everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
บทที่ 10
หกโมงเย็น ณ โกดังเก็บของ
“การย้อนเวลาเกิดขึ้นที่นี่” ตู้จิ่งพูดขึ้น “ลองนึกย้อนไปหน่อย พวกเราทำอะไรกันบ้าง”
โจวลั่วหยางบอก “ทำให้นายลำบากแล้วที่ยังจำได้แม่นขนาดนี้ แล้วนี่ไม่ต้องกลับไปรายงานสถานการณ์กับหัวหน้าของนายเหรอ”
ตู้จิ่งตอบ “ขอลางานมาได้วันหนึ่ง อย่าเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนอื่น…”
โจวลั่วหยาง “ฉันว่ามือถือนายใกล้จะระเบิดแล้ว”
มือถือของตู้จิ่งมีสายที่ไม่ได้รับยี่สิบกว่าสาย บนหน้าจอแสดงชื่อของ ‘เสี่ยวลี่’ เหมือนกันทั้งหมด โจวลั่วหยางคร้านจะถามว่าเสี่ยวลี่คือใคร และตู้จิ่งเองก็ไม่ได้อธิบายให้มากความ
ตู้จิ่งพูดอีก “หรือว่าโกดังแห่งนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อของพื้นที่มิติที่สี่กับมิติที่ห้า ตอนฉันเดินออกไปก็ถูกตำรวจอาชญากรรมพาขึ้นรถ พอลงจากรถอีกทีการย้อนเวลาก็เริ่มขึ้นแล้ว”
ตู้จิ่งผลักหลอดไฟแขวนที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ เบาๆ หลอดไฟที่ห้อยลงมาแกว่งไกว ส่องไปทางนั้นทีทางนี้ที ทำให้ห้องที่เดิมทีก็มืดสลัวอยู่แล้วยิ่งดูลึกลับมากขึ้นไปอีก
โจวลั่วหยางกล่าว “จินตนาการของนายชักจะบรรเจิดเกินไปแล้ว”
ตู้จิ่งกล่าว “เทียบกับคนป่วยทางจิตแล้วยังแตกต่างกันอยู่บ้างนะ”
โจวลั่วหยางถาม “ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายยังไง ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยมาที่นี่แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ย้อนเวลากลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมงมาก่อน อีกอย่างตอนนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า”
“ความทรงจำหลอกลวงเราได้” ตู้จิ่งบอก “เหมือนความฝัน แต่ฉันเชื่อนะ จะต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติแน่ นายไม่อยากสืบให้รู้สาเหตุเหรอ”
โจวลั่วหยางจำต้องยอมรับ “เอาเถอะ ที่จริงฉันไม่ได้คิดเรื่องนั้นสักเท่าไหร่”
เมื่อโจวลั่วหยางพบเจอกับเรื่องที่ไม่อาจใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ ส่วนใหญ่เขาก็มักจะหลบเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว วิธีคิดของเขาคือต้องรีบลืมเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลไปให้เร็วที่สุด เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงที่เกิดขึ้นอีกครั้งนั้นให้มองว่าเป็นความทรงจำที่เลอะเลือนเพื่อกลบเกลื่อนอดีต ที่จริงคนทั่วไปจำนวนมากก็เลือกที่จะทำเช่นนี้ นี่คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นกลไกการป้องกันไม่ให้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย
ทว่าตู้จิ่งไม่เชื่อเช่นนั้น เช่นเดียวกับตอนที่เรียนหนังสือ เมื่อเขาเจอปัญหาแก้ยากที่ไม่ค่อยพบเจอก็จะพยายามขบคิดอย่างจริงจังเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานั้นให้ได้
“นายไม่กล้าคิด” ตู้จิ่งบอก “ถ้าใช้เรื่องถูกผีหลอกมาอธิบายปรากฏการณ์แบบนี้อย่างง่ายๆ น่ากลัวว่าพอความจริงคลี่คลายแล้วจะ…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” โจวลั่วหยางขนลุกเกรียวทันที
ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางด้วยสีหน้าจริงจังพลางบอก “มีฉันอยู่ด้วย จะกลัวอะไรล่ะ”
โจวลั่วหยางกลัวผีหลอกจริงๆ ถึงอย่างไรตอนเด็กๆ เขาก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่จำเป็นต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน เขานึกถึงเมื่อก่อนตอนไปเที่ยวสวนสนุกแล้วไปเข้าบ้านผีสิงกับตู้จิ่ง เขาตกใจกลัวแทบแย่จนต้องกอดตู้จิ่งไว้แน่น นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้าในชีวิตของเขา มิหนำซ้ำหลังออกมาจากบ้านผีสิงเขายังสั่งตู้จิ่งว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด
คำตอบในวันนั้นของตู้จิ่งยังคงเหมือนกับวันนี้ ‘มีฉันอยู่ด้วย จะกลัวอะไรล่ะ’
“ฉันกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี แล้วเราสองคนอาจจะหลุดเข้าไปอีกครั้งจริงๆ” โจวลั่วหยางเคยดูภาพยนตร์สยองขวัญเกี่ยวกับการล่องเรือสำราญ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจำฝังใจ “ถ้าไปแตะต้องข้าวของประหลาดๆ อย่างไม่ระวัง เราทั้งสองคนจะต้องติดอยู่ในวังวนเวลาหนึ่งวันอย่างไม่รู้จบ แบบนั้นต้องแย่แน่ๆ”
ตู้จิ่งเอ่ยถาม “อนาคตสำคัญสำหรับนายมากเลยเหรอ”
“แน่นอน” โจวลั่วหยางตอบ “กว่าจะเจอนายไม่ง่ายเลย ฉันหวังว่าเราจะสบายดี ต่อไปยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก”
ตู้จิ่งไม่พูดอะไร โจวลั่วหยางรู้ว่าประโยคนี้ทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนแล้ว
“อีกอย่าง ถ้าเกิดว่า…” โจวลั่วหยางเลือกที่จะเผชิญกับความกลัวของตัวเอง “ไปก่อกวนให้เวลาเกิดความปั่นป่วนจนพบกับตัวเองในอดีตจะทำยังไง”
ตู้จิ่งครุ่นคิดสักพักแล้วพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “มีเหตุผล”
โจวลั่วหยางนั่งบนที่นอนสปริงในโกดังเก็บของ ส่วนตู้จิ่งนั้นไปเดินมาในห้องก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงมุมใต้ชั้นวางของ เขาพยายามทดสอบว่าพื้นที่ตรงไหนที่มีการบิดเบี้ยวของเวลาอย่างไม่ยอมแพ้ ราวกับว่าอีกสักประเดี๋ยวเขาจะถูกส่งตัวไปจากที่นี่ แล้วท่องไปในอดีตและอนาคตได้อย่างไรอย่างนั้น
“แต่เวลาย้อนกลับไปได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง” ตู้จิ่งพูดขึ้น “หมายความว่านายสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง อย่างเช่นซื้อลอตเตอรี่ เท่านี้ปัญหาทางการเงินที่นายไม่ยอมขอความช่วยเหลือก็แก้ไขได้แล้ว”
“พูดถึงเรื่องนี้” โจวลั่วหยางยื่นมือออกไปหาตู้จิ่ง “เอามือถือมา ให้ฉันยืมเงินอีกหน่อย พรุ่งนี้พาเล่อเหยาไปรายงานตัวอาจมีเรื่องที่ต้องใช้เงิน”
ตู้จิ่งยื่นมือถือให้
โจวลั่วหยางโอนเงินพลางพูด “ลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งควรจะเป็นของคนอื่น ไปปั่นป่วนห้วงเวลากับเหตุและผลด้วยการถูกลอตเตอรี่ นี่ไม่เท่ากับฉกเงินจากมือของคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหรอ มันต่างอะไรกับการใช้พลังเหนือธรรมชาติไปปล้นชิงกันล่ะ”
ตู้จิ่งไม่ได้นึกถึงขั้นนี้เลย เขากล่าวอย่างยอมรับ “นายพูดถูก”
โจวลั่วหยางบอก “จำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเก้าครั้งแรกได้ไหม นายบอกว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงตายแล้ว ซ้ำยังออกข่าวด้วย ใช่หรือเปล่า”
ตู้จิ่งตอบรับหนึ่งเสียงก่อนนั่งลงข้างๆ โจวลั่วหยาง เขารับมือถือตัวเองกลับไปปัดหน้าจอครู่หนึ่ง ขณะออกจากห้องตอนพลบค่ำ ทั้งสองสนใจฟังข่าวอยู่ตลอด คดีฆาตกรรมเมื่อวานไม่ได้ถูกรายงานข่าวแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเงียบเชียบไปหมด คนตายอยู่ในฐานะอะไรกันแน่สื่อถึงไม่เฮละโลไปที่นั่น ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตำรวจอาชญากรรมเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุหรือไม่
“ในวันที่เจ็ดเดือนเก้าครั้งที่สองที่เกิดขึ้นอีกครั้ง อวี๋เจี้ยนเฉียงยังมีชีวิตอยู่” โจวลั่วหยางบอก “แต่คนที่มาแบล็กเมล์เขากลับตายแทน นี่หมายความว่าอะไร”
ขณะที่พูดประโยคนี้โจวลั่วหยางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“แค่เรื่องบังเอิญน่ะ” ตู้จิ่งกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขาตอบกลับมาอย่างนั้น
โจวลั่วหยางมองตู้จิ่ง แล้วกล่าว “ถ้าเกิดไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะ ลองนึกย้อนไปสิ ตอนนั้นบนดาดฟ้าชั้นยี่สิบเจ็ดมีคนห้าคน นาย ฉัน อวี๋เจี้ยนเฉียง กับสองคนนั้นที่มาแบล็กเมล์เขา สมมติโชคชะตากำหนดไว้ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ในห้าคนนั้นจะต้องมีคนตายหนึ่งคน…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ตู้จิ่งทำเสียงเครียด “รู้แล้ว!”
คนทั้งสองต่างนิ่งเงียบ ผ่านไปไม่นาน ตู้จิ่งก็พูดขึ้น “ตอนนั้นฉันเลยให้นายซ่อนตัวไว้แล้วบอกว่าอย่าออกมาไง”
ที่จริงโจวลั่วหยางคิดถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้พูดออกมา สองวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินไป ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าจะสามารถปิดผนึกทุกอย่างได้โดยเร็วที่สุดและไม่พูดถึงมันอีก ให้เวลาเขาอีกสักหน่อย ให้ทั้งเขาและตู้จิ่งค่อยๆ เดินกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง
ดูจากการแสดงออกเมื่อคืนวานแล้ว อาชีพของตู้จิ่งไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไรจะต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน และโจวลั่วหยางก็หวังว่าเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งตู้จิ่งจะสามารถถอนตัวจากสายงานนี้ได้ เพียงแต่คำพูดนี้ยังพูดออกมาในตอนนี้ไม่ได้
พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันและกันตั้งแต่แรกเริ่ม
“งั้นช่างมันเถอะ” ตู้จิ่งล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียพอเทียบกันระหว่างความสงสัยใคร่รู้ในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติกับโจวลั่วหยาง โจวลั่วหยางก็ย่อมสำคัญกว่า
โจวลั่วหยางรู้ว่าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ และไม่สงสัยเลยว่าเขาจะต้องก่อปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่ง เมื่อก่อนเรื่องไหนที่โจวลั่วหยางยืนกรานไม่ให้ยุ่ง ตู้จิ่งก็จะไม่ทำอีก ดูจากตอนนี้ยังนับว่าเขายอมเชื่อฟังอยู่มาก อาจเพราะเคยอยู่ด้วยกันมานาน เขาจึงคุ้นเคยกับการเชื่อฟังคำพูดของโจวลั่วหยางนานแล้ว
ตู้จิ่งดึงลิ้นชักออกมา เขาเห็นสิ่งที่วางอยู่ข้างใน นาฬิกาข้อมือที่ไม่มีสายสองสามเรือนวางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน
“เรือนไหนคือเดย์โทนา” ตู้จิ่งถาม
“เรือนสีดำ” โจวลั่วหยางบอกแล้วถามกลับ “นายชอบเหรอ”
ทว่าตู้จิ่งกลับชอบอีกเรือนหนึ่งมากกว่า นาฬิกาเรือนนั้นทำจากแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสามชิ้นวางเหลื่อมซ้อนกันเป็นมุมสี่สิบห้าองศา
“เรือนนี้เท่าไหร่” ตู้จิ่งถาม
โจวลั่วหยางเอ่ย “นายคุยเรื่องเงินกับฉันงั้นเหรอ”
ตู้จิ่งจึงว่า “ฉันอยากซื้อ จะได้เป็นลูกค้าคนแรกหลังจากที่นายเปิดกิจการ”
โจวลั่วหยางบอก “ฉันให้ฟรี”
“ด้วยเหตุผลอะไรล่ะ” ตู้จิ่งถามอีก
“เป็นของขวัญยินดีเนื่องในโอกาสที่นายได้งาน” โจวลั่วหยางตัดเข้าหัวข้อสนทนาของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังถามตู้จิ่งโดยแฝงความนัย “นายได้งานแล้วไม่เห็นบอกฉันเลย ทำงานสายนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
“ไม่นานหรอก” ตู้จิ่งตอบ “แค่ครึ่งปี”
ขณะที่ตู้จิ่งกำลังจะตั้งเวลานาฬิกา โจวลั่วหยางก็ยื่นมือไป ตู้จิ่งจึงส่งนาฬิกาให้ก่อนจะวางมือบนไหล่เขาอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นจึงนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ เขา
โจวลั่วหยางพิจารณาสักพักแล้วบอกว่า “ฉันจะเอาสายโลหะมาใส่ให้ นายโครงกระดูกใหญ่ สวมนาฬิกาบนข้อมือแล้วน่ามอง นาฬิกาสวยๆ ต้องให้ผู้ชายรูปหล่อสวม”
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“นายจะไม่จากไปจริงๆ ใช่ไหม” โจวลั่วหยางถาม “สามปีมานี้ ฉันคิดถึงนายเสมอ”
ตู้จิ่งบอก “ฉันคิดว่าตอนที่กลับมา นายคงแต่งงานไปแล้ว”
โจวลั่วหยางหัวเราะขื่น แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ตู้จิ่งเงียบงันไปนาน เหมือนกำลังตัดสินใจ
“ฉันย้ายมาอยู่ห้องนายก็แล้วกัน” ตู้จิ่งว่า “ดูแลน้องชายคงลำบากแย่ ให้ฉันช่วยนะ”
โจวลั่วหยางได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนี้ก็ดีใจ คล้ายมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในชีวิต ปีนี้ชีวิตของเขาเรียกได้ว่าเป็นทุกข์อย่างถึงที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือจะเผยสีหน้าอ่อนล้าออกมาต่อหน้าน้องชายไม่ได้ ทุกวันต้องฝืนทำเป็นร่าเริงแล้วบอกตัวเองว่า ‘ฉันเป็นที่พึ่งของเขา ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้’
แรงกดดันของการติดหนี้และความรับผิดชอบที่ต้องดูแลเล่อเหยากดทับบนตัวเขาจนหนักอึ้ง หลายครั้งเล่นเอาแทบหายใจไม่ออก เทียบกับตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบางครั้งที่เขานึกสงสัยว่าตัวเองคงใกล้จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ถ้าเทียบกับที่ตู้จิ่งเคยเป็น โจวลั่วหยางก็รู้สึกว่าตัวเองยังสามารถอดทนต่อไปได้ เพื่อเฝ้ารอวันที่ภูเขาลึกล้ำสายน้ำเคี้ยวคด พลันพบหมู่บ้านหลิวระย้ามืดครึ้มบุปผาสว่างงดงาม*
“ความคิดนี้นับว่าช่วยชีวิตบัดซบของฉันไว้ได้จริงๆ” โจวลั่วหยางพูดขำๆ “แต่ฉันต้องถามความเห็นของเล่อเหยาก่อน”
“ไว้ฉันรอคำตอบจากนายละกัน” ตู้จิ่งว่า “วันนี้ฉันจะกลับไปก่อน”
ตู้จิ่งขับรถพาโจวลั่วหยางไปส่งที่ห้องก่อนจะถามขึ้น “พรุ่งนี้ต้องไปรายงานตัวกี่โมง ฉันจะมารับ”
ตอนแรกโจวลั่วหยางอยากจะบอกปัด แต่หลังจากที่คิดดูแล้ว เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องลำบากเรียกแท็กซี่ โจวลั่วหยางจึงนัดเวลากับเขา จากนั้นตู้จิ่งก็มองส่งโจวลั่วหยางเดินขึ้นอาคารไปแล้วจึงค่อยออกรถ
สิบโมงเช้าวันต่อมา
ตู้จิ่งเดินเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ สแกนลายนิ้วมือ แล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบเจ็ด ระหว่างนั้นก็ส่องกระจกพลางจัดเสื้อสูทให้เรียบร้อย ก่อนจะผลักเปิดประตูกระจกที่เขียนว่า ‘บริษัทชังอี้’ เหล่านักสืบในชุดสูทสีดำตลอดทั้งตัวอยู่ในห้องประชุม ควันบุหรี่ลอยอบอวล ผู้เป็นหัวหน้าคือชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบปี เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงบนกล่องอาหารเช้าที่สั่งดีลิเวอรี่มา
ตู้จิ่งเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่สองทางด้านซ้ายมือของชายวัยกลางคนแล้วกวาดตามองทุกคน ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบส่งสายตาให้ตู้จิ่ง แต่เขาทำเป็นไม่เห็น
“นอนอิ่มแล้ว?” ชายวัยกลางคนถาม
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กวาดตามองทุกคน
ชายวัยกลางคนถามอีก “ไปนอนที่ไหนมาล่ะ ทำไมได้ข่าวว่านายไม่ได้กลับห้องมาสองวันแล้ว”
“ไปนอนบนเก้าอี้สาธารณะมา” ตู้จิ่งตอบไปส่งๆ
“สถานการณ์ทางอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นยังไงบ้าง” ชายวัยกลางคนถาม “เมื่อไหร่จะกลับไปเฝ้าจับตาดูเขา”
ตู้จิ่งคลำหามือถือก่อนจะพบว่าโยนทิ้งไว้ในรถ และเมื่อเขาพลิกมือเอาข้อนิ้วเคาะโต๊ะประชุม ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามคนนั้นก็ยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้
“รายงานคร่าวๆ แล้วกันนะครับ” ตู้จิ่งพูด “เบาะแสในตอนนี้ยังไม่นับว่ากระจ่าง อวี๋เจี้ยนเฉียง…”
“เบาะแสที่ไม่กระจ่างนายก็ต้องเอามารายงานด้วยหรือ” ชายวัยกลางคนเคาะโต๊ะเช่นกัน เขาตัดบทตู้จิ่ง “คิดว่านายโดนฆ่าปิดปากไปแล้วด้วยซ้ำ”
ตู้จิ่งทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วพูดต่อ “หลักฐานอย่างแรกที่พบ อวี๋เจี้ยนเฉียงดูเหมือนจะชอบผู้ชาย ตัดความเป็นไปได้ที่เขาอาจร่วมมือกับเลขาฯ บอร์ดบริหารทำการฆาตกรรม…ใครเป็นคนถ่ายรูป”
“ผมเอง!” ชายหนุ่มคนนั้นรีบชูมือ
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนในห้องประชุมต่างหันไปมองภาพพริ้นต์สีใบหน้าด้านข้างของโจวลั่วหยางบนกระดาษเอสี่ที่วางอยู่ตรงหน้าตู้จิ่ง เวลาที่ถ่ายคือห้าโมงครึ่งในตอนเย็นของวันที่เจ็ดเดือนเก้า โดยภาพนั้นเป็นภาพแอบถ่ายตอนที่โจวลั่วหยางกำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาหาร
ตู้จิ่งหันไปมองชายหนุ่ม ซึ่งชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงรังสีคุกคามกลุ่มหนึ่งทันที
“ใครให้นายตามไปถ่ายรูป” น้ำเสียงของตู้จิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“ผม…ผม…” ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ
ชายวัยกลางคนพยายามไกล่เกลี่ย “เสี่ยวลี่อยากช่วยงานนายน่ะ เอาล่ะ สรุปว่ายังไง”
“เขาเป็นลูกน้องผมหรือเป็นลูกน้องคุณกันแน่” ตู้จิ่งสวน
พอพูดประโยคนี้ออกไปทุกคนต่างก็ผงะไปเล็กน้อยอย่างพร้อมเพรียงกัน ห้องประชุมเงียบงันจนเกือบจะเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวลี่’ ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าชายวัยกลางคนกลับหัวเราะร่า
หลังเงียบกริบไปหลายวินาทีในห้องประชุมก็มีเสียงเครื่องทำลายเอกสารดังขึ้น…ตู้จิ่งเดินไปข้างเครื่องทำลายเอกสาร เขาอ่านข้อมูลพลางส่งเอกสารเข้าเครื่อง ทำลายรูปถ่ายสองสามใบ แล้วเก็บเอกสารไว้สองแผ่น แม้แต่การตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของโจวลั่วหยางก็ถูกทำลายไปด้วย
“อวี๋เจี้ยนเฉียงอยากรับเลี้ยงเด็กหนุ่ม ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นพวกรักเพศเดียวกันสักหน่อย” ชายวัยกลางคนแย้ง
“ผมบอกได้ว่าคนคนนี้ก็ไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกันเหมือนกัน” ตู้จิ่งพูดเสียงขรึม “เขาแค่ขาดเงิน”
“นักศึกษาหนุ่มไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกัน อวี๋เจี้ยนเฉียงก็ไม่ใช่” มีคนหนึ่งเปรยขึ้นมา “เรื่องนี้น่าสนใจดีแฮะ งั้นพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่”
ตู้จิ่งตอบ “กำลังติวคณิตศาสตร์ขั้นสูงกันในห้องส่วนตัวน่ะสิ”
ทุกคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ถึงจะอยากเลี้ยงดูหนุ่มนักศึกษาก็ยังยืนยันในรสนิยมทางเพศของเขาไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะอยากหาแรงกระตุ้น?” ชายวัยกลางคนว่า “พูดตามจริงบางครั้งผมก็อยากหาเด็กหนุ่มสักคนมาอยู่ด้วยเหมือนกัน นายมั่นใจว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่ชอบผู้หญิงมากขนาดนี้เลยเหรอ”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ลางสังหรณ์ครับ” ตู้จิ่งตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “จากบทสนทนาคืนนั้น อวี๋เจี้ยนเฉียงแทบไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตายของหวังเค่อ แต่การที่เขาปิดบังเรื่องนี้ไว้ก็หนีไม่พ้นเรื่อง…ดูจากสมุดบัญชี ได้ข้อสรุปอะไรบ้าง”
ชายวัยกลางคนหยิบซองเอกสารออกมาก่อนจะดันไปให้ตู้จิ่ง “จำไว้ว่าถ้ามีเวลาว่างต้องเอากลับไปคืนที่เดิม เขาน่าจะยังไม่รู้”
ตู้จิ่งรู้ว่าสมุดบัญชีตัวจริงถูกสับเปลี่ยนแล้ว และการทำข้อมูลปลอมก็ไม่ใช่ปัญหา
“ในนี้คือรายงานการตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของผู้ตายครับ” เสี่ยวลี่ตะกุกตะกักเล็กน้อย “พี่จิ่ง ผมจะให้พี่ตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่พี่ไม่ได้กลับ…”
“ข้อสรุป” ตู้จิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสี่ยวลี่รายงาน “อายุสามสิบสาม เพศชาย สูงร้อยแปดสิบสอง เป็นชาวเจียงซู ก่อนตายทำงานช่วยทวงหนี้ดอกเบี้ยโหด จ้างลูกน้องไว้สี่คน เกรงว่าคงแก้แค้นอวี๋เจี้ยนเฉียง เวลาชั่วข้ามคืนก็พากันหนีไปหมด ทางตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องนี้ หมอนี่ทำผิดไว้เยอะเลยยากจะหาข้อสรุปอะไรได้ รองประธานของอวี๋เจี้ยนเฉียงถูกสอบสวนแล้ว นอกจากเรื่องอยู่ในตึกไซต์ก่อสร้างที่มีคนตกลงมาตายก็ยังไม่มีหลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอวี๋เจี้ยนเฉียง”
ชายวัยกลางคนจึงสั่งการ “ทางอวี๋เจี้ยนเฉียงเอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ตู้จิ่งรีบกลับไปทำงาน ส่วนเดือนนี้สายสืบที่แทรกซึมเข้าไปทลายแก๊งอาชญากรมีความคืบหน้าอะไร ให้ทั้งสี่กลุ่มออกมารายงาน”
ผู้ดูแลอีกคนตรงหน้าโต๊ะที่ประชุมพลิกเปิดแฟ้มเอกสาร แต่ตู้จิ่งกลับออกจากห้องประชุมไปแล้ว ผู้ช่วยหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวลี่โค้งตัวขออภัยไปทางหัวหน้า ก่อนจะรีบสาวเท้าตามออกไป
“พี่จิ่ง…”
“ลบข้อมูลออกจากธัมป์ไดรฟ์” ตู้จิ่งหยุดยืนที่ปากประตูครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “คราวหน้าอย่าทำอีก วันนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่อยากเสียเวลากับนาย”
เสี่ยวลี่รีบพยักหน้ารับคำอย่างหวาดๆ ก่อนจะยื่นกาแฟให้ด้วยความหวั่นใจ ตู้จิ่งรับถุงกระดาษใส่กาแฟมา แล้วลงลิฟต์ไปชั้นล่าง
วันนี้โจวลั่วหยางสวมชุดสูทเช่นกัน เขาอุ้มเล่อเหยาลงมาแล้วอุ้มไปขึ้นรถของตู้จิ่ง ส่วนตู้จิ่งก็ยกรถเข็นลงมาเก็บใส่ช่องเก็บของท้ายรถ
“รถคันนี้นายซื้อเองเหรอ” โจวลั่วหยางขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
“นั่งสบายกว่าคันก่อนหน้านั้นใช่ไหมล่ะ” ตู้จิ่งตอบพลางปรับเบาะที่นั่งให้โจวลั่วหยาง
โจวลั่วหยางถาม “อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอที่นายซึ่งเป็นผู้ช่วยขับเบนซ์”
“คนรู้จักที่แนะนำงานนี้ให้ เดิมทีก็เป็นเศรษฐีรุ่นสองอยู่แล้วน่ะ” ตู้จิ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะหันไปเอื้อมมือช่วยเล่อเหยาคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วจึงออกรถ
ในที่สุดเล่อเหยาก็หาโอกาสแทรกบทสนทนาได้แล้ว จึงพูดขึ้น “ตอนสมัยเรียนพวกพี่ขับรถไปเที่ยวกันไหม”
“แทบไม่ได้ไปหรอก” โจวลั่วหยางบอก “มีคนให้พี่เรียนหลักสูตรมหา’ลัยสี่ปีให้จบภายในสองปี จะไปมีเวลาอะไรมากมายล่ะ”
เล่อเหยาหัวเราะ ตู้จิ่งเหลือบมองเล่อเหยาผ่านกระจกมองหลังแล้วทัก “พวกนายสองคนพี่น้องหน้าตาคล้ายกันมากนะ”
เล่อเหยาจึงว่า “ลำบากให้พี่มาช่วยดูแลแล้ว วันนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ หรือลางานมาเป็นพิเศษ?”
โจวลั่วหยางกล่าว “เขาชอบโดดงาน ทำตัวเหลวไหล”
ตู้จิ่งจึงบอก “ช่วงนี้บริษัทค้างจ่ายเงินเดือนหนักมาก เงินไม่พอจะจ่ายค่าเช่าห้องแล้ว เจ้าของห้องพักกำลังจะไล่พี่ออก”
สีหน้าของโจวลั่วหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองตู้จิ่งพลางใช้สายตาเตือนว่า ‘อย่าพูดจาเหลวไหล’
เขารู้อยู่แล้วว่าตู้จิ่งอยากย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันจนแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะเอ่ยปากบอกเล่อเหยาด้วยตัวเอง แต่ในความคิดของโจวลั่วหยาง เขากลับอยากให้ตู้จิ่งไปมาหาสู่ที่ห้องหลายๆ ครั้งก่อน หรือไม่ก็มาค้างคืนบ้างนานๆ ครั้ง รอให้เล่อเหยาคุ้นเคยแล้ว สุดท้ายจึงค่อยถามความเห็น
“พี่จะมาอยู่ห้องกับพวกเราไหมล่ะ” เล่อเหยายิ้มให้ “พอผมเข้าเรียนแล้ว พี่ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาคงเบื่อน่าดู”
ตู้จิ่งสบตาเล่อเหยาผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะหยั่งเชิงถาม “นายไม่ถือสาใช่ไหม”
โจวลั่วหยางสวน “เล่อเหยา! อย่าไปฟัง เขาเนี่ยนะไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าห้อง”
“แน่นอนว่าไม่ถือหรอกฮะ” เล่อเหยาหัวเราะ “ตั้งแต่พี่กลับมา พี่ชายผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย”
โจวลั่วหยางตะโกน “เล่อเหยา!”
ตู้จิ่งกล่าว “พี่ก็รู้สึกว่าเขาอารมณ์ดีสุดๆ”
โจวลั่วหยาง “…”
* ภูเขาลึกล้ำสายน้ำเคี้ยวคด พลันพบหมู่บ้านหลิวระย้ามืดครึ้มบุปผาสว่างงดงาม มาจากบทกวี ‘ท่องภูเขาหมู่บ้านบูรพา’ ของลู่โหยว กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยบทกวีอุปมาว่าเมื่อพบเจอความยากลำบากที่ไม่อาจใช้วิธีการหนึ่งแก้ปัญหาได้ก็ให้ใช้วิธีการอื่นในการแก้ปัญหา แล้วจะพบทางออก
โปรดติดตามตอนต่อไป…