วนั่งลงข้างเขา “เมื่อกี้ฉันอยู่ตรงทางม้าลายฝั่งตรงข้าม คิดว่านายจะต่อยคนน่ะสิถึงต้องรีบวิ่งมา เฮ้ย เมื่อกี้ใครแหย่นายล่ะ มีต้นไม้บัง ฉันเห็นไม่ชัด…”

หวังลู่อันพูดพลางมองไปทางประตูใหญ่ของโรงเรียน จับได้แค่เงาร่างที่โฉบผ่านไปแวบเดียว

เขาตะลึงงันแล้วหลุดปากพูดออกมา “เฉินจิ่งเซิน?”

อวี้ฝาน “นายรู้จัก?”

“คนที่อยู่ห้องหนึ่งไม่ใช่หรือไง…” หวังลู่อันชะงัก “นายไม่รู้จักเขา?”

พอได้รับสายตางุนงงจากอวี้ฝาน หวังลู่อันถึงนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้อยู่มาสามเทอมแล้ว เกรงว่าแม้แต่ชื่อเพื่อนในห้องก็คงจำได้ไม่หมด

แต่ว่า…

“นายยังจำตอนอ่านคำสำนึกผิดทั้งหกครั้งต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเมื่อเทอมที่แล้วได้ไหม”

อวี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง “จำไม่ได้”

“งั้นนายนึกดีๆ อีกที” หวังลู่อันกล่าว “ทุกครั้งที่นายอ่านคำสำนึกผิดเสร็จแล้วลงมา ก็จะถึงตาเขาขึ้นเวทีไปรับรางวัลและกล่าวสุนทรพจน์”

“…”

ได้รางวัลเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย

“อีกอย่างตารางอันดับผลการเรียนของสายชั้น ชื่อของเขาอยู่อันดับแรกทุกครั้ง…อ้อ เรื่องนี้นายไม่รู้ก็เป็นปกติ นายเองก็ไม่ดูของพรรค์นั้นสักหน่อย”

อ๋อ นักเรียนดีเด่น

อวี้ฝานเข้าใจทันที มิน่าล่ะถึงได้มองแล้วน่าหงุดหงิดขนาดนี้

หวังลู่อันหิวจนหน้าอกแฟบติดหลัง เขาก้มหน้าก้มตากินบาร์บีคิวหลายคำ แล้วเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ก็เลยถามว่า “เมื่อกี้เฉินจิ่งเซินแหย่อะไรนายล่ะ”

“ไม่มีอะไร” อวี้ฝานก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ “นายกินเงียบๆ ได้ไหม”

“มันเผ็ดเกินไป ฉันต้องอ้าปากคลายเผ็ดหน่อย”

หวังลู่อันมองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตกใจ ยื่นมือไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “เชี่ย มือนายเป็นอะไร ทำไมถึงมีรอยบาด เมื่อกี้ไม่เห็นแผลนี้นี่”

อวี้ฝานไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่ระวังก็เลยบาด”

หวังลู่อันมองเขาที่เหมือนกับไม่ได้เป็นอะไร จึงเอ่ยอย่างตกตะลึง “นี่ก็ไม่ระวังเลย แผลยาวขนาดนี้…นายไม่เจ็บหรือไง”

“มา นายยื่นมือมา ฉันจะช่วยเป่าให้นายสองที” หวังลู่อันเอ่ยพลางแสร้งเป่าลมบนหลังมืออีกฝ่ายสองที

อวี้ฝานผลักศีรษะของเขาที่ขยับเข้ามา “…จะอ้วก”

เขาไม่รู้สึกเจ็บจริงๆ แม้ว่าแผลจะยาวมากแต่ก็ตื้น อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ตอนต่อยไม่ได้ใส่สุดแรง ตอนคมมีดทิ่มเนื้อเขาเลยถึงขั้นรู้สึกสะใจอยู่นิดๆ

น่าแปลกทีเดียว อวี้ฝานจ้องหลังมือหลายวินาที ขณะที่สติกลับมาก็มองไปที่มือถือ งูยักษ์จอมเขมือบที่เขาบังคับตัวนั้นก็พุ่งชนขอบหน้าจอมือถือและเกมก็จบลง

เขาปิดมันอย่างเซ็งๆ แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ฉันจะกลับแล้ว”

“เร็วเบอร์นี้?” หวังลู่อันว่า “บ้านนายไม่มีใครอยู่ กลับไปก็น่าเบื่อจะตาย หรือไม่ก็ไปบ้านฉันดีกว่า ฉันเพิ่งซื้อแผ่นเกมมาใหม่หลายแผ่นเลย”

“ไม่ไป” อวี้ฝานปฏิเสธตรงๆ เพิ่งทะเลาะกับคนมา เขาเนื้อตัวสกปรก ในโพรงจมูกยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่จางๆ เขาเช็ดจมูกเบาๆ แล้วว่า “ไปแล้วนะ”

