everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 13-15 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1
ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 天地白驹
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม
อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งเข้าไปในห้องซาวน่า แสงไฟในห้องถูกปรับให้สลัวลง จนถึงตอนนี้อู๋ซิงผิงก็ยังไม่ปรากฏตัว
โจวลั่วหยางไม่รู้ว่ามีคนคอยจับตามองพวกเขาอยู่
“ถ้าเขาไม่มาล่ะ” โจวลั่วหยางถามอย่างหวั่นใจ
ตู้จิ่งเอาผ้าขนหนูวางแปะตรงช่วงเอว เขาถอนหายใจแล้วพูด “ถ้าอย่างนั้นอบตัวเสร็จก็กลับไปนอน”
ทำงานในที่แบบนี้น่าสนใจจริงๆ โจวลั่วหยางคิดก่อนจะหันไปมองตู้จิ่ง “เล่อเหยาเพิ่งเข้าเรียน ฉันไม่อยากพาเขาย้ายโรงเรียนอีก”
“ถึงยังไงเขาก็ต้องเรียนและใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดี” ตู้จิ่งเตือนสติ “ไม่อย่างนั้นนายจะให้เขามีความรักมีครอบครัวได้ยังไง จะทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ยังไง ตอนฉันอายุสิบสองขวบก็ออกจากบ้านไปอยู่โรงเรียนประจำแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การพยายามหาใครมาดูแลไปตลอดชีวิต แต่เป็นการที่นายปฏิบัติกับเขาอย่างคนธรรมดาๆ ที่ร่างกายแข็งแรงต่างหาก”
“นายไม่เหมือนกันนี่นา” โจวลั่วหยางท่าทางหงุดหงิด อย่างน้อยตู้จิ่งก็ไม่มีอุปสรรคอะไรทางด้านร่างกาย
ตู้จิ่งจึงว่า “เฮอะ ฉันไม่มีพี่ชายที่ยินดีดูแลฉันไปตลอดชีวิตนี่นา”
โจวลั่วหยางกำลังจะบอกว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย แต่ตู้จิ่งกลับมองไปยังทางเข้าห้องซาวน่าเสียก่อน ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ มีรอยสักทั่วแผ่นหลังคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมทั้งมองดูพวกเขา
“มาหาอู๋ซิงผิงมีธุระอะไร” ชายร่างสูงใหญ่เปลือยล่อนจ้อน แต่ก็ไม่ได้ทำท่าหลบเลี่ยงพวกเขา
ตู้จิ่งตอบ “เอาเงินมาให้น่ะสิ”
ชายร่างสูงใหญ่กำยำ เอวหนา บ่ากว้าง ขนาดตัวแตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เขาพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่า ภายใต้สภาพที่พบกันอย่างเปิดเผยในห้องซาวน่า แถมยังมาขวางประตูเอาไว้ โจวลั่วหยางพลันรู้สึกว่าประหลาดสิ้นดี
“อ้อ” ชายร่างสูงใหญ่รับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เชิญที่ชั้นสี่ ให้พวกนายค่อยๆ คุยกัน”
โจวลั่วหยางสงสัยว่าเขากำลังพบกับหัวหน้าตัวจริง โดยมีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่หมอนี่จะเป็นหัวหน้าของคนร้ายที่แบล็กเมล์ อู๋ซิงผิง รวมถึงคนอื่นๆ ด้วย
ตู้จิ่งลุกขึ้นทันที ชายร่างสูงใหญ่พูดอย่างสบายๆ “แกก็คือ…ไอ้ NBA อะไรนั่นที่เพิ่งกลับมาจีน? คนของชังอี้?”
ตอนที่ได้ยินเช่นนี้ ฉับพลันโจวลั่วหยางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของตู้จิ่ง แม้เขาจะยืนเปลือยอยู่อย่างนี้ก็ตาม ราวกับเสือชีต้าที่เผยแววคุกคามของมันออกมาก่อนล่าเหยื่อ
ชายร่างสูงใหญ่นั่งลงในห้องซาวน่า แล้วดึงผ้าขนหนูที่พาดบนบ่ามาวางไว้ที่ช่วงเอว ก่อนจะสบสายตากับตู้จิ่งพลางยิ้มอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง
“ไปสิ” ตู้จิ่งบอกเสียงเย็นชา
ตอนออกจากห้องซาวน่า ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนในชุดคลุมอาบน้ำบางๆ ที่ยืนอยู่ข้างนอกต่างหันมามองพวกเขาทั้งสองคน
ตู้จิ่งไปอาบน้ำก่อน โดยใช้ฝักบัวคนละอันกับโจวลั่วหยาง
“นายเคยแข่ง NBA ด้วย?” โจวลั่วหยางทำท่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ดูท่าประสบการณ์ในสามปีที่ผ่านมานี้ของนายคงเยอะน่าดู”
ตู้จิ่งไม่ตอบ น้ำไหลลงไปตามแผ่นหลังและไหล่ของเขา โจวลั่วหยางคิดแล้วยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันเดาว่าเขาอยากจะพูดคำอื่น แต่จำไม่ได้ใช่หรือเปล่า”
โจวลั่วหยางกดยาสระผมสองสามครั้ง เสียงน้ำจากห้องข้างๆ หยุดไปแล้ว ตู้จิ่งเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อช่วยสระผม จากนั้นตู้จิ่งก็คลำไปที่หลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณลำคอของโจวลั่วหยางแล้วบีบเบาๆ
“นายบีบคนจนตายด้วยท่านี้ได้หรือเปล่า” โจวลั่วหยางถาม “ฉันสงสัยมาตลอดว่าในหนังแค่บีบคอก็ตายได้เพราะอะไร”
“หลอดเลือดแดงใหญ่ตรงคอไง” ตู้จิ่งใช้นิ้วที่ทั้งเรียวยาวและแข็งแรงโอบรอบคอของโจวลั่วหยาง น้ำเสียงแฝงความอันตราย “ต้องบีบไว้สักพักถึงจะได้ผล แนะนำให้หักคอเลยจะง่ายกว่า เหมือนหักก้านแดนดิไลออนเลย”
จากนั้นตู้จิ่งก็ล็อกคอโจวลั่วหยางไว้แล้วใช้มืออีกข้างจับคาง ก่อนจะบังคับให้เขาหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ฝ่ามือร้อนกับความรู้สึกบีบคั้นที่ยากจะต้านทานทำเอาโจวลั่วหยางหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันใด
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตรงกระดูกสันหลังส่วนคอมีเสียงดังขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นก็หายใจสะดวกขึ้นมาก ทั่วทั้งร่างถึงกับผ่อนคลายลงฉับพลัน
โจวลั่วหยางยื่นมือไปดึงสายรัดข้อมือยางที่ข้อมือของตู้จิ่งแล้วปล่อย สายรัดข้อมือจึงดีดใส่เขาดังแปะ
“ของขวัญที่ฉันได้งานล่ะ” ตู้จิ่งถามกลับ
“ซ่อมเสร็จแล้วจะให้นาย” โจวลั่วหยางบอก “ยังไม่ทันพานายไปดื่มเลย”
ตู้จิ่งปิดน้ำแล้วเดินออกจากห้องอาบน้ำ พนักงานส่งกางเกงขายาวสีกรมท่ากับเสื้อคลุมอาบน้ำสไตล์จีนให้เขา พร้อมกับวางรองเท้าแตะเอาไว้
“ชั้นสี่ ขึ้นไปทางนั้น” มีคนบอกทางให้โจวลั่วหยาง
“ขอบคุณครับ” โจวลั่วหยางรับคำอย่างมีมารยาท ในใจคิดว่า ขอบคุณฟ้าดิน ไม่ต้องพูดคุยกันทั้งที่ยังเปลือยกาย ดีจริงๆ
อู๋ซิงผิงกำลังรออยู่ในห้องรับรอง โดยเถ้าแก่ได้เตรียมชาและของว่างไว้ให้เป็นพิเศษ โจวลั่วหยางก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมและดื่มน้ำผลไม้ ส่วนตู้จิ่งก็มองดูอู๋ซิงผิง ก่อนที่คนรอบตัวเขาจะเดินออกไปเองโดยอัตโนมัติ
อู๋ซิงผิงเบ้าตาลึกโหล ขอบตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูแล้วคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน
“แกมาทำอะไร” อู๋ซิงผิงเสียงสั่นเล็กน้อย “ฉันไม่รู้อะไรเลย แกตามหาฉันเจอก็ไร้ประโยชน์”
โจวลั่วหยางมองประเมินอีกฝ่าย คืนนั้นบนดาดฟ้ามืดไปหมดเลยเห็นหน้าอู๋ซิงผิงไม่ชัด จึงไม่อาจตัดสินได้ว่าคนตรงหน้าใช่อู๋ซิงผิงหรือไม่ แต่ในเมื่อตู้จิ่งไม่มีคำถามนั่นก็แสดงว่าเขาคงมีวิธีของเขา และต้องไม่จำคนผิดอย่างแน่นอน
“ฉันมาช่วยชีวิตนายต่างหาก” นิ้วทั้งสิบของตู้จิ่งประสานกัน เขาไม่ได้มองไปที่อู๋ซิงผิง ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งแล้วบอก “อวี๋เจี้ยนเฉียงให้นายหนีไปตอนนี้ ถ้านายยอมบอกเรื่องที่รู้ออกมา เขาจะให้นายอีกสี่แสน”
“บอกให้มันไสหัวไปซะ!” จู่ๆ อู๋ซิงผิงก็โกรธจัดขึ้นมา เขาตะคอก “มันฆ่าพี่ใหญ่กู!”
โจวลั่วหยางตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาอดที่จะมองประเมินอู๋ซิงผิงอย่างจริงจังไม่ได้ อีกฝ่ายดูหนุ่มมาก ดูท่าอายุคงจะยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่งตัวเหมือนพวกคนในสังคมไคว่โส่ว* ที่เรียนจบมัธยมปลายแล้วก็ออกมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่นึกเลยว่าการตายของ ‘พี่ใหญ่’ จะกระทบกระเทือนอู๋ซิงผิงมากถึงเพียงนี้
ตู้จิ่งกล่าว “พวกแกฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียงไม่สำเร็จซ้ำยังกลับเป็นฝ่ายโดนฆ่า ยังคิดจะทำอะไรอีก ทุกคนต่างก็อาศัยความสามารถกันทั้งนั้น”
อู๋ซิงผิงหอบหายใจไม่หยุด ดวงตาแฝงความหวาดหวั่น ตู้จิ่งมองเขาเช่นนี้คล้ายสามารถมองทะลุความคิดของเขาได้ ไอคิวของอู๋ซิงผิงไม่นับว่าสูงนัก อย่างไรเสียคนที่ฉลาดก็คงเอาดีอย่างอื่นได้และไม่เลือกมาทำงานแบบนี้ เกรงว่าแม้แต่โจวลั่วหยางเองก็มองความพยายามดิ้นรนของอู๋ซิงผิงทะลุปรุโปร่งแล้วเช่นกัน
อู๋ซิงผิงยอมแพ้ในที่สุด “ให้ฉันหนี? จะหนีไปไหนล่ะ พี่มู่ไม่ปล่อยฉันไปหรอก ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาฉันจะทำให้เขาเดือดร้อน”
โจวลั่วหยางนึกถึงชายร่างสูงใหญ่มีรอยสักในห้องอบซาวน่าขึ้นมาทันทีพลางคิด ‘พี่มู่’ ที่ว่าหมายถึงเขาเหรอ
ตู้จิ่งเอ่ย “เขาจะปล่อยนายไป เพราะถ้าไม่ปล่อยเขาจะเดือดร้อนยิ่งกว่า”
สุดท้ายอู๋ซิงผิงจึงพูดขึ้น “ถ้าเขาให้ฉันหนี ฉันก็จะไป”
“ตอนนี้นายลองไปถามเขาดูสิ” ตู้จิ่งบอก
อู๋ซิงผิงยังคลางแคลงใจ เขาพูดขึ้นมาอีก “พวกหมาต๋ากำลังค้นหาจับกุมตัวฉันไปทั่ว พวกมันสงสัยว่าฉันฆ่าพี่ใหญ่ นายต้องคุ้มกันฉันให้หนีไป ไม่อย่างนั้นถ้าฉันถูกพวกหมาต๋าจับได้ก็จะลากพวกนายให้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย”
ตู้จิ่งบอก “นายไม่กลัวฉันฆ่าปิดปากระหว่างทางเหรอ”
โจวลั่วหยางพูด “อย่าขู่เขาสิ”
ตู้จิ่งกล่าว “ไม่แน่ถ้าฉันอยากตัดความยุ่งยาก อาจจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็ได้”
เมื่ออู๋ซิงผิงถูกเตือนเช่นนี้แววตาก็ดูหวาดกลัวขึ้นมาในทันที ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก จากนั้นชายหนุ่มสวมแว่นตาคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทนั้นมีไว้สำหรับตู้จิ่ง
อู๋ซิงผิงกำลังจะลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับพูดอย่างสุภาพ “เถ้าแก่บอกมาว่าคุณไปได้” แล้วหันไปพยักหน้าให้ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยาง “ต้อนรับได้ไม่ดี ต้องขอโทษด้วยครับ”
ตู้จิ่งผายมือ ทำท่าว่าไม่มีปัญหา
“นายจะใช้ความลับที่ตัวเองรู้มาข่มขู่เขาก็ได้นี่” โจวลั่วหยางพูดกับอู๋ซิงผิง “อีกทั้งในชั่วขณะสุดท้ายทำไมจู่ๆ ถึงคิดจะลงมือฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียง ข้อมูลพวกนั้นมาจากไหน นายน่าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่มากนี่ ใช่หรือเปล่าล่ะ นายให้เขาพาไปส่งถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยแล้วค่อยบอกเขาอย่างละเอียด ทำอย่างนี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
อู๋ซิงผิง “…”
ตู้จิ่งพูด “เดิมทีฉันไม่อยากลงมือ แต่พอนายพูดอย่างนี้ ฉันคงต้องฆ่าเขาแล้ว”
โจวลั่วหยางกล่าว “ไอศกรีมนี่อร่อยดีนะ”
ชั่วขณะหนึ่งอู๋ซิงผิงไม่เข้าใจว่าโจวลั่วหยางกำลังเข้าคู่กับตู้จิ่งหรือกำลังหยอกเขาเล่นกันแน่ เวลานี้สมองของเขาเละเป็นโจ๊กไปหมดแล้ว จึงไม่อาจทำความเข้าใจอะไรได้ทั้งนั้น
“ฉันจะให้โอกาสนายกลับบ้านไปเก็บข้าวของและบอกลาเพื่อนฝูงก็แล้วกัน” ตู้จิ่งพูดขึ้นในตอนท้าย “อย่าถูกจับในคืนนี้ล่ะ เจ็ดโมงเช้าวันพรุ่งนี้ฉันจะมารับนาย”
อู๋ซิงผิงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่นั่งเงียบๆ เท่านั้น จากนั้นตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางก็ลงมาที่ชั้นล่างเพื่อกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ตู้จิ่งถาม “นายกำลังช่วยฝ่ายไหนกันแน่”
“นายไม่ฆ่าเขาหรอก” โจวลั่วหยางมั่นใจ “ฉันไม่เชื่อว่านายจะฆ่าคนได้”
“ถ้าเมื่อก่อนฉันเคยฆ่าคนมาก่อนล่ะ” ตู้จิ่งเดินลงบันไดด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วตอบกลับมา
โจวลั่วหยางบอก “ขอแค่นายอย่าบรรยายออกมาอย่างละเอียดก็พอ ฉันก็จะทำเหมือนไม่รู้เรื่องในอดีตพวกนั้น นายยังคงเป็นนาย”
ตู้จิ่งจึงว่า “คนคนหนึ่งต้องมีอะไรถึงจะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์ คำพูดนี้นายพูดเองนะ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตยังไงล่ะ”
โจวลั่วหยางพลันหยุดเดิน ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาขวางตู้จิ่งเอาไว้ ตอนที่ทั้งสองมาถึงชั้นสองและเพิ่งจะเปิดตู้ล็อกเกอร์ โจวลั่วหยางก็สังเกตเห็นสิ่งไม่ชอบมาพากลในทันใด จึงถอยห่างออกมาเล็กน้อย
ที่ชั้นสองมีชายสามคนกำลังสอบถามพนักงานอยู่ ตู้จิ่งเหลือบมองแล้วถอยออกมาพร้อมโจวลั่วหยาง ก่อนจะกลับไปหลบหลังตู้ล็อกเกอร์
“ตำรวจนอกเครื่องแบบใช่ไหม”
“…”
“เป็นนักกีฬา NBA แต่กลับละเลยรายละเอียดแบบนี้ไปซะได้ ไม่น่าเลยนะ ถ้าฉันไม่ขวางตัวนายไว้ ไม่แน่นายอาจจะเดินไปชนกับตำรวจนอกเครื่องแบบแล้วก็ได้”
“โดนนายป่วนความคิดน่ะสิ”
ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางหยิบเสื้อผ้าได้แล้วแต่ไม่มีเวลาเปลี่ยน พวกเขาพากันเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสี่ ตู้จิ่งเดินเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนโจวลั่วหยางแทบตามไม่ทัน
“อู๋ซิงผิงอยู่ที่ไหน” โจวลั่วหยางดึงคนคนหนึ่งมาถาม
“นายเหมาะจะเข้า NBA ยิ่งกว่าฉันซะอีก” ตู้จิ่งเร่งฝีเท้า “เร็วหน่อย! พวกเขาจะขึ้นมาแล้ว!”
เมื่อตำรวจนอกเครื่องแบบสามนายขึ้นมาถึงชั้นสองก็เริ่มเดินตามหาคนแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาตามหาอู๋ซิงผิง โจวลั่วหยางวิ่งไปที่หน้าต่างตรงทางเดินชั้นสองแล้วชะโงกออกไปดู ก่อนจะเห็นว่าไม่มีรถตำรวจ
โจวลั่วหยางพุ่งกลับขึ้นไปที่ชั้นสี่ เฉียดไหล่ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนั้นพอดี ชายหนุ่มบอกว่า “เขาอยู่ที่ชั้นห้า ใช้ทางหนีไฟหนีไปซะ เขารู้ทาง” ก่อนจะรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
ชายหนุ่มรีบไปรับหน้าตำรวจ ส่วนทางด้านตู้จิ่งก็ถีบประตูห้องล้างเท้าที่ชั้นห้า แล้วเห็นว่าอู๋ซิงผิงกำลังคุยกับพนักงานสาวที่ช่วยล้างเท้าคนหนึ่ง
“หนี หมาต๋ามาแล้ว” โจวลั่วหยางรีบบอก
ขอบตาของอู๋ซิงผิงยังคงแดงก่ำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สับสนลนลานขึ้นมาทันที โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งประกบเขาคนละข้าง เรียกได้ว่าแทบจะหิ้วตัวเขาออกไป
“รีบบอกทางสิ!” โจวลั่วหยางตะคอกอย่างไม่พอใจ “ต้องออกตรงทางหนีไฟ เอาบัตรประชาชนมาไหม”
อู๋ซิงผิงพยักหน้าหงึกๆ ดูออกว่ากำลังลนลาน โจวลั่วหยางถาม “นายติดตามพี่ใหญ่ของพวกนายมากี่ปีแล้ว ไม่เคยโดนจับเลยหรือไง”
“อย่าคุยเล่นกับเขา” ตู้จิ่งเอนตัวไปพิงราวบันได ก่อนจะไถลตัวลงไปผลักเปิดประตูชั้นหนึ่ง เหนือศีรษะมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น บ่งบอกว่าตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังไล่ตามมาแล้ว
ตู้จิ่งเงยหน้ามอง โจวลั่วหยางรีบบอก “เฮ้! ห้ามทำร้ายเจ้าหน้าที่นะ!”
ตู้จิ่งกล่าว “ควบคุมจัดการยิ่งกว่าเจ้านายฉันซะอีก”
สถานการณ์ชวนตื่นเต้นเกินไปจริงๆ โจวลั่วหยางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ตัวเองได้ประสบกับเหตุการณ์ตำรวจไล่จับผู้ร้ายที่หลบหนีเหมือนในภาพยนตร์ และที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือตัวเขาเองกับตู้จิ่งยังกลายเป็นผู้ร้าย! แถมยังช่วยคุ้มกันพยานฝ่ายโจทก์ให้หลบหนีอีกต่างหาก!
“นี่มันอาชญากรรมชัดๆ” โจวลั่วหยางโอดครวญ
“ยังไม่โดนจับก็ไม่นับหรอก” ตู้จิ่งสวน “เร็วเข้า!”
“ใส่รองเท้าแตะนี่นา!” โจวลั่วหยางหงุดหงิด “วิ่งเร็วได้ที่ไหน!”
โจวลั่วหยางสวมเสื้อคลุมอาบน้ำทั้งยังสวมรองเท้าแตะ จะถอดรองเท้าแตะทิ้งก็ไม่ได้เพราะห้ามทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบตามเจอเด็ดขาด แม้จะเป็นรองเท้าข้างเดียวก็ตาม
“หยุดนะ!” ที่ฝั่งตรงข้ามของถนนด้านนอกมีตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าอยู่ตามคาด ทันทีที่เห็นคนทั้งสามเปิดประตูออกมาก็วิ่งไล่ตามพลางตะคอกถาม “ใครน่ะ!”
“จะมากวาดล้างพวกค้ากามก็ไปกวาดล้างข้างบนสิ!” โจวลั่วหยางตะคอกกลับ
ตู้จิ่ง “…”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ตำรวจนอกเครื่องแบบรีบใช้วิทยุสื่อสารแจ้งข่าวพรรคพวกที่อยู่บนอาคาร ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สามนายที่ไล่ตามมาด้านหลังก็ตะโกน “พบเป้าหมายแล้ว! ตรงทางออกประตูหนีไฟชั้นล่าง!”
สถานการณ์ตอนนี้กำลังย่ำแย่ ในขณะที่โจวลั่วหยางกำลังคิดว่าจะหนีไปทางไหนดี ตู้จิ่งกลับคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำของเขาไว้แน่นแล้วดึงจนเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวๆ ของโจวลั่วหยาง
“มีคนทำอนาจารผม! คุณตำรวจช่วยด้วย!”
“ทางนี้!” บางครั้งตู้จิ่งก็โกรธความคิดแบบสมองกลับทาง* ของโจวลั่วหยางไม่ลงจริงๆ
จวงลี่กำลังเล่นเกมมือถืออย่างเซ็งๆ บนที่นั่งฝั่งคนขับ ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางวิ่งพรวดพราดมาทางรถ อีกทั้งด้านหลังยังมีคนตามมาอีกคน
โจวลั่วหยางเปิดประตูรถแล้วมุดเข้ามาเป็นคนแรก ก่อนที่ตู้จิ่งจะตามมาติดๆ ส่วนอู๋ซิงผิงก็มองดูและทำได้เพียงนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
จวงลี่ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบหมุนพวงมาลัยกลับรถตามที่เคยฝึกมาเป็นอย่างดีทันที ตำรวจนอกเครื่องแบบตามมาจนถึงลานจอดรถแล้วหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมา จากนั้นแสงแฟลชก็สว่างวาบ เป็นอันว่าถ่ายรูปรถยนต์ไว้ได้
โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ในทันทีว่าป้ายทะเบียนรถจะเผยฐานะของพวกเขา “ป้ายทะเบียนรถพวกนายจดไว้ในชื่อใคร”
“เอาผ้าดำคลุมป้ายทะเบียนไว้แล้วครับ” จวงลี่บอก “อย่าห่วงไปเลย มาที่โรงอาบน้ำแห่งนี้ต้องปิดแผ่นป้ายทะเบียนอยู่แล้ว”
อู๋ซิงผิงยังตกใจกลัวไม่หายอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ จวงลี่เตือน “คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยสิ”
โจวลั่วหยางที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเอนพิงพนักพลางหอบหายใจ “ระทึกใจเกินไปแล้ว”
“นี่นับว่าระทึกอะไรกัน” ตู้จิ่งสวนกลับอย่างเย็นชาก่อนจะปลดกระดุมเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วดึงคอเสื้อเพื่อถอดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อผอมบางของลำตัวท่อนบนอันสมบูรณ์แบบ
“ไปที่ไหนครับ” จวงลี่ขับรถขึ้นทางยกระดับแล้วขับลง อ้อมผ่านถนนหลายสายก่อนจะจอดที่ข้างทาง แล้วรีบเดินลงไปปลดผ้าดำที่ปิดป้ายทะเบียนรถออก โจวลั่วหยางเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เบาะหลัง และด้วยความที่พื้นที่ตรงนี้แคบมาก บางครั้งจึงสัมผัสผิวเปลือยเปล่าของกันและกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตู้จิ่งสวมกางเกงสูทก่อน จากนั้นก็คาดเข็มขัดหนังแล้วค่อยสวมเสื้อเชิ้ต ส่วนโจวลั่วหยางก็เปลี่ยนกลับมาสวมชุดลำลองด้วยความรวดเร็วแล้วพูดขึ้น
“ไปห้องฉันไหม ที่ห้องไม่มีใครอยู่”
“เอ่อ…” จวงลี่เหลือบมองตู้จิ่งผ่านกระจกมองหลัง
ตู้จิ่งบอก “ไปสถานีรถไฟความเร็วสูง ซื้อตั๋วของคืนนี้สองใบ ไปไหนก็ได้”
เมื่ออู๋ซิงผิงได้ยินเขาสั่งถึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
“สามใบ” โจวลั่วหยางแก้
ตู้จิ่งไม่คัดค้าน พอติดกระดุมคอเสร็จก็สวมเสื้อสูททับ และแล้วเขาก็กลับมามีท่าทางไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง
“บริษัทไม่จ่ายค่าตั๋วให้คนในครอบครัว” ตู้จิ่งพูดเรียบๆ “ต้องออกเงินเองนะ”
โจวลั่วหยางตอบกลับ “ไม่เป็นไร นายมีเงินนี่”
ในสถานีรถไฟความเร็วสูง จวงลี่ซื้อตั๋วแบบส่งๆ เพื่อที่จะพาพวกเขาเข้าไปส่งในสถานี
โจวลั่วหยางพูดอย่างสบายๆ “ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิดจริงๆ”
“ให้ผมไปซื้อของว่างให้พวกคุณไหม” จวงลี่ถาม “ขึ้นรถเวลานี้คงไม่มีอะไรกินหรอกครับ”
“ไม่กินของว่างหรอก” ตู้จิ่งบอก “เขาก็ไม่กิน”
“แต่ฉันกิน บริษัทพวกนายยังรับสมัครพนักงานหรือเปล่า” โจวลั่วหยางถาม “ฉันก็เป็นผู้ช่วยได้นะ”
จวงลี่จึงคะยั้นคะยอ “ถ้าเกิดหิวบนรถขึ้นมาล่ะครับ ไปซื้อของกินสักหน่อยเถอะ”
ตู้จิ่งหยิบกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเงินสดออกมาจากกระโปรงหลังรถ ก่อนจะหันไปพูดกับจวงลี่ที่เดินกลับมาจากการซื้อของกินเล่นอย่างรวดเร็ว “เอากลับไปไว้ที่ห้อง ห้ามแตะต้อง”
ตั๋วตู้นอนสามใบ ตู้หนึ่งอยู่ได้สองคนโดยมีเตียงบนกับเตียงล่าง โต๊ะเล็กๆ และโซฟาอย่างละตัว
รถไฟออกเดินทาง โจวลั่วหยางยังคงมองไปที่ชานชาลานอกหน้าต่าง…ตำรวจนอกเครื่องแบบไม่ได้ตามมา ตอนที่ชานชาลาเคลื่อนห่างจนลับสายตาไปท่ามกลางแสงไฟสลัวอย่างช้าๆ โจวลั่วหยางก็รู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด
ตู้จิ่งลุกขึ้น เดินไปเคาะประตูแล้วดึงตัวอู๋ซิงผิงเข้ามา ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งจะเหยียบลงบนขอบโซฟา เขาก้มลงผูกเชือกรองเท้าหนังแล้วพูดโดยไม่เงยหน้า
“ในห้องนาย เงินสี่แสนที่อยู่ใต้เตียงนอนยกให้นาย ตอนนี้เล่ามาได้แล้ว”
“นี่คือรถไปหังโจวหรือเปล่า” อู๋ซิงผิงถาม “ระหว่างทางฉันจะเลือกลงที่สถานีหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะโทรมาบอกนาย”
ตู้จิ่งเงยหน้ามองอู๋ซิงผิงแวบหนึ่ง ทำเอาอู๋ซิงผิงที่นั่งอยู่บนโซฟาอดที่จะเอนไปด้านหลังเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวไม่ได้
โจวลั่วหยางแกะถุงขนมที่จวงลี่ซื้อมาแล้วบอก “ถ้าอยากฆ่าปิดปากนายจริงๆ จะเอาเงินมากมายขนาดนี้ออกมาทำไม มันจะไม่ยุ่งยากเกินไปหน่อยเหรอ”
“พวกนายสองคน คนหนึ่งเล่นบทตัวร้าย อีกคนเล่นบทตัวดี” อู๋ซิงผิงยังคงไม่ขยับเขยื้อน “ตกลงกันได้ดี”
โจวลั่วหยางยื่นขวดเครื่องดื่มให้ตู้จิ่ง อีกฝ่ายรับไปบิดเกลียวเปิดฝาแล้วส่งคืน
“ให้นายดื่มต่างหาก” โจวลั่วหยางบอก “อาบน้ำเสร็จไม่หิวน้ำหรือไง”
“เดี๋ยวก่อน” ตู้จิ่งหักข้อนิ้ว อู๋ซิงผิงคิดว่าเขาจะเข้ามาทุบตีจึงรีบบอก “ฉันยอมเล่าแล้ว!”
ตู้จิ่งหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะล้วงเอาเครื่องบันทึกเสียงออกมาวางบนโต๊ะ เขารับเครื่องดื่มมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะเช็ดที่มุมปากแล้วจ้องมองอู๋ซิงผิง จากนั้นก็เลิกคิ้วทีหนึ่งเป็นสัญญาณว่า ‘อย่าบีบให้ฉันต้องลงมือนะ’
อู๋ซิงผิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นจึงหันกลับมามองตู้จิ่งอีกครั้ง
“พี่ใหญ่ของฉัน เขา…พวกนายรู้ชื่อของเขาหรือเปล่า”
“ฉันไม่สนชื่อของคนตายไปแล้วหรอก” ตู้จิ่งบอก “ใครให้พวกนายไปแบล็กเมล์อวี๋เจี้ยนเฉียง”
“ฉันไม่รู้” อู๋ซิงผิงตอบ “คนที่อยู่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาเป็นผู้แจ้งเบาะแสของเหยื่อที่เป็นเหมือนตู้เอทีเอ็ม เขาบอกพวกเราว่ามีคนที่เราจะขู่…ขู่เอาเงินได้…ได้เงินมาแล้วค่อยแบ่งกันสามส่วนเจ็ดส่วน”
“อธิบายให้ชัดๆ หน่อย” ตู้จิ่งสำทับ
โจวลั่วหยางแทบไม่เคยสัมผัสเรื่องอาชญากรรมมาก่อน เมื่อได้ยินอู๋ซิงผิงอธิบายเรื่องในแวดวงของพวกเขาก็รู้สึกตกใจ อู๋ซิงผิงถูกพี่ใหญ่ของเขาพาเข้าวงการ โดยพี่ใหญ่ที่ว่านี้เป็นหัวหน้ากลุ่มกลุ่มเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของมู่เหยี่ยเจ้าของกิจการโรงอาบน้ำอีกที มู่เหยี่ยมีลูกน้องในสังกัดหกคน กิจการโรงอาบน้ำแห่งนี้เน้นทำธุรกิจอาชญากรรมไซเบอร์ ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจอาชญากรรมไซเบอร์ที่ว่าตกต่ำลงมากเพราะนโยบายของรัฐบาล ขอบเขตของการทำธุรกิจหลักๆ จึงเป็นการทวงหนี้จากสินเชื่อออนไลน์กับเงินกู้นอกระบบ
โจวลั่วหยางสนใจใคร่รู้เรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยโหด อย่างไรเสียช่วงก่อนหน้านี้เขาก็ไม่มีเงินจริงๆ จนเคยคิดจะยืมเงินกู้ที่หักดอกเบี้ย* แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้วเขาก็ยังไม่อยากรนหาที่
อู๋ซิงผิงไม่ได้อธิบายอะไรมากนักเกี่ยวกับธุรกิจทวงหนี้ แต่อธิบายถึงอาชีพหนึ่งที่ได้เงินไวนอกเหนือจากงานทวงหนี้อย่างละเอียด นั่นคืองานแบล็กเมล์
ทุกๆ ปีในประเทศจีนจะมีผู้ต้องโทษคดีทางเศรษฐกิจหลบหนีไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน คนจำนวนไม่น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในสหรัฐฯ เม็กซิโก และที่อื่นๆ จึงไม่อาจถูกส่งตัวข้ามแดนกลับมาได้ หลังจากมีการหลบหนีไปต่างประเทศบ่อยครั้งเข้า ทางการจีนจึงจำต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากล พอนานวันผ่านไปก็จำเป็นต้องพักคดีไว้ก่อนชั่วคราว
ผู้ต้องโทษคดีทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วกุมเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีของผู้สมรู้ร่วมคิด ทั้งการสมคบกับพ่อค้าข้าราชการ การยักยอกทรัพย์ กระทั่งคดีฆาตกรรมที่เกิดจากความขัดแย้งบางคดีก็ด้วย ทั้งนี้ผู้ต้องโทษที่หลบหนีไปยังต่างประเทศมักคุ้นชินกับการใช้ชีวิตและใช้จ่ายเหมือนตอนยังอยู่ในประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงมีไม่น้อยที่หลังจากออกนอกประเทศไปแล้วติดการพนัน ไม่ก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเหมือนน้ำไหล ไม่ช้าก็ใช้เงินที่นำออกไปด้วยจนหมดเกลี้ยง
เพื่อให้ได้เงินมาพวกเขาจึงนำความผิดที่ยังไม่ถูกตรวจสอบของอดีตผู้สมรู้ร่วมคิดไปมอบให้ผู้แจ้งเบาะแสในพื้นที่ เพื่อเอาไปใช้แบล็กเมล์อดีตผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีที่ยังอยู่ในประเทศ
เมื่อผู้แจ้งเบาะแสได้หลักฐานมาแล้วก็จะส่งข้อมูลให้คนอย่างพี่ใหญ่ของอู๋ซิงผิงที่อยู่ในจีนรับหน้าที่ไปจัดการ โดยให้พวกเขาดำเนินแผนการแบล็กเมล์ตามใจตัวเอง ควบคุมจนเป้าหมายไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ แล้วยอมควักเงินออกมาไกล่เกลี่ยเพื่อให้เรื่องเงียบ
พอได้เงินมาแล้วคนที่รับหน้าจัดการก็จะแบ่งให้พวกอู๋ซิงผิงสามส่วน และที่เหลืออีกเจ็ดส่วนก็จะทำการโอนไปยังต่างประเทศโดยผ่านธนาคารใต้ดิน ทั้งนี้ผู้แจ้งเบาะแสจะได้ไปทั้งสิ้นสี่ส่วน จากนั้นสามส่วนที่เหลือจึงค่อยมอบให้กับคนที่ให้เบาะแส
กรณีของอวี๋เจี้ยนเฉียงเป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่าง เขาถูกหมายตาให้เป็นตู้เอทีเอ็ม ส่วนคนให้เบาะแสก็คือคู่รักที่หลบหนีออกนอกประเทศไปหลังจากบีบคอหวังเค่อจนตายในตอนนั้น พวกเขามีชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศอย่างยากลำบากและสิ้นหวัง จึงพยายามตามหาแก๊งอันธพาลชาวจีนในสหรัฐฯ จนพบ แล้วนำบันทึกมากมายของหวังเค่อในตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ไปมอบให้ รวมทั้งสัญญาระหว่างบริษัทส่วนหนึ่งเพื่อใช้แบล็กเมล์อวี๋เจี้ยนเฉียง
และเพื่อปกป้องทุกสิ่งของตัวเองในตอนนี้ อวี๋เจี้ยนเฉียงจึงยอมมอบเงินให้แต่โดยดี และภายในช่วงเวลาสามเดือนเขาก็ถูก ‘ขอ’ เงินไปแล้วสองล้าน
อู๋ซิงผิงพูดว่า “ก็…คล้ายๆ กับวิธีโรมานซ์สแกม** ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นแหละ”
“รูปแบบสมบูรณ์มาก” นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางได้รับรู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ นั่นคือเงินก็เอาไปแล้ว แล้วทำไมยังต้องฆ่าคนด้วย
ส่วนตู้จิ่งนั้นรู้เกี่ยวกับห่วงโซ่ของธุรกิจนี้นานแล้ว เรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือคำตอบของอู๋ซิงผิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก
* ไคว่โส่ว เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับคลิปวิดีโอสั้นๆ นิยมใช้ในประเทศจีน คล้ายแอพพลิเคชั่น TikTok
* สมองกลับทาง เป็นคำสแลง หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมและความคิดแตกต่างจากคนส่วนใหญ่
* หักดอกเบี้ย หมายถึงเงินส่วนหนึ่งที่ถูกหักออกจากเงินต้นก่อนจะปล่อยกู้ให้ผู้กู้ยืม มีเฉพาะในเงินกู้ดอกเบี้ยโหดหรือเงินกู้ใต้ดิน
** โรมานซ์สแกม (Romance Scam) คือวิธีที่กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเหยื่อผ่านทางโลกออนไลน์ โดยจะหลอกให้เหยื่อหลงรักหรือเชื่อใจ แล้วสุดท้ายก็หลอกเอาทรัพย์สินของเหยื่อ หรือหลอกใช้ให้เหยื่อกระทำความผิดเพื่อตัวเอง