ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่

สี่ทุ่มครึ่ง รถจอดในโรงจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทอวี๋เจี้ยนเฉียง

“พวกเราคงไม่ได้ติดอยู่ในวันเดิมหรอกนะ”

โจวลั่วหยางนึกถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับการย้อนเวลาที่เคยดู แล้วพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

ตู้จิ่งไม่ได้นอนติดต่อกันเกือบสามสิบหกชั่วโมงแล้ว แต่ยังคงกระปรี้กระเปร่า เขาตอบกลับว่า “วันนี้ยังไม่ผ่านไป”

โจวลั่วหยาง “ทำไมมีแค่นายกับฉัน”

จนถึงตอนนี้โจวลั่วหยางยังคงตกตะลึงและงุนงงราวกับฝันไป

“ไม่รู้สิ” ตู้จิ่งตอบอย่างกระชับและตรงไปตรงมา

จู่ๆ โจวลั่วหยางก็คว้ามือของตู้จิ่งพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ตู้จิ่งรู้ทันทีว่าโจวลั่วหยางอยากพูดอะไรผ่านแววตาของเขา

นายคิดอย่างนี้จริงๆ?

ระหว่างพวกเขามีหลายสิ่งที่รู้ใจกันโดยไม่ต้องพูด ต่อให้จากกันไปหลายปีแต่ความรู้สึกที่รู้กันนี้ไม่ได้ลดลงตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย

“ใช่” ตู้จิ่งพูดเสียงขรึม “ฉันคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริง อย่างน้อยก็ตอนนี้ ทั้งฉันและนายก็มีอยู่จริง”

“แต่เพราะอะไรล่ะ…” โจวลั่วหยางยังงุนงงสงสัย

ตู้จิ่งพาเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะเงยหน้ามองกล้องวงจรปิดตรงเพดาน “พลังเหนือธรรมชาติมั้ง? สำคัญด้วยเหรอ กลับไปค่อยคิดได้หรือเปล่า”

โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาพูดว่า “แล้วตอนนี้ล่ะ จะทำอะไร”

เลขบอกชั้นในลิฟต์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตู้จิ่งตอบ “กลับบริษัท ไปเอาของ”

โจวลั่วหยางเอ่ย “ถ้านายแน่ใจว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงจะฆ่าตัวตาย ตอนนี้นายก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนบอสของนาย แล้วคอยพูดโน้มน้าวเขาไม่ใช่เหรอ…”

ตู้จิ่งตอบ “หลังออกมาจากโกดังเก็บของ ฉันก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที พวกเขาสงสัยว่าฉันผลักอวี๋เจี้ยนเฉียงลงมา”

โจวลั่วหยาง “…”

โจวลั่วหยางเริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงแล้วตู้จิ่งทำงานอะไรกันแน่ ไม่ได้เจอกันสามปี ตั้งแต่อีกฝ่ายปรากฏตัวอีกครั้งก็ไม่ได้อธิบายเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับตัวเองให้เขาฟังเลยสักเรื่อง

ตู้จิ่งล้วงเอาบัตรพนักงานออกมารูดที่ชั้นสำนักงานใหญ่ แล้วเดินตรงเข้าไปอย่างคุ้นทาง

“ฉันไม่มีหลักฐานว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ” ตู้จิ่งบอก “ตอนแรกฉันจะไปซื้อข้าวเที่ยงให้นาย เพิ่งเดินออกมาก็ถูกตำรวจอาชญากรรมพาขึ้นรถ ตอนที่ลงจากรถไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาถึงย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน”

โจวลั่วหยาง “ตอนเขาฆ่าตัวตาย นายทำอะไรอยู่”

ตู้จิ่งไม่ตอบ เพียงแค่พาโจวลั่วหยางเดินผ่านโต๊ะทำงานแล้วบอกว่า “มาทางนี้ ตรงนี้เป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด”

ในที่สุดโจวลั่วหยางก็อดรนทนไม่ไหว เขาเค้นถาม “นายทำงานอะไรกันแน่! นายไม่มีทางเป็นผู้ช่วยของอวี๋เจี้ยนเฉียง!”

