everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8
เย็นวันพุธหลังจากสอนวิชาของชั้นเรียนอื่นๆ เสร็จแล้ว จวงฝ่างฉินก็หอบแผนการสอนกลับไปที่ออฟฟิศ
เมื่อเห็นคนที่พิงอยู่ข้างโต๊ะทำงานของตน เธอก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“โอ้ แขกหาตัวจับยาก” จวงฝ่างฉินถอดเครื่องขยายเสียงพกพาของตนวางลงบนโต๊ะ
อวี้ฝาน “เมื่อวานผมก็มาไม่ใช่เหรอครับ”
“ครูหมายความว่าหาได้ยากที่เธอจะเป็นฝ่ายมาเองสักครั้ง” จวงฝ่างฉินนั่งลงประจำที่ “ว่ามาสิ มีเรื่องอะไร”
อวี้ฝานพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมจะเปลี่ยนที่นั่ง”
“เปลี่ยนไปไหน”
“แถวสุดท้าย ข้างโพเดียม อะไรก็ได้”
จวงฝ่างฉินดื่มน้ำอึกหนึ่ง “เธอก็ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลครูมาสักอย่างสิ ไม่งั้นก็อย่ามาทำให้คนอื่นเสียเวลาอยู่ตรงนี้”
อวี้ฝาน “เพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ส่งผลกับการเรียนของผม”
“…?”
จวงฝ่างฉินมองเขาอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้พูดคำพูดประเภทนี้ออกมาได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เขาส่งผลต่อเธอตรงไหน”
“เขียนหนังสือหนวกหูเกินไป ตัวเหม็น ดูถูกนักเรียนบ๊วย…”
“เหลวไหล!” จวงฝ่างฉินหยิบแผนการสอนขึ้นมาฟาดเขาทีหนึ่ง “ที่นั่งครั้งนี้เป็นเฉินจิ่งเซินเสนอให้ปรับเปลี่ยนกับครูเอง เขาจะดูถูกเธอได้ยังไง”
อวี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามย้ำ “เขาเสนอเอง?”
จวงฝ่างฉินถาม “ไม่อย่างนั้นจะใครล่ะ”
แม่ง
ทำไมหมอนี่ถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ
“เขามีสิทธิ์อะไรที่อยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น” อวี้ฝานพูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้คุ้นหูอยู่หน่อยๆ
เมื่อวานดูเหมือนจั่วควนเองก็เคยพูดประมาณนี้เหมือนกัน
“เธอว่ายังไงล่ะ” จวงฝ่างฉินเอ่ย “นักเรียนที่หนึ่งของสายชั้นเป็นฝ่ายเสนอเองว่าอยากจะช่วยเพื่อนที่เรียนแย่ นี่เป็นเรื่องดีใหญ่หลวงไม่ใช่หรือไง”
“เรื่องดีนี่ครูยกให้คนอื่นเถอะครับ ผมไม่เอา”
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ” จวงฝ่างฉินโบกปากกาในมือแล้วพูดตัดบท “กลับห้องเรียนไปซะ รอวันไหนคะแนนคณิตศาสตร์ของเธอมีเลขศูนย์เพิ่มขึ้นมาอีกตัวค่อยมาคุยเรื่องเปลี่ยนที่นั่งกับครู ถึงตอนนั้นเธออยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น ต่อให้อยากนั่งที่ออฟฟิศหัวหน้าครูหู ครูก็จะคิดหาวิธีช่วยเธอจัดการเรื่องนี้แน่นอน”
“…”
อวี้ฝานหน้าบูดกลับไปที่ห้องเรียน
เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างที่นั่งตนก็ยิ่งบูดบึ้งเข้าไปอีก
ระหว่างเรียนคนในห้องไม่หลับก็คุยกัน แถมยังมีคนจำนวนหนึ่งไปซื้อของกินที่โรงอาหารด้วย ทั้งห้องมีเพียงเฉินจิ่งเซินคนเดียวที่นั่งทำโจทย์ตัวตรงแหน็ว
“อวี้ฝาน นายจะไปไหน”
หวังลู่อันถูกย้ายไปกลุ่มข้างๆ ตอนนี้สองโต๊ะข้างหน้าอวี้ฝานล้วนไม่มีใครอยู่ เขาก็จะไปนั่งที่ของคนอื่นก่อน
อวี้ฝานนั่งที่ ไม่มองคนข้างๆ เลยสักนิด “ห้องน้ำ”
“อ้อ ทำไมไม่เรียกฉันไปด้วยล่ะ”
“เรียกนายทำไม ไปดูต้นทาง?”
“ก็ใช่ว่าไม่ได้สักหน่อย” หวังลู่อันหมุนตัวในท่านั่ง เขาพาดสองมือบนพนักพิง พูดแขวะว่า “เฮ้อ นายไม่รู้หรอกว่าฉันอนาถแค่ไหน กรรมการนักเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันนั่นน่ะคาบไหนบ้างไม่จ้องกัน มองฉันซะขนาดนั้น แม้แต่มือถือฉันก็เล่นไม่ได้…ไม่ได้การ ฉันต้องไปหาฝ่างฉินเพื่อเปลี่ยนที่ ที่นั่งเฮงซวยนี่ใครชอบนั่งก็นั่งไปเถอะ”
“ฉันนั่งเอง” อวี้ฝานว่า “นายแลกกับฉันไหมล่ะ”
หวังลู่อันนิ่งงัน มองคนที่นั่งข้างอวี้ฝานโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งเซินหลุบตาลง แม้แต่ปากกาก็ยังไม่หยุด
เขาชำเลืองมองหนังสือตะลุยโจทย์ที่เฉินจิ่งเซินกดไว้ใต้มือ เยี่ยมไปเลย มองแวบเดียวก็ง่วงแล้ว
เขามักจะรู้สึกว่าระหว่างเด็กท็อปที่ย้ายมาใหม่คนนี้กับอวี้ฝานมีอะไรแปลกๆ นิดหน่อย แต่ก็ไม่เหมือนอย่างที่อวี้ฝานว่า
“ก็ใช่ว่าไม่ได้” หวังลู่อันพูดไปตามน้ำ “ต้องถามเด็กท็อปก่อนว่ายินดีหรือเปล่า”
อวี้ฝานขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย…”
“ไม่แลก” คำพูดลอยมาจากด้านข้างอย่างหนักแน่น
อวี้ฝาน “…”
คิดไม่ถึงว่าเฉินจิ่งเซินจะสนใจเขาด้วย หวังลู่อันเองก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่งเช่นกัน
“ไม่แลกๆ ฉันก็แค่พูดไปงั้น ที่นั่งที่ฝ่างฉินกำหนดปกติก็ไม่มีใครเปลี่ยนได้หรอก” หวังลู่อันย้ายไปด้านข้าง ถือโอกาสถามคำถามที่ตนเองอัดอั้นมาทั้งคืน “อ้อ ใช่ เด็กท็อป เมื่อวานที่นายพูดว่าชอบมองก็เลยมานั่งใกล้ๆ…มองอะไรเหรอ”
‘ตึง’
พอมือของอวี้ฝานแกว่ง มือถือที่เพิ่งหยิบออกมาก็หล่นลงพื้น
เฉินจิ่งเซินกล่าว “มอง…”
อวี้ฝาน “หัวหน้าครูหู”
เฉินจิ่งเซิน “…”
หวังลู่อัน “…”
หวังลู่อันกะพริบตาอย่างงุนงง “หัวหน้าครูหู? เสืออ้วน? เขาเกี่ยวอะไรกับที่นั่งนี่ด้วย”
“อืม” อวี้ฝานนิ่งเฉย “ตรงตำแหน่งฉันพอลุกขึ้นยืนก็เห็นออฟฟิศที่ชั้นล่างได้”
หวังลู่อัน “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
ปกติเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เฉินจิ่งเซินเหลือบมองปากของอวี้ฝานแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงช่างพูดอย่างนี้
หวังลู่อันลองลุกขึ้นยืน “ไม่เห็นนะ”
อวี้ฝาน “นายเตี้ยเกินไป”
“เชี่ย” หวังลู่อันมองไปทางเฉินจิ่งเซิน “เด็กท็อป นายชอบเสือ…หัวหน้าครูหู? ทำไม เขาไม่ได้ประจำห้องเราไม่ใช่เหรอ”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาเกรี้ยวกราดของคนข้างกาย นิ้วของเฉินจิ่งเซินก็จับปากกาแล้วนิ่งเงียบไปสองวินาที
“อืม” เขากล่าวโดยไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย “ฉันชอบสื่อการสอนวิชาคณิตที่เขาเรียบเรียง”
หวังลู่อัน “…”
อวี้ฝานหยิบเสื้อเครื่องแบบโยนลงบนโต๊ะเพื่อปูเป็นหมอน ก่อนจะเอ่ยปากไล่คน “กลับไปที่นายซะ ฉันจะนอนแล้ว”
เวลาพักสิ้นสุด เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ครูฟิสิกส์ก็หอบตำราเดินเข้ามา
หัวหน้าห้องตะโกนให้ลุกขึ้นทำความเคารพ เฉินจิ่งเซินลุกขึ้นยืนแล้วพบว่าข้างตนเองว่างเปล่า
อวี้ฝานฟุบอยู่บนโต๊ะและหลับไปแล้ว
เดิมทีเขากอดแจ็กเก็ตและฟุบหน้าลงไป หลับสนิทจนรู้สึกอึดอัด จึงหันศีรษะเผยใบหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง
ชายหนุ่มหลับตา สันจมูกโด่ง ไฝเล็กๆ สองจุดที่หางตาและแก้มซีกขวารักษาความสมดุลอันละเอียดอ่อนและให้ความรู้สึกก้าวร้าวน้อยกว่าตอนตื่นมาก
เดิมทีไฝก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นตามอายุอยู่แล้ว
“นั่งลง” ครูฟิสิกส์พูดซ้ำอีกรอบ เขาดันแว่นตา มองคนที่ยังคงยืนอยู่ตรงแถวหลัง “เฉินจิ่งเซิน?”
เฉินจิ่งเซินเก็บสายตาแล้วนั่งกลับลงไป
อวี้ฝานถูกเสียงตบโต๊ะปลุกให้ตื่น
พอเขาเงยหน้าก็ได้รับสายตาเย็นเยียบจากจวงฝ่างฉิน
เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว จวงฝ่างฉินก็หยุดใช้แผนการสอนตบโพเดียม ชูกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือขึ้นมา “เก็บของที่อยู่บนโต๊ะให้หมด คาบทบทวนด้วยตัวเองสองคาบนี้จะใช้สอบก่อน ปิดเทอมนานขนาดนี้ ครูขอดูหน่อยซิว่าพวกเธอลืมความรู้ไปกี่คันรถแล้ว การสอบครั้งนี้ครูจะแบ่งเป็นกลุ่ม ทุกคนจงตั้งใจเขียน นักเรียนคนแรกของแต่ละกลุ่มมาหยิบกระดาษข้อสอบแล้วส่งต่อไปข้างหลัง”
อวี้ฝานขยับนิ้ว ฝังใบหน้าลงกับแขนอีกครั้ง กระทั่งกระดาษข้อสอบถูกส่งมาตรงหน้าเขาถึงได้เหยียดตัวขึ้นนั่งอย่างยากเย็น
จวงฝ่างฉินคุมสอบอย่างเข้มงวด สายตากวาดมองไปรอบด้าน แต่มองไปที่อวี้ฝานน้อยครั้ง
เพราะบรรดาครูต่างรู้แก่ใจดีว่าอวี้ฝานซื่อสัตย์ในการสอบมาก…ได้เท่าไหร่เท่านั้น ขี้เกียจแม้แต่จะโกงมาแต่ไหนแต่ไร
อวี้ฝานควักเอาปากกาออกมาเขียนชื่อ คิดจะฉวยโอกาสหลับอีกครั้งตอนที่จวงฝ่างฉินไม่สนใจ
ตัวหนังสือของเขาบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนตัวหนอนที่ถูกหั่นเป็นหลายท่อนเพราะกำลังง่วง
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจู่ๆ อวี้ฝานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นแล้วนึกย้อนกลับไป…
วันนี้จวงฝ่างฉินพูดว่าอะไรนะ
สอบคณิตศาสตร์ผ่านเก้าสิบคะแนน ต่อไปเขาอยากนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น
อวี้ฝานเท้าคาง ยิ่งคิดสมองยิ่งตื่นตัว
เขานวดหน้าก่อนนั่งตัวตรง ก้มหน้าพลิกกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่อยู่ในมืออ่านรอบหนึ่งด้วยความตั้งใจอย่างหาได้ยาก…
ดี
โจทย์ข้อแรกอ่านไม่เข้าใจเลย
อวี้ฝานกำปากกาและสังเกตเพื่อนที่อยู่รอบๆ ตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนที่นั่งมา
ผลคะแนนของสองคนตรงโต๊ะทางขวาดีกว่าเขานิดหน่อย ทางด้านซ้ายคือหวังลู่อันกับกรรมการนักเรียน โต๊ะข้างหน้าคือจางเสียนจิ้งกับนักเรียนหญิงผมสั้นที่สามเทอมคุยกับเขาไม่เกินสามประโยคและดูท่าทางเป็นอินโทรเวิร์ตอยู่แล้ว
ถ้าลอกไม่ได้ก็สอบไม่ผ่านเก้าสิบคะแนน
อวี้ฝานถ่างตานั่งอยู่สักพัก
กระทั่งจวงฝ่างฉินที่อยู่บนโพเดียมเปลี่ยนท่านั่ง เขาถึงได้เคลื่อนสายตาไปแอบมองคนที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เต็มใจ
คนรอบตัวเขาต่างยังคงหยุดอยู่ที่โจทย์ปรนัยหน้าแรกของข้อสอบ แต่เฉินจิ่งเซินกลับทำไปจนถึงส่วนท้ายของหน้าที่สองแล้ว
ในใจอวี้ฝานไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรนเท่าไรนัก ตอนนี้เขาแค่อยากจะกอดโต๊ะแล้วรีบไสหัวไปที่บอร์ดข่าวซะ สองนาทีหลังจากนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าจวงฝ่างฉินไม่ได้มองมาทางนี้ เขาจึงกางมือข้างเดียวบังไว้ตรงหน้าตัวเอง ดวงตาชำเลืองมองไปยังกระดาษข้อสอบที่เฉินจิ่งเซินกดไว้ใต้มือ
โชคดีที่อวี้ฝานไม่ใช่คนรักเรียน แต่สายตาดีมาก เขากำลังจะดูโจทย์ปรนัยข้อแรกให้ชัดๆ…
เฉินจิ่งเซินหยิบกระดาษทดมาปิดส่วนที่เขียนลงบนกระดาษข้อสอบไปแล้วเอาไว้
อวี้ฝาน “…?”
เขามองเจ้าของข้อสอบโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งเซินก้มหน้าทำโจทย์ ไม่แม้แต่จะส่งสายตามาให้เขา
เฉินจิ่งเซิน “ข้อสอบของตัวเองก็ทำเองสิ”
จวงฝ่างฉินคุมสอบ จะเล่นมือถือไม่ได้ จะหลับก็ไม่ได้เช่นกัน
อวี้ฝานพิงไปข้างหลังอย่างยอมรับชะตากรรม สองมือซุกกระเป๋ากางเกงและเริ่มมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
“นักเรียนบางคน เก็บสมาธิกลับมาด้วย อยากออกไปเก็บขยะจริงๆ ก็ต้องอดทนไป เรียนให้จบ” เสียงของจวงฝ่างฉินลอยมาจากโพเดียมอย่างเยือกเย็น
‘นักเรียนบางคน’ หันหน้ากลับมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
บนกระดาษข้อสอบล้วนเป็นเส้นขีดและตัวเลข เขาดูจนเวียนหัว
สายตาของเขาเลื่อนลอยสะเปะสะปะและเริ่มมองสำรวจห้องเรียน
คนอื่นๆ ในห้องต่างกำลังทำข้อสอบอย่างตั้งใจ มีเพียงสองคนที่เสียสมาธิเหมือนกับเขา
จางเสียนจิ้งมั่วโจทย์ปรนัยเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังจัดการกับผมแตกปลายของเธออยู่
หวังลู่อัน…เอาฝ่ามือบังตาเพื่อปิดกั้นสายตาของจวงฝ่างฉิน และกำลังแอบดูกระดาษข้อสอบของกรรมการนักเรียน
ศีรษะของหวังลู่อันยังอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยน ลูกตาเหล่จนกลายเป็นองศาแปลกๆ ถ้าไม่ดูให้ดีๆ ล่ะก็ อวี้ฝานก็จับไม่ได้ว่าเขากำลังแอบดู
แน่นอนว่ากรรมการนักเรียนเองก็จับไม่ได้เหมือนกัน
ถ้างั้นเฉินจิ่งเซินจับได้อย่างไร เขาดูอย่างระมัดระวังขนาดนี้แล้วแท้ๆ
อีกอย่างบอกว่าชอบเขาไม่ใช่หรือไง
แม้แต่ข้อสอบก็ไม่ให้ลอก
ความชอบของเด็กหัวกะทิพวกนี้มีประโยชน์บ้าอะไรกัน
อวี้ฝานคิดแล้วก็เหลือบมองด้านข้างแวบหนึ่ง
เฉินจิ่งเซินกดกระดาษทดไว้ใต้มือทั้งยังกำลังตั้งใจทำโจทย์ กระดาษทดของคนส่วนใหญ่ล้วนยุ่งเหยิงเสียจนถ้าไม่ใช่เจ้าตัวก็อ่านไม่รู้เรื่อง แต่เฉินจิ่งเซินต่างออกไป กระดาษทดของเขาสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเขากำลังเขียนกระดาษคำตอบเสียอีก
เวลานี้สายตาของเฉินจิ่งเซินอยู่ที่โจทย์ข้อสุดท้ายของข้อสอบ เขาเกร็งมุมปาก ยกมือขวาขึ้นมากุมขมับ ท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิด
เพียงแค่สองวินาทีหลังจากนั้น หว่างคิ้วของเขาก็คลายออก ปลายนิ้วควงปากกาอย่างคล่องแคล่ว ดึงกระดาษทดมาจรดปากกาและเริ่มเขียน
“อีกหนึ่งนาทีเก็บข้อสอบ ถึงเวลาแล้ววางปากกาลง ห้ามเขียนเพิ่มแม้แต่ขีดเดียว ถ้าไปถึงสนามสอบเข้ามหา’ลัยล่ะก็ไม่มีใครให้เวลาพวกเธอหรอกนะ”
พอเสียงของจวงฝ่างฉินดังขึ้น อวี้ฝานถึงได้สติคืนและเก็บสายตากลับมา
เด็กท็อปอะไรกัน ยังแก้โจทย์จนถึงหนึ่งนาทีสุดท้ายเลยไม่ใช่หรือไง
เขาหิ้วแจ็กเก็ตเครื่องแบบขึ้นมา เตรียมเก็บข้อสอบแล้วก็ไป
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘พรึบ’ กระดาษทดที่ถูกเขียนจนเต็มไปหมดวางอยู่ตรงหน้าเขา
อวี้ฝานที่กำลังสวมเสื้อแจ็กเก็ตหยุดชะงัก สายตาของเขาหยุดอยู่บนกระดาษทดครู่หนึ่ง จำได้ว่านี่คือกระดาษแผ่นที่เฉินจิ่งเซินเขียนอยู่ตลอดเมื่อกี้นี้ สิ่งที่แน่นขนัดอยู่บนนั้นล้วนเป็นสูตรคณิตศาสตร์
เมื่อแน่ใจแล้วว่าบนกระดาษไม่ได้เขียนชื่อหนังสือติวโง่ๆ อะไรนั่น เขาถึงได้เอ่ยถามอย่างเย็นเยียบ “อะไร”
“คำตอบของข้อสอบและวิธีแก้” เฉินจิ่งเซินโยนปากกาเข้าไปในกระเป๋าดินสอ ก่อนจะเคลื่อนสายตามามองเขา “นายอยากดูไม่ใช่เหรอ”
“…”
ใช่ ฉันอยากดู ฉันแม่งอยากดูในนาทีสุดท้ายตอนสอบ
โปรดติดตามตอนต่อไป…