ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7

 

วันต่อมาอวี้ฝานตื่นสายอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย

เขาปล่อยให้เลยตามเลย เดินไปทางประตูโรงเรียนอย่างเนิบช้า คิดคำนวณในใจว่าจะเจรจากับ รปภ. เฒ่าอย่างไรดีถึงจะสามารถเลี่ยงการกระทำที่ไม่เข้าท่าอย่างการไปปีนกำแพงได้…

“นี่เพิ่งเปิดเทอมวันที่เท่าไหร่เองฮะ” เสียงของเสืออ้วนดังมาจนถึงร้านโชห่วยที่อยู่ใกล้ๆ “เพิ่งเปิดเทอมก็สายแล้ว! หลังจากนี้คิดจะโดดเรียนไปเลยใช่ไหม”

หน้าประตูโรงเรียนมีนักเรียนชายยืนอยู่แถวหนึ่ง มองผ่านๆ แวบเดียวล้วนเป็นคนคุ้นหน้าค่าตา

คนกลุ่มหนึ่งค้อมหลังก้มหน้า ทำตัวเอ้อระเหย ต่างคนต่างมีท่ายืนเป็นของตัวเอง ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ คงคิดไม่ถึงว่าเปิดเทอมวันที่สองเสืออ้วนก็จะมาจับคนสายที่ประตูโรงเรียนด้วยตัวเอง

คนกลุ่มนี้ดูท่าทางเกเร จึงทำให้คนที่อยู่ทางขวาสุดโดดออกมาจากคนอื่น

หูผางด่าจนเหนื่อย เดินเอามือไพล่หลังไปตรงหน้าคนคนนั้น น้ำเสียงพลันผ่อนปรนลงเจ็ดส่วน “จิ่งเซิน ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ตื่นสาย?”

เห็นร่างที่ตรงแหน็วร่างนั้น อวี้ฝานก็นึกถึงจดหมายเฮงซวยฉบับนั้นขึ้นมาอีกครั้งและตัดสินใจได้ทันที เขาดึงหน้าเตรียมจะหันไปทางประตูหลัง

ทว่าเฉินจิ่งเซินกลับเหมือนมีเซ้นส์ จึงช้อนตามองตรงมาทางเขา

ทั้งสองคนสบสายตากัน อวี้ฝานรู้สึกท่าไม่ดีจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยสัญชาตญาณ…

“อวี้ฝาน” เฉินจิ่งเซินร้องเรียกทีหนึ่ง

คนอื่นๆ ไม่กี่คนที่ส่งสายตาคิดจะให้เพื่อนหนีไปเร็วๆ มาโดยตลอด “…?”

หูผางหมุนตัวอย่างว่องไว “…?”

อวี้ฝาน “…”

นายแม่งจงใจใช่ไหมเนี่ย

ครึ่งนาทีหลังจากนั้นอวี้ฝานก็เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าอาภัพ เขาไม่มองเฉินจิ่งเซินเลยสักนิด ตรงไปยืนด้านซ้ายสุดของแถว

“เรียงแถวจากเตี้ยไปสูง จะให้ฉันบอกกี่รอบ” หูผางชี้ไปที่ข้างๆ เฉินจิ่งเซิน “เธอไปยืนตรงนั้น”

อวี้ฝาน “…”

โรคย้ำคิดย้ำทำสมควรตายของครูนี่เมื่อไหร่จะเปลี่ยนได้สักที

อวี้ฝานย้ายไปอย่างไม่เต็มใจสุดๆ

“เมื่อกี้เธอยังคิดจะหนีด้วยใช่ไหม” รอเขาเข้าประจำที่แล้วหูผางถึงได้กล่าวต่อ “เมื่อวานมาสาย วันนี้ก็มาสาย แถมยังหลอกครูอีก! เธอว่ามาซิ เธอมีสถานะเป็นนักเรียนหรือเปล่า!”

อวี้ฝาน “ผมหลอกอะไรครู”

“ฉันถามครูจวงของพวกเธอมาแล้ว เธอบอกว่าพ่อแม่ของเธอก็แค่ทำงานอยู่ต่างที่ แต่เมื่อวานเธอบอกฉันว่ายังไง”

“…”

“แม้แต่คำพูดไร้มโนธรรมก็พูดออกมาได้ ฉันว่าเธอนี่กู่ไม่กลับแล้วจริงๆ” หูผางกล่าว “แล้วก็ครูจวงของพวกเธอยังเต็มใจดูแลเธอ ฉันล่ะเหนื่อยจะพูดกับนักเรียนอย่างพวกเธอไปมากกว่านี้!”

อวี้ฝานกำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่กี่คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยักคิ้วหลิ่วตากันอย่างบ้าคลั่งทันที บอกเป็นนัยว่า…อย่าพูดเลยพี่ชาย ขืนพูดอีกล่ะก็ต้องยืนตลอดทั้งเช้าแน่

อวี้ฝานจิ๊ปากในใจทีหนึ่ง หลบตาและหุบปาก

พูดติดต่อกันมานานขนาดนี้แล้ว หูผางก็หอบนิดหน่อย เขาหมุนเปิดแก้วเก็บอุณหภูมิแล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง ถือโอกาสดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือไปด้วย

“ยืนดีๆ ตัวตรง! อย่ามัวแต่เอ้อระเหย เอาความกระฉับกระเฉงของหนุ่มสาวออกมาหน่อย!”

หูผางพูดจบก็หันไปมองคนข้างๆ “จิ่งเซิน เธอกลับห้องเรียนไปก่อนเถอะ ไม่งั้นจะไม่ทันเข้าคาบแรกเอา ครั้งหน้าต้องใส่ใจเวลาด้วย อย่าสายอีกนะ”

“เฮ้ย หัวหน้าครูหู ครูพูดงี้ผมไม่เห็นด้วยนะ ทุกคนสายกันหมด มีสิทธิ์อะไรให้เขาไปได้แล้วพวกผมยังต้องยืนอยู่” นักเรียนชายที่ทำผมดัดฟอยล์ตรงกลางเอ่ยปาก “นี่มันไม่ยุติธรรม”

นักเรียนชายชื่อจั่วควน เป็นนักเรียนห้องแปดที่อยู่ข้างๆ ในสายตาหูผางช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้คนปวดหัวยิ่งกว่าอวี้ฝานเสียอีก

แม้อวี้ฝานจะเกเร แต่ปกติแล้วไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน หากมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการโดดเรียนหรือหลับในคาบพวกนี้ไปยังพอให้หมดห่วง

แต่จั่วควนไม่ใช่ เขามักเป็นหัวโจกไปต่อยตีกับเด็กมัธยมปลายปีสามหรือไม่ก็โรงเรียนข้างๆ ก่อเรื่องจนโกลาหล ครอบครัวมีภูมิหลังอยู่บ้าง มักจะติดทัณฑ์บนพอเป็นพิธี

จั่วควนพูดจบก็หาพรรคพวกโดยอัตโนมัติ “ใช่ไหม อวี้ฝาน”

อวี้ฝานหลุดปากพูดออกไป “ฉันไม่มีความเห็น”

หากเป็นไปได้ เขาหวังว่าเฉินจิ่งเซินจะหนีไปเลย

จั่วควน “…”

หูผางกำลังจะบันดาลโทสะก็ได้ยินเฉินจิ่งเซินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องหรอกครับ หัวหน้าครู ผมยินดีรับโทษ”

“ดูสิ พวกเธอดูคนอื่นเขา” หูผางมีสีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เขาเดินไปตรงหน้าจั่วควน “ยุติธรรม? ผลการเรียนหลายวิชาของเธอรวมกันยังสูงไม่เท่าวิชาเดียวของคนอื่นเขาเลย ยังมีสิทธิ์มาพูดเรื่องความยุติธรรมกับฉัน…”

หูผางเปลี่ยนเป้าหมาย ต่อว่าจั่วควนไม่หยุดอยู่นานสองนาน อวี้ฝานฟังอยู่ด้านข้างจนง่วง

หูผางไม่ได้มองมาทางนี้ เขาจึงพิงไปข้างหลัง อิงกับผนังแล้วหาวอย่างเกียจคร้าน

กลิ่นอายอันน่ารำคาญก้อนหนึ่งเข้าประชิดเขาโดยไม่ทันตั้งตัว…

“นายอ่านจดหมายรักของฉันหรือยัง” เฉินจิ่งเซินเบาเสียง ขณะพูดมีความแหบพร่าอยู่บ้าง

“…”

นายแม่งยังมีหน้ามาพูดถึงอีกเหรอ

แถมยังพูดต่อหน้าหัวหน้าครูที่หน้าประตูใหญ่โรงเรียนเนี่ยนะ

อวี้ฝานไม่เงยหน้า น้ำเสียงชั่วร้าย “ฉีกทิ้งแล้ว”

“อืม” เฉินจิ่งเซินยืนล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “เมื่อคืนฉันเขียนใหม่อีกแผ่นหนึ่ง”

“…?”

อวี้ฝานพลันลุกขึ้นยืน ด้วยความมือไวตาไวจึงคว้าข้อมืออีกฝ่ายเพื่อหยุดการกระทำไว้ก่อนจะล้วงเอาของออกมา

ฝ่ามือของอวี้ฝานเย็นนิดหน่อย เฉินจิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วหยุดการกระทำ

“นายฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง” อวี้ฝานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “บอกแล้วไงว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย…”

“อวี้ฝาน! ทำอะไรอยู่น่ะ”

ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หูผางก็เดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เอ่ยอย่างตื่นตกใจ “เธอจับมือคนอื่นเขาทำไม รีบปล่อยซะ!”

อวี้ฝานจะกล้าปล่อยได้อย่างไร ขืนเขาปล่อยแล้วเฉินจิ่งเซินพลิกมือไปล้วงเอาซองจดหมายสีชมพูออกมาอีกใครจะรับผิดชอบ

“ผม…” อวี้ฝานกำไว้แน่น อดกลั้นอยู่นานสองนาน “ผมมือเย็น”

หูผางทำหน้างุนงง “มือเย็นก็เอาซุกกระเป๋ากางเกง ไม่ต้องไปกวนเพื่อนคนอื่น”

“…”

อวี้ฝานยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขากำข้อมือของเฉินจิ่งเซินเอาไว้ ทั่วทั้งตัวแข็งค้างเล็กน้อย

เขากำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี แต่จู่ๆ คนที่ถูกจับข้อมืออยู่ก็ออกแรง อวี้ฝานเองถึงกับควบคุมอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่ ขณะที่เฉินจิ่งเซินดึงมือออกมา ในใจอวี้ฝานพลันเต้นตามไปด้วย…

ยังดีที่ไม่ได้ควักเอาอะไรออกมา

อวี้ฝานปล่อยมืออีกฝ่าย หัวใจเหนื่อยเสียจนเหมือนเพิ่งต่อยตีกับคนเสร็จมายกหนึ่ง

หูผางมองพิรุธออกอยู่บ้าง มุ่นหัวคิ้วถาม “เมื่อกี้พวกเธอกำลังพูดอะไรกัน ผู้ชายอะไร จดอะไร”

หูดีอะไรขนาดนี้เนี่ย

อวี้ฝานอ้าปากกล่าว “เขาจดชื่อหนังสือติวที่เหมาะกับผู้ชายมาแนะนำให้ผม”

เฉินจิ่งเซินหนังตากระตุก ไม่พูดไม่จา

“พูดจาเหลวไหล หนังสือติวที่ไหนเขาแบ่งแยกเพศอ่านกัน อีกอย่างเธอรู้จักอ่านหนังสือติวด้วย?” หูผางมองเขาด้วยความสงสัย “เขาแนะนำหนังสือติวอะไรให้เธอล่ะ ว่ามาให้ฉันฟังซิ”

อวี้ฝาน “สรุปหน่วยความรู้คณิตศาสตร์ ม.ต้น วิถีมือใหม่เรียนคณิตศาสตร์ นกโง่…บินก่อน 2017”

เหล่าคนที่อยู่ข้างๆ “…??”

หูผางคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องหนังสือติวจริงๆ

เขาตะลึงงันอยู่นานก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “หนังสือพวกนี้…ค่อนข้างเหมาะกับเธอจริงๆ ไม่เลวเลย”

คำสบถประโยคหนึ่งของอวี้ฝานมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่สุดท้ายก็กลั้นกลับเข้าไป

มีเฉินจิ่งเซินอยู่ด้วย หูผางจึงไม่ได้ลงโทษให้พวกเขายืนนานเกินไป พอกริ่งเข้าเรียนคาบแรกดังก็โบกมือปล่อยทุกคนไป

นักเรียนที่มีปัญหากลุ่มหนึ่งเดินด้วยกันเป็นขบวนใหญ่ นักเรียนชายในวัยนี้ยังคงเป็นเด็กที่เมื่อถูกลงโทษกันเป็นกลุ่มแล้วก็รู้สึกมีหน้ามีตา ตอนขึ้นอาคารก็จงใจตะเบ็งเสียง ทำให้นักเรียนที่อยู่ในห้องพากันมองออกไปข้างนอก

อวี้ฝานเดินอยู่หน้าสุด รู้สึกหนวกหูจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

จั่วควนรีบตามมา “อวี้ฝาน เด็กเรียนคนนั้นของห้องพวกนายทำไมเดินเร็วขนาดนี้เนี่ย รีบไปเข้าเรียน?”

อวี้ฝานไม่สนใจเขา

จั่วควนมองสีหน้าเขาแวบหนึ่ง “แม่ง ฉันยังอยากสั่งสอนเขาสักหน่อย ทำให้ฉันถูกเสืออ้วนด่าตั้งนาน เฮ้อ นายเองก็หมั่นไส้เขาใช่ไหม ไม่งั้นพวกเรา…”

จู่ๆ คนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้า จั่วควนเองก็หยุดตามโดยอัตโนมัติ

เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง อวี้ฝานหันหน้ามา กวาดตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา

เดิมทีอวี้ฝานก็สูงอยู่แล้ว ทั้งยังยืนสูงกว่าอีกฝ่ายสองขั้นบันได แววตาที่หลุบมองลงมาเจือด้วยความเหี้ยมโหดและการข่มขู่ที่คลุมเครือ แต่เพียงชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว

จั่วควนราวกับถูกตะปูตอกไว้ที่เดิม

“ฉันเคยบอกนายแล้วนะ” เนิ่นนานกว่าอวี้ฝานจะเอ่ยปากออกมาอย่างเฉื่อยชา

จั่วควน “อะไร…”

“อย่าแตะต้องคนในห้องฉัน”

ดูเหมือนประโยคนี้จะช่วยให้เขาย้อนคืนความจำ และก็เหมือนเป็นคำเตือน

อวี้ฝานหมุนกายเดินจากไปแล้ว กระทั่งมองไม่เห็นเงาหลังของเขา จั่วควนถึงได้สติกลับมา ก่อนพูดเบาๆ คำหนึ่ง “แม่งเอ๊ย”

 

ระหว่างทางที่อวี้ฝานเดินขึ้นชั้นสี่ก็เห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันได เขาชะงักเล็กน้อยโดยที่แทบมองไม่เห็น

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่ตรงนั้น ในมือยังคงกำกระดาษจดหมายที่คุ้นตาอย่างยิ่งเอาไว้แผ่นหนึ่ง

ยังไม่จบไม่สิ้นสินะ

เป็นอย่างที่คิด อวี้ฝานเพิ่งเดินขึ้นบันไดมาก็ได้ยินคำว่า “นักเรียนอวี้” อันเย็นชานั้น

อวี้ฝานสุดจะทน หมุนตัวไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย “นายคิดว่าฉันจะไม่ซัดนายใช่ไหม…”

เฉินจิ่งเซินปล่อยให้เขาจับ ก่อนจะใช้มือข้างเดียวคลี่กระดาษจดหมายไปตรงหน้าเขา

อวี้ฝานคิดในใจ แม่งมาโดยไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว…

 

ฟิสิกส์สบายๆ โจทย์ที่ต้องทำ ม.ต้น พจนานุกรมภาษาอังกฤษที่นักเรียนประถมท่องได้…

 

เฉินจิ่งเซินหน้าไม่เปลี่ยนสี “นี่คือหนังสือติวที่ฉันคัดมาให้นายใหม่อีกทีเมื่อวานนี้”

“…”

“แบบนี้เหมาะกับนายมาก” เฉินจิ่งเซินชะงักครู่หนึ่งคล้ายกำลังหาคำที่เหมาะสมอยู่ “คนที่พื้นฐานเป็นศูนย์ทำได้”

“…”

“หวังว่าจะช่วยนายได้บ้าง”

“…”

 

ตลอดทั้งวันอวี้ฝานไม่มองไปที่นั่งแถวหน้าเลยสักแวบเดียว

คนบางคนสูงเกินไป พอเขาเงยหน้าก็เห็นท้ายทอยที่วอนโดนตีนั่น

“เกมง่อยๆ นี่นายไม่เอียนบ้างหรือไง” หวังลู่อันใช้มือข้างเดียวค้ำพนักเก้าอี้ “เล่นมาทั้งวันแล้ว”

อวี้ฝาน “ยุ่งกับชีวิตคนอื่นให้มันน้อยๆ หน่อย”

กริ่งเลิกเรียนของคาบสุดท้ายดังขึ้น จวงฝ่างฉินย่างเท้าเข้ามาในตอนที่ครูฟิสิกส์ออกไปอย่างตรงเวลาเป๊ะ

หวังลู่อันกระทุ้งเขาทันที “เลิกเล่นได้แล้ว ฝ่างฉินมาแล้ว!”

“อย่ามาแตะ” อวี้ฝานกล่าว “โค้งสำคัญเลย”

“…”

โชคดีที่จวงฝ่างฉินเองไม่ได้สังเกตเห็น

พอเธอเข้ามาในห้องเรียนก็ตรงไปที่คอมพิวเตอร์ แล้วเปิดไฟล์ในแฟลชไดรฟ์ “ก่อนเลิกเรียนจะเปลี่ยนที่นั่งของพวกเธอก่อน”

ตอนนี้ตารางที่นั่งใหม่ปรากฏขึ้นมาบนจอโปรเจ็กเตอร์

“เชี่ย เปลี่ยนที่นั่งแล้วล่ะอวี้ฝาน วาสนาของเราสองคนสิ้นสุดเร็วเกินไปแล้ว” หวังลู่อันหรี่ตาหาชื่อของตนเอง “แม่ง ทำไมฉันได้นั่งกับกรรมการนักเรียนล่ะเนี่ย! ฝ่างฉินจงใจใช่ไหม!”

“ฉันดูหน่อยซิว่านายนั่งกับใคร…เชี่ย!”

“เชี่ย! อวี้ฝาน! นายรีบดูเร็วเข้า เพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของนาย!”

อวี้ฝานกดพอสเกม เงยหน้าอย่างหงุดหงิด “นายนี่มันน่ารำคาญ…”

คำพูดของเขาหยุดลงทันใดหลังจากเห็นคนที่อยู่ในแถวที่สี่กลุ่มที่สามลุกขึ้นยืน

ทั้งห้องล้วนชะเง้อศีรษะหาที่นั่งใหม่ของตนเอง มีเพียงคนเดียวที่กำลังหอบหนังสือลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมาที่หลังห้อง

บนโต๊ะของหวังลู่อันรกมาก มีเพียงมุมเดียวที่สะอาด เฉินจิ่งเซินวางหนังสือลงตรงมุมนั้น มองหวังลู่อันแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร

หวังลู่อันตรัสรู้ได้ในทันที “เด็กท็อป นายรอเดี๋ยว ฉันจะรีบเก็บของเดี๋ยวนี้…”

อวี้ฝานยื่นมือออกไป กดหนังสือเรียนที่ยับยู่ยี่ของหวังลู่อันเอาไว้

“นายหมายความว่าไง” เขาขมวดคิ้วมองเฉินจิ่งเซิน

เฉินจิ่งเซิน “นายพูดเองไม่ใช่หรือไง”

หวังลู่อันถูกบีบอยู่ตรงกลาง มองซ้ายทีขวาที สีหน้างุนงง

อวี้ฝาน “ฉันพูดอะไร”

“นายพูดว่า…” เฉินจิ่งเซินกล่าว “ถ้าชอบมองก็มานั่งใกล้ๆ”

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com