ตู้จิ่งยังคงไม่ตอบ เขาให้โจวลั่วหยางนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งออกมาจากตู้พลางบอก “นี่เป็นโต๊ะทำงานของฉัน รออยู่นี่แหละ ฉันจะไปเปิดประตูห้องทำงานของเขา อย่าเดินเพ่นพ่าน”

โจวลั่วหยางบอก “ตอบคำถามฉันมาก่อน ไม่งั้นฉันจะไปแล้ว เล่อเหยายังรอให้ฉันกลับไปช่วยเขาอาบน้ำอยู่ที่ห้อง”

ตู้จิ่งเพิ่งเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว โจวลั่วหยางก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ”

ตู้จิ่งหยุดเดินโดยไม่ได้หันกลับไป หลังจากนิ่งเงียบไปสามวินาทีจึงตอบกลับมา

“ตั้งแต่สามทุ่ม ใต้อาคารที่พักของนาย ฉันนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของเขตชุมชนทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า”

โจวลั่วหยางนิ่งเงียบ ตู้จิ่งสวมถุงมือก่อนจะปัดผ่านกลอนประตูดิจิตอลบนประตูห้องทำงานของอวี๋เจี้ยนเฉียง จากนั้นตัวเลขก็สว่างวาบขึ้นตามลำดับ

ตู้จิ่งเปิดแฟ้ม แยกแยะเครื่องหมายลายนิ้วมือโดยเทียบกับภาพถ่าย

โจวลั่วหยางขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งของตู้จิ่ง มีเสียงตี๊ดดังขึ้นสองสามครั้ง แสงจากตัวเลขบนกลอนประตูดิจิตอลจางลง เป็นอันว่าเปิดประตูไม่สำเร็จ

โจวลั่วหยางเบนความสนใจไปที่โต๊ะทำงานของตู้จิ่ง โต๊ะจัดไว้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน มีเพียงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เสียบสายชาร์จแบตฯ ไว้หนึ่งเครื่อง กระป๋องเครื่องดื่มหนึ่งใบ ในกระป๋องใส่ดินไว้เล็กน้อยเพื่อปลูกต้นไม้สีเขียวต้นเล็กๆ บนตัวกระป๋องมีสัญลักษณ์ที่ใช้กุญแจขูดขีดให้เป็นรอยอย่างเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ว่า ‘DZ’ โดยเส้นตรงกลางของตัว ‘Z’ ทับซ้อนกับตัว ‘D’

“กลอนประตูดิจิตอลแบบนี้ปกติแล้วกดผิดได้แค่สามครั้ง” เมื่อโจวลั่วหยางได้ยินเสียงเตือนรหัสผิดครั้งที่สองจึงออกปากเตือน “อยากเข้าไปขโมยของในห้องทำงานเจ้านาย คงต้องมาวันหลังแล้วล่ะ”

ตู้จิ่งไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น เขารวบรวมเลขรหัสเปิดประตูหกตัวจากลายนิ้วมือ แต่ยากจะหาลำดับตัวเลขที่ถูกต้องได้ หลังจากคอยสังเกตอยู่สองเดือนเต็มๆ ก็จำต้องลองเสี่ยงดูในวันนี้ เพราะอีกไม่นานอวี๋เจี้ยนเฉียงจะฆ่าตัวตาย เมื่อถึงตอนนั้นห้องทำงานจะถูกปิดตายโดยไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว

“ไม่ต้องรอวันหลัง ถ้าวันที่เจ็ดเดือนเก้าจะวนมาอีกครั้งล่ะ” ตู้จิ่งพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“อย่าพูดอย่างนี้นะ!” โจวลั่วหยางพลันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

ทันใดนั้นกลอนประตูดิจิตอลมีเสียงดนตรีดังขึ้น เปิดประตูได้แล้ว ตู้จิ่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นก็เผชิญกับด่านที่สอง

“มานี่สิ” ตู้จิ่งบอก “ตานายแล้ว”

ตู้จิ่งเปิดโคมไฟในห้องทำงานแล้วปิดประตูตามหลัง ก่อนจะทำท่าบอกให้โจวลั่วหยางดูตู้เซฟซึ่งวางอยู่ที่ด้านล่างของชั้นวางหนังสือ

ตู้จิ่ง “ช่วยฉันเปิดหน่อยสิ”

โจวลั่วหยาง “…”

ทั้งสองมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดโจวลั่วหยางก็รู้ว่าทำไมเมื่อวานตอนกลางวันตู้จิ่งถึงถามเรื่องตู้เซฟขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ฉันต้องกลับไปเอาคู่มือ” โจวลั่วหยางบอก

“นายทำได้” ตู้จิ่งสวน “ไม่ต้องมีคู่มือหรอก”

โจวลั่วหยาง “…”

“ที่ผ่านมาถ้ามีเรื่องไหนที่ฉันอยากให้นายใส่ใจ ความจำของนายจะดีมากๆ” ตู้จิ่งพูดเสริมอีก

ในที่สุดโจวลั่วหยางก็เอ่ย “เอาแก้วน้ำมาให้ฉันใบหนึ่งสิ”

ตู้จิ่งหาแก้วน้ำจากใต้โต๊ะมาให้เขา พร้อมกับถอดถุงมือแล้วโยนไปให้ด้วยกัน

โจวลั่วหยางได้แต่คุกเข่าลงหน้าชั้นวางหนังสือแล้วสวมถุงมือ ถุงมือนั้นบางมาก ทั้งยังมีไออุ่นจากตัวของตู้จิ่ง กระทั่งกลิ่นกายของเขาก็ติดมาด้วยเล็กน้อย

“นายเปลี่ยนอาชีพมาเป็นโจรแล้วเหรอ” โจวลั่วหยางเอาแก้วน้ำวางแนบบนหลังตู้เซฟ แล้วฟังเสียงที่ดังอยู่ข้างใน

โจวลั่วหยางคุกเข่าข้างเดียว จำเป็นต้องก้มลงฟังเสียงเพื่อแยกแยะเสียงกลไกในตู้ ตู้จิ่งเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ขายาวๆ ที่แยกออกจากกันเล็กน้อยอยู่ตรงหน้าเขาพอดี

ตู้จิ่งนั่งหันมาทางโจวลั่วหยาง โน้มตัวเล็กน้อยพลางจ้องมองดวงตาของเขา

“เคยคิดจะเป็นโจรอยู่” ตู้จิ่งตอบ “แต่น่าเสียดาย โลกนี้มีของหลายอย่างที่ต่อให้มีความสามารถเก่งกาจสักแค่ไหนก็ขโมยมาไม่ได้”

“นายขโมยเวลามาได้แล้วตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง”

โจวลั่วหยางหมุนที่จานหมุนพลางเงยหน้ามองตู้จิ่ง แสงสลัวจากโคมไฟตกกระทบลงบนใบหน้าด้านข้างของเขา รวมถึงแผลเป็นที่พาดอยู่บนสันจมูกและดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นจนมีความหล่อเหลาไปอีกแบบ เขาเป็นผู้ใหญ่และสงวนท่าทีมากกว่าเมื่อสามปีก่อน

“สำหรับฉันเวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด” ตู้จิ่งพูดโพล่งออกมา

“งั้นนายอยากขโมยอะไรล่ะ” โจวลั่วหยางมีลางสังหรณ์ว่าของที่อยู่ในตู้เซฟจะต้องเป็นของสำคัญอย่างมาก ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงไม่ยอมเสี่ยงถึงขนาดเลือกที่จะแอบเข้ามาในห้องทำงานของอวี๋เจี้ยนเฉียงในช่วงเวลาสุดท้ายอย่างนี้แน่

ริมฝีปากของตู้จิ่งขยับเล็กน้อย เขาตอบ “หัวใจของนายไงล่ะ”

โจวลั่วหยางไม่ได้ตอบ ด้วยคร้านจะสนใจเขา จึงตั้งใจฟังเสียงจากในตู้เซฟเพียงเท่านั้น

หลังจากเงียบงันเป็นเวลานาน โจวลั่วหยางก็อดที่จะเอ่ยปากพูดไม่ได้ “พูดอะไรหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันง่วงจนจะหลับอยู่แล้ว”

ตู้จิ่ง “กลัวจะรบกวนนาย”

โจวลั่วหยาง “ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร ดูถูกกันขนาดนี้เชียว?”

ตู้จิ่งจึงถามกลับอย่างจริงจัง “อยากคุยอะไรล่ะ”

ตกดึกภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟ กลับทำให้มีบรรยากาศที่โรแมนติกอย่างไม่ธรรมดา

“ฉันไม่ชอบใจเลยที่ต้องคุกเข่าให้นาย” โจวลั่วหยางพยายามเงี่ยหูคอยฟังเสียงจากในตู้เซฟ

ตู้จิ่งจึงลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าโจวลั่วหยาง โจวลั่วหยางนั้นคุกเข่าข้างเดียว ส่วนตู้จิ่งคุกเข่าทั้งสองข้าง ทั้งสองคุกเข่าหันหน้าเข้าหากันอย่างนี้โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็สบตาและไม่ขยับเขยื้อน

“แล้วอย่างนี้ล่ะ” ตู้จิ่งสังเกตสีหน้าของโจวลั่วหยางอย่างละเอียด

“ยังสูงไปหน่อย” โจวลั่วหยางขมวดคิ้วพลางเอ่ย

แม้ตู้จิ่งจะคุกเข่าแต่ก็ยังสูงกว่าโจวลั่วหยางเล็กน้อย พอได้ยินเช่นนี้ตู้จิ่งก็ค้อมหลังลงอีกหน่อยจนใบหน้าค่อยๆ ประชิดเข้าไป

โจวลั่วหยางมองเขาโดยไม่ละสายตาพลางเอ่ย “หลายปีมานี้นายสบายดีไหม”

“แย่มาก” ตู้จิ่งตอบ “แย่จนนายคิดไม่ถึงเลยล่ะ”

“เคยคิดจะฆ่าตัวตายไหม”

“ไม่เคย ฉันเคยรับปากนายไว้แล้วนี่ ต่อให้จะจากไปก็ต้องบอกลาอย่างจริงจัง ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้”

“ตอนนี้เลยกลับมาบอกลางั้นเหรอ”

“ยังไม่ถึงเวลา”

“อย่างนั้นก็ดี” พอได้ยินคำตอบนี้แล้วโจวลั่วหยางก็พึงพอใจ

ตู้จิ่งเอ่ย “นายแค่อยากให้ฉันอยู่อย่างยากลำบากในโลกนี้”

“ใช่แล้ว” โจวลั่วหยางบอก “เห็นนายลำบากแล้วฉันรู้สึกดีมาก”

“นายรู้สึกดีที่ได้ ‘จินตนาการว่าฉันลำบาก’ ต่างหากล่ะ” ตู้จิ่งแก้ให้

โจวลั่วหยางตอบกลับ “คล้ายๆ กันแหละ”

ตู้จิ่ง “ล้าไหม หรือจะเปลี่ยนท่า?”

ในช่วงหนึ่งของระยะเวลาที่ยาวนานนี้ตู้จิ่งกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง โจวลั่วหยางจึงเปรยว่า “ความเชื่อใจที่นายมีให้ฉันค่อยๆ สั่นคลอนไปตามเวลาทุกนาทีทุกวินาทีที่ผ่านไปสินะ”

ตู้จิ่งตอบกลับ “ไม่ใช่สักหน่อย เรายังมีเวลาอีกมาก ฉันยินดีคุกเข่าจนถึงเช้า ของที่มีรหัสล็อกอย่างนี้ต้องใช้ความอดทน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว”

โจวลั่วหยาง “ตราบใดที่อุปกรณ์ในโลกมีการติดตั้งรหัสก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ว่าอาจจะลืมรหัสได้ ตู้เซฟส่วนใหญ่เลยมีวิธีตั้งรหัสผ่านใหม่ แต่คนส่วนมากมักไม่รู้”

โจวลั่วหยางสังหรณ์ใจว่าจวนจะปลดล็อกได้แล้ว กระทั่งได้ยินเสียงดังแว่วมาจากในตู้เซฟ

จากนั้นเขาก็วางแก้วน้ำลง ตู้จิ่งรีบใช้แสงไฟจากมือถือส่องไปที่จานหมุน โจวลั่วหยางพบรอยขีดเล็กๆ ที่ตรงกันจึงเริ่มตั้งรหัสผ่านใหม่ ในที่สุดตู้เซฟก็เปิดได้แล้ว

ตู้จิ่งเอื้อมมือไปหยิบซองเอกสารหนาๆ ซองหนึ่งออกมาจากในตู้เซฟ

“นี่คืออะไร” โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งตอบ “สมุดบัญชีกับรายละเอียดทางการเงินของบริษัท”

จากนั้นตู้จิ่งก็ดึงมือโจวลั่วหยาง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปคลำในตู้เซฟรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าในนั้นไม่มีอะไรแล้วจึงปิดประตูตู้เซฟไว้อย่างเดิม

ทันใดนั้นก็มีเสียงติ๊ดดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

โจวลั่วหยางหันขวับแล้วมองหาไปทั่วว่าเสียงนี้มาจากไหน แต่ตู้จิ่งกลับฟังออกว่าเป็นเสียงเครื่องสแกนนิ้วเข้างาน

ตู้จิ่งตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขาดึงโจวลั่วหยางให้ลุกขึ้น แล้วเอาซองเอกสารยัดใส่อกเสื้อของอีกฝ่าย พร้อมทั้งกลิ้งแก้วน้ำไปใต้ชั้นหนังสือ ก่อนจะลุกขึ้นโผไปที่ลูกบิดประตู จากนั้นก็เปิดแล้วออกไปจากห้องทำงาน ขณะเดียวกันก็เอามือปิดปากโจวลั่วหยางไว้ไม่ให้ส่งเสียง

โจวลั่วหยางเดินโซเซเพราะคุกเข่านานเกินไปจนขาชา ตู้จิ่งสังเกตเห็นทันทีจึงอุ้มเขาขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปที่โต๊ะทำงาน ไถลไปบนพื้นพรม หลังจากผลักโจวลั่วหยางเข้าไปใต้โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วตู้จิ่งก็ปีนขึ้นมาฟุบบนโต๊ะทันที

วินาทีเดียวหลังจากที่เขานั่งลง ไฟบนชั้นสำนักงานใหญ่ทั้งชั้นก็สว่างพรึบ

อวี๋เจี้ยนเฉียงสะพายกระเป๋ากีฬาเดินเข้ามาในสำนักงาน เมื่อเห็นตู้จิ่งก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ด้วยไม่คิดว่าใกล้เที่ยงคืนแล้วจะยังมีคนอยู่ในสำนักงาน

“นายทำอะไรอยู่”

ตู้จิ่งเงยหน้า สายตาของเขาว่างเปล่าขณะยืนขึ้น จากนั้นอวี๋เจี้ยนเฉียงก็ทำท่าบอกให้ตู้จิ่งนั่งลง

“กลับมาคิดบางเรื่องน่ะครับ” ตู้จิ่งบอก “คิดจนหลับไป”

อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าแต่ไม่ได้ถามอะไรมาก เขาหันไปรูดบัตรแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ

โจวลั่วหยางนั่งขดอยู่ใต้โต๊ะ เขาถูกสองขายาวๆ ของตู้จิ่งหนีบไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ จะชะโงกหน้าออกมามองก็ไม่ได้ จึงเริ่มแก้เชือกบนซองเอกสารออกโดยที่มีเสียงเล็ดลอดออกไปเล็กน้อย

ตู้จิ่งรีบถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกแล้วเหยียบลงบนอกของโจวลั่วหยางเบาๆ เป็นการบอกให้รู้ว่าห้ามแตะต้องซองเอกสารโดยพลการ โจวลั่วหยางจับข้อเท้าของตู้จิ่งเอาไว้มั่น ขณะที่คิดจะจั๊กจี้เขา ตู้จิ่งก็หดเท้ากลับ แล้วยื่นมือลงมาใต้โต๊ะพร้อมกับส่งหูฟังไร้สายข้างหนึ่งมาให้

โจวลั่วหยาง “…?”

โจวลั่วหยางไม่แกล้งอีกฝ่ายแล้ว เขาใส่หูฟังไร้สายข้างนั้น ส่วนตู้จิ่งใส่อีกข้าง มีเสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ของอวี๋เจี้ยนเฉียงจากเครื่องดักฟังที่ติดตั้งไว้ในห้องทำงานดังอยู่ในหูฟัง

“นายต้องการเท่าไหร่กันแน่”

อวี๋เจี้ยนเฉียงสะกดอารมณ์โกรธพลางบอก “ครั้งก็แล้ว สองครั้งก็แล้ว ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัดนะ!”

โจวลั่วหยางคิด เขาถูกแบล็กเมล์?

อวี๋เจี้ยนเฉียงตอบกลับ “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เอาของของนายมาด้วยก็แล้วกัน”

โจวลั่วหยางฟังอวี๋เจี้ยนเฉียงคุยโทรศัพท์พลางสวมรองเท้าให้ตู้จิ่ง จากนั้นก็วางมือขวาที่ยังสวมถุงมือบางๆ ไว้บนต้นขาของตู้จิ่งแล้วตบเบาๆ

ตู้จิ่งวางมือตัวเองบนหลังมือโจวลั่วหยาง เขายื่นนิ้วออกไปเกี่ยวขอบถุงมือแล้วค่อยๆ ถอดออก จากนั้นก็เอามันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท

อวี๋เจี้ยนเฉียงสะพายกระเป๋าออกมา ตู้จิ่งจึงถาม “ให้ไปส่งไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก” อวี๋เจี้ยนเฉียงปฏิเสธ “รีบกลับไปนอนพักเถอะ”

ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก อวี๋เจี้ยนเฉียงออกจากสำนักงานใหญ่ไปด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ผ่านไปสักพักโจวลั่วหยางจึงค่อยมุดออกมาจากใต้โต๊ะแล้วประสานสายตากับตู้จิ่ง

“ถ้าเขาบอกว่า ‘ไปสิ’ ล่ะ หมายความว่าจะให้ฉันเดินกลับห้องเองหรือไง” โจวลั่วหยางถอนหายใจ

ตู้จิ่งยกเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะผูกเชือกรองเท้าหนังให้เรียบร้อย เขายังคงทำสีหน้าเฉยชาเหมือนเดิม

“เขาไม่ให้ฉันไปส่งหรอก ในกระเป๋าคงมีแต่เงินสดสักห้าหกแสนได้”

“หืม?” โจวลั่วหยางวางซองเอกสารลงบนโต๊ะ ตู้จิ่งพันเชือกไว้เหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วบอก “ไปส่งนายกลับห้องก่อนแล้วกัน”

โจวลั่วหยางถาม “จากนั้นก็ไปนั่งใต้อาคารที่พักของฉันทั้งคืนอีกน่ะเหรอ”

ตู้จิ่งไม่พูดอะไร เขาตรงไปที่ห้องรักษาความปลอดภัยเป็นอันดับแรกแล้วลบภาพจากกล้องในลิฟต์

หลังจากขึ้นรถโจวลั่วหยางก็พูดว่า “ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ”

ตู้จิ่ง “นายไม่ได้นอนนานแล้ว ไม่ง่วงหรือไง”

โจวลั่วหยางตอบ “นายก็ไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน ยังดูไม่ง่วงเลย”

“ฉันป่วย นายไม่ได้ป่วย” ตู้จิ่งตอบกลับสั้นๆ

โจวลั่วหยางจึงว่า “นายอยากส่งฉันกลับห้อง แล้วค่อยไปสะกดรอยตามอวี๋เจี้ยนเฉียงใช่ไหม”

ตู้จิ่งหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

โจวลั่วหยางบอก “ฉันไปเป็นเพื่อนแล้วกัน หลับในรถก่อนนะ ถึงแล้วปลุกด้วย”

ตู้จิ่งยังคงไม่ตอบ

สุดท้ายโจวลั่วหยางก็เอ่ยปากบอก “สูทที่ใส่เหมาะดีนะ”

“ของบริษัทน่ะ เสื้อเชิ้ต ถุงเท้า รองเท้าก็ด้วย” ตู้จิ่งฟังความนัยในน้ำเสียงของโจวลั่วหยางออกจึงตอบ “ยังโสด ไม่ได้ไปทำร้ายใครหรอก”

“ก็ดี”

โจวลั่วหยางหลับตาลง เอนศีรษะพิงหน้าต่างแล้วตอบกลับไปอย่างนั้น

 

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com