everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 13-15 #นิยายวาย
บทที่ 14
คำตอบของอู๋ซิงผิงเหมือนอย่างที่โจวลั่วหยางคิดเอาไว้ทีเดียว
“พี่ใหญ่คบค้ากับผู้แจ้งเบาะแส เถ้าแก่มู่เคยเตือนว่าเลิกรับงานเอทีเอ็มได้แล้ว เพราะน่ากลัวว่าพอตู้เอทีเอ็มถูกบีบคั้นมากเข้าจะพลอยทำให้ทุกคนถูกปราบปรามกวาดล้างไปด้วย พี่ใหญ่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร บอกแค่ฉัน พอทำสำเร็จก็ได้เงินมาสิบล้าน ฉันกับเขาแบ่งกัน…สองส่วนกับแปดส่วน”
ตู้จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะ
“ฉันไม่ได้โกหกนะ” อู๋ซิงผิงโอด
ตู้จิ่งกล่าว “นายรู้ไหมว่าคืนนั้นจะไปฆ่าอวี๋เจี้ยนเฉียง”
อู๋ซิงผิงรีบโต้ “ไม่รู้ พี่ใหญ่บอกแค่ว่าจะไปสั่งสอนเขาสักหน่อย”
อู๋ซิงผิงมีสีหน้าสลดอย่างยิ่ง เงินสิบล้านสำหรับเขานั้นช่างเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เงินก้อนนี้ไม่ว่าเขาจะหาอีกสักกี่ชาติก็คงหาไม่ได้ หรือต่อให้เก็บหอมรอมริบอย่างไรก็คงไม่ได้มากเท่านี้ มันมากพอจะทำให้คนมากมายยอมเสี่ยง
“นายแน่ใจได้ยังไงว่าอีกฝ่ายจะเอาเงินก้อนนั้นให้นาย” โจวลั่วหยางพูดถึงอีกจุดหนึ่งที่ยังสงสัย
อู๋ซิงผิงติดตามพี่ใหญ่มานานแล้ว จะมากจะน้อยย่อมรู้เรื่องนี้ จึงบอกว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อก่อนก็พูดคำไหนคำนั้นทุกครั้ง เอาเงินมาให้ทุกที”
ตู้จิ่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ อู๋ซิงผิงไม่เข้าใจความนัยของเขา
“มือถือ” ตู้จิ่งบอก
อู๋ซิงผิงจึงล้วงเอามือถือออกมาวางบนโต๊ะ ตู้จิ่งพูดต่อ “รหัส”
อู๋ซิงผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยยอมบอกรหัส
ตู้จิ่งถาม “สองวันมานี้มีคนเพิ่มชื่อนายเป็นเพื่อนไหม”
อู๋ซิงผิงจึงว่า “ฉัน…ปิดมือถือน่ะ พี่จงเตือนฉันเป็นพิเศษ กลัวจะมีคนระบุตำแหน่งฉันได้”
“พี่จงเป็นใคร”
“คนที่สวมแว่นตา” อู๋ซิงผิงตอบ “เขาเป็นกุนซือของเถ้าแก่”
“ซิม” ตู้จิ่งสั่ง
อู๋ซิงผิงนิ่งเงียบไปนาน ตู้จิ่งจึงบอก “ฉันต้องใช้วีแชตของนาย เงินสี่แสนเป็นของนายแล้ว พอฟ้าสางจะลงสถานีไหนก็เชิญ”
อู๋ซิงผิงไม่อิดออดอีกต่อไป ก่อนจะนำซิมออกมาให้เขา แถมยังส่งเข็มจิ้มถาดซิมมาให้ด้วย
“ปล่อยเขาไปเถอะ” โจวลั่วหยางเอ่ย
“ไปซะ” ตู้จิ่งพูดขึ้นในที่สุด
รถไฟวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด โจวลั่วหยางมองซิมกับเข็มจิ้มถาดซิมที่วางไว้บนโต๊ะ นิ้วเรียวยาวของตู้จิ่งหยิบเข็มขึ้นมาลองเสียบเข้าไป โจวลั่วหยางที่นั่งอยู่บนโซฟารับมาแล้วช่วยเขาใส่ซิมมือถือของอู๋ซิงผิงลงในถาดใส่ซิมที่ดีดออกมา
ตู้จิ่งขยับนู่นนี่สักพักก่อนกดปุ่มเปิดเครื่องแล้วปลดล็อก เขาเข้าสู่ระบบวีแชตของอู๋ซิงผิงเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงไล่ดูรายชื่อผู้ติดต่อใหม่ แล้วก็พบว่ามีสองคนที่เพิ่มอู๋ซิงผิงเป็นเพื่อน
ตู้จิ่งใช้มือถือตัวเองถ่ายภาพหน้าจอของผู้ติดต่อสองคนนั้นแล้วปิดมือถืออีกครั้ง ก่อนจะเก็บทั้งมือถือและซิมของอู๋ซิงผิงเอาไว้
เมื่อเห็นโจวลั่วหยางหาวหวอด ตู้จิ่งจึงถาม “ง่วงแล้ว?” ตอนนี้ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว โจวลั่วหยางเหนื่อยล้ามาก ตู้จิ่งจึงบอก “บอกแล้วว่าอย่าตามมาทำงาน”
โจวลั่วหยางแย้ง “ฉันเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากให้นายออกมาทำงานคนเดียว แบบนั้นมันน่าเบื่อเกินไป”
ตู้จิ่งตอบกลับ “ถ้านายไม่มาด้วย ฉันก็ลงรถไฟสถานีหน้า ซื้อตั๋วสักใบเดินทางกลับไปแล้ว”
“แต่นายทำงานล่วงเวลามาเกินกว่าครึ่งแล้วนะ ครึ่งคืนเข้าไปแล้วยังไม่เรียบร้อย แถมยังต้องวิ่งแจ้นออกมาทำงานนอกสถานที่อีก นายต้องไม่พอใจมากๆ แน่ บางทีนายอาจลงไม้ลงมือกับน้องชายคนนั้นไปแล้วก็ได้”
“ฆาตกรไม่มีค่าให้เห็นใจหรอก”
“เขาไม่ได้ฆ่าใคร เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่เดินทางผิด แล้วหาทางเอาตัวให้รอดอย่างหนักก็เท่านั้นเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นจะต้องตามลูกพี่ไปฆ่าคน เขาไม่ได้ฉลาดนัก คนส่วนใหญ่บนโลกก็เป็นแบบนี้ เป็นแค่คนธรรมดาสามัญ มีคนที่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองทำผิดตรงไหนด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ละทิ้งการศึกษา เลยไม่มีโอกาสจะเดินไปในหนทางที่ดี”
แสงไฟนอกหน้าต่างสว่างวาบกวาดผ่านใบหน้าด้านข้างของตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางไปอย่างรวดเร็ว
“นายเป็นอย่างนี้เสมอเลยนะ” ตู้จิ่งกล่าว “นายเป็นคนอ่อนโยน ฉันขอคืนคำ นายไม่เปลี่ยนไปเลย”
ตู้จิ่งยื่นมือออกมาเหมือนอยากจะลูบใบหน้าของโจวลั่วหยาง ทั้งยังเหมือนอยากจะลูบศีรษะด้วย แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะหดมือกลับไปวางบนโต๊ะ
“เอายามาด้วยกี่วัน” โจวลั่วหยางถาม
“สามวัน พอน่า” ตู้จิ่งบอก “ไม่อยากทรมาน ไว้ตื่นแล้วค่อยคุย นอนกันเถอะ”
โจวลั่วหยางพูดขึ้น “ฉันอยากล้างหน้าบ้วนปาก”
“บอกแล้วว่าอย่ากินขนม”
ตู้จิ่งจำต้องลุกขึ้นไปที่ตู้เสบียง แล้วตามหาพนักงานที่อยู่ตรงแผนกขายของ ก่อนจะซื้อยาสีฟัน แปรงสีฟัน และผ้าเช็ดตัวมาให้โจวลั่วหยาง หลังโจวลั่วหยางจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็สบายตัวขึ้นมาก ที่ผ่านมาเขาปรับตัวใช้ชีวิตแบบคนทางเหนือไม่ค่อยได้ แต่พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่เลว ต่อไปคงได้ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำกับตู้จิ่งบ้างเป็นครั้งคราว
เขานอนเตียงบน ส่วนตู้จิ่งนอนเตียงล่าง โจวลั่วหยางชะโงกหน้าออกมาดู อยากบอกเขาว่าราตรีสวัสดิ์ แต่กลับเห็นว่าตู้จิ่งยังลืมตาอยู่ เขาไม่ได้ห่มผ้า ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ต ท่อนล่างสวมกางเกงสูท และเป็นเพราะที่นอนสั้นเกินไปสองขาเลยต้องขดอยู่อย่างไม่ค่อยสบายนัก
“นอนไม่หลับเหรอ” โจวลั่วหยางถาม
“กำลังคิดเรื่องเมื่อก่อนอยู่น่ะ” ตู้จิ่งตอบ
“ให้นาย”
โจวลั่วหยางยื่นของสิ่งหนึ่งลงมาจากเตียงด้านบน ตู้จิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“เร็วขนาดนี้เชียว?”
สิ่งนั้นคือนาฬิกาข้อมือที่โจวลั่วหยางรับปากว่าจะยกให้หลังจากที่ใส่สายแล้ว และโจวลั่วหยางก็ได้จัดการใส่สายโลหะให้เรียบร้อยแล้ว
“ยินดีด้วยที่นายได้งาน” โจวลั่วหยางตอบอย่างผ่อนคลาย “นายหางานที่น่าสนใจทำได้ ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นายเข้าไปทำงานสายนี้ แต่ฉันว่าจะต้องมีอุดมการณ์ของนายอยู่ด้วยอย่างแน่นอน”
ตู้จิ่งยื่นมือไปกุมนิ้วมือของอีกฝ่าย นาฬิกาเรือนนั้นจึงลื่นลงจากมือของโจวลั่วหยางมาสวมบนข้อมือของเขาพอดี โจวลั่วหยางกดล็อกที่สายโดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำ มีเสียงคลิกดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณว่าสายนาฬิกาเข้าที่แล้ว
สายนาฬิกาคาดได้พอดิบพอดี ราวกับทำมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“แลกกันสิ” โจวลั่วหยางทวง เขาใช้นิ้วเกี่ยวสายรัดข้อมือยางบนข้อมือของตู้จิ่งแล้วทำท่าจะดึงออก
“รอเดี๋ยว…” ตู้จิ่งหดมือกลับ แต่โจวลั่วหยางกลับไม่ยอมปล่อย สายรัดจึงโดนดึงจนขาด
ทั้งสองเงียบงันกันอยู่นาน ก่อนที่ตู้จิ่งจะพูดขึ้นในความมืด “กระเด็นไปตรงไหนแล้ว”
“ไม่ต้องหาแล้ว” โจวลั่วหยางห้าม “ไม่เอาแล้ว ถือว่าหายกัน”
ตู้จิ่งเองก็ไม่ดึงดัน เขาขยับให้หน้าปัดนาฬิกาข้อมือหันเข้าหาตัวเอง ก่อนจะมองชื่นชมหน้าปัดโดยอาศัยแสงสลัว ในสิบสองมุม เหลี่ยมมุมของแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสามชิ้นซ่อนเหลื่อมกันพลางเดินไปอย่างเชื่องช้า พวกมันทั้งสามเคลื่อนที่ไปอย่างไร้ระเบียบในหนึ่งวัน หลังผ่านการหมุนวนอันยาวนานแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมทั้งสามชิ้นก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมในช่วงเวลาพิเศษสองครั้งคือเที่ยงคืนและเที่ยงวัน ดูคล้ายกุหลาบงามสีครามที่แบ่งบาน
ตู้จิ่งตอบกลับ “ขอบคุณนะ ฉันจะอุทิศตัวเพื่ออุดมการณ์นี้ไปชั่วชีวิต”
“ ‘อุดมการณ์’ บางครั้งก็เดิน บางครั้งก็หยุด” เสียงของโจวลั่วหยางดังมาจากเตียงด้านบน “อายุของมันยาวนานเกินไป ฉันไม่กล้าไปยุ่มย่ามกับมัน บางครั้งฉันก็อาจต้องใช้พลังกับเรื่องที่ว่านี้มากหน่อย”
ตู้จิ่งตอบ “เลือกแล้วก็ต้องลงแรงด้วยสิ โลกใบนี้คึกคักวุ่นวาย ใครบ้างไม่ต้องลงแรง”
ในความมืดตู้จิ่งจ้องมองเวลาบนหน้าปัดไหลเลื่อนไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
โจวลั่วหยางพูดขึ้นอีก “ชอบของขวัญชิ้นนี้ไหม ไม่ต้องดูแล้ว อยากให้นอนเป็นเพื่อนหรือเปล่าล่ะ”
ตู้จิ่งขยับไปด้านข้างอย่างไม่คล่องตัวนัก “เบียดเกินไป ไม่อยากฝืน”
โจวลั่วหยางจึงลงจากเตียงบน ถ้านับเวลาตั้งแต่คืนวาน ตู้จิ่งน่าจะไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว
ที่นอนในรถไฟแคบมาก ตู้จิ่งคนเดียวยังแทบนอนไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอนเบียดกับโจวลั่วหยางเลย ดังนั้นแล้วตู้จิ่งจึงต้องแนบร่างเบียดโจวลั่วหยางทางด้านหลังเพื่อที่จะได้ไม่ตกเตียง
“นานแล้วเนอะที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น” โจวลั่วหยางรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของตู้จิ่งจึงถามขึ้น
“ลืมไปแล้ว” ตู้จิ่งบอก “เอาแต่นอนหลับไม่สนิท”
รถไฟชะลอความเร็วและหยุดลงที่สถานี โจวลั่วหยางถูกผลักไปทางตู้จิ่งเบาๆ ด้วยแรงเฉื่อย ตู้จิ่งโอบแขนไว้ตรงเอวเขาแล้วกอดเขาไว้
“ตัวนายดูเป็นเพศไหนก็ได้” ตู้จิ่งบอก “มีปฏิกิริยาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ คนที่กอดแพะแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองยังมีเลย”
โจวลั่วหยางตอบกลับอย่างจนใจ “ก็ฉันกลัวว่าอีกสักพักเดี๋ยวนายจะหลับ เกิดไม่ระวังกางเกงมันจะ…ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องซักชุดสูทจะไม่สะดวกนะ”
ตู้จิ่งพูดความจริง “ตั้งแต่หกวันก่อน ยังเก็บไว้ได้อีกหลายวัน ที่นายกังวลก็มีเหตุผล ถ้าจำเป็นงั้นฉันถอดกางเกงดีไหม”
โจวลั่วหยางคิดในใจ ทำอย่างนั้นยิ่งประดักประเดิดเข้าไปใหญ่ จึงตอบไปว่า “อย่าเลย นอนเถอะ”
ตู้จิ่งอยากลุกขึ้นมานั่ง ด้วยไม่อยากนอนแล้ว แต่โจวลั่วหยางกลับกดมือลงบนหลังมือของตู้จิ่งที่วางอยู่บนเอวของตัวเองอีกที ตู้จิ่งจึงเลิกดึงดันแล้วหลับตาลง และในไม่ช้าก็หลับไป
โจวลั่วหยางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตู้จิ่งที่อยู่ด้านหลัง ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอมากเวลานอนหลับ อีกทั้งไม่เคยนอนกรน เกรงว่าการออกแรงเมื่อตอนกลางวันคงจะทำให้เขาเหนื่อยมาก ตกกลางคืนจึงนอนหลับสนิท และดูเหมือนว่าเขาจะพยายามระวังตัว ด้วยกลัวจะกระทบสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
ท่านอนของเขาเรียบร้อยมาโดยตลอด ส่วนโจวลั่วหยางนั้นดิ้นได้จากหัวเตียงถึงปลายเตียง ดิ้นจากฝั่งซ้ายไปถึงฝั่งขวา บางครั้งก็ตกเตียงเลยทีเดียว
โจวลั่วหยางหวนนึกถึงร่างกายของตู้จิ่งตอนอยู่ในโรงอาบน้ำ…ความรู้สึกตื่นเต้นที่เลือนหายไปก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
ครั้งแรกที่ได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของตู้จิ่งคือที่หอพัก ก่อนหน้านั้นโจวลั่วหยางไม่ได้รู้สึกว่าการเห็นร่างกายของเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วน อย่างไรเสียเขาก็ไม่เคยเกิดอารมณ์กับเพศเดียวกันอยู่แล้ว
วันนั้นตู้จิ่งกำลังอาบน้ำ แต่อาบไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเขาจากในห้องน้ำ ‘ลั่วหยาง! ลั่วหยาง!’
โจวลั่วหยางกำลังฟังเพลง ตู้จิ่งจึงต้องตะโกนอยู่หลายครั้งกว่าเขาจะได้ยิน จากนั้นโจวลั่วหยางก็ไปเคาะประตูห้องน้ำพลางถาม ‘เป็นอะไรไป’
ตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางกลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงเปิดประตูเข้าไป ประตูไม่ได้ล็อก ปกติพวกเขาไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำอยู่แล้ว เพราะอย่างไรในห้องก็มีกันแค่สองคน
ตู้จิ่งยืนอยู่ใต้ฝักบัว สบู่เหลวผสมกับน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ไหลลงมาตามกล้ามเนื้ออันผอมเพรียวของเขา ศีรษะเต็มไปด้วยฟองยาสระผม เขามองโจวลั่วหยางด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วบอก ‘น้ำไม่ไหล’
ปฏิกิริยาแรกของตู้จิ่งเมื่อพบว่าน้ำไม่ไหลคือเรียกโจวลั่วหยาง แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าทำอย่างนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ด้วยโจวลั่วหยางไม่สามารถทำให้น้ำกลับมาไหลได้ เขาจึงเงียบไปอย่างรวดเร็ว
แต่โจวลั่วหยางเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นการโจมตีทางทัศนวิสัยที่มาจากเรือนร่างของรูมเมต ประกอบกับตู้จิ่งที่ท่าทางยังสระผมไม่เสร็จดี โจวลั่วหยางก็หัวเราะลั่นขึ้นมา ตู้จิ่งโมโหมาก เขาบิดฝักบัวหลายหน จากนั้นก็พลอยหัวเราะไปด้วยอย่างเก้อๆ
โจวลั่วหยางรู้ตัวทันทีว่าไม่ควรหัวเราะ แต่ก็ประหลาดใจที่ได้เห็นตู้จิ่งหัวเราะเป็นครั้งแรก
‘ฉันจะไปเอาน้ำร้อนให้นายสักหน่อยก็แล้วกัน’ โจวลั่วหยางนึกขึ้นได้ว่าในห้องพักมีถังใส่น้ำดื่มอยู่
‘ไม่ต้องยุ่งยากหรอก’ ตู้จิ่งห้าม ‘น้ำเย็นก็ได้ ฉันจะล้างผมสักหน่อย’
โจวลั่วหยางยกถังน้ำดื่มเทใส่ถังน้ำแล้วเทน้ำร้อนผสมลงไป ก่อนจะบอกให้ตู้จิ่งนั่งลง
‘ฉันจะล้างผมให้ น้ำเย็นหน่อยนะ’
ตู้จิ่งจึงนั่งบนม้านั่ง จากนั้นโจวลั่วหยางก็ราดน้ำล้างฟองบนตัวเขาแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้
‘ขอบคุณนะ’ ตู้จิ่งกับโจวลั่วหยางสบตากัน โดยที่โจวลั่วหยางทอดสายตามองเขานานหน่อย ตู้จิ่งเลยมองตามสายตาของโจวลั่วหยาง แล้วก้มลงมองร่างกายของตัวเอง
โจวลั่วหยางบอก ‘นายหุ่นดีจริงๆ’
เขามองตรงบริเวณเอวและต้นขาของตู้จิ่งซึ่งมีรอยแผลเป็นเด่นชัดอยู่สองแห่ง ทว่าเรือนร่างของอีกฝ่ายนั้นงดงามจริงๆ นับว่าได้สัดส่วน ถึงผอมสูงแต่ก็มีกล้ามเนื้อ อีกทั้งกล้ามนั้นมีขนาดไม่เล็กเลย ดูแล้วสมเป็นชาย เวลาปกติทุกคนสวมเสื้อผ้า โจวลั่วหยางจึงไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าหุ่นของตู้จิ่งจะดีขนาดนี้
เขาไม่ได้จ้องมองตู้จิ่ง ถึงแม้จะจ้องมองร่างกายของเพศเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มาจากความชื่นชมในสิ่งสวยงามโดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับอารมณ์พรรค์นั้น เหมือนตอนเห็นคนเพศเดียวกันที่ออกกำลังกายจนหุ่นดีในยิม บางครั้งโจวลั่วหยางก็จะมองนานหน่อย
‘มีแผลเป็นเยอะ’ ตู้จิ่งพูด ‘ไม่ตกใจเหรอ’
โจวลั่วหยางจึงว่า ‘เมื่อกี้ฉันเห็นนายหัวเราะ นายหัวเราะแล้วดูดี น่าจะหัวเราะบ่อยๆ’
ว่าแล้วโจวลั่วหยางก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำ
‘สรรหาวิธีมาชมฉันทุกวัน’ ตู้จิ่งสวมกางเกงขายาว เช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู แล้วออกมานั่ง ‘ฉันไม่ได้ดีขนาดนั้นอย่างที่นายว่า ไม่ต้องหาเรื่องมายกยอฉันแล้ว’
‘ก็รูปร่างนายเซ็กซี่จริงๆ นี่ ผิวขาว ไหล่กว้าง ช่วงเอวสวย มีวีไลน์ด้วย’ โจวลั่วหยางหันไปมองตู้จิ่งพลางอธิบาย ‘ไม่ได้ยกยอนายซะหน่อย บางครั้งที่ฉันดูหนังก็สนใจร่างกายนักแสดงชาย มีอะไรต้องเขินเล่า’
ตู้จิ่งพลันโมโหขึ้นมา ‘ฉันไม่หล่อ อย่ามายกยอฉันอีก ฉันไม่ชอบ! เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว!’
‘โอเค ขะ…ขอโทษแล้วกัน…’ โจวลั่วหยางไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นนี้ เขาเลยจำต้องบอกอย่างกระอักกระอ่วน ‘ฉันก็แค่…เอ่อ…อิจฉานายนิดหน่อยน่ะ’
‘นายลองฝึกยิงธนูสิ’ ตู้จิ่งเปลี่ยนเรื่องพูด ‘ไปเข้าชมรมยิงธนู บ่าจะได้ขยาย นายก็หุ่นดี มีความเป็นเพศไหนก็ได้ เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง ออกกำลังกายอีกหน่อยก็ได้แล้ว แต่อย่าหักโหมมากไปก็พอ’
โจวลั่วหยางพยักหน้าแล้วเลิกคุยเรื่องนี้ แต่พอผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงตู้จิ่งก็พูดขึ้นมา
‘ขอโทษด้วยนะ ลั่วหยาง’
โจวลั่วหยาง ‘…?’
ตู้จิ่งอธิบาย ‘เมื่อกี้ฉันพูดไม่ค่อยดีใช่ไหม’
โจวลั่วหยางรีบบอก ‘เปล่าๆ ฉันต่างหากชอบพูดไม่คิด’
ตู้จิ่งจึงว่า ‘บางครั้งฉันก็ชอบน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองและอ่อนไหวง่าย ลั่วหยาง นายไม่ได้พูดอย่างนั้นเพราะสงสารฉันใช่ไหม’
‘จะเป็นไปได้ยังไง’ โจวลั่วหยางดันโต๊ะเขียนหนังสือแล้วหันหลังมาโดยยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน เขาหันหน้าไปทางตู้จิ่งก่อนจะพูดอย่างจริงจัง ‘ไม่มีทางอะ ทำไมนายคิดอย่างนี้’
ถึงตอนที่พูดโจวลั่วหยางจะจริงใจแค่ไหน แต่ก็ยังมีความประหม่าอยู่บ้าง
‘นายเป็นคนดีมากๆ’ ตู้จิ่งถอนหายใจก่อนตอบกลับ ‘นายคิดถึงความรู้สึกฉัน ชอบพาฉันออกไปเที่ยวเล่นเป็นพิเศษ ฉันรู้ดี ทุกครั้งที่ฉันบอกว่าฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย ฉันเข้าใจแล้วว่านายต่างหากที่ออกไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉัน นายอยากให้ฉันออกไปผ่อนคลายบ้าง’
โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ‘ใครไปเป็นเพื่อนใครมันสำคัญมากเหรอ ตู้จิ่ง ทุกครั้งที่ฉันบอกว่าจะไปข้างนอกเพราะฉันอยากออกไปจริงๆ วันๆ เอาแต่อยู่ในมหา’ลัยฉันก็ต้องเบื่ออยู่แล้ว’
ตู้จิ่งเงยหน้าขึ้นมองโจวลั่วหยาง ชั่วขณะนั้นโจวลั่วหยางคล้ายกับรับรู้ได้ว่าตู้จิ่งอาจมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอก อาจจะเกี่ยวกับอาการป่วย หรือเกี่ยวกับรอยแผลเป็นนั่นก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงลังเล
โจวลั่วหยางตัดบทอาการลังเลที่ว่านี้ด้วยการยิ้มแล้วบอก ‘นายเห็นห้องพักห้องอื่นไหม พวกเขาก็เหมือนกัน มีอะไรต่างกันล่ะ เรียนมหา’ลัยก็ต้องมีเวลาออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ไม่อย่างนั้นวันๆ เอาแต่เรียนหนังสือด้วยตัวเอง ชีวิตจะน่าเบื่อแค่ไหนกัน’
ทันทีที่สิ้นเสียงโจวลั่วหยางก็หันกลับไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อปิดบังความประหม่า ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ‘พูดถึงเรื่องนี้ พรุ่งนี้ไปดูหนังกันไหม’
‘ไปสิ’ จู่ๆ สีหน้าของตู้จิ่งก็ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ‘ฉันซื้อตั๋วก่อนแล้วกัน’
หางตาของโจวลั่วหยางเห็นสีหน้าของตู้จิ่งแวบๆ ผ่านกระจกแต่งตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้ขึ้นมา เขาหวังจริงๆ ว่าตัวเองจะสามารถดูแลตู้จิ่งและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้ ต่อให้ตู้จิ่งยังต้องกินยาทุกวัน ต่อให้บางครั้งตู้จิ่งจะเงียบงันอย่างไม่มีความหมาย โจวลั่วหยางก็ยังหวังว่าอย่างน้อยช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาจะทำให้ตู้จิ่งมีความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตู้จิ่งเองก็ดีกับเขาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตู้จิ่งรับรู้ถึงความห่วงใยของโจวลั่วหยางแล้ว ในช่วงสั้นๆ ครึ่งปีมานี้ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปเดินเล่นด้วยกัน ไม่ว่าตู้จิ่งจะซื้ออะไรก็จะซื้อให้โจวลั่วหยางด้วยอีกชิ้น
บางครั้งโจวลั่วหยางตื่นไม่ไหวในตอนเช้า เดิมทีคิดจะไปขอยืมสมุดเลกเชอร์ของเพื่อนร่วมชั้นที่เข้าเรียน แต่ตู้จิ่งกลับเข้าเรียนแทนเขา ทั้งยังจดแนวข้อสอบให้เรียบร้อย หลังผ่านช่วงเวลาครึ่งปีที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาทั้งสองก็พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจนแข็งแกร่ง ส่วนมากเวลาที่โจวลั่วหยางเสนอความคิดเห็น ตู้จิ่งแทบจะไม่เคยเห็นต่างและทำตามเขาแทบทุกเรื่อง
ตอนแรกโจวลั่วหยางจะถามความเห็นของตู้จิ่ง แต่คำตอบของตู้จิ่งมักเป็น ‘ฉันไม่มีที่ที่อยากไป นายล่ะ’ ดังนั้นโจวลั่วหยางจึงรับหน้าที่เป็นคนตัดสินใจสำหรับพวกเขาทั้งสองคน บางครั้งเขาจะอ่านแอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีความเห็นอย่างไรกับกิจกรรมที่ตัวเองเสนอให้ทำ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบว่าตู้จิ่งมีความคิดเห็นอื่นใด
ทุกครั้งที่ตู้จิ่งระบายความรู้สึกไม่สบายใจของตัวเองลงในเวยป๋อ โจวลั่วหยางจะคิดหาวิธีมาทำให้เขาสนุกเบิกบาน ทำลายความสนใจจดจ่อของเขา เช่นออกไปข้างนอกด้วยกัน หรือไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ นับตั้งแต่ช่วงนี้เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทำแล้วประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คืองานปั้นดินโพลีเมอร์ ในร้านปั้นดินโพลีเมอร์ของศูนย์การค้า ผู้ชายสองคนสามารถนั่งปั้นดินกันได้ตลอดทั้งช่วงบ่ายเลยทีเดียว
ทั้งได้ทำหัวให้โล่ง ทั้งได้เพ่งสมาธิ จึงไม่มีโอกาสให้เขาได้ฟุ้งซ่าน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาความรู้สึกหดหู่ของตู้จิ่งได้
สองชั่วโมงให้หลัง
‘ช่วงนี้ยังนอนไม่หลับเหรอ’ โจวลั่วหยางถาม
‘ดีขึ้นมากแล้ว’ ตู้จิ่งตอบ
โจวลั่วหยางจึงว่า ‘เพราะมีคนอยู่ข้างๆ นายถึงนอนหลับได้ดีใช่ไหม’
ตู้จิ่งยอมรับด้วยการตอบว่า ‘ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ’
โจวลั่วหยางกล่าว ‘ดันเตียงนายมาก็ได้นะ เอามาชิดกัน หน้าต่างด้านนายปิดไม่สนิท ตอนฤดูหนาวหนาวมากเลย’
ฤดูหนาวมาถึงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หน้าต่างบานนี้ตั้งแต่ฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง จนล่วงเข้าฤดูหนาวแล้วก็ยังไม่มีใครมาซ่อม โจวลั่วหยางเอาเทปกาวไปแปะไว้แต่ก็ยังไม่แน่นหนาพอ ยังคงมีลมหนาวพัดเข้ามาได้เล็กน้อย ขณะเดินเข้าออกระเบียงหรือดึงหน้าต่างก็มักสัมผัสถูกเทปกาวที่แปะไว้ดีแล้วอย่างง่ายดาย ทำให้โจวลั่วหยางหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว
ตู้จิ่งไม่ได้พูดอะไร โจวลั่วหยางจึงถามอีก ‘นายกลับบ้านตอนปีใหม่หรือเปล่า’
ตู้จิ่งส่ายหน้า โจวลั่วหยางจึงว่า ‘ฉันก็ไม่กลับ นายวางแผนอะไรไว้บ้าง’
‘ไม่มี’ ตู้จิ่งถามกลับ ‘นายล่ะ’
โจวลั่วหยางได้รับคำตอบที่คาดไว้แล้ว จึงบอกว่า ‘ถ้างั้นให้ฉันวางแผนเองเถอะ’
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสอง เรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงก็ได้เกิดขึ้นเหมือนพายุโหมสายฝนกระหน่ำ เล่นเอาโจวลั่วหยางตั้งตัวไม่ติด
อาการป่วยของตู้จิ่งถูกเปิดเผยออกมาในชั้นเรียนเพราะเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง