everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
สิบสองนาฬิกาตรง ตู้จิ่งถูกพาตัวออกมาจากรถตำรวจ
แต่ชั่วขณะที่ก้าวขาออกมายืนนอกรถ ทันใดนั้นเขาก็พบว่ารถไม่ได้จอดที่หน้าประตูสถานีตำรวจ แต่กลับมาจอดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของอาคารสำนักงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง
ตู้จิ่ง “…?”
เขาหันหลังกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว รถตำรวจที่พาตัวมากลายเป็นรถสีดำของอวี๋เจี้ยนเฉียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนี้ตัวเขาก็กำลังยืนอยู่นอกรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
ตู้จิ่ง “…???”
ตู้จิ่งไม่ได้นอนติดต่อกันมาสี่สิบแปดชั่วโมง เลยคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียแล้ว คนขับที่อยู่ข้างหลังเลื่อนกระจกรถลงมาแล้วบอกว่า “คุณโทรหาบอสเถอะ อีกสักพักไม่แน่ว่าระหว่างทางรถน่าจะติด ให้เขารีบออกมาเร็วหน่อย”
เขาล้วงมือถือออกมาก่อนมองดูด้วยสายตาว่างเปล่า หัวคิ้วขมวดมุ่น ยังไม่ทันได้โทรออกอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ลงมาจากตึก
“ไม่นั่งคันนี้หรอก” อวี๋เจี้ยนเฉียงผิวปากด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาวิ่งซอยเท้าลงมาตามขั้นบันได ก่อนจะบอกว่า “ตู้จิ่ง นายไปขับเบนซ์ของฉัน”
เมื่อกุญแจรถลอยมาตู้จิ่งจึงยื่นมือไปรับไว้ ก่อนจะมองอวี๋เจี้ยนเฉียงราวกับเห็นผี ขณะนี้ความคิดของเขาสับสนเป็นอย่างมาก
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…?”
ตู้จิ่ง “…”
ในเวลาเดียวกันโจวลั่วหยางหาวหวอดๆ ก่อนลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนพลางเกาศีรษะแกรกๆ
ตู้จิ่งล่ะ โจวลั่วหยางหันมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ทำไมหายไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง หมอนี่ไม่รู้จักบอกกล่าวกันบ้างเลยหรือไง ขณะกำลังจะส่งข้อความไปถามก็พบว่ายังไม่ได้เพิ่มช่องทางติดต่อของอีกฝ่ายเอาไว้เลย แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่รู้
โจวลั่วหยางค้นในมือถืออย่างจริงจัง ขณะคิดว่าจะทิ้งโน้ตไว้ให้ตู้จิ่งบนประตูดีหรือเปล่าก็มีเพื่อนโทรมาหา
“เฮ้ เบบี๋ จำไว้นะว่าบ่ายนี้จะต้องไปคุยกับหุ้นส่วนของนาย อย่าลืมซะล่ะ”
โจวลั่วหยางยืนอยู่ด้านหลังตรอก กวาดตาหาจักรยานสาธารณะแล้วเข็นออกมา
“ทำไมถึงยังมีอีกล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ! เมื่อวานเพิ่งเจอไปนะ”
“ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ คนนี้ทำงานด้านอสังหาฯ อายุประมาณสี่สิบ แซ่อวี๋ อีกอย่างนายก็ว่างอยู่ ไปเจอหน่อยเถอะ”
“จะเล่าให้ฟัง เมื่อวานฉันไปกินข้าวกับเจ้าคนแซ่อวี๋นั่น ทายซิฉันเจอใคร…”
โจวลั่วหยาง “…?”
จู่ๆ โจวลั่วหยางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เสียงในสายยังคงพูดต่อไป “เอ๋? เมื่อวานไปมาแล้ว? คนรวยแซ่อวี๋มีเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
โจวลั่วหยางยกเท้าขึ้นแล้วเริ่มถีบบันไดจักรยาน ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าสัญญาณไฟจราจรโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเปิดแอพฯ อาลีเพย์* แล้วใช้นิ้วเรียวยาวปัดบนหน้าจอเพื่อค้นหาบันทึกการโอนเงิน…ทว่ากลับไม่มีอะไรเลย
เขาปิดมือถือแล้วเปิดใหม่ และในชั่วขณะสุดท้ายนั้นเองสายตาเขาก็หยุดอยู่ตรงวันที่บนหน้าจอ ‘วันศุกร์ที่เจ็ดเดือนเก้า’
เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย โจวลั่วหยางคิด
“เจอใครเหรอ”
“เปล่า” โจวลั่วหยางตอบอย่างเลื่อนลอย “งั้นฉันวางสายนะ”
“อย่าลืมไปด้วย ห้าโมงเย็นฉันจะมาเตือนนายอีกที”
“รู้แล้ว” โจวลั่วหยางตัดบท “ไม่ลืมหรอก”
ตารางงานวันนี้ของอวี๋เจี้ยนเฉียงเต็มหมดแล้ว หลังมื้อเที่ยงนัดดื่มชากับผู้จัดการธนาคาร พูดคุยเรื่องขยายเวลากู้ยืม ตอนบ่ายพบทนายสองชั่วโมงเพื่อหารือว่าจะแก้ไขปมความขัดแย้งทางการเงินอย่างไรดี จากนั้นบ่ายสี่โมงสี่สิบห้าไปตัดผม ตกเย็นยังจัดเวลาไปนัดบอดที่เพื่อนเป็นคนแนะนำให้ โดยคู่นัดบอดเป็นหนุ่มนักศึกษาอายุประมาณยี่สิบปี
ใช่แล้ว เขาเป็นพวกรักเพศเดียวกัน
ในที่สุดอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้ากับรสนิยมทางเพศของตัวเอง เขาจะลองตามใจตัวเองดูสักครั้ง อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกว่าช่วงนี้มีความกดดันมากเกินไป ผู้ช่วยบอร์ดบริหารที่ตอนแรกจะมาช่วยโปรโมตสินค้าออกสู่ตลาดเกิดตายลงอย่างน่าสงสัย ซ้ำยังตายจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่สามารถประกาศต่อสาธารณะได้ บริษัทที่ดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สายโซ่เงินทุนจะถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ ขนาดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นใหญ่เกินไป อีกทั้งพวกผู้ถือหุ้นก็ไม่พอใจเขามานานแล้ว
หากวันหนึ่งเขาถูกโหวตให้ออกจากบอร์ดบริหาร บริษัทเริ่มมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เขาก็จะสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ไปทั้งหมด ตัวเขาในตอนนี้ถึงจะดูเหมือนกับว่ากำลังรุ่งสุดๆ ทว่าในความเป็นจริงเขายืนอยู่ริมหน้าผาสูงแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นคนกล้าคนหนึ่ง ได้ทุกอย่างมาด้วยสองมือของตัวเอง ใครจะมาแย่งชิงไปย่อมไม่ได้ทั้งนั้น เขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องการความรักและแรงกระตุ้นทางเพศมาช่วยให้ตัวเองลืมปัญหามากมายเหล่านี้ไปก่อนชั่วคราว
แต่จู่ๆ วันนี้เขาก็รู้สึกว่าสายตาที่ตู้จิ่งมองเขานั้นดูแปลกไป
ผู้ช่วยคนนี้มาอยู่กับเขาได้สองเดือนแล้ว หมอนี่เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ซื่อสัตย์ดี อวี๋เจี้ยนเฉียงพอใจเขามาก แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ตู้จิ่งถึงเอาแต่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง
“มีอะไร” อวี๋เจี้ยนเฉียงถาม
ตู้จิ่งเบนสายตาออกไปแล้วบอก “บอสตัดผมทรงนี้แล้วดูดี ดูเด็กลง หล่อมากครับ”
อวี๋เจี้ยนเฉียงหัวเราะโดยไม่ได้พูดอะไร เขามั่นใจในหน้าตาของตัวเองอยู่แล้ว แม้จะอายุสี่สิบแต่ยังคงดูแลร่างกายได้ดีมาก มีกล้ามท้อง มีกล้ามอก และมีเงิน กำลังอยู่ในช่วงที่มีเสน่ห์ที่สุดในชีวิตของผู้ชาย
ขณะที่ตู้จิ่งเปิดประตูรถก็คิดว่าหลังจากนี้อีกสิบเอ็ดชั่วโมง อวี๋เจี้ยนเฉียงก็จะต้องไปนอนแผ่บนลานไซต์ก่อสร้าง กลายเป็นศพที่ร่างแหลกเหลว เขาตามอวี๋เจี้ยนเฉียงเข้าไปในห้องส่วนตัวที่จองไว้ล่วงหน้า ก่อนจะสั่งให้คนยกน้ำชามาเสิร์ฟ
“ได้เวลาแล้ว นายเลิกงานเถอะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงบอก “ให้เสี่ยวอู่มารับฉันกลับก็แล้วกัน”
ตู้จิ่งพยักหน้า เขากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของร้านอาหารแล้วส่งข้อความหาคนขับรถ
เวลาห้าโมงห้าสิบนาทีโจวลั่วหยางก็ผลักประตูเข้ามาในร้านอาหาร
ตู้จิ่ง “…”
โจวลั่วหยางชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองสำรวจรอบๆ ด้วยแววตางงงัน อีกฝ่ายไม่เห็นตู้จิ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมอับสายตา สุดท้ายก็เข้าไปในห้องส่วนตัวหมายเลขสิบสอง
ตู้จิ่งนั่งรออยู่เกือบยี่สิบนาที จนคนขับรถมาแล้วจึงมอบกุญแจรถให้อีกฝ่าย จากนั้นเขาก็ลุกเดินไปตรงห้องส่วนตัว แล้วรอตรงหน้าประตูพลางเงี่ยหูเล็กน้อยเพื่อคอยฟังเสียงในห้อง บทสนทนาระหว่างอวี๋เจี้ยนเฉียงกับโจวลั่วหยางดังแว่วมา
“ยี่สิบเจ็ดปีก่อนเป็นช่วงที่พวกเขาเรียน ม.ปลาย…” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูด
โจวลั่วหยางเอ่ย “คุณอวี๋ยังรับซื้อของรีไซเคิลอยู่หรือเปล่าครับ”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
“คุณรู้ได้ยังไง” อวี๋เจี้ยนเฉียงถาม
วันนี้โจวลั่วหยางเป็นคนโง่งมโดยสมบูรณ์ ในเวลาเที่ยงวันเขาตื่นขึ้นมาในโกดังเก็บของ หลังจากตู้จิ่งหายตัวไป เขาก็ได้ประสบกับวันที่เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเดิม!
หรืออาจพูดได้ว่าเขาได้ใช้ชีวิตในวันที่เจ็ดเดือนเก้าซ้ำอีกครั้ง
เขาขี่จักรยานผ่านสัญญาณไฟจราจรแบบเดิม รับโทรศัพท์สายเดิม โจวเล่อเหยานั่งเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ในห้อง หน้าเว็บเหมือนเดิมเป๊ะ! โจวลั่วหยางเริ่มเกิดความสงสัยจนถึงที่สุดต่อโลกใบนี้ จู่ๆ เขาก็ได้ย้อนเวลากลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนราวกับเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น!
เขามาถึงร้านอาหารร้านเดิมกับที่ไปมาเมื่อวานและได้พบอวี๋เจี้ยนเฉียงอีกครั้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ชีวิตฉันพังทลายแล้ว!
แต่โจวลั่วหยางควบคุมความรู้สึกได้ดีมาก ตลอดทางเขานึกสงสัยอยู่หลายครั้ง นี่ใช่สิ่งที่คนเรียกกันว่า ‘เดจาวู’ หรือเปล่า บางครั้งสมองของเราก็ลวงให้สับสน เมื่ออยู่ในภาพฉากบางอย่างที่กำหนดไว้ ต่อมใต้สมองจะหลั่งกลุ่มฮอร์โมนพิเศษหลายชนิดที่ทำให้เกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า ‘ฉันเคยมาที่นี่’ ไม่ก็ ‘เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน’
โจวลั่วหยางจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดมาทดสอบ
การเกิดขึ้นของเดจาวูมีผลต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ไม่ส่งผลอะไรกับอนาคต หรืออาจพูดได้ว่าถ้าโจวลั่วหยางพูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ตามวิถีของการเกิดซ้ำของสรรพสิ่งก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าทุกเรื่องที่เกิดในวันที่เจ็ดเดือนเก้าเคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
แล้วถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงล่ะ ในใจโจวลั่วหยางเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา นี่มันพิลึกเกินไปแล้ว! เขาไม่ค่อยกล้าทดสอบ ถึงขั้นบังคับตัวเองว่าอย่าคิดมาก แต่ก็จนใจที่การสะกดจิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้ผล ระหว่างเดินทางมาตามนัดโจวลั่วหยางพยายามเตรียมใจมานับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะใช้อวี๋เจี้ยนเฉียงนี่แหละเป็นตัวทดสอบ
ตอนที่อวี๋เจี้ยนเฉียงเผยสีหน้าแปลกใจนั้น โจวลั่วหยางกลับหวาดหวั่นยิ่งกว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงเสียอีก นี่ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขาคาดเดาถูกต้อง
ไม่ใช่ภาพหลอนและไม่ใช่เดจาวู
วันนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง!
ให้ตายสิ…โจวลั่วหยางคิด ฉันย้อนเวลากลับมาเมื่อหนึ่งวันก่อนเหรอเนี่ย
“หลังจากนั้นคุณก็ทำงานที่ร้านรับซื้อของรีไซเคิลหนึ่งปีจนได้รู้จักกับพี่ใหญ่ในวงการคนหนึ่ง แล้วคุณก็ออกมากับพี่ใหญ่คนนั้น ทำธุรกิจซื้อมาขายไป ต่อมาพี่ใหญ่คนนั้นล้มป่วยและต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา ครอบครัวของพี่ใหญ่ก็พากันไปด้วย คุณเลยรับช่วงทำธุรกิจต่อจากเขา”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
“คุณเคยแต่งงานครั้งหนึ่ง มีลูกชายหนึ่งคน จากนั้นก็หย่า ลูกชายคุณอายุไล่เลี่ยกับผม แต่เป็นคนไม่ค่อยพูด คุณสงสัยว่าเขาก็เป็นพวกรักเพศเดียวกันเหมือนกัน เมื่อก่อนคุณดูหนังโป๊เป็นครั้งคราว สงสัยว่าตอนเขาเอามือถือของคุณไปใช้น่าจะเจอเข้า แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ต่างฝ่ายต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
โจวลั่วหยางแอบประเมินจากสีหน้าของอวี๋เจี้ยนเฉียงพลางขุดคำพูดที่อีกฝ่ายเคยพูดออกมาเล่าอีกรอบ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่อวี๋เจี้ยนเฉียงเล่าให้เขาฟังหลังจากดื่มจนเมาเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน
ทว่าสำหรับอวี๋เจี้ยนเฉียงแล้วสิ่งที่น่าตื่นตระหนกที่สุดไม่ได้มาจากการที่โจวลั่วหยางรู้จักตัวเขาดีเหมือนกับชี้ฝ่ามือของตัวเอง แต่เป็นจุดประสงค์เบื้องหลังต่างหาก!
“นายตามสืบฉัน?” น้ำเสียงของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปลี่ยนไป
ถึงแม้ในใจของโจวลั่วหยางจะยังคงหวาดหวั่น ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน เขาเพียงแค่ดื่มชาแล้วพูดอย่างราบเรียบ
“ผมดูโหงวเฮ้งเป็นน่ะ เป็นวิชาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ นอกจากตรวจสอบคุณได้แล้ว ยังตรวจสอบได้ด้วยว่าคุณคิดอะไรอยู่”
อวี๋เจี้ยนเฉียงอ้าปากน้อยๆ แม้แต่ไวน์ก็ไม่แตะ เขามองโจวลั่วหยางอย่างตกตะลึง
“นาย…เรื่องพวกนี้ดูจากโหงวเฮ้งได้ด้วยเหรอ!” อวี๋เจี้ยนเฉียงกล่าว
โจวลั่วหยางเกือบจะยืนยันได้แน่นอนแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเขากลับละเลยปัญหาหนึ่งไป…เพราะเอาแต่อยากจะยืนยันเรื่องที่ผ่านมาให้แน่ใจ เลยทำให้อวี๋เจี้ยนเฉียงตกใจจนขวัญผวาโดยไม่คาดคิด ดีที่เขาหัวไวจึงสลับสับเปลี่ยนตัวตนที่สร้างขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน และจู่ๆ ก็รู้สึกสนุกขึ้นมาเลยเปลี่ยนที่นั่งแล้วพูดขึ้น
“มา ให้ผมดูลายมือหน่อย”
อวี๋เจี้ยนเฉียงยื่นมือให้โจวลั่วหยางโดยไม่รู้ตัว โจวลั่วหยางแสร้งทำเป็นดูลายมืออย่างกระตือรือร้น ทั้งที่จริงๆ แล้วดูอะไรไม่ออกทั้งนั้น
โจวลั่วหยางบอก “ดูเส้นนี้สิ นี่บ่งบอกว่าคุณจะมีลูกชายอีกคน…”
อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”
โจวลั่วหยางเริ่มแสดงความสามารถในการคุยโม้โอ้อวดของตัวเอง ส่วนในใจก็คิดว่าจะจบบทสนทนานี้ให้รวดเร็วที่สุดอย่างไรดี เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญ
ทว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงพลันเปลี่ยนความคิด เขากุมมือโจวลั่วหยางแล้วบอกว่า “ดูไม่ออกเลยว่าคุณที่อายุน้อยขนาดนี้จะเป็นเทพเซียนเดินดิน!”
โจวลั่วหยาง “เอ่อ…”
คำว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ ของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปิดโปงนิสัยใจคอเขาอย่างหมดเปลือก เขารีบซักถามทันที
“ขอถามหน่อย เรื่องที่ผมกำลังกลุ้มใจจะคลี่คลายเร็วๆ นี้ไหม”
โจวลั่วหยางดึงมือกลับ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโบกมือให้อวี๋เจี้ยนเฉียง พร้อมกับหัวเราะอย่างเป็นปริศนา
สีหน้าของอวี๋เจี้ยนเฉียงเปลี่ยนเป็นจริงจังในพริบตา
โจวลั่วหยางเอ่ย “ผมดูได้แค่เรื่องในอดีต ยังดูอนาคตไม่เป็นครับ ปู่ไม่ยอมสอนผม”
“แล้วปู่…ของคุณล่ะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงซักถามต่อ
“เสียแล้วครับ” โจวลั่วหยางเริ่มแต่งเรื่องต่อ “พูดเรื่องในอดีตน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ทำนายอนาคต แพร่งพรายความลับสวรรค์อาจนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ ฟ้ามีลมฝนที่ไม่อาจคาดเดา คนมีเคราะห์ดีร้ายช่วงสั้นๆ สลับกันไปไม่ใช่เหรอ คุณเองก็ปล่อยวางเถอะ”
มุมปากของอวี๋เจี้ยนเฉียงกระตุกไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างสบตากันเงียบๆ
โจวลั่วหยางไม่ค่อยสนใจเงินเดือนเดือนละหมื่นสองสักเท่าไหร่จึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้น…วันนี้เราพอแค่นี้ดีกว่าไหมครับ”
‘เทพเซียนเดินดิน’ ขี่จักรยานมาและจะขี่จักรยานกลับอย่างเบิกบานร่าเริงเต็มที่โดยไม่แตะอาหารที่วางไว้เต็มโต๊ะ ราวกับไม่ได้สนใจเรื่องนัดบอดเลยสักนิด จุดประสงค์ที่มาก็เพื่อชี้แนะแนวทางชีวิตให้กับอวี๋เจี้ยนเฉียง ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากภาวะยากลำบากก็เท่านั้น
“ได้ยินว่าคุณเปิดร้านขายของโบราณ?”
ในที่สุดโจวลั่วหยางก็นึกถึงเจตนาเดิมของตัวเองตอนที่มาพบกันหนก่อน ซึ่งก็คือการหาหุ้นส่วนที่ยินดีจะทำธุรกิจและพยายามไปด้วยกัน แต่เขาไม่สนใจอวี๋เจี้ยนเฉียงเท่าไหร่นักเพราะพวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน
เรื่องต่อไปที่อยากทำคือออกจากร้านอาหาร หาที่ลับสายตาสักแห่งรอให้ตู้จิ่งปรากฏตัว ตามเหตุผลแล้วตู้จิ่งจะเข้ามาในอีกไม่ช้าเพื่อส่งอวี๋เจี้ยนเฉียงออกไป
“คุณขาดเงินไม่ใช่เหรอ” อวี๋เจี้ยนเฉียงหยิบมือถือออกมา “ได้ยินว่าคุณต้องใช้เงินทุนตั้งต้นเพื่อเปิดร้านอีกครั้ง ขาดอยู่เท่าไหร่ล่ะ” ในเวลาเดียวกันอวี๋เจี้ยนเฉียงก็เกิดความคิดอื่นขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าหนุ่มนี่จะดูโหงวเฮ้งได้จริงหรือเป็นแค่นักต้มตุ๋นที่รู้วิธีการสังเกตคำพูดและสีหน้าคนเท่านั้น แต่ต่อไปในอนาคตก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี อย่างตอนที่ร่วมมือกับคู่แข่งทางธุรกิจก็ยังพาเขาไปด้วยได้เพื่อให้ความเห็น
“ไม่ต้องหรอก” โจวลั่วหยางยิ้มแล้วเอ่ย “ไม่ได้ขาดเงิน ผมจะไปแล้ว คืนนี้มีธุระน่ะ”
“แลกช่องทางการติดต่อกันไว้สักอย่างสิ เมื่อไหร่ที่อยากให้พี่ชายช่วยก็บอกมาได้เลย” อวี๋เจี้ยนเฉียงกำลังจะเพิ่มช่องทางการติดต่อกับโจวลั่วหยาง ทว่าโจวลั่วหยางกลับหยิบปากกาออกมาเขียนเบอร์โทรศัพท์กับชื่อของตัวเองไว้บนกระดาษเช็ดปาก
“มีวาสนาคงได้พบกันอีก” โจวลั่วหยางหัวเราะ เขาผลักเปิดประตูห้องส่วนตัวก่อนจะชนเข้ากับตู้จิ่งพอดิบพอดี
เหมือนวันนั้นที่ทั้งสองได้พบกันครั้งแรก ในหอพักที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและลมพายุ
เป็นเหมือนอนุภาคควอนตัมสองอนุภาคที่แฝงพลังงานอมตะ ดึงดันจะลอยเข้าหากันภายใต้การจัดสรรของเหตุและผลกับชะตากรรมอันเวิ้งว้าง แล่นฉิวผ่านสถานที่และเวลาอันไร้ขอบเขต ข้ามห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ มาพร้อมกับพลังงานทั้งหมดก่อนจะดับสูญ ระเบิดออกเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ถล่มผืนฟ้าทลายผืนดิน กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ที่ร้อนแรงแผดเผา ปลดปล่อยรังสีสว่างโรจน์ท่ามกลางโลกอันมืดมน
“เสี่ยวตู้ ไปส่งคุณโจวหน่อย” อวี๋เจี้ยนเฉียงสั่ง
ไฟประดับเพิ่งสว่าง ถนนหนทางเต็มไปด้วยแสงนีออน ตรงหน้ากระจกของร้านคาเฟ่ที่ยาวจรดพื้น โจวลั่วหยางเหม่อลอยเล็กน้อยพลางมองสำรวจตู้จิ่งด้วยความสงสัย ตู้จิ่งได้ประสบกับเหตุการณ์ในวันที่เจ็ดเดือนเก้าอีกครั้งหรือไม่ หรือจะบอกว่าเขาเป็นเหมือนกับอวี๋เจี้ยนเฉียงที่เป็นคนแปลกหน้าซึ่งผจญภัยอยู่ในห้วงเวลาของตัวเอง
“ช่วยดูให้ผมหน่อย” ตู้จิ่งแบมือข้างซ้ายตรงหน้าโจวลั่วหยาง “เส้นความรัก เส้นชีวิต แต่ละเส้นบอกอะไรบ้าง”
“หลายปีมานี้นายหายไปไหนมา” โจวลั่วหยางเลือกเปิดฉากด้วยประโยคนี้
“ไม่ใช่ว่าเล่าให้ฟังแล้วเหรอ” ตู้จิ่งตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปรักษาตัวไง”
โจวลั่วหยาง “…!!!”
“นายก็จำได้!” โจวลั่วหยางรีบคว้านิ้วมือตู้จิ่งไว้แล้วพูดอย่างตกใจ “ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ได้เจอกับ…”
“ชู่ว” ตู้จิ่งนิ่วหน้าโดยปล่อยมือซ้ายให้โจวลั่วหยางจับไว้ ส่วนนิ้วชี้มือขวานั้นยกขึ้นจรดริมฝีปาก ทำท่าบอกไม่ให้โจวลั่วหยางกระโตกกระตาก
“นาย…ฉัน…” โจวลั่วหยางปล่อยมือตู้จิ่ง พินิจมองเขาแล้วกระซิบอย่างเร่งรีบ “ตอนแรกฉันคิดว่าฝันไป ตอนตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงนายหายไปไหน เห็นชัดๆ ว่าฉันเคยใช้ชีวิตของวันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว…”
ตู้จิ่งเอียงคอ มองออกไปนอกหน้าต่างบานยาวจรดพื้น เขาจ้องมองสองตาของโจวลั่วหยางจากเงาสะท้อนพลางตอบกลับ “ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองย้อนกลับมาเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน นี่ไม่ใช่ภาพหลอน”
ว่าแล้วก็หันกลับมาสบตาโจวลั่วหยางอีกครั้ง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างมาก
“ทำไมนายถึงอยากเล่าเรื่องพวกนี้ให้อวี๋เจี้ยนเฉียงฟังล่ะ” ตู้จิ่งถาม “ทำไมไม่โทรหาฉันก่อน โทรกริ๊งเดียวก็รู้เรื่องแจ่มแจ้งแล้ว”
โจวลั่วหยางย้อนถาม “ฉันจะไปรู้เบอร์นายได้ยังไง นายบอกฉันแล้วเหรอ”
“ทำไมเมื่อวานไม่เมมไว้”
“เมมแล้วจะจำได้หรือไง นายจำเบอร์ฉันได้ไหมล่ะ”
ตู้จิ่งบอกเบอร์โทรศัพท์ของโจวลั่วหยางให้ฟัง ยกนี้โจวลั่วหยางเลยเป็นฝ่ายแพ้ไป
“ถ้างั้นทำไมนายไม่โทรหาฉัน” โจวลั่วหยางเปิดฉากโต้กลับอย่างไม่ยินยอม
ตู้จิ่งตอบ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้เกิดกับฉันคนเดียวน่ะสิ ฉันไม่กล้าทดสอบเพราะกลัวจะทำให้นายตกใจ ฉันยังตรวจบันทึกการโอนเงินด้วยนะ” วิธีแรกที่ตู้จิ่งใช้ยืนยันก็คือตรวจดูรายการโอนเงินที่โอนให้โจวลั่วหยางเมื่อวาน พอพบว่ารายการนั้นหายไป เขาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ภาพหลอน
โจวลั่วหยางเล่าบ้าง “ฉันก็ตรวจ แต่ฉันยังไม่แน่ใจ”
ตู้จิ่งย้อนถาม “ทำไมไม่เชื่อมั่นในตัวเอง”
“ความทรงจำมันหลอกลวงได้นี่นา!” แล้วโจวลั่วหยางก็นึกอะไรขึ้นได้จึงยื่นมือแล้วพูดว่า “มือถือ”
“เมมเบอร์ให้ดีล่ะ” ตู้จิ่งทำเสียงเย็นชา “ไม่มีคราวหน้าแล้วนะ”
ขู่ใครกันล่ะนั่น โจวลั่วหยางคิดในใจ
โจวลั่วหยางยื่นมือถือไปตรงหน้าตู้จิ่ง ปลดล็อกแล้วทำการโอนเงินอีกครั้ง ประจวบกับมือถือมีสายเข้า บนหน้าจอขึ้นว่า ‘บอสอวี๋’ โจวลั่วหยางสไลด์หน้าจอวางสายอวี๋เจี้ยนเฉียงที่โทรหาตู้จิ่งทิ้งโดยไม่แม้แต่จะดู
ตู้จิ่งที่จับตาดูทุกการกระทำของโจวลั่วหยางตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พูดขึ้น “นายไม่ควรพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นกับอวี๋เจี้ยนเฉียง นั่นจะทำให้เขาสงสัยและระแวงว่ามีคนกำลังตามสืบเรื่องของเขาอยู่”
“โอ้?” โจวลั่วหยางย้อน “เขาเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ เขาจะมาทำอะไรฉันได้”
“เขาไม่ทำอะไรนายหรอก แต่อีกเก้าชั่วโมง ตอนตีสี่คืนนี้ เขาจะกระโดดลงมาจากชั้นยี่สิบเจ็ด” ตู้จิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
* อาลีเพย์ (Alipay) เป็นแอพพลิเคชั่นที่บริการรับชำระเงินออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมมากในประเทศจีน