everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
เมื่อฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไป อากาศก็พลันเย็นสบายขึ้นไม่น้อย
โจวลั่วหยางสวมเสื้อวอร์มมีฮู้ดวิ่งออกจากเขตที่พัก เลียบไปตามเส้นทางผ่านแยกไฟแดง เมื่อเห็นคุณป้าพาสุนัขมาเดินเล่นข้างทาง และเห็นบรรดาสุนัขที่พากันกระดิกหางสะบัดหัว โจวลั่วหยางก็พลันรู้สึกว่าตนเองจะต้องเลี้ยงสัตว์สักตัวจริงๆ เสียที เพื่อที่จะได้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนเล่อเหยาแทนเขาที่ห้อง
บางครั้งคุยกับสัตว์ยังสนุกกว่าคุยกับคนเสียอีก
หลังจากที่วิ่งครบสิบกิโลโจวลั่วหยางก็ไปซื้ออาหารเช้า ทว่าเมื่อกลับถึงห้องแล้วเปิดประตู จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องชาย
เขาผลักประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือตู้จิ่งที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังคุยเล่นกับโจวเล่อเหยา
โจวลั่วหยาง “…”
“พี่กลับมาแล้ว” เล่อเหยาสวมชุดนอน หันมามองพี่ชาย
ตู้จิ่งก็หันมามองโจวลั่วหยางเช่นกัน “ไปวิ่งมาแล้ว? รู้จักแบ่งเวลางานกับเวลาพักผ่อนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
โจวลั่วหยางวางอาหารเช้า รู้สึกผิดคาดอย่างยิ่ง “นาย…”
ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ “ตอนเรียกรถเมื่อวานนายให้ที่อยู่ฉันแล้ว”
เล่อเหยายิ้มพลางมองดูพี่ชาย โจวลั่วหยางไม่อยากออกอาการต่อหน้าน้องชายมากนัก เขาจึงแนะนำอีกฝ่าย
“เขาเป็นรูมเมตของพี่ตอนเรียน ป.ตรี เมื่อวานบังเอิญเจอกัน วันนี้ไม่คิดว่าจะมาโดยไม่บอกไม่กล่าว”
เล่อเหยายิ้มพลางเอ่ย “เขาบอกแล้ว พวกพี่เป็นคู่โชคชะตาที่สวรรค์จัดสรรจริงๆ”
ตู้จิ่งกล่าวอย่างจริงจัง “อะไรคือไม่บอกไม่กล่าวกันล่ะ คืนเมื่อวานก็บอกชัดๆ ว่าชวนฉันมาดื่มชา”
“ชัดๆ นี่ใคร” โจวลั่วหยางยอกย้อน “ฉันไม่ใช่ชัดๆ ถ้าชัดๆ เป็นคนชวนนาย นายก็ไปบ้านชัดๆ สิ”
เล่อเหยาหลุดขำออกมา โจวลั่วหยางเอ่ยถามเขา “ล้างหน้าล้างตาหรือยัง”
เล่อเหยาหมุนล้อรถเข็นไปที่ห้องน้ำ แต่เมื่อโจวลั่วหยางจะตามเข้าไป เล่อเหยาจึงบอกว่า “ผมไปล้างหน้าเองได้”
โจวลั่วหยางรู้ว่าเล่อเหยาไม่อยากแสดงว่าตนเองเป็นภาระต่อหน้าคนนอก จึงตามใจเขา
โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง หลายปีที่ไม่ได้พบกันความรู้สึกซับซ้อนและลุ่มลึกที่ยากจะอธิบายจึงพลันเอ่อท้นระหว่างคนทั้งสอง
“ไม่นึกเลยว่านายก็มีน้องชายด้วยคนหนึ่ง” ตู้จิ่งถือแว่นตาดำพลางพลิกเล่นไปมา ผิวเลนส์ของแว่นตาดำสะท้อนภาพใบหน้าอย่างชัดเจน รวมทั้งแผลเป็นบนดั้งจมูกรอยนั้นก็ด้วย
มุมปากของโจวลั่วหยางยกขึ้นเล็กน้อยพลางบอก “เขาไม่ค่อยชอบพบปะใครและไม่ยอมหาเพื่อนด้วย ก็เหมือนนายนั่นแหละ ฉันเลยแทบไม่พูดถึงเขา”
ตู้จิ่งเหลือบมองโจวลั่วหยางโดยที่ในแววตานั้นมีความละอายใจเจือปนอยู่เล็กน้อย เขามองเสียจนโจวลั่วหยางชักจะสงสารขึ้นมา
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ หรือว่านอนไม่หลับอีกแล้ว?” โจวลั่วหยางสังเกตตู้จิ่งแล้วก็พบว่าเขายังแต่งตัวเหมือนตอนที่พบกันเมื่อคืน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
ตู้จิ่งเก็บแว่นตาดำด้วยท่าทางเงอะงะพลางบ่นอุบ “ยังรู้จักฉันดีเหมือนเดิมสินะ”
คนทั้งสองต่างเงียบใส่กัน
จู่ๆ ตู้จิ่งก็โพล่งขึ้นมา “อย่าไปยุ่งกับอวี๋เจี้ยนเฉียง คนคนนี้อันตราย”
โจวลั่วหยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาค้นหาในสมองว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นใคร เมื่อวานได้พบกันเพียงหนเดียว พอกลับถึงห้องก็ลืมเรื่องของอีกฝ่ายไปเสียสนิท และการปะทะคารมเล็กๆ น้อยๆ นั้น โจวลั่วหยางก็ไม่เห็นว่าจะสลักสำคัญอะไร
ตอนแรกโจวลั่วหยางว่าจะอธิบายสักหน่อย แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วก็คร้านที่จะพูดมาก จึงแค่ส่งเสียงตอบรับอย่างไม่แยแส
ตู้จิ่งกลับจ้องมองเขาไม่วางตา อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้เขาพูดออกมาให้ชัดๆ
โจวลั่วหยางเดาว่าตู้จิ่งคงยังไม่รู้ว่าเขาไปพบอวี๋เจี้ยนเฉียงเพราะอะไร จึงกล่าวอย่างเหลืออด
“ตอนแรกแค่จะไปหาหุ้นส่วนทางธุรกิจน่ะ”
ตู้จิ่งเอ่ยถาม “ขาดเงินเหรอ ขาดอีกเท่าไหร่”
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือของนายหรอก” โจวลั่วหยางตัดบท
ตู้จิ่งกล่าว “ฉันก็ไม่มีเงิน แค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
โจวลั่วหยางสูดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ได้พบกันสามปี เราต้องคุยกันอย่างนี้ด้วยเหรอ”
สีหน้าของตู้จิ่งเปลี่ยนไปทันที เขารีบแก้คำพูด “ขอโทษที ฉันก็แค่ดีใจมากไปหน่อย เลยไม่ทันได้ระงับอารมณ์”
“ดีใจอะไร” โจวลั่วหยางกำลังหงุดหงิด จึงพูดเสียดสีไปประโยคหนึ่ง “เห็นฉันจนตรอกเลยดีใจมาก?”
ตู้จิ่งแก้คำพูด “นายต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันพอจะมีอยู่บ้าง”
เมื่อเห็นโจวลั่วหยางไม่พูดไม่จา ตู้จิ่งจึงอธิบาย “ฉันดีใจมากที่ได้พบนายอีกครั้ง”
โจวลั่วหยางกล่าว “เมื่อคืนไม่เห็นอยากจะพูดกับฉันสักเท่าไหร่ แต่มาวันนี้กลับบอกว่าดีใจมากเนี่ยนะ?”
ตอนนั้นเองก็พลันมีเสียงน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ โจวลั่วหยางนึกอยากจะทุบอีกฝ่ายสักยก
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่มีนิสัยชอบตำหนิคนอื่น อีกทั้งตอนที่ได้เห็นแววตาอันคุ้นเคยของตู้จิ่ง เขาก็พลันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
“กินข้าวเช้ากันเถอะ” โจวลั่วหยางถามต่อ “นายกินแล้วหรือยัง”
ตู้จิ่งตอบ “พวกนายกินเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
โจวลั่วหยางไม่คิดว่าตู้จิ่งจะมาเลยซื้ออาหารเช้ามาแค่สองชุด แต่กลับบอกไปว่า “ฉันกินจากข้างนอกมาแล้ว นายกินเถอะ” พูดจบก็กระซิบบอกอย่างร้อนใจ “อย่าพูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าเล่อเหยานะ”
ตู้จิ่งไม่รับปากหรือปฏิเสธ เขานั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร เปิดถุงกระดาษ หยิบกาแฟออกมาแล้วจิบอึกหนึ่ง โจวลั่วหยางเข็นรถเข็นพาน้องชายมาที่หน้าโต๊ะอาหาร ส่วนตัวเองก็เดินตรงเข้าไปอาบน้ำ
“อยากเปิดร้านของปู่อีกครั้งเหรอ” ตู้จิ่งรอโจวลั่วหยางออกมาแล้วจึงเอ่ยปากถาม
โจวลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะเหลือบมองน้องชาย เขารู้ว่าเล่อเหยาต้องเป็นคนเล่าแน่ๆ
เล่อเหยาเอาแต่ก้มหน้ากินข้าวเช้า เมื่อได้ยินก็หันไปยิ้มให้พี่ชาย
“อีกสักพักฉันจะไปที่โกดังเก็บของเป็นเพื่อนนาย” ตู้จิ่งเสนอ “ฉันขับรถมา”
“ยังไม่ไปหรอก” โจวลั่วหยางเดินออกมาพร้อมกับเสียงรองเท้าแตะพลางเช็ดเส้นผม บนร่างสวมเสื้อบาสเกตบอลแขนกุดกับกางเกงขาสั้น เขาเอ่ยว่า “วันนี้มีนัด”
หัวไหล่ที่เผยออกมายังคงขาวหมดจด ดูเหมือนไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ยังอยู่มหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย
“พี่ ผมอยากกลับไปนอนต่อ” เล่อเหยาบอก “ผมตื่นเช้าเกินไป พี่ไปเถอะ เรื่องงานสำคัญกว่า”
‘มีงานให้ทำที่ไหนกัน’ โจวลั่วหยางอยากตอบออกไปแบบนี้ โกดังเก็บของโทรมๆ นั่นจะเหลือของมีค่าสักเท่าไหร่กันเชียว ของโบราณก็ถูกพวกญาติๆ แบ่งไปหมดแล้ว จะมีก็แต่หนังสือกับเศษกระดาษกองพะเนินเท่านั้นแหละ นอกจากภาพวาดอักษรไม่กี่ภาพ อย่างอื่นที่หลงเหลืออยู่ก็มีแต่ขยะที่เอาไปชั่งกิโลขายให้ร้านรับซื้อของเก่าได้เท่านั้น ค่ากินค่าอยู่ของเดือนหน้าจะหามาจากไหนก็ยังไม่รู้ คงได้แต่เอาเงินจากบัตรเครดิตมาประทังพอให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้เสียก่อน ซึ่งมันเหมือนกับการรื้อกำแพงฝั่งตะวันออกเพื่อมาซ่อมแซมกำแพงฝั่งตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น
เรซูเม่ที่ส่งไปก็ยังไม่มีการตอบกลับเลย
ตู้จิ่งหันไปเลิกคิ้วให้โจวลั่วหยางเป็นสัญญาณบอกว่า ไปกันเลยไหม
สุดท้ายโจวลั่วหยางจึงต้องพยักหน้าอย่างจนใจ เขาเองก็ยังมีเรื่องราวอีกมากที่อยากคุยกับตู้จิ่ง ถึงอย่างไรตู้จิ่งก็ยังมีน้ำหนักอยู่มากในใจของเขา ไม่สิ…เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาถึงขั้นเคยรู้สึกว่าตู้จิ่งเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเองเลยต่างหาก
ถ้าต่อมาไม่ได้เกิดเรื่องพลิกผันนั้นขึ้นมาเสียก่อน
“เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่เหรอ” เล่อเหยาถาม
ก่อนออกไปโจวลั่วหยางกำลังสวมรองเท้าอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนตู้จิ่งก็เดินลงจากอาคารไปขับรถมา
“ใช่” โจวลั่วหยางตอบ “เป็นเพื่อนที่สนิทมากๆ”
เล่อเหยาถามต่อ “แต่พี่ไม่เคยพูดถึงเขาเลย”
โจวลั่วหยางกล่าว “เพราะระหว่างนั้นเกิดเรื่องบางอย่าง…เขากับนายคล้ายกันอยู่บ้าง พี่เลยไม่ค่อยอยากจะนึกถึง แต่ถ้านายอยากรู้ พี่จะ…”
เล่อเหยาเอ่ย “ไม่หรอก ผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็น…ก็แค่…อืม…ไม่มีอะไร พี่ไปเถอะ”
“แค่อะไร” โจวลั่วหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เล่อเหยายิ้มเศร้าพลางบอก “พอเขารู้ว่าพี่ไม่เคยพูดถึงเขาให้ผมฟังเลย ดูเหมือนเขาจะเสียใจอยู่บ้าง”
“เพราะเขาเป็นคนบัดซบ” โจวลั่วหยางพูดอย่างจริงจัง
เล่อเหยาตำหนิ “ทำไมว่าคนอื่นอย่างนี้ล่ะ”
โจวลั่วหยางกล่าว “ผู้ชายบางคนไม่เพียงทำตัวบัดซบเรื่องความรัก แต่ยังทำตัวบัดซบกับเพื่อนด้วย ไปล่ะ อีกสักพักพี่จะโทรหา” เขาพูดพลางลูบศีรษะของเล่อเหยา
“หลายปีมานี้นายไปอยู่ที่ไหนมากันแน่” โจวลั่วหยางหยิบเสื้อตัวนอกมาด้วยก่อนจะเดินลงจากอาคาร แล้วก็เห็นรถอาวดี้จอดอยู่ที่ปากประตู เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างคุ้นเคย
“บอกแล้วว่าไปรักษาอาการป่วย” ตู้จิ่งสวมแว่นตาดำ “รักษาไม่หายดี เลยไม่อยากมาพบนาย”
“นี่ ตู้จิ่ง” โจวลั่วหยางพูดขึ้นในที่สุด
ตู้จิ่ง “หืม?”
จากนั้นตู้จิ่งก็หันหน้ามาแล้วจ้องมองโจวลั่วหยางผ่านเลนส์แว่นสีดำ
หลังจากนั้นโจวลั่วหยางก็เหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของตู้จิ่งอย่างแรง หมัดนั้นต่อยลงบนใบหน้าพร้อมกับเสียงทุ้มหนัก ทำเอาแว่นตาดำของตู้จิ่งถึงกับกระเด็นไปกระแทกหน้าต่างรถยนต์
ตู้จิ่ง “…”
ภายในรถเงียบกริบไปพักใหญ่ โจวลั่วหยางสะบัดข้อมือพลางคิดในใจ กระดูกหมอนี่แข็งชะมัด
“ค่อยดีขึ้นหน่อย” โจวลั่วหยางพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ไปกันเลยไหม”
มุมปากของตู้จิ่งข้างที่ถูกต่อยมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย โจวลั่วหยางหยิบทิชชูจากคอนโซลด้านหน้ามาให้แล้วบอก “เช็ดซะ”
ตู้จิ่งเช็ดอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าตัวมองดูรอยเลือดที่ติดอยู่บนทิชชูแล้วพยักหน้า จากนั้นก็สวมแว่นตาดำตามเดิม ก่อนจะหมุนพวงมาลัยกลับรถเพื่อออกจากเขตที่พัก
“หลายปีมานี้นายไปไหนมากันแน่ ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ความอดทนของฉันมีขีดจำกัดนะ”
“ฉันไม่ได้โกหกนาย ฉันไปรักษาตัวจริงๆ นายนี่…”
“อะไร”
“ไม่มีอะไร หมัดนายหนักจริงๆ” ตู้จิ่งขับรถพลางตอบคำถาม ในปากยังคงได้กลิ่นคาวเลือด
ขณะที่โจวลั่วหยางมองวิวนอกหน้าต่าง ตู้จิ่งก็ถามอีกว่า “ต้องการเงินเท่าไหร่”
“ฉันไม่รู้” โจวลั่วหยางตอบอย่างสับสนและเหม่อลอยเล็กน้อย “เล่อเหยาเล่าให้นายฟังหมดแล้วสิ?”
ตู้จิ่งปัดหน้าจอมือถือที่ติดไว้ข้างพวงมาลัยก่อนจะเรียกให้โจวลั่วหยางมาดู บนหน้าจอนั้นเป็นบัญชีธนาคารของเขา
ตู้จิ่งบอกว่า “ต้องใช้เท่าไหร่ นายโอนเองก็แล้วกัน”
บนหน้าจอบอกว่ามีเงินอยู่หกแสนกว่า โจวลั่วหยางมองแล้วหยิบมือถือมากดโอนให้ตัวเองสามพัน ก่อนจะให้ตู้จิ่งหันหน้ามา อีกฝ่ายหันไปมองเพื่อสแกนใบหน้าทำการปลดล็อก
“เอาไปให้หมดเถอะ” ตู้จิ่งบอก
โจวลั่วหยางคิดๆ แล้วตอบ “ไว้ตอนที่ต้องใช้ฉันค่อยบอกนาย”
โจวลั่วหยางดูแอพฯ บัญชีสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูงของตู้จิ่ง จากนั้นก็ไปดูบันทึกการใช้จ่ายของเขา ตู้จิ่งไม่หันไปมองมือถือตัวเองด้วยซ้ำ ราวกับการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
“ฉันจะชดใช้เงินก้อนนี้ให้นาย” โจวลั่วหยางพูด “แลกกับผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง”
“แล้วแต่” ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ “สำหรับฉันเงินไม่ได้มีความหมายอะไร”
โจวลั่วหยางพลันชะงักงันก่อนกล่าว “นายไม่มีทางเป็นผู้ช่วยของอวี๋เจี้ยนเฉียงได้”
ตู้จิ่งเอ่ย “ฉันฉลาดขนาดนี้ ทำไมถึงจะเป็นไม่ได้ล่ะ”
โจวลั่วหยางตอบ “นายไม่ได้ขาดเงิน เลยไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินเดือน”
ตู้จิ่งกล่าว “คนเราต้องมีงานทำ คำนี้นายพูดเองนะ อีกอย่างนายรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ฉันมีเงิน ฉันตัดขาดกับทางบ้านแล้ว สองสามปีมานี้ไม่ได้ขอเงินจากพ่อเลยสักเฟิน* เดียว”
“ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ช่วยนี่” ยิ่งโจวลั่วหยางฟังตู้จิ่งพูดก็ยิ่งสงสัย ประจวบกับมือถือมีสายเข้า เขาจึงกดเข้าโหมดแฮนด์ฟรี
“ตู้จิ่ง?” เสียงผู้ชายดังมาจากปลายสาย “กำลังหาตัวนายพอดี ไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ”
ตู้จิ่งตอบ “ไม่ว่างครับ ไม่ไปแล้ว ลางานให้ผมหน่อย”
โจวลั่วหยางพูดขึ้น “เขาจะไปเดี๋ยวนี้”
ตอนที่โจวลั่วหยางพูดขึ้น สีหน้าของตู้จิ่งพลันเปลี่ยนไปทันที ส่วนทางด้านปลายสายเมื่อได้ยินเสียงของโจวลั่วหยางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ฝ่ายนั้นถามว่า “คุณเป็นใคร”
ตู้จิ่งเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “จะกลับแล้วครับ รอผมยี่สิบนาที”
พูดจบตู้จิ่งก็เหยียบคันเร่งแล้วเลี้ยวรถตรงสี่แยก ขับขึ้นทางยกระดับ มุ่งหน้าไปยังถนนอีกสาย
“ขับช้าๆ หน่อย” โจวลั่วหยางบอก
ตู้จิ่งไม่ตอบรับแม้แต่เสียงเดียว เขาจอดรถตรงหน้าอาคารหลังหนึ่งแล้วมองโจวลั่วหยาง ความหมายคือ จะขึ้นไปด้วยกันไหม
โจวลั่วหยางโบกมือปฏิเสธก่อนจะก้มหน้าเล่นมือถือ ตู้จิ่งจึงปิดประตูรถแต่ไม่ดับเครื่องยนต์ มือถือก็ไม่เอาไปด้วย อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าเข้าไปในอาคารหลังใหญ่
โจวลั่วหยางมองแผ่นหลังของตู้จิ่ง เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง…อาคารหลังนี้ดูเก่าอยู่สักหน่อย ดูแล้วคงไม่ใช่ที่ตั้งบริษัทของอวี๋เจี้ยนเฉียง
เขามองสถานที่ตรงหน้า ทว่าไม่มีป้ายกำกับไว้ แม้แต่ชื่ออาคารก็ไม่มี
* เฟิน เป็นหน่วยเงินที่มีค่าน้อยที่สุดของเงินหยวน โดย 10 เฟิน เท่ากับ 1 เหมา