ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1 

ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 天地白驹

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม

อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9

ปกติแล้วโจวลั่วหยางแทบไม่เคยสังเกตตู้จิ่งเป็นพิเศษ หลังมื้อเย็นพวกเขามักทำอะไรตามกิจวัตรประจำวัน ต่างคนต่างสวมหูฟังทำการบ้าน ทำการบ้านเสร็จก็อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ หรือไม่ก็เล่นอินเตอร์เน็ต โจวลั่วหยางแทบไม่ได้สนใจเลยว่าตู้จิ่งทำอะไร ห้องพักของตึกทิงเป้าเป็นห้องสองคนแบบมาตรฐาน มีโต๊ะเขียนหนังสือกับเตียงแยกกัน ไม่เหมือนห้องแบบสี่คนที่ด้านบนเป็นเตียงด้านล่างเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ

เตียงตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง อีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ และชั้นหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือหันหลังชนกัน เวลาส่วนใหญ่พวกเขาจึงมองไม่เห็นอีกฝ่าย และคงไม่พยายามที่จะหันไปดูแน่

คืนนั้นทุกอย่างเป็นปกติ เวลาห้าทุ่มโจวลั่วหยางมองตู้จิ่งผ่านภาพสะท้อนในกระจกแต่งตัว เขาพบว่าตู้จิ่งนั่งนิ่ง แล้วจ้องมองกระป๋องเครื่องดื่มอย่างเหม่อลอย ภาพที่เห็นทำเอาโจวลั่วหยางชักจะเป็นห่วง

‘นอนกันไหม’ โจวลั่วหยางลุกขึ้นไปล้างหน้าบ้วนปาก ตู้จิ่งจึงปิดไฟกลางห้อง เหลือไว้แต่โคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือ

เวลาห้าทุ่มยี่สิบนาทีโจวลั่วหยางนอนอยู่บนเตียง เขาพลิกตัวสองครั้ง เตียงฝั่งตรงข้ามเงียบสนิท โจวลั่วหยางเช็กมือถือ และคิดว่าตู้จิ่งน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เขาไม่เคยเป็นเพื่อนกับคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน จึงไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร

เขากินยาต่อเนื่อง กินตามเวลาทุกวัน น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกน่า

เที่ยงคืนโจวลั่วหยางถอนหายใจแผ่วเบา นึกสงสัยว่าตู้จิ่งอาจจะยังไม่หลับ อย่างไรเสียในแอ็กหลุมเวยป๋อของอีกฝ่ายก็เคยพูดถึงเรื่องนอนไม่หลับ หรือพูดอีกอย่างก็คือก่อนหน้านี้ที่เขาคิดว่าตอนกลางคืนตู้จิ่งเข้านอน ที่จริงแล้วไม่ใช่ มีแต่ตัวเขาโจวลั่วหยางที่นอนหลับได้ดี ส่วนตู้จิ่งนั้นลืมตาตื่นทั้งคืนยันรุ่งเช้า ทั้งยังต้องพยายามไม่ส่งเสียงเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น

‘ตู้จิ่ง?’ โจวลั่วหยางเรียกเบาๆ

ผ่านไปหลายวินาทีตู้จิ่งถึงค่อยขานตอบ ‘อืม’

โจวลั่วหยางถาม ‘นายนอนหลับไหม’

ตู้จิ่งตอบ ‘ยังไม่หลับ ทำไมนายไม่นอน’

โจวลั่วหยางฟังเสียงตู้จิ่งออก รูมเมตของเขายังตื่นอยู่จริงๆ

เขาเองก็เคยนอนไม่หลับ ซึ่งความรู้สึกอย่างนั้นมันช่างทรมาน กล่าวคือมันทั้งเหนื่อยล้าและไม่อาจหลับลงได้

‘ตอนบ่ายดื่มกาแฟไปสองแก้ว’ โจวลั่วหยางบอก ‘ตอนนี้เลยซวยไป’

‘ดื่มไปเมื่อไหร่น่ะ’

‘ตอนที่นายไปเข้าเรียน ฉันซื้อฝากนายแก้วหนึ่งแต่ลืมว่านายมีเรียนหลายคาบติดกัน ฉันเลยดื่มเองหมดเลย’

‘แล้วตอนนี้ควรทำยังไงดี’ ตู้จิ่งถาม

‘นายว่าไง’ อันที่จริงโจวลั่วหยางไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่เขาตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนตู้จิ่งสักพัก ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงต้องนอนลืมตาไปจนกระทั่งฟ้าสาง ซึ่งมันคงทรมานน่าดู

คำตอบของตู้จิ่งยังคงเหมือนอย่างเคย ‘ฉันไม่รู้หรอก นายอยากทำอะไรล่ะ’

ตู้จิ่งพลิกตัว ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง โจวลั่วหยางเห็นดวงตาคู่นั้นของตู้จิ่งเป็นประกาย เดิมทีเขาอยากจะพูดว่า ‘เรามาคุยกันไหม’ ถึงอย่างไรห้องนี้ก็ต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่แล้ว นักศึกษาชายในห้องพักอื่นมักคุยเล่นกันต่อสักสิบยี่สิบนาทีหลังจากปิดไฟ แต่พวกเขาไม่เคยคุยเล่นตอนก่อนนอนกันมาก่อนเลย

แต่โจวลั่วหยางกลัวว่าตู้จิ่งจะไม่อยากแบ่งปันอะไรมากจนเกินไป และกลัวจะพูดอะไรผิดไป

‘ฉันเปิดไฟได้ไหม’ โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งเปิดไฟหัวเตียง โจวลั่วหยางเองก็เปิดด้วยเช่นกัน ห้องพักกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ใต้แสงโคมไฟสองดวงยามดึกนั้น พลันทำให้บรรยากาศอบอุ่นคล้ายกับมีผ้าห่มอันอ่อนโยนแผ่ปกคลุมร่างกายของคนทั้งสองเอาไว้

โจวลั่วหยางเปลี่ยนใจแล้ว ‘ฉันอยากอ่านหนังสือสักพัก ถ้ารบกวนนาย…’

‘ไม่หรอก’ ตู้จิ่งพูดอย่างสบายๆ ‘ฉันก็อยากอ่าน’

โจวลั่วหยางหยิบนิยายเล่มที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมา ดึงที่คั่นหนังสือออกแล้วเหลือบมองตู้จิ่ง ตู้จิ่งหยิบหนังสือเฉพาะทางออกมานอนอ่านบนเตียง พอเปิดไฟแล้วก็ราวกับว่าพวกเขาเป็นอิสระจากกรงขังของความมืด สีหน้าของตู้จิ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย

‘นายเรียนด้วยตัวเองเหรอ’ โจวลั่วหยางไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือจึงเอ่ยถามขึ้น

ตู้จิ่งตอบรับเสียงหนึ่ง จากนั้นโจวลั่วหยางจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู ‘นายใกล้จะเรียนเนื้อหาพื้นฐานจบแล้ว?’

ตู้จิ่งจึงว่า ‘ฉันไม่มีอะไรทำ เรียนให้จบเร็วหน่อยจะได้เป็นอิสระสักที’

มีสองประโยควนเวียนอยู่ในใจของโจวลั่วหยาง เดิมทีเขาอยากถามว่า ‘ถ้าเป็นอิสระแล้วจะทำอะไร’ แต่พอนึกถึงเวยป๋อของตู้จิ่งจึงชั่งใจสักพักแล้วถามอย่างหยอกล้อ ‘ถ้านายจบเร็วกว่ากำหนดก็จะไปไม่ใช่เหรอ’

ตู้จิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากหนังสือแล้วมองไปที่โจวลั่วหยาง ราวกับกำลังคิดจะร้องขอบางอย่าง

‘นายก็ยื่นเรื่องขอเรียนจบก่อนกำหนดได้’ ตู้จิ่งบอก ‘จะแข่งกันไหมล่ะ ดูว่าใครจะเรียนจบก่อนกัน’

โจวลั่วหยางพูดเยาะหยันตัวเอง ‘ฉันไม่ได้หัวดีเหมือนนายสักหน่อย แต่ลองพยายามดูก็ได้ หลังเรียนจบพวกเราไปสอบเข้า ป.โท ด้วยกันไหม’

โจวลั่วหยางแค่สานต่อหัวข้อที่คุยกับตู้จิ่งไปอย่างนั้น แต่ตู้จิ่งกลับบอกว่า ‘ได้สิ สองปีเรียน ป.ตรี จบแล้วค่อยไปสอบเข้า ป.โท ด้วยกัน’

โจวลั่วหยางคิดในใจ ไม่เอาหรอก ทำอย่างนี้ฉันเหนื่อยตายแน่

มหาวิทยาลัยที่พวกเขาเข้าเรียนแห่งนี้นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ว่ากันว่าอยู่ในสามอันดับแรกเลยทีเดียว…ถึงแม้มหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับสองของประเทศจะมีแค่สองแห่ง แต่ถ้าบอกว่ามหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับสามแล้วนั้น นับว่ามีมหาวิทยาลัยอันดับสามอีกมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนกับการบอกว่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมีเพียงแค่เจ็ดแห่ง แต่ถ้าบอกว่าแปดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้วก็คงมีสิ่งที่เป็นอันดับแปดอีกนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ในมหาวิทยาลัยจึงมีนักศึกษาไอคิวสูงจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเรียนหนังสือเป็นเรื่องเสียเวลา และมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการรีบเรียนให้จบแล้วออกไปบรรลุคุณค่าของชีวิตจริงๆ เป็นจำนวนมาก

ตู้จิ่งเป็นคนหัวดีมาก โจวลั่วหยางรู้ดี เขาอ่านหนังสือรอบเดียวก็จำเนื้อหาได้หมดแล้ว ทั้งยังไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับยีนโรคซึมเศร้าหรืออย่างไรกันนะ

เมื่อตอนบ่ายโจวลั่วหยางเข้าไปเช็กในอินเตอร์เน็ตด้วยอยากจะแน่ใจในอาการของตู้จิ่ง แต่ก็พบว่าพฤติกรรมของตู้จิ่งกับสิ่งที่บรรยายเกี่ยวกับโรคนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก

โจวลั่วหยางอ้าปากหาว ชักจะรู้สึกง่วงแต่ก็ยังฝืนไว้ เขาปรับโคมไฟหัวเตียงให้สลัวลงแล้วเริ่มเล่นมือถือ ทว่าตู้จิ่งกลับสังเกตได้ในทันทีจึงถามขึ้น

‘ง่วงแล้ว?’

‘อย่าสนใจฉันเลย’ โจวลั่วหยางรีบห้ามตู้จิ่ง ‘ฉันอยากลองเปิดไฟนอนน่ะ ไม่แน่อาจจะหลับได้’

เพราะโจวลั่วหยางขอ ตู้จิ่งเลยยังเปิดโคมไฟดวงนั้นไว้ โจวลั่วหยางพูดขึ้นอีก ‘พอฉันหลับแล้วก็จะหลับสนิท เสียงนายไม่ทำให้ฉันตื่นหรอก’

‘รู้แล้วล่ะ’ ตู้จิ่งตอบ

โจวลั่วหยางยิ้มก่อนจะพลิกตัวหันเข้าด้านใน เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง ผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนทางด้านตู้จิ่งก็ยังคงเปิดโคมไฟฝั่งตัวเองไว้ทั้งคืน

 

สิบโมงเช้าวันต่อมาเมื่อโจวลั่วหยางตื่นขึ้นก็พบว่าตู้จิ่งดูเหมือนจะหลับได้เสียที เช้าวันนี้ตู้จิ่งไม่ได้โพสต์ข้อความในเวยป๋อ ดังนั้นนับจากคืนนี้เป็นต้นไปโจวลั่วหยางจึงริเริ่มที่จะเป็นคนเข้าไปเปลี่ยนแปลงการทำงานและการพักผ่อนของตู้จิ่ง เดิมทีตอนอยู่บ้านโจวลั่วหยางไม่ชอบเปิดไฟนอน ทั้งยังค่อนข้างไวต่อเสียง แต่เขากลับอดทนเปิดไฟให้ตู้จิ่งดวงหนึ่งได้ และกลายเป็นว่าพอทนไปเรื่อยๆ ก็ชินไปเอง

หลายวันให้หลังโจวลั่วหยางเห็นแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งโพสต์ข้อความ

 

[เบื่อ ทำอะไรก็เบื่อ ความจริงของชีวิตเป็นเรื่องเหลวไหล ก็เหมือนที่กามูว์* บอกไว้ว่าพวกเราล้วนถูกกักขังในกรงที่ไร้ความหมาย]

 

‘ฉันไม่อยากไป’ โจวลั่วหยางหันไปบอกตู้จิ่ง ‘ฉันกะว่าวันนี้จะโดดเรียน’

ตู้จิ่งตื่นแล้วและกำลังกินยา เขากลืนยาลงไปแล้วถาม ‘จะไปไหนล่ะ หรือจะนอนเล่นที่ห้อง?’

โจวลั่วหยางกล่าว ‘เป็นหมูหรือไง เพิ่งจะตื่นก็หลับอีกแล้ว ฉันอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก นายจะไปไหม ถ้าไม่อยากไปก็ช่วยเช็กชื่อให้หน่อยสิ’

ตู้จิ่งลังเล โจวลั่วหยางจับความคิดของเขาได้อย่างแม่นยำ…เขากำลังคิดว่าเจตนาของโจวลั่วหยางคือจะให้เขาช่วยเช็กชื่อให้หรืออยากจะชวนเขาไปด้วยกันแน่

‘ไปเถอะ โดดเรียนไปเที่ยวกัน’ โจวลั่วหยางจึงพายเรือตามน้ำ เขาคิดมาตลอดว่าตู้จิ่งจำเป็นต้องออกไปผ่อนคลายบ้าง ‘มีตั้งหลายที่ที่นายยังไม่เคยไป’

‘ไปสิ’ ตู้จิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋ากีฬา แล้วออกจากมหาวิทยาลัยไปพร้อมกับโจวลั่วหยาง

 

วันนั้นสภาพอากาศที่หังโจวเลวร้ายมาก พายุฝนฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงกำลังก่อตัวคล้ายใกล้จะตกอยู่รอมร่อ แต่อากาศกลับนิ่งสนิท สีหน้าของผู้คนที่อยู่ริมทะเลสาบซีหูมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเกรงว่าฝนจะเทลงมาอย่างกะทันหันจนทำให้เนื้อตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่ก

โจวลั่วหยางพาตู้จิ่งไปกินมื้อเที่ยงที่สวนสาธารณะหลิ่วลั่งเหวินอิง และด้วยความที่รอบด้านส่วนมากเป็นคู่รัก ผู้ชายสองคนที่มานั่งดื่มชาหลงจิ่งด้วยกันจึงกลายเป็นภาพที่น่าประหลาดอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าตู้จิ่งเป็นสาวสวยก็คงจะดี โจวลั่วหยางคิด ต่อให้ต้องโดดเรียนทุกวันฉันก็ยอม

ตู้จิ่งดูเหมือนจะปลอดโปร่งโล่งใจ โจวลั่วหยางมองออกได้จากสีหน้าของเขา เพราะเมื่อเขามองนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็มองเขากลับ ตอนที่พวกเขาสังเกตเห็นตู้จิ่ง เขาก็ไม่ได้เบือนหน้าหนีและแสดงรอยแผลเป็นบนสันจมูกของตนเองให้เห็นอย่างไม่สะทกสะท้าน

‘ให้ฉันจ่ายนะ’ ตู้จิ่งเสนอตัว ‘ฝนจะตกแล้ว ไปที่อื่นกันเถอะ ยังมีที่ไหนที่อยากไปอีกไหม’

โจวลั่วหยางส่ายหน้า ความจริงวันนี้ที่ออกมาข้างนอกก็แค่ตามน้ำเท่านั้น ตอนแรกเขาอยากบอกว่า ‘ไม่มีแล้วล่ะ กลับหอกันเลยไหม’ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงรูปแบบการสนทนาของตู้จิ่งแล้วเป็นฝ่ายถามกลับ ‘ฉันไม่มี นายล่ะ’

‘ฉันอยากไปที่ที่หนึ่ง’ ตู้จิ่งบอก ‘ไปกัน’

ตู้จิ่งจ่ายค่าอาหารแล้วไปที่พิพิธภัณฑ์กับโจวลั่วหยาง ที่นั่นมีงานแสดงนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับอียิปต์พอดี ขณะเดินดูนิทรรศการโจวลั่วหยางคิดก็ในใจ ดีนะที่ถามกลับไปอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นตู้จิ่งคงเก็บงำความคิดเห็นของตัวเอง แล้วยอมกลับมหาวิทยาลัยกับเราแน่

เมื่อพวกเขาเดินออกมาหลังจากเที่ยวชมเสร็จแล้ว ฝนก็ตกลงมาในที่สุด หน้าพิพิธภัณฑ์มีฟ้าแลบและฟ้าร้องครั่นครืน ฝนเทลงมา นักท่องเที่ยวนับร้อยแออัดกันอยู่ด้านนอก ทุกคนต่างใช้โทรศัพท์เรียกรถ โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งติดอยู่ที่นี่พักหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแต่ท้องฟ้ากลับมืดเหมือนพลบค่ำก็มิปาน

‘ลืมเก็บเสื้อผ้า’ โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ ‘ทำยังไงดี’

ตู้จิ่งตอบ ‘ช่างมันเถอะ ไปที่ด้านหน้านั่นกัน กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับ’

‘เฮ้ย!’ โจวลั่วหยางตะโกนเรียก แต่ตู้จิ่งเดินอาดๆ ฝ่าฝนไปแล้ว โจวลั่วหยางเลยต้องวิ่งตามออกไป เขาวิ่งตามหลังอีกฝ่ายผ่านถนนสองสาย เมื่อตู้จิ่งเห็นโจวลั่วหยางวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ก็หันไปบอก ‘ระวังฟ้าจะผ่า!’ แล้วย้อนกลับไปดึงมือโจวลั่วหยาง ก่อนจะพาเขาวิ่งออกไปที่โล่ง

โจวลั่วหยางเพิ่งเคยจับมือกับผู้ชายเป็นครั้งแรก มือของตู้จิ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทว่าฝ่ามือกลับยังอุ่นร้อน พอวิ่งไปถึงที่หมายแล้วทั้งสองก็เริ่มกินหม้อไฟกันทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกชุ่ม เมื่อถูกลมเย็นพัดผ่าน โจวลั่วหยางก็คิดในใจว่า กลับไปอาจจะเป็นหวัด

เส้นผมของตู้จิ่งเปียกชื้นจนตกลงมาปิดบังใบหน้าอย่างกับสุนัขพันธุ์โอลด์อิงลิชชีปด็อกที่งงงวย ตอนเขานั่งก้มหน้าเลือกเมนูอาหารตรงข้ามกับโจวลั่วหยาง จู่ๆ โจวลั่วหยางก็หัวเราะลั่น

‘ขำอะไร’ ตู้จิ่งถาม

‘ไม่มีอะไร’ โจวลั่วหยางตอบ ‘สภาพอย่างนี้นายก็ดูหล่อดีนะ’

ตู้จิ่งเอานิ้วปัดผมที่ตกลงมาระคิ้วหนา โจวลั่วหยางไม่เคยมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับหน้าตาของผู้ชายมาก่อน แต่ตอนนี้เขาพลันพบว่าตู้จิ่งเปี่ยมไปด้วยความเป็นชาย ทั้งยังแฝงไปด้วยความหล่อเหลาแบบเศร้าหมอง ถ้าไม่มีรอยแผลเป็นที่เด่นชัดรอยนั้น ตู้จิ่งจะต้องเป็นหนุ่มหล่อขั้นเทพของสาขาอย่างแน่นอน

‘ฉันเสียโฉมแล้ว’ ตู้จิ่งแย้ง ‘ไม่หล่อหรอก นายสิถึงเรียกว่าหล่อ เมื่อไหร่จะมีแฟนล่ะ’

โจวลั่วหยางรับเมนูมาเลือกสิ่งที่อยากกินพลางตอบกลับ ‘เพราะเสียโฉมไงถึงได้ดูหล่อ เป็นความงดงามที่ไม่สมบูรณ์ อย่างรูปปั้นวีนัสที่แขนขาด ถ้าไม่มีแผลเป็นนายคงจะหล่อแบบหยิ่งๆ และเย็นชา หล่อแบบสูงเกินเอื้อม เป็นแบบตอนนี้ค่อยเข้าถึงง่ายหน่อย’

ตู้จิ่งว่า ‘นายก็ดูเป็นคนแบบนี้แหละ’

‘ฉัน?’ โจวลั่วหยางถามกลับอย่างเหลือเชื่อ ‘ฉันเนี่ยนะหยิ่งและเย็นชา? นายล้อเล่นหรือไง’

‘นายมีมารยาท มนุษยสัมพันธ์ดี’ ตู้จิ่งเอ่ย ‘เป็นคนกระตือรือร้นและใส่ใจ ใครๆ ก็ชอบนาย แต่ไม่มีใครได้ความจริงใจจากนาย’

โจวลั่วหยางถูกตู้จิ่งพูดแทงใจเลยได้แต่หัวเราะเยาะหยันตัวเอง

‘เพราะฉันถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก’ โจวลั่วหยางบอก ‘หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง หวังว่าจะได้เป็นเด็กดีที่ทุกคนชื่นชอบ’

ตู้จิ่งพยักหน้าแล้วก็ไม่แสดงความเห็นอะไรอีก โจวลั่วหยางสั่งอาหารแล้วพูดขึ้น

‘แต่ฉันได้เรียนรู้อย่างหนึ่งจากนาย ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง ความรู้สึกของตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด’

‘ใช่อย่างนั้นแหละ’ ตู้จิ่งตอบกลับอย่างจริงจัง

 

ฝนยังคงตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ว่าที่ไหนก็เรียกรถไม่ได้ วันนั้นทั้งสองจึงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ โจวลั่วหยางเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งกางเกงในก็เปียกชุ่ม เขาได้แต่พูดในใจ แย่แล้ว กลับไปคราวนี้จะต้องเป็นหวัดอย่างแน่นอน

แต่ข้างหน้ายังมีเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าการเป็นหวัดรอพวกเขาอยู่…ตอนกลับไปถึงห้องพัก หน้าต่างตรงหัวเตียงของตู้จิ่งถูกลมพัดจนเปิดอ้า ฝนจึงสาดเข้ามาทางหน้าต่างจนเตียงเปียกฝนไปกว่าครึ่ง แม้แต่เบาะที่นอนก็เปียกชุ่มไปด้วย

โจวลั่วหยาง ‘…’

ตู้จิ่งกล่าว ‘หน้าต่างบานนี้เป็นอย่างนี้ตลอด ตั้งแต่วันที่พายุไต้ฝุ่นเข้าก็ปิดไม่สนิทอีกเลย’

หน้าต่างบานนั้นมีรอยแยกที่ลมพัดเข้ามาได้ โจวลั่วหยางเคยให้คนมาซ่อมหลายครั้ง และหลังจากที่กรอกแบบฟอร์มส่งไป ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยก็ชวนให้ซาบซึ้งใจเสียเหลือเกิน ตู้จิ่งลองฝืนซ่อมเองสองสามครั้ง แต่เพราะเกี่ยวกับตัววัสดุที่เป็นสแตนเลสจึงทำให้ปิดไม่สนิท

โจวลั่วหยางจามออกมาแล้วขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนตู้จิ่งก็ลงมืออุดรอยแยกที่หน้าต่าง กันไม่ให้น้ำฝนไหลเข้ามาได้อีก จากนั้นจึงเริ่มคิดหาวิธีการเก็บกวาดซากความเสียหาย

‘คืนนี้ออกไปเปิดโรงแรมนอนชั่วคราวก่อนไหม’ โจวลั่วหยางถาม

ตู้จิ่งจนปัญญา ตอนโจวลั่วหยางออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเขาพลิกที่นอนดูทั้งสองด้าน ปรากฏว่าไม่มีสักด้านที่ใช้นอนได้ ทั้งผ้าปูที่นอนทั้งหมอนล้วนเปียกฝนหมด และยังเอาไปอบแห้งข้างล่างไม่ได้ ได้แต่รอให้ถึงพรุ่งนี้เพื่อซักให้สะอาดไปก่อน

ตู้จิ่งเอ่ย ‘ไม่สนละ ฉันไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน’

โจวลั่วหยางยกเบาะที่นอนแล้วนำมาวางพิงไว้ข้างๆ โต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อให้น้ำหยดจนกว่าจะแห้งเอง เมื่อตู้จิ่งเช็ดผมจนแห้งและเดินออกมา โจวลั่วหยางก็นอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งยกหมอนใบหนึ่งให้ตู้จิ่ง

‘สองสามวันนี้นอนด้วยกันก่อนก็แล้วกัน’ โจวลั่วหยางบอก ‘เตียงแคบหน่อย อย่าว่ากันนะถ้าฉันเผลอถีบนายจนตื่นตอนกลางดึก’

ตู้จิ่งนั่งลงตรงขอบเตียง เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย ‘นายนอนด้านในสิ ฉันกลัวจะเบียดนายตกเตียง’

โจวลั่วหยางจึงเขยิบเข้าไปด้านในอีกเล็กน้อย วันนี้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ ง่วงแทบแย่ เขาหมดแรงจะอยู่ดึกเป็นเพื่อนตู้จิ่งแล้ว จึงบอกว่า ‘ฉันนอนก่อนนะ ถ้านายอยากอ่านหนังสือก็…’

ทว่าตู้จิ่งกลับปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วบอกว่า ‘นอนเถอะ ฉันก็ง่วงแล้ว’

 

คืนนั้นโจวลั่วหยางหลับไม่สบายนัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต นับตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขานอนร่วมเตียงกับคนอื่น บางทีตู้จิ่งเองก็อาจจะเหมือนกัน

โจวลั่วหยางตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง ฝนยังตกอยู่ น้ำท่วมชั้นล่างของอาคารแล้วเนื่องด้วยน้ำในทะเลสาบเฟิ่งเฉวียนเอ่อล้นขึ้นมา กระทั่งสามารถเห็นปลาคาร์พว่ายไปมาอยู่ทั่วทุกที่

โจวลั่วหยางถาม ‘เมื่อคืนหลับสนิทไหม’

‘ก็ดีนะ’ ตู้จิ่งกำลังล้างหน้าบ้วนปาก ‘นายล่ะ’

โจวลั่วหยางตอบ ‘อืม’ อย่างอ่อนเพลียแล้วหยิบมือถือออกมา ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นมาในหัว จึงเข้าไปดูแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่ง วันนี้ตู้จิ่งโพสต์ไว้สองข้อความ

 

[ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่หลับสนิทถึงเช้า เป็นเพราะนอนกับเขาหรือเปล่านะ]

 

ด้านล่างมีอีกข้อความ โพสต์ไว้เมื่อเวลาเจ็ดโมงยี่สิบห้า ตอนนั้นตู้จิ่งเพิ่งตื่น โดยโพสต์นั้นเป็นการแบ่งปันเนื้อหานิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับอียิปต์ที่พิพิธภัณฑ์ ทั้งยังเขียนวิจารณ์สิ่งของที่จัดแสดงหลายชิ้นไว้อย่างละเอียด เขาจดบันทึกเนื้อหาในเครื่องฟังคำบรรยายไว้ทั้งหมด แทบไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

ข้อความที่แชร์ไว้ก็คือ คนเราเกิดมาล้วนไม่สมบูรณ์’

หลังจากโจวลั่วหยางล้างหน้าและบ้วนปากแล้ว ทั้งสองก็มายืนอยู่ตรงระเบียงพลางมองลงไปข้างล่าง นักศึกษาจำนวนไม่น้อยพากันถกขากางเกง กางร่มพลางใช้ถุงพลาสติกจับปลา

‘ฉันไม่อยากไปเข้าเรียนอีกแล้ว วันนี้โดดเรียนไม่ดีกว่าเหรอ’ โจวลั่วหยางหันไปพูดกับตู้จิ่ง

ตู้จิ่งตอบ ‘วันนี้วันเสาร์ ไม่มีเรียนอยู่แล้ว เดี๋ยวเอาหมอน ผ้าปูที่นอน กับผ้านวมไปส่งซักก่อน นายอยากไปไหนล่ะ ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายเอง’

โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งจึงออกไปเที่ยวเล่นกัน คืนนี้เบาะที่นอนของตู้จิ่งก็ยังไม่แห้งดี ทั้งสองเลยนอนเบียดกันบนเตียงของโจวลั่วหยางอีกคืน จากนั้นก็มีคืนที่สาม คืนที่สี่ จนถึงวันอังคาร…โจวลั่วหยางพบว่าตู้จิ่งแทบไม่มีอาการนอนไม่หลับเลยในคืนที่มานอนกับเขา

ภายหลังเขาเคยถามเรื่องนี้กับตู้จิ่ง ซึ่งตู้จิ่งเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อคนที่นอนไม่หลับต้องไปนอนกับคนอื่นน่าจะส่งผลให้นอนไม่หลับหนักขึ้น แต่สำหรับตู้จิ่งกลับส่งผลในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ถ้าอย่างนั้นอาการป่วยของเขาคงหายดีแล้วสินะ โจวลั่วหยางคิดอย่างซื่อๆ แต่ก็พบว่าตู้จิ่งยังคงกินยาเหมือนเดิม

 

แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาก็ไม่ถูกอาการนอนไม่หลับติดต่อกันรบกวนแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี

เหมือนวันนี้ที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปสามปี

 

ยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนตู้จิ่งอยู่ในโกดังเก็บของ นอนบนที่นอนสปริงที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูที่นอน ขอเพียงได้อยู่ข้างๆ โจวลั่วหยางไม่นานก็ผล็อยหลับไป หลังจากผ่านค่ำคืนที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนมาจนถึงห้องของโจวลั่วหยาง พอเขาได้นอนลงบนเตียงไม่นานก็หลับอุตุโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

โจวลั่วหยางฝันประหลาดและพิสดารหลายเรื่อง เขาฝันเห็นคนและเหตุการณ์สมัยยังเรียนหนังสือ ฝันเห็นตู้จิ่งยืนทำท่าจะกระโดดลงไปตรงระเบียง ทันใดนั้นก็ตกใจตื่น แล้วก็พบว่าตู้จิ่งยังนอนอยู่ข้างๆ

โจวลั่วหยางลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเบิกกว้าง และหายใจหอบ

ตู้จิ่งพลิกตัว ร่างกายครึ่งหนึ่งเอนลงไปจนเกือบจะตกเตียง โจวลั่วหยางค่อยๆ ลงจากเตียงเงียบๆ พลางเหลือบมองมือถือ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งก็เท่ากับว่าพวกเขานอนหลับมาร่วมแปดชั่วโมงแล้ว

ตู้จิ่งก็ตื่นแล้วเช่นกัน

“ขอโทษด้วย ฉันลืม” โจวลั่วหยางเอ่ย “ไม่น่าลุกขึ้นมาเลย อยากให้นายนอนต่ออีกหน่อย”

เมื่อก่อนก็เป็นอย่างนี้ พอโจวลั่วหยางตื่นขึ้นมาตู้จิ่งก็ยังคงหลับต่อได้ ขอแค่โจวลั่วหยางยังนอนอยู่บนเตียง แต่ถ้าเขาลุกออกมาเมื่อไหร่ ไม่นานหลังจากนั้นตู้จิ่งก็จะตื่นขึ้นมาทันที

“ได้หลับก็มีความสุขมากแล้ว” ตู้จิ่งว่า “ฉันหลับไปนานแค่ไหน”

ตู้จิ่งล้วงมือถือออกมาดู แล้วหันไปสบตากับโจวลั่วหยาง

“เลยเที่ยงมาแล้ว”

บ่ายวันที่แปดเดือนเก้า เลยเวลาเที่ยงหรือสิบสองนาฬิกามาแล้ว การย้อนกลับของเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ได้เกิดขึ้นอีก

“ขอบคุณฟ้าดิน” โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้เหมือนกัน “พวกเราไม่ได้ติดอยู่ในวันเดิมแล้ว”

 

* กามูว์ คืออาลแบร์ กามูว์ (Albert Camus) เป็นนักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com