everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
โฮมรูมสี่สิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น จวงฝ่างฉินเมินเสียงที่เสียดหูนี้และพูดต่อ “อีกสองวันครูจะปรับที่นั่งใหม่ นักเรียนที่มีไอเดียหรือความเห็นเกี่ยวกับที่นั่งสามารถไปหาครูที่ออฟฟิศเป็นการส่วนตัวได้ ทีมของหัวหน้าห้องก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิม…”
ร่างของคนคนหนึ่งหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน
จวงฝ่างฉินหันไปก็สบสายตากับหูผาง ก็เข้าใจโดยไม่ต้องพูดกัน
“เอาล่ะ งั้นก็เลิกโฮมรูม ตัวแทนของแต่ละวิชาเก็บการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวมาด้วย”
ได้ยินคำว่า ‘เลิกโฮมรูม’ ศีรษะของอวี้ฝานก็ฟุบลงไปทันที…
“อวี้ฝาน ครูมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เสียงของจวงฝ่างฉินเย็นเยียบ “เธอไปรอที่ออฟฟิศ ครูคุยธุระกับหัวหน้าหูเสร็จจะตามไป”
“…”
เพิ่งเสร็จคาบโฮมรูมไม่นาน ออฟฟิศครูนั้นว่างเปล่า
โต๊ะทำงานของจวงฝ่างฉินมีสมุดวางซ้อนกันเป็นกองสูง อีกด้านหนึ่งมีคอมพิวเตอร์และแผนการสอนวางอยู่ ทั้งโต๊ะมีที่ว่างแค่ตรงกลาง
ลมเย็นๆ เล็ดลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่าง สบายตัวสบายใจ
อวี้ฝานจ้องมองพื้นที่ว่างนี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะฟุบหลับลงไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“อยู่ห้องใหม่ชินไหม”
“ครับ”
“ความคืบหน้าในการเรียนของห้องทั่วไปแย่กว่าห้องหนึ่งมาก เธอต้องทำโจทย์สม่ำเสมอ อย่าให้มีผลกระทบ”
“ครับ”
“ผู้ปกครองของเธอเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มาก วันนี้ตอนเช้าก็โทรมาหาครูโดยเฉพาะ ครูเองก็พูดกับท่านแล้วว่าการจับกลุ่มห้องใหม่เป็นแค่มาตรการรับมืออย่างหนึ่ง รอผ่านช่วงนี้ไปโรงเรียนยังจะมีการจัดการใหม่อีกครั้ง”
อวี้ฝานหลับตารออยู่นานมากแล้ว เขาไม่รอจนถึงคำว่า ‘ครับ’ ที่ไร้ชีวิตชีวานั่น
อวี้ฝานเงยหน้าขึ้นมาจากวงแขน ไม่พอใจที่ถูกรบกวน จึงมองไปข้างหน้าโดยที่มีสมุดแบบฝึกหัดสูงเท่าภูเขากั้นอยู่
อวี้ฝานมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนแล้วก็หรี่ตา
ตามหลอกหลอนไม่เลิกเลยสินะ
เฉินจิ่งเซินยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานอย่างสงบนิ่งและพูดคุยกับอดีตครูประจำชั้นห้องหนึ่ง
อวี้ฝานไม่ได้เคลื่อนไหวกระโตกกระตาก บวกกับตรงกลางระหว่างพวกเขามีโต๊ะทำงานสามตัวคั่นและพาร์ทิชั่นบังไว้ คนที่อยู่ด้านหน้าจึงไม่เห็นเขา
“แต่ผู้ปกครองของเธอยังคงเป็นห่วง เจตนาของท่านคือจะให้ครูช่วยย้ายเธอไปห้องที่ดีกว่านี้หน่อย ถึงยังไงห้องที่เธออยู่ตอนนี้…”
“ไม่ต้องหรอกครับ” ในที่สุดเขาก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
ครูประจำชั้นห้องหนึ่งชะงัก “แต่แม่ของเธอ…”
“จะห้องไหนก็เป็นห้องทั่วไป ไม่มีอะไรต่างกัน”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเย็นชา เปลือกตาชั้นเดียวบางๆ หลุบมองข้างล่าง
อวี้ฝานเท้าคางมองดูละครอย่างเอื่อยเฉื่อย
“เธอเพิ่งย้ายไปที่ห้องนั้น บางทีอาจจะยังไม่รู้” ครูประจำชั้นห้องหนึ่งละล้าละลัง “ถึงจะเป็นห้องทั่วไปเหมือนกันหมด แต่บรรยากาศของห้องเจ็ด…แย่กว่าห้องอื่นนิดหน่อย คะแนนเฉลี่ยเป็นที่โหล่ตลอด การประเมินทางวินัยด้านสุขอนามัยของห้องก็เป็นอันดับสุดท้ายตลอด แถมในห้องยังมีพวกเกเรที่ขึ้นชื่ออีกหลายคน…มีคนที่ชื่ออวี้ฝาน เธอน่าจะเคยเจอ มักอ่านคำสำนึกผิดตอนเคารพธงชาติเป็นประจำ ความกังวลของแม่เธอก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อเธอ…”
แกร๊ก
เสียงปากกาหล่นลงพื้น
เสียงของครูประจำชั้นห้องหนึ่งหยุดชะงัก ทั้งสองคนหันไปมองด้านหลังพร้อมกัน
อวี้ฝานก้มเก็บปากกาแล้วเงยหน้าสบตากับพวกเขา
เมื่อเห็นเขา บ่าและหลังของเฉินจิ่งเซินที่เคร่งตึงมาโดยตลอดก็ผ่อนคลายลงทันใด ท่าทางสุขุมกลับคืนมาอีกครั้ง
ครูประจำชั้นห้องหนึ่งยังคงอยู่ในท่าอ้าปาก
เธอเห็นพลาสเตอร์บนใบหน้าของอวี้ฝาน นึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่าอวี้ฝานต่อยครูขึ้นมา ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นรางๆ นานกว่าเธอจะหาเสียงเจอ “เธอ…”
อวี้ฝานกล่าว “ผมคิดว่าครูพูดถูก”
“…?”
ไม่รอให้เธอได้สติกลับมาอวี้ฝานก็พูดต่อ “คนโหดๆ อย่างผมขู่ให้เด็กหัวกะทิตกใจกลัวมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเห็นด้วยที่ให้เขาย้ายไปซะ”
“ใครโหด ใครจะย้ายไป” เสียงของจวงฝ่างฉินดังมาจากหน้าประตู เมื่อเห็นสถานการณ์ข้างในชัดเจน เธอก็ตะคอกด้วยความเดือดดาล “อวี้ฝาน! ใครอนุญาตให้เธอนั่งที่ครู ครูเรียกเธอมาเพื่อให้เธอมาหลับเหรอ ครูไปตั้งเตียงให้เธอถึงห้องเรียนเลยเป็นไง”
ครูประจำชั้นห้องหนึ่งนิ่งเงียบ “…”
อวี้ฝานเอ่ย “ผมไม่ได้หลับ”
“งั้นรอยบนหน้าเธอใครเป็นคนกดให้” จวงฝ่างฉินวางของที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ “ทำไม ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก จะให้ครูยืนพูดส่วนเธอนั่งฟังหรือไง”
อวี้ฝานจิ๊ปากทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นไปยืนด้านข้างอย่างเชื่องช้า
เฉินจิ่งเซินเก็บสายตากลับมา “ครูครับ ผมจะไม่ย้ายห้อง ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
ครูประจำชั้นห้องหนึ่งได้สติกลับคืนมา ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วน หลังจากนั้นครึ่งนาทีเธอก็หอบแผนการสอนออกไปอย่างเร่งรีบ
ออฟฟิศครูจึงเหลือเพียงสองคน
แม้จวงฝ่างฉินจะไม่ได้ยินทั้งหมด แต่ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่ก็เดาได้แปดเก้าส่วนแล้ว
“ดูเธอสิ ทำลายภาพลักษณ์ของห้องเราให้เป็นแบบไหนไปแล้ว” เธอหยิบแก้วเก็บอุณหภูมิขึ้นมาดื่มน้ำอึกหนึ่ง “พูดซิว่าที่หน้าไปทำอะไรมา”
“ล้มครับ”
“คำพูดนี้เธอไว้หลอกหัวหน้าครูก็พอ” จวงฝ่างฉินถาม “ทะเลาะกับคนเขาอีกแล้วใช่ไหม”
อวี้ฝานมองนอกหน้าต่าง ไม่ส่งเสียง
“ครูพูดกับเธอกี่ครั้งแล้ว เธอเป็นนักเรียน อย่าเอาแต่ต่อยตีกับวัยรุ่นที่ไม่เรียนหนังสือหนังหาข้างนอกพวกนั้น ทำเรื่องที่เด็กวัยเธอควรทำจะได้ไหม”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีท่าทีเอ้อระเหยลอยชาย สีหน้าไม่ยี่หระ ท่าทางเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก*
จวงฝ่างฉินโมโหจนกรอกน้ำอุ่นใส่ปากอึกหนึ่ง “อีกอย่างเมื่อกี้หัวหน้าครูบอกครูว่าเมื่อวานเธอคุกคามนักเรียนใหม่ที่นอกโรงเรียน แถมในมือยังถือมีดด้วย มันเกิดอะไรขึ้น”
อวี้ฝานกล่าว “เขาแต่งเรื่องได้ขนาดนี้ทำไมไม่ตีพิมพ์หนังสือซะล่ะครับ”
“เล่มนี้…” จวงฝ่างฉินเคาะสมุดแบบฝึกหัดเล่มหนึ่งบนโต๊ะ “ก็คือสื่อการสอนคณิตศาสตร์ที่หัวหน้าครูหูเรียบเรียง”
“…”
อวี้ฝานแข็งค้างไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ผมไม่ได้คุกคามเขา มีดเป็นของที่เก็บได้ ส่วนคนไม่ได้รู้จัก”
“บนถนนยังเก็บมีดได้ด้วย?” จวงฝ่างฉินมองกระเป๋ากางเกงเขา “มีดล่ะ”
“อยู่ที่บ้านครับ เก็บไว้หั่นผัก”
“…”
จวงฝ่างฉินจ้องเขาพักหนึ่ง ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เธอดูแลห้องนี้มานานขนาดนี้ จึงเข้าใจนักเรียนในห้องอยู่บ้าง โดยเฉพาะอวี้ฝาน ดูจากน้ำเสียงและท่าทางของเขาน่าจะไม่ได้ทำอะไรจริงๆ
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนเคารพธงชาติเมื่อเช้านี้ประกอบกัน เขาเองก็ไม่ได้ต้อนรับเพื่อนใหม่ขนาดนั้นเหมือนกัน
“จะเชื่อเธอก่อนก็แล้วกัน” สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยน “เริ่มเทอมใหม่แล้ว มีแผนการเรียนอะไรบ้างหรือยัง”
“ท่องตารางสูตรคูณเก้าคูณเก้า* ครับ”
“เธอพูดอีกหน่อยสิ ดูซิว่าจะทำครูโมโหจนเข้าโรงพยาบาลได้หรือเปล่า” จวงฝ่างฉินถลึงตาใส่เขาก่อนจะเปิดลิ้นชัก หยิบเอาหนังสือติวใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าเขา “นี่คือหนังสือที่ครูตั้งใจไปหาจากร้านหนังสือมาให้เธอโดยเฉพาะ รูปแบบโจทย์ข้างในเป็นแบบพื้นฐานทั้งนั้น วิธีอธิบายก็ง่ายมาก เธอเอากลับไปอ่านไปทำให้เยอะๆ ทำไม่เป็นก็มาหาครูที่ออฟฟิศ”
อวี้ฝานจ้องปกหนังสืออยู่สักพักแล้วก็กลืนคำว่า ‘อย่าเปลืองเงินเลยครับ’ กลับลงคอไป
“อ้อ” ก่อนออกไปจวงฝ่างฉินเรียกเขาไว้อีกครั้ง
“ยังมีอีก” จวงฝ่างฉินกำลังคิดว่าจะพูดอย่างไรดี “นักเรียนที่ย้ายห้องครั้งนี้ล้วนเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น เธอต้องเอาพวกเขาเป็นแบบอย่าง พยายามอย่าไปปะทะกับพวกเขา…”
“ครูวางใจได้ครับ” อวี้ฝานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป “ผมเป็นโรคภูมิแพ้นักเรียนหัวกะทิ ต่อไปถ้าเขาเข้าใกล้ผมฟุตหนึ่ง ผมก็จะออกห่างเขาสิบฟุต สร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนที่ดีและกลมเกลียวให้นักเรียนใหม่อย่างเต็มที่”
วิชาพลศึกษาคาบแรกหลังจากเปิดภาคเรียน อวี้ฝานก็โดดทันที
ห้องน้ำชั้นหนึ่งของตึกปฏิบัติการมีควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ปกติทางนี้ไม่มีครู เสืออ้วนที่มักมาลาดตระเวนจับคนเป็นประจำก็ไปประชุม นักเรียนชายหลายคนยืนรวมกลุ่มกันสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำอย่างไม่เกรงกลัว
“พวกโง่เง่าของโรงเรียนข้างๆ กลุ่มนั้น ไม่กล้าตัวต่อตัว รู้จักแต่เล่นสกปรก ครั้งหน้าเราหาเวลาไปหาพวกมันที่ประตูหลังโรงเรียนกัน”
“พวกมันก็ตลกจริงๆ ดักใครไม่ดัก ดันมาดักผู้ชายที่เจ๋งที่สุดของโรงเรียนมัธยมเมืองหนานลำดับเจ็ด…”
“ขอบคุณที่เชิญ คนในที่เกิดเหตุก็คือเพื่อนฉันเอง โดนซัดไปคนละหมัด ต่อยจนพวกมันอึราดเต็มพื้น” หวังลู่อันมองคนที่อยู่ข้างๆ “ใช่ไหมเพื่อนยาก”
“ไสหัวไป”
อวี้ฝานลากเก้าอี้มาจากห้องเรียนว่างๆ ที่อยู่ด้านข้าง ตอนนี้นั่งไขว่ห้างอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาก้มหน้า มือข้างหนึ่งควบคุมตัวละครในเกมในมือถือ มืออีกข้างหนึ่งคีบบุหรี่เอาไว้ “คุยเรื่องของพวกนายไปสิ ไม่ต้องมาคุยกับฉัน”
“แม่ง…” นักเรียนชายที่อยู่ขวาสุดนั่งลงบนพื้น จ้องตารางผลการเรียนที่อยู่ในจอโทรศัพท์มือถือ “ทำไม ม.ปลายปีสอง เทอมหน้ายังมีนักเรียนย้ายห้องด้วย แถมห้องเรายังมาทีเดียวสี่คน ทำให้อันดับของฉันหล่นฮวบจากที่ห้าสิบเจ็ดเป็นหกสิบเอ็ดของห้อง!”
หวังลู่อันหัวเราะเยาะเขา “ไม่เห็นต่างกัน ก็อันดับท้ายสุดอยู่ดี”
“ไสหัวไป” คนคนนั้นพ่นควันใส่หวังลู่อันแล้วลุกขึ้นพูด “เดี๋ยวจะเลิกเรียนแล้ว ไปเล่นบาสไหม”
หนึ่งคนเรียกร้อยคนขานรับ คนอื่นๆ ต่างพากันดับบุหรี่ ทั้งยังโบกมือไล่กลิ่นบุหรี่กันอย่างชำนาญ
เมื่อเห็นคนที่นั่งนิ่งไม่ขยับบนเก้าอี้ คนคนนั้นจึงถามว่า “อวี้ฝาน นายไม่ไปเหรอ”
“ไม่ไป จะเล่นเกม”
หวังลู่อันพูดขึ้นทันที “งั้นฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน”
กลุ่มคนเดินจากไปอย่างเอิกเกริก
อวี้ฝานพิงพนักเก้าอี้ ฆ่าคนในเกมจนสะใจแล้วก็ได้ยินเสียงพิมพ์ข้อความดังต๊อกๆ แต๊กๆ มาจากด้านข้าง
หวังลู่อันมีนิสัยแปลกๆ คือชอบฟังเสียงกดจากการตั้งค่าเริ่มต้นของโทรศัพท์มือถือตอนพิมพ์ข้อความ ซึ่งมันหนวกหูสุดๆ
อวี้ฝานหยุดเกมชั่วคราว แล้วหันหน้าไปถามเขา “นายกำลังส่งโทรเลขหรือไง”
“ฉันแชตอยู่” หวังลู่อันกล่าว “กำลังสืบเรื่องเฉินจิ่งเซินจากคนอื่น”
“…?”
อวี้ฝานแปลกใจ “สืบเรื่องเขาทำไม”
“นายว่าไงล่ะ” หวังลู่อันกล่าว “คนคนนั้นเป็นที่หนึ่งของสายชั้นเชียวนะ! ฉันต้องสืบสักหน่อยว่าเขาคุยง่ายหรือเปล่า ดูว่าต่อไปสอบย่อยหรือการบ้านต่างๆ จะให้เขาช่วยได้ไหม”
อวี้ฝานเมินเฉย “อ้อ”
สักพักหวังลู่อันก็วางโทรศัพท์มือถือแล้วถอนหายใจ
คนที่เขาคุยด้วยคือเพื่อนที่เมื่อก่อนก็อยู่ห้องหนึ่งเหมือนกัน อีกฝ่ายบอกเขาอย่างอ้อมๆ โดยไม่แม้แต่จะคิด ‘หมดหวัง’
อีกฝ่ายเล่าว่าเด็กท็อปคนนี้ตอนอยู่ห้องหนึ่งก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเย็นชาพูดน้อย นิสัยเหมือนกับหน้าตาเป๊ะ ปกติเอาโจทย์ที่ทำไม่เป็นไม่กี่ข้อไปขอให้เขาสอน บางทีเขาอาจจะยื่นมือมาช่วยบ้าง ส่วนเรื่องอื่นลืมไปได้เลย คุยไม่เกินสิบประโยค
“อ้อ ใช่แล้ว เพื่อนฉันยังบอกอีกว่าครอบครัวของเฉินจิ่งเซินดูเหมือนจะรวยสุดๆ” หวังลู่อันกล่าว “เขาบอกว่าประชุมผู้ปกครองครั้งที่แล้วแม่ของเฉินจิ่งเซินไฟต์โคตรเจ๋ง…เฮ้ย แผลที่หลังมือนายหายเร็วดีจัง”
อวี้ฝานเอียงข้อมือ
แผลเล็กๆ อย่างนี้ไม่นานก็สมานได้แล้ว มันเริ่มตกสะเก็ดตั้งแต่ตอนกลับบ้านเมื่อเย็นวาน
เขาจ้องแผลนี้สักพัก ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็อยากจะยื่นมือไปจับสักหน่อย
ทำแผลปริ เลือดก็น่าจะไหลอีกครั้ง จากนั้นเป็นหนอง แล้วก็อักเสบ
มืออีกข้างของอวี้ฝานยกขึ้นมาแตะบนรอยแผล ทันใดนั้นก็ถูกคนข้างๆ กระแทกไหล่แรงๆ หลายที
เขาพลันได้สติกลับคืนมา เหม่อไปสองวินาทีถึงได้ถาม “อยากตาย?”
“เปล่า เชี่ย นายดูนอกหน้าต่างสิ!” หวังลู่อันพูดด้วยเสียงกระซิบ “แม่งว่าคนลับหลังไม่ได้จริงๆ นั่นเฉินจิ่งเซินป้ะ”
อวี้ฝานมองออกไปข้างนอกโดยอัตโนมัติ
ไม่ต้องดูหน้า แค่เห็นชุดเครื่องแบบฤดูหนาวสีเขียวขาวที่ปลิวไหวชุดนั้น อวี้ฝานก็ยืนยันได้ว่าเป็นใคร
จากมุมนี้พวกเขาสามารถเห็นได้เพียงร่างด้านข้างที่สูงโปร่งของเฉินจิ่งเซิน
ตรงหน้าเขามีนักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนอยู่
หวังลู่อันหรี่ตา “ข้างๆ เขานั่นคือจางเสียนจิ้ง?”
คนที่ทำให้จวงฝ่างฉินปวดหัวในมัธยมปลายปีสองห้องเจ็ดมีอยู่สองคน หนึ่งคืออวี้ฝาน อีกหนึ่งก็คือจางเสียนจิ้ง
จางเสียนจิ้ง* ดัดผม ย้อมผม สูบบุหรี่ โดดเรียน และเคยตีนักเรียนชายร้องไห้มานับไม่ถ้วนตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับความหมายในชื่อของเธอโดยสิ้นเชิง เธอรูปร่างหน้าตาสะสวย ตอนมัธยมปลายปีหนึ่งยังมีคนคอยตามจีบเธอเป็นโขยง แต่หลังจากชื่อเสียงขจรขจายไปไกล นักเรียนชายจำนวนมากเห็นเธอแล้วล้วนเป็นอันต้องเดินอ้อม
“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ…” หวังลู่อันพึมพำ
เมื่อพูดจบก็เห็นจางเสียนจิ้งเดินไปหาเฉินจิ่งเซินก้าวหนึ่ง ผมลอนสวยๆ ส่ายไปตามการเคลื่อนไหวอยู่กลางสายลม
“นี่ นายชื่อเฉินจิ่งเซินสินะ” เธอยิ้มออกมา ริมฝีปากที่ทาลิปสติกยกขึ้นอย่างสว่างสดใส “ฉันชอบนาย คบกับฉันได้ไหม”
อวี้ฝานหนังตากระตุก ลุกขึ้นคิดจะเดินออกไป
หวังลู่อันรีบคว้าเขาไว้ “จะไปไหน ไม่ดูให้จบก่อนแล้วค่อยไป?”
“น่าเบื่อ”
“อย่าเพิ่ง ดูอีกหน่อยสิ” หวังลู่อันกล่าว “นายว่าจางเสียนจิ้งเป็นบ้าหรือเปล่า นักเรียนสามดี** อย่างเฉินจิ่งเซินจะมีปั๊ปปี้เลิฟกับคนอื่นได้ยังไงกัน”
อวี้ฝานนึกถึงจดหมายรักสีชมพูฉบับนั้นก็คิดในใจว่าช่างเถอะ
* หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก เปรียบเปรยถึงคนที่เมื่อทำการตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่มีความหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น
* ตารางสูตรคูณเก้าคูณเก้า หรือตารางสูตรคูณแบบจีน เป็นกฎการคำนวณพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณ เช่น การคูณเลขฐานสิบ การหาร การถอดราก เป็นต้น
* เสียนจิ้ง มีความหมายว่าสุภาพและเยือกเย็น
** นักเรียนสามดี คือนักเรียนที่มีคุณธรรมดี เรียนดี และสุขภาพดี
โปรดติดตามตอนต่อไป…