everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
ครูและนักเรียนทั้งโรงเรียนอัดกันอยู่บนสนามหญ้า เข้าแถวอย่างแน่นขนัด
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นักเรียนไม่กี่คนที่อยู่รอบๆ ก็ลอบมองมาทางพวกเขา
อันที่จริงอวี้ฝานไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะยืนตรงไหน ขอแค่จวงฝ่างฉินยินดี จะให้เขายืนเป็นคนแรกของสายชั้นเขาก็ไม่มีปัญหา
ถ้าเป็นคนอื่น เขาจะต้องยืนอยู่ข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าแน่
อวี้ฝานจ้องอีกฝ่าย “ตาข้างไหนของนายเห็นว่าฉันเตี้ยกว่านาย”
เฉินจิ่งเซินได้ยินดังนั้นก็หลุบตาลง ก่อนจะไล่สายตาขึ้นมาอีกครั้ง “ทั้งสองข้าง”
อวี้ฝานมองประเมินอีกที ก่อนจะพยักหน้า “ว่างๆ ฉันจะช่วยนายดู…”
“ดูอะไร ดูที่ไหน” แผ่นหลังของอวี้ฝานถูกตีด้วยแรงไม่หนักไม่เบาทีหนึ่ง เสียงเข้มงวดของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง “อะไรมันน่าดูกว่าครูใหญ่อีก มองที่โพเดียมซะ!”
พอได้ยินเสียงอันคุ้นเคย อวี้ฝานก็เบ้ปาก มองที่โพเดียมแวบหนึ่งอย่างขอไปที
วันนี้จวงฝ่างฉินสวมชุดสีดำทั้งตัว มีแค่ผ้าพันคอที่เป็นสีม่วงนิดหน่อย ผมของเธอม้วนไว้ด้านหลังศีรษะอย่างพิถีพิถัน ในมือถือสมุดรายชื่อเล่มหนึ่ง ขมวดคิ้วมองคนที่อยู่ตรงหน้า
เพราะสวมแว่นตามานาน ดวงตาของเธอจึงเล็กนิดหน่อย ฟันเหยินเล็กน้อย ลักษณะท่าทางเข้มงวดอย่างยิ่ง
ชั่วพริบตาที่จวงฝ่างฉินปรากฏตัว จู่ๆ เฉินจิ่งเซินก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าผ่อนคลายลง โทสะที่เพิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาสลายไปแล้วกลับมาอยู่ในท่าทีเฉื่อยชาอีกครั้ง
“แผลพวกนี้บนหน้าเธอ สายๆ ช่วยไปที่ออฟฟิศครูแล้วอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยล่ะ” จวงฝ่างฉินก้มหน้า เห็นเสื้อสีดำบนตัวเขา สีหน้าพลันแย่ยิ่งกว่าเดิม “ชุดเครื่องแบบเธอล่ะ”
“ลืมครับ”
“ทำไมเธอไม่ลืมเรื่องเปิดเทอมไปเลยล่ะ” จวงฝ่างฉินว่า “เธอดูซิ คนทั้งโรงเรียนใส่ชุดเครื่องแบบ มีแค่เธอคนเดียวที่แปลกเนี่ย! เดี๋ยวสภานักเรียนมาแล้ว ต้องหักคะแนนความประพฤติห้องเราแน่!”
ครูประจำชั้นของห้องข้างๆ กล่าวอย่างหยอกล้อ “วันนี้มีผู้บริหารมาสำรวจ ต้องขอบคุณเธอนะ ครูประจำชั้นของพวกเธอจะได้ถูกวิจารณ์ในที่ประชุมตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมอีกแล้ว”
เดิมทีอวี้ฝานไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็งอนิ้ว “งั้นผมจะหลบไปก่อน?”
“หุบปาก” จวงฝ่างฉินปวดหัว ยกนิ้วขึ้นมา “ไปยืมแจ็กเก็ตเครื่องแบบเพื่อนมา”
อวี้ฝานเชิดปลายคางมองหาคน “หวังลู่อัน”
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว เขาเองก็ใส่มาแค่แจ็กเก็ต” จวงฝ่างฉินแปลกใจ “เธอไม่ยืมเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ล่ะ”
เพื่อนข้างๆ?
อวี้ฝานไม่แม้แต่จะมองคนข้างๆ สักแวบ “ยืมแจ็กเก็ตของเพื่อนห้องอื่นไม่ดีหรอกมั้งครับ”
“ห้องอื่นอะไร” จวงฝ่างฉินว่า “เขาเป็นเพื่อนห้องเดียวกับเธอ”
“…?”
“คนที่ย้ายมาใหม่ นักเรียนย้ายห้อง ต่อไปจะเรียนที่ห้องเรา” จวงฝ่างฉินกล่าวจบก็มองเฉินจิ่งเซินแวบหนึ่งเป็นเชิงถาม “นักเรียนเฉิน ให้เขายืมเครื่องแบบใส่สักเดี๋ยวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร ไม่บังคับ”
อวี้ฝานขมวดคิ้ว คนที่เป็นฝ่ายขอยืมดูท่าทางจะรังเกียจยิ่งกว่าคนที่ถูกยืมเสียอีก
อวี้ฝาน “ผมไม่ยืม…”
“ได้ครับ” เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าเขาไม่รังเกียจที่แจ็กเก็ตยาวเกินไป”
อวี้ฝาน “นายถอดมาตอนนี้เลย”
ครึ่งนาทีให้หลังอวี้ฝานรับแจ็กเก็ตมาสวมบนร่างอย่างลวกๆ หลังจากสวมเสร็จแล้วเขาก็ก้มหน้าเช็กให้แน่ใจแวบหนึ่ง
ไม่ได้ยาว พอดิบพอดี น่าจะไซส์เดียวกับแจ็กเก็ตเครื่องแบบของเขา
“สั้นไปหน่อย” เขาเงยหน้าพูด “เลิกแถวแล้วจะคืนนายก็แล้วกัน”
ตรงกลางเสื้อของอวี้ฝานพิมพ์ลายรูปหัวกะโหลกซึ่งลอกล่อนไปนิดหน่อย เขาสวมกางเกงสีดำ บนใบหน้ายังมีพลาสเตอร์แปะไว้เบี้ยวๆ หลายแผ่น เมื่อเขาสวมแจ็กเก็ตเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้าน จึงดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย
เฉินจิ่งเซินมองรอยช้ำที่โผล่ออกมาจากขอบพลาสเตอร์ จู่ๆ ก็ยกมือขึ้น
อวี้ฝานปัดออกไปด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ “จะทำอะไร”
เฉินจิ่งเซินถอดแจ็กเก็ตแล้ว ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบของโรงเรียน ติดกระดุมจนถึงบนสุด สันหลังตั้งตรง ถูกระเบียบเป๊ะ
มือของเฉินจิ่งเซินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ลู่ลงข้างตัว “ปกเสื้อน่ะ”
เดิมทีอวี้ฝานอยากจะพูดว่าเกี่ยวอะไรกับนายด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้วเสื้อที่ตนสวมก็เป็นเครื่องแบบของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงจัดเสื้ออย่างลวกๆ ครู่หนึ่ง
จวงฝ่างฉินมองอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ เธอสวมดีๆ ก็แล้วกัน อย่างทำเลอะ เสร็จแล้วก็จำไว้ว่าต้องคืนให้เขาด้วย”
ผ่านไปสักพักเธอก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง
ทันใดนั้นก็ใช้มุมสมุดกระทุ้งทั้งสองคน “เดี๋ยวก่อน แถวเรียงตามส่วนสูง เธอสองคนเปลี่ยนที่กันซิ”
อวี้ฝาน “…”
สองวินาทีให้หลังเขาก็เลิกดื้อดึงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ถอยออกมาจากบัลลังก์ตำแหน่งหลังสุดของแถว
ในที่สุด ‘เพลงมาร์ชงานกีฬา’ ก็หยุดลง ทั้งโรงเรียนเคารพธงชาติพร้อมกัน ครูใหญ่กระแอมแล้วเริ่มกล่าวสุนทรพจน์อันฮึกเหิมของเขา
ปกติเวลานี้อวี้ฝานน่าจะยืนหลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังถ่างหนังตา จ้องตีนผมของครูใหญ่อย่างเหม่อลอย
วันนี้เสียงไมโครโฟนของโรงเรียนดังกว่าปกติมาก หนวกหูจนเขาหลับไม่ลง
ครั้งนี้ครูใหญ่มาอย่างเตรียมพร้อม พูดน้ำไหลไฟดับมาครึ่งชั่วโมงแล้ว อวี้ฝานยืนจนหงุดหงิด ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเก็ตตามความเคยชิน…จากนั้นก็แตะเข้ากับของบางอย่าง
บางมาก สัมผัสเรียบลื่น มีขอบมุม
เขาง่วงจนปวดหัว และฉวยโอกาสดึงมันออกมา
อวี้ฝานเห็นของในมือชัดเจนแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย
เป็นซองจดหมายสีชมพู ด้านบนไม่มีลายมือใดๆ แต่ดูจากสัมผัสที่มือแล้ว ข้างในน่าจะใส่จดหมายไว้ฉบับหนึ่ง
ตรงผนึกซองมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงเล็กๆ ดวงหนึ่ง สีพื้นเฉดเดียวกับซองจดหมาย ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ถึงสถานะของมัน
นี่คือ…จดหมายรัก?
ยัดเข้ามาตอนไหนเนี่ย
อวี้ฝานขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง นึกที่มาที่ไปของจดหมายฉบับนี้ไม่ออก
ขณะที่เขากำลังคิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง สายตาก็กวาดไปเห็นแขนเสื้อของเครื่องแบบที่เหมือนเคยผ่านการซักด้วยน้ำยาฟอกขาวและไม่เข้าพวกกับคนรอบๆ
เชี่ย
อวี้ฝานพลันได้สติกลับคืนมา…ที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เป็นแจ็กเก็ตของเฉินจิ่งเซิน
จดหมายรักฉบับนี้เป็นของเฉินจิ่งเซิน
อวี้ฝานได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงเก็บจดหมายฉบับนี้กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตเหมือนเดิม จากนั้นก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก
เฉินจิ่งเซินกำลังมองที่โพเดียม ฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจทีเดียว
ฝ่ายช่างกล้องของโรงเรียนชอบถ่ายนักเรียนประเภทนี้ที่สุด ลักษณะผึ่งผายและเหมือนหนอนหนังสือ
หนอนหนังสือแบบนี้ก็มีปั๊ปปี้เลิฟเป็นด้วย?
เฉินจิ่งเซินรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา หลุบตาลงเล็กน้อย “มีอะไร”
ดูท่าทางอีกฝ่ายคงไม่ได้สังเกตการกระทำของเขาเมื่อครู่หรอก
อวี้ฝานหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว “เปล่า”
ตอนที่พิธีเปิดภาคเรียนเสร็จสิ้น อวี้ฝานก็ถอดแจ็กเก็ตยัดใส่อกคนข้างหลัง “คืนนาย”
เฉินจิ่งเซินถือแจ็กเก็ตรอสองวินาที “ไม่เป็นไร”
“…”
พอหวังลู่อันที่อยู่กลางแถวหันกลับมาก็เห็นหลังของเพื่อนสนิทเขาผละออกไปแล้ว
เขารีบตามไป “แม่ง ทำไมนายเดินเร็วขนาดนี้เนี่ย นายบอกว่าจะไม่มาเข้าแถวไม่ใช่หรือไง”
หวังลู่อันมักจะคุยไปเรื่อยตอนเคารพธงชาติ ทำให้ห้องถูกหักคะแนน เช้าวันนี้พอจวงฝ่างฉินเห็นเขาก็เตือนว่าถ้าพูดประโยคหนึ่งก็จะเพิ่มการบ้านอีกชุดหนึ่ง เขาถูกบีบให้อดกลั้นตลอดทั้งตอนเคารพธงชาติ
อวี้ฝานบอก “ถูกเสืออ้วนจับได้”
“ซวยขนาดนั้น?” หวังลู่อันมองบันไดอาคารเรียนแวบหนึ่ง คนออกันแน่นขนัด “เชี่ย มันเบียด…หรือไม่พวกเราไปโรงอาหารกันก่อนดีกว่า ฉันกินข้าวเช้าไม่อิ่มพอดี”
“ไม่ไป” อวี้ฝานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป “ง่วง ฉันจะกลับไปนอน”
พอจวงฝ่างฉินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นศีรษะของคนที่กำลังฟุบอยู่แถวสุดท้าย
เธอโยนสมุดรายชื่อไว้บนโพเดียม ก่อนกล่าวด้วยระดับเสียงที่เคยถูกครูห้องข้างๆ หลายคนตำหนิมานับครั้งไม่ถ้วน “นักเรียนที่ง่วงไปล้างหน้าที่ห้องน้ำเอาเองนะ เร็วๆ หน่อย เรายังต้องโฮมรูมอีก”
อวี้ฝานลุกขึ้นนั่งอย่างเนิบช้า ถูกความเคลื่อนไหวนี้ก่อกวนจนขมับเต้นตุบๆ
เขาคลึงหน้า ขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้น
“อวี้ฝาน ไม่อนุญาตให้เธอไป”
อวี้ฝานหยุดอยู่ที่เดิมแล้วเลิกคิ้ว…ทำไมครับ
“เธอไปแล้วยังจะกลับมา?” จวงฝ่างฉินชี้ที่บอร์ดข่าว “ง่วงก็ไปยืนข้างหลัง เดี๋ยวก็ตื่น”
อวี้ฝานอยู่ที่เดิมพร้อมครุ่นคิดไม่กี่วินาทีก็กลับลงไปนั่ง
เขานั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ศีรษะลู่ลงกึ่งหนึ่ง ดูท่าทางไม่กระปรี้กระเปร่า
จวงฝ่างฉินข่มกลั้น ก่อนจะก้มลงเสียบแฟลชไดรฟ์ของตนเข้ากับคอมพิวเตอร์ “ก่อนโฮมรูมครูจะพูดก่อนสองเรื่อง”
“เรื่องแรกในห้องจะมีนักเรียนใหม่มาสองคน เฉินจิ่งเซินและอู๋ซือเป็นนักเรียนที่ย้ายมาจากห้องหนึ่ง ตรงนี้ครูจะไม่แนะนำมากแล้ว เลิกเรียนพวกเธอค่อยทำความรู้จักกันก็แล้วกัน นักเรียนใหม่ทั้งสองคนต่างก็มีผลการเรียนดีเด่น พฤติกรรมการเรียนก็ดี พวกเธอเรียนรู้กับพวกเขาให้มากๆ ล่ะ”
“เรื่องที่สอง…” จวงฝ่างฉินเปิดตารางเอ็กซ์เซลที่มีชื่อไฟล์ว่า ‘อันดับผลการสอบปลายภาคเทอมที่แล้วของชั้นมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ด’ “ก็คืออันดับผลการสอบปลายภาคเทอมที่แล้วของพวกเธอ”
ในห้องเรียนพลันส่งเสียงร้องระงม
อวี้ฝานไม่ค่อยสนใจเรื่องอันดับเท่าไหร่ เขาเหลือบมองคร่าวๆ แวบเดียวก็เห็นชื่อที่อยู่ลำดับบนสุดแล้ว
“เฉินจิ่งเซิน คณิตศาสตร์ 150 ภาษาจีน 110 ภาษาอังกฤษ 148 วิทยาศาสตร์…เชี่ย คะแนนเต็ม?” หวังลู่อันเอ่ยอย่างตื่นตกใจ “อวี้ฝาน นายตั้งใจลอกเฉลยยังได้คะแนนไม่เท่านี้เลยนะ!”
อวี้ฝานกล่าว “งั้นนายแม่งก็เอาตัวเองมาเปรียบกับฉันดิ”
“โคตรโหด” โต๊ะข้างหน้าหันหน้ามา “หมอนี่น่ากลัวชะมัด นอกจากภาษาจีนแล้วก็ไม่มีจุดอ่อนอย่างอื่นเลย”
หวังลู่อันพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ “ดูท่าทางเด็กท็อปก็ไม่ชอบท่องตำราเหมือนกัน”
“ก็ไม่เชิงหรอก” อีกฝ่ายคิดครู่หนึ่ง “ฉันได้ยินเพื่อนห้องหนึ่งบอกว่าเขาชอบเขียนเรียงความนอกประเด็นน่ะ”
“…”
“ที่หนึ่งของสายชั้นที่มาอยู่ห้องเราก็คือนักเรียนเฉินจิ่งเซิน”
พอพูดประโยคนี้ออกไปจวงฝ่างฉินเองก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง “นอกจากการเขียนเรียงความนอกประเด็นในวิชาภาษาจีนที่ทำให้คะแนนหายไปค่อนข้างเยอะแล้ว วิชาอื่นๆ ที่เหลือล้วนไม่มีปัญหาอะไร ก่อนที่ครูแต่ละวิชาจะอธิบายโจทย์ พวกเธอสามารถยืมข้อสอบของเขามาดูก่อนได้”
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไปคนในห้องเรียนต่างก็มองไปยังแถวที่เจ็ดของกลุ่มแรกอย่างอดไม่ได้
เฉินจิ่งเซินไม่ได้เงยหน้า ในมือจับปากกา กำลังพลิกอ่านหนังสือตะลุยโจทย์ ดูเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ฉายอยู่บนจอเลยสักนิด
ทำเป็นเก่ง
อวี้ฝานเก็บสายตากลับมา
“นักเรียนคนอื่นๆ แสดงศักยภาพได้ค่อนข้างธรรมดา คะแนนเฉลี่ยของห้องยังไม่ติดการสอบจำลองเข้ามหา’ลัยเลย ครูหวังว่าพวกเธอจะคิดกันให้ดีๆ เอาคะแนนนี้ไปสอบเข้ามหา’ลัย พวกเธอจะติดมหา’ลัยอะไรได้?”
ด้านล่างโพเดียมมีคนบ่นว่า “ถ้าสอบเข้ามหา’ลัยยากเท่าข้อสอบครั้งนี้ ฉันไปขนอิฐขนปูนเลยดีกว่า”
“คนอื่นสอบได้คะแนนเต็ม แม้แต่โจทย์ฉันยังอ่านไม่เข้าใจเลย”
“ยังมีนักเรียนส่วนน้อย…” จวงฝ่างฉินเลื่อนตารางลงมาด้านล่างสุด เม้าส์หยุดอยู่ที่ชื่อสุดท้าย
เธอมองวิชาคณิตศาสตร์ที่มีคะแนนอยู่เก้าคะแนน ลูกศรชี้อยู่ตรงนั้นนานมาก สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว “วางแผนจะไปเก็บขยะหรือไง”
“ยังไม่ได้คิดดีๆ เลยครับ” อวี้ฝานใคร่ครวญครู่หนึ่ง “แต่จะพิจารณาดูก็ได้”
จวงฝ่างฉินคว้าเอาปากกาสีชมพูด้ามหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งไปทักทายศีรษะเขา