เดือนกุมภาพันธ์ของเมืองหนานอากาศแปรปรวนมาก ตอนบ่ายยังมีแดดออก แต่เดี๋ยวเดียวก็ครึ้มฝนแล้ว

อวี้ฝานสวมหมวกของเสื้อฮู้ดคลุมศีรษะ สองมือซุกในกระเป๋าเสื้อ อ้อมซ้ายอ้อมขวา ในที่สุดก็เดินเข้าไปในถนนเก่าๆ สายหนึ่ง

ร้านขายโทรศัพท์มือสองเล็กๆ ซอมซ่อและเป็นอาคารเตี้ยยังเปิดเพลงฉบับรีมิกซ์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพลงเฮงซวยเพลงไหน

อวี้ฝานเลี้ยวเข้าไปในเขตที่พักอาศัยเก่าๆ ริมถนนเห็นรถบรรทุกเล็กคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูอาคาร คนงานขนย้ายหลายคนกำลังหามเฟอร์นิเจอร์ขึ้นอาคาร มีหญิงวัยกลางคนสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ที่หลังรถ

อวี้ฝานมองทางเข้าอาคารที่ถูกขวางไว้แวบหนึ่ง ก่อนจะหลีกไปด้านข้าง คิดจะรอให้คนกลุ่มนี้ย้ายของเสร็จแล้วค่อยเข้าไป

คนสองคนที่อยู่ข้างรถไม่เห็นว่าด้านหลังมีคนเพิ่มขึ้นมา ยังคงคุยกันอย่างดุเดือด

“ต่อไปมีเรื่องอะไรเธอก็แค่ขึ้นไปหาพี่ที่ชั้นบน สภาพแวดล้อมของเราแย่นิดหน่อย แต่น้ำใจเต็มเปี่ยมนะ เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเหลือได้ทุกคนก็จะช่วยกันหมด”

“ขอบคุณพี่มากนะ ฉันห่อเกี๊ยวไว้นิดหน่อย เดี๋ยวฉันเก็บกวาดห้องเสร็จแล้วจะส่งไปให้ทุกคนทีละบ้านๆ”

“เกรงใจอะไรกัน…อ้อใช่ ห้อง 201 นั่นเธออย่าไปนะ”

“หือ? มีอะไรเหรอ”

“ก็ไม่มีอะไร” คนคนนั้นลังเลครู่หนึ่งก่อนจะลดเสียงให้เบาลง “พ่อลูกที่อยู่ห้องนั้นไม่ใช่คนดีอะไร! เมียของผู้ชายคนนั้นหนีไปแล้ว วันๆ ก็เอาแต่ดื่มเหล้าเล่นการพนัน สามวันห้าวันถึงกลับบ้านครั้งหนึ่ง ส่วนคนลูกก็เป็นสวะสังคมที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง ไม่เรียนหนังสือหนังหา! เมื่อไม่กี่ปีก่อนพ่อลูกคู่นั้นทะเลาะกันที่บ้านทุกวัน ครั้งนั้นทำเอาฉันตกอกตกใจจนไม่กล้าออกไปข้างนอกทั้งวันเลยล่ะ…”

“หม่าม้า!” เสียงไร้เดียงสาดังมาจากประตูเหล็กสับปะรังเคของเขตที่พักอาศัย

เด็กผู้หญิงที่ถูกเสื้อผ้าห่อจนกลายเป็นก้อนกลมวิ่งมาอย่างลิงโลดพร้อมถืออมยิ้มที่เพิ่งซื้อมา อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าหนักเกินไป พอกระโดดไปกระโดดมาก็กลายเป็นเดินแกว่งแขน ก้าวไม่กี่ก้าวเธอก็เท้าพันกัน ร่างเล็กๆ พลันล้มลงไปบนพื้น…

อวี้ฝานก้มตัวอย่างตาว่องมือไว นิ้วชี้เกี่ยวหมวกที่อยู่ด้านหลังเสื้อบุนวมของเธอไว้

เด็กผู้หญิงถูกคว้าไว้อย่างมั่นคง ร่างของเธอโอนเอนอยู่กลางอากาศ ในมือยังกำอมยิ้มเอาไว้แน่น ท่าทางงงงวยและน่ารัก

ผู้หญิงคนนั้นหัวใจแทบจะหลุดออกมา รีบเข้าไปดูสถานการณ์ทันที เธอนั่งลงแล้วกอดลูกสาวเข้ามาในอ้อมอก หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็เงยหน้ากล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณเธอ…”

แต่อีกฝ่ายหมุนตัวขึ้นไปชั้นบนแล้ว เธอจึงเห็นเพียงเงาหลังที่สูงโปร่งเท่านั้น

สวะสังคมกลับถึงบ้านก็โยนขนมปังที่แวะซื้อกลับมาไว้อีกด้าน แล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

ขณะที่ออกมามือถือก็ดังไม่หยุด ในบ้านไม่มีใคร อวี้ฝานเดินไปที่ข้างโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูไปพลางเช็ดผมไปพลาง

 

หวังลู่อัน จะลอกการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวไหม จะส่งให้นายชุดหนึ่ง

หวังลู่อัน หรือไม่นายเขียนสักสองสามคำเผื่อไว้สักหน่อยดีกว่า ไม่งั้นพรุ่งนี้ต้องไปยืนที่บอร์ดข่าวทั้งวัน ทำไงล่ะ

หวังลู่อัน อยู่ไหม

หวังลู่อัน เชี่ย ฉันเพิ่งเห็นข่าวในกลุ่มใหญ่ของโรงเรียน บอกว่ากรมการศึกษากำกับดูแลเข้มงวด ห้องนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียนเราไม่มีแล้ว นักเรียนหัวกะทิพวกนั้นต้องแยกย้ายกันมาอยู่ในห้องทั่วไปอย่างพวกเรา

หวังลู่อัน ไม่รู้ว่าในห้องเราจะมีเพื่อนใหม่มาไหม

หวังลู่อัน ใช่แล้ว พรุ่งนี้เช้าแปดโมงมีพิธีเปิดภาคเรียน เจ็ดโมงสี่สิบต้องรวมตัวกันที่ห้องเรียน นายอย่าสายล่ะ

หวังลู่อัน ???

 

อวี้ฝานกัดขนมปังแล้วพิมพ์อย่างช้าๆ

 

ส่งให้ฉัน

หวังลู่อัน อะไร

หวังลู่อัน ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว ฉันนึกว่านายถูกคนดักตีอีก

การบ้าน

 

อีกฝ่ายส่งไฟล์มารัวๆ สิบกว่าไฟล์

 

เยอะขนาดนี้?

หวังลู่อัน นายลอกการบ้านวิชาของฝ่างฉินก็พอ ยังไงครูคนอื่นก็ไม่สนใจนายอยู่แล้ว

หวังลู่อัน ไม่สิ นายเห็นที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ไหม ในห้องจะมีเพื่อนใหม่มา!

 

อวี้ฝานค้นกล่องค้นตู้อยู่นานสองนานถึงคลำเอาปากกาที่ใช้ได้ออกมาด้ามหนึ่ง

 

เห็นแล้ว ไม่เห็นน่าสนใจ

 

แปดโมงวันถัดมาอวี้ฝานยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนที่ปิดสนิท ฟังเพลงมาร์ชงานกีฬาที่ดังอยู่ด้านใน

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู

 

หวังลู่อัน พี่ชาย คนทั้งโรงเรียนยืนอยู่ที่สนามกีฬากันหมดแล้ว ครูใหญ่ก็มาถึงหมดแล้ว นายล่ะ

ตื่นสาย

หวังลู่อัน งั้นจะทำยังไงดี ตอนนี้ประตูโรงเรียนปิดหมดแล้ว นายปีนกำแพงเข้ามาตอนเข้าแถวคงไม่ค่อยดีมั้ง?

 

เข้าไปตอนนี้จะต่างอะไรกับถูกเชิญขึ้นหน้าเสาธงโดยตรง

อวี้ฝานตอบกลับไปประโยคหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะคิด ‘เข้าแถวเสร็จเรียกฉันก็แล้วกัน’

เขาเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คิดว่าจะหาที่ฆ่าเวลาสักหน่อย รอคนแยกย้ายกันหมดแล้วค่อยเข้าไป พอเงยหน้ากลับสบตากับคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูรั้วโรงเรียน

หูผางเอามือไพล่หลัง ถามเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “จะไปไหน”

วันนี้มันวันซวยอะไรกันเนี่ย

อวี้ฝานนิ่งเงียบไปสองวินาที “เข้าแถวครับ”

หูผางพยักหน้าแล้วเปิดประตูเล็กที่อยู่ด้านขวาของประตูรั้ว “เข้ามา”

“…”

หูผางเดินตามเขาตลอดทางจากข้างหลังกลุ่มคนไปจนถึงแถวของชั้นมัธยมปลายปีสองเหมือนกลัวว่าเขาจะหนี

ครูและนักเรียนทั้งโรงเรียนล้วนเรียงแถวอยู่ที่สนามกีฬา นักเรียนที่อยู่แถวหลังเห็นพวกเขาเดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะมองสักแวบหนึ่ง

อวี้ฝานเมินสายตาเหล่านี้ เดินนำหน้าหูผางอย่างเอ้อระเหย

“หน้าบูดแต่เช้าเชียว” หูผางกล่าว “ทำไม ฉันถ่วงเวลาเธอหนีเรียนเหรอ”

“เปล่าครับ” อวี้ฝานง่วงจนไม่มีอารมณ์ “เดี๋ยวตอนเคารพธงชาติผมจะยิ้มเยอะๆ แน่นอน”

“…”

หูผางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาไปมากกว่านี้ จึงชี้ไปที่แถวซึ่งห่างออกไปไม่กี่ก้าวแล้วพูดว่า “ห้องเรียนของพวกเธออยู่ตรงนี้ รีบไปยืนให้ดีๆ! เรื่องที่มาสายฉันค่อยรายงานกับครูประจำชั้นพวกเธออีกที”

“จำไว้ว่าแถวเรียงตามส่วนสูง เธอหาที่เอาเอง เดี๋ยวฝ่ายช่างกล้องของโรงเรียนจะถ่ายรูป!”

หูผางพูดจบก็เดินจากไป อวี้ฝานเดินไปยังตำแหน่งยืนตรงหางแถวที่เขาชี้เมื่อครู่แล้วก้มหน้าหาว

ครอบครัวนั้นที่เพิ่งขนของเข้าไปในอาคารอาศัยอยู่ชั้นบนของเขา เสียงเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ดังติดต่อกันจนกระทั่งตีสามถึงได้หยุดลง

เขานอนหลับไม่สนิทอยู่ในห้อง แค่มีความเคลื่อนไหวนิดเดียวก็ทำให้ตกใจตื่น จึงถูกบีบให้อดหลับอดนอนทั้งคืนตามไปด้วย

เขากำลังจะยืนหลับก็ได้ยินเสียง ‘ปึง’ เสียดหูดังมาจากลำโพงของโพเดียม เป็นเสียงไมโครโฟนตกพื้น

เสียงนี้ดังสนั่นจนอวี้ฝานปวดหู เขาเงยหน้าด้วยความหงุดหงิด อยากจะดูว่าผู้บริหารโรงเรียนคนไหนที่แม้แต่ไมโครโฟนก็ยังถือดีๆ ไม่ได้…

เขาประจันกับท้ายทอยของคนคนหนึ่ง

เวลานี้อวี้ฝานตะลึงงันไปเล็กน้อย

โรงเรียนของพวกเขามีธรรมเนียมที่ว่าการเข้าแถวในระดับชั้นล้วนเรียงตามส่วนสูง อวี้ฝานเป็นคนที่สูงที่สุดในห้องเรียนของพวกเขา ดังนั้นคนที่ยืนอยู่ท้ายแถวทุกครั้งจะเป็นเขาเสมอ แล้วถัดไปด้านหน้าก็คือหวังลู่อัน

อวี้ฝานมองสำรวจครู่หนึ่ง แจ็กเก็ตเครื่องแบบขาวเสียจนเปล่งแสง มีกลิ่นหอมของผงซักฟอกขุมหนึ่ง

เทียบกันแล้วแจ็กเก็ตเครื่องแบบของหวังลู่อันที่ออกเหลืองและเก่า อีกทั้งยังเขียนคำว่า ‘ฉันบ้าระห่ำที่สุดในโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด’ ไว้ข้างหลังก็เหมือนกับเก็บมาจากในถังขยะ

แล้วนี่ใครกัน

ชั่วพริบตาถัดมาอีกฝ่ายก็หันมาคล้ายกับว่าได้ยินคำถามของเขา

เพราะว่าง่วงเกินไปปฏิกิริยาของอวี้ฝานจึงเชื่องช้าเล็กน้อย เขาประสานสายตากับดวงตาที่ไร้อารมณ์คู่นั้นอยู่เนิ่นนานกว่าจะรู้ตัว…ใบหน้าที่กวนโอ๊ยนี้เขาเคยเห็นมาก่อน

เป็นคนคนนั้นที่เมื่อวานคิดจะมานัดต่อยกับเขา

ชื่อเฉินอะไรเซินสักอย่าง

อวี้ฝานยังนึกไม่ออก อีกฝ่ายก็ขยับตัวก่อนแล้ว

ทันใดนั้นก็เห็นเฉินอะไรเซินสักอย่างเบี่ยงตัวหลีกไปด้านข้าง ระหว่างพวกเขาจึงมีพื้นที่ว่าง

เดิมทีอวี้ฝานอยากจะยืนยันสักหน่อยว่าตนเองยืนผิดแถวหรือเปล่า พอเห็นแบบนั้นก็ซุกมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หาเรื่องสินะ…”

“คนเตี้ยไปยืนข้างหน้า”

คำพูดประโยคเดียวของอีกฝ่ายพลันทำให้อวี้ฝานหมดคำพูด

